เรื่องเด่น การทำกรรมฐานจะขาดอานาปานสติไม่ได้

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กรกฎาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    A484441D-9DB9-4ADC-94EF-3CBC9C6366F5.jpeg
    ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานของเรานั้น อานาปานสติเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อานาปานสติก็คือ อานะ และ อาปานะ คือลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เพราะเป็นกรรมฐานที่สามารถสร้างสมาธิให้เกิด เราจะได้มีการระงับยับยั้งชั่งใจตนเองไม่ให้ไหลไปตามกระแสกิเลส ถ้าหากว่ามีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น ก็สามารถที่จะทวนกระแส และท้ายที่สุด ถ้าหากว่ามีปัญญาเพียงพอ ก็จะสามารถตัดกระแสหรือข้ามกระแสไปได้ และก้าวเข้าสู่ความเป็นคนเหนือโลก ก็คือสภาพจิตก้าวเข้าสู่โลกุตรภูมิตั้งแต่โสดาปฏิมรรค ขึ้นไป

    หลังจากที่จับลมหายใจเข้าออกของเราจนสมาธิเริ่มทรงตัว ถ้าหากว่าทำต่อไปไม่เป็น บางท่านก็อาจจะเผลอหลุดจากลมหายใจเข้าออกและกลับมาฟุ้งซ่านใหม่ หรือว่าเผลอสติแล้วหลับไป

    ดังนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจเริ่มทรงตัวแล้ว ให้เรากำหนดภาพพระขึ้นมาองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบมากที่สุด จะเป็นพระวิสุทธิเทพก็ได้ เป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ได้ หรือว่าจะเป็นพระพุทธรูปสำคัญ เช่น พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธรก็ได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระพุทธติดตัวอยู่ มีความชอบใจเป็นปกติ จะจับภาพนั้นก็ได้ โดยกำหนดภาพพระให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หรือว่าจะกำหนดภาพพระให้นิ่งอยู่เหนือศีรษะ หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้นก็ได้

    เพียงแต่ว่าการกำหนดภาพพระนั้น ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่ใช้สายตา เราหลับตาอยู่ย่อมไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้ แต่เป็นการเห็นด้วยใจ นึกถึงภาพพระพุทธรูป เราก็รู้สึกว่ามีพระพุทธรูปชัดเจนอยู่ในห้วงนึกของเรา แต่ไม่ใช่ตาเห็น

    ดังนั้น...ขอให้ทุกคนลืมการใช้สายตาไปเสีย กำหนดภาพพระพร้อมกับลมหายใจเข้าออก แรก ๆ ก็อย่าเพิ่งไปเน้นเอารายละเอียด ขอให้มั่นใจว่ามีภาพพระอยู่กับเราก็พอแล้ว เราไปเน้นในส่วนของลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา เมื่อสมาธิทรงตัวมากขึ้น ภาพพระก็จะชัดเจนแจ่มใสมากขึ้น

    เมื่อรู้สึกว่าภาพพระชัดเจนแจ่มใสมั่นคงดีแล้ว ก็ให้ตั้งใจแผ่เมตตา ทำความรู้สึกว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วทั้งโลก ขอให้สัตว์ทั้งหลายก้าวพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่สันติสุขโดยทั่วหน้ากัน

    เมื่อตั้งใจแผ่เมตตาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็หันมาพิจารณาดูสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี หรือว่าวัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวงก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ คือทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

    แล้วสภาพร่างกายนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนที่แข็งเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ ก็คือธาตุดิน อย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น

    ส่วนที่เหลวไหลเอิบอาบอยู่ในร่างกาย คือ ธาตุน้ำ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เป็นต้น ในส่วนที่พัดไปมาในร่างกายคือธาตุลม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้อง ลมที่พัดไปมาในร่างกายเรียกว่าความดันโลหิต เป็นต้น ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายเรียกว่า ธาตุไฟ มีธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ธาตุไฟที่เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ธาตุไฟที่ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นต้น

    เมื่อเราแยกแยะออกมาจนครบถ้วนก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราเลย แต่พอจับรวมกลับเข้าไปใหม่ มีหัว มีหู มีหน้า มีตา มีตัว เราที่เป็นดวงจิตปฏิสนธิ์มาอาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมของเรา เราก็ไปยึดมั่นว่า นี่เป็นตัวกู นี่เป็นของกู แล้วสิ่งรอบข้างเราก็ไปยึดว่าโน่นก็เป็นของกู นั่นก็เป็นของกู กลายเป็นภาระที่แบกหนัก ถ่วงหนักมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปจนเราหลุดพ้นไม่ได้

    เมื่อเห็นชัดว่าร่างกายของเราก็เป็นอย่างนี้ ร่างกายคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ สัตว์อื่นก็เป็นอย่างนี้ เมื่อซักซ้อมทำไปบ่อย ๆ ปัญญาถึงก็จะเห็นความเป็นจริงของร่างกาย และสภาพจิตยอมรับว่านี่คือสภาพของเราอย่างจริงแท้ ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในที่สุดสภาพจิตก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    ดังนั้น...ทุกครั้งที่ท่านตั้งใจปฏิบัติภาวนา จับลมหายใจเข้าออกแล้วกำหนดภาพพระขึ้นมา เมื่อภาพพระมั่นคงแล้วก็แผ่เมตตา เมื่อแผ่เมตตาจนใจสบายดีแล้วก็มาพิจารณา เมื่อพิจารณาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ตั้งใจเอาจิตเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้ ย้อนกลับไปสู่การภาวนาใหม่ ให้ทำสลับไปสลับมาระหว่างการภาวนาและพิจารณาอย่างนี้ จึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

    ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...