"ความแตกต่างระหว่างสองโลก"...บทความ...ทำไมชอบดูดวง...

;welcome2
"ความแตกต่างระหว่างสองโลก"



ทำนายตามลักษณะ โลกรูปธรรม​

ทำนายตามลักษณะ โลกนามธรรม​

...ปัจจุบันนี้ คนเราขาดที่พึ่งพิงทางใจกันมากขึ้น
ขาดซึ้งศรัทธา ในพุทธะ ในธรรมชาติ ในตนเอง แม้แต่ในโลกใบนี้
การที่ขาดที่พึ่งทางใจ ขาดศรัทธานี้ ก็ย่อมเกิดขึ้นตามกาลเวลาของจิตมนุษย์
เป็นธรรมดา กาลเวลาเก่าจะเปลี่ยนไป กาลเวลาใหม่จะเข้ามา​

การเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้น ก็เกิดจากศรัทธา การเหนี่ยวนำจิตใจกันและกัน
รวมกลุ่ม รวมตัว รวมประเทศ รวมหมู่คณะชนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
หรือแตกแยกออกจากกัน...​

การทำนายดูดวง ดูดาว ดูจิต ดูกรรม ตามอารมณ์นี้
ได้เกิดขึ้น มีมาตั้งแต่กำเนิดโลก ตั้งแต่มีมวลมนุษย์เกิดขึ้น
เริ่มมีกิเลสจับกลุ่มในจิต เริ่มมีราคะติดในอารมณ์
การหาทางออกให้ตนเองด้วยการคาดเดา ก็คือการใช้จิตจินตนาการณ์
เป็นการคำนวนด้วยสัญญา...
ต่อมาได้พัฒนาเกิดขึ้นได้เก็บสถิติ คำนวนจนถึงปัจจุบัน
ได้ตกทอดกันไปต่อๆรุ่นสู่รุ่น ​

แต่การเดินทางของจิตนั้นไม่ได้สิ้นสุด ไม่ได้มีการคำนวน
แต่ได้เก็บสัญญาวาระจรผ่านต่างๆไว้ ในดวงจิตนั้นตลอดมา​

การทำนายนั้น แบ่งออกได้ 3 อย่าง ​

๑.ทำนายจากการถือกำเนิดทางกายรูป วัน เดือน ปี เวลา เกิด​

๒.ทำนายจากการสื่อแทนตัวตนทางจิต เช่นไพ่ เสี่ยงทาย ใบไม้ สี อารมณ์ฯ​

๓.ทำนายจากจิตจรผ่าน คือ กำลังฌาน สมาธิ จากผู้ปฏิบัติจนเปิดโลก รู้ธาตุ​

เหล่านี้ ก็คือ การคิด หรือสืบทอดกันมา พัฒนากันต่อๆ หรือเรียกว่าสถิติก็ได้ ...
เมื่อดวงจิตหนึ่งเดินผ่านกาลเวลา แต่เก็บประสบการณ์กรรมไว้
ปลดปล่อย จรรโลงจิตตนเองด้วยสิ่งที่ผูกติดไว้​

คนหนึ่งอาจจะเกิดมาในโคจรของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการช่วยเหลือ
ทำนายทายทัก เพื่อเป็นการสะสมบุญ...คนกลุ้มนี้ถ้าหลงมากติดทางโลกธรรม
จะไม่ดัง จะเสื่อมยศ ถูกนินทาได้ง่าย...​

คนหนึ่งอาจจะเกิดมาแล้วได้ปฏิบัติตน ได้อยู่ในสังคมแห่งธรรม
สามารถปฏิบัติตนเอง พอที่จะช่วยชี้นำชี้ทางให้เขาเห็นกฏแห่งกรรมได้...​

คนหนึ่งอาจจะเกิดมาไม่ปรารถนาในปฏิหารย์ ในการทำนาย หรือช่วยเหลือใครๆ
ขอเพียงเพื่อตนเองปฏิบัติ ได้รู้ ได้เห็น คนเดียว จบคนเดียวพอแล้ว...​

การทำนายนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงคัดค้านหรือห้ามไว้...
แต่การทำนายทายทักบอกเหตุการณ์ของแต่ละบุคคลนั้น
ต้องดูจริต ต้องดูวิบากกรรมเดิม ต้องรู้อารมณ์ ต้องดูศรัทธาเขา
ว่ามีมากน้อย พร้อมรับรู้ หรือไม่...​

การบอกกล่าว ทำนายจากจิตผู้บริสุทธิ์ ไม่หวังผลในการทำนาย
เพียงเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือ ให้เขาเกิดศรัทธา มุ่งมั่น เห็นธรรม เห็นจริง
ตามจริง และพร้อมที่จะเปลี่ยนตนเอง ทำความดีให้มากขึ้นกว่าเดิม​

คนปัจจุบันนี้...ขาดซึ่งศรัทธาแล้วจำนวนมากมาย
การที่จะดึงเขาเหล่านั้นให้ได้รู้ ให้ได้เข้าใจในกฏแห่งกรรมนั้น
ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง สำหรับพระผู้ปฏิบัติดี ท่านจะไม่ทำนายทายทัก
แต่สามารถให้ปุจฉาธรรม ดังการทำนาย แต่จุดประสงค์ คือไม่ให้ยึดติดหลง
งมงายในการดูดวง ทำนาย ดังที่พระองค์ได้ทรงเตือนไว้...​

สามัญชนผู้ปฏิบัติ... หมอดู สามารถทำหน้าที่ เชื่อมต่อผู้ที่ยังอยู่ทางโลก
ให้เข้าหาทางธรรมด้วยการทำหน้าที่ช่วยเหลือ ชี้นำ ให้เขาได้รู้ทางโลก
เพื่อให้เข้าหาทางธรรม พบพระผู้รู้ทางจิตทำหน้าที่ของท่านต่อไป ในการอธิบาย
นำเขาปฏิบัติใหเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งทางธรรม​

จึงกล่าวได้ว่า...​

พระทางธรรม ทำหน้าที่ชี้ให้เห็นนามธรรม ลักษณะกรรมที่ละเอียด ที่เกิดขึ้นกับจิต​

หมอดูทางโลก ทำหน้าที่ชี้ให้เห็นรูปธรรม ลักษณะกรรมที่หยาบๆ ที่เกิดขึ้นกับกายจริต​

ก็ขอให้ผู้ทำหน้าที่ของตน จงยึดมั่นในความดีกันต่อๆไป
อย่าทำแค่เพื่อหวังผลในทางโลก เท่านั้น แต่ขอให้มองไปในกาลหน้า​

ทั้งคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ดี จงมองที่เจตตนาของเขาเหล่านั้น ผู้ที่ช่วยเหลือกัน
ว่าเขาเหลานั้นทำเพื่อสิ่งใด เจตนาดี ร้าย อกุศลเพียงใดตรงนี้สำคัญ​

การไม่เชื่อสิ่งใดๆนั้นย่อมดีสำหรับตน แต่ถ้าตนพิสูจน์แล้ว​

ก็จงยอมรับกฏแห่งกรรมเถิด...ว่า​

การคำนวน ก็คือ การทำนาย​

การคาดหมาย ก็คือ การทำนาย​

การมีความหวัง ก็คือ การทำนาย​

การตั้งสัจจะไว้ ก็คือ การทำนาย​

การคิดคาดว่าจะเป็น ก็คือ การทำนาย​

แล้วในขณะนั้นดวงจิตนี้เป็นกุศล หรือ อกุศล​

"ตรงนี้สำคัญ"​

...ก็ขออธิบายแบบย่อๆ ไว้ตรงนี้เพื่อจะได้เข้าใจกัน...​

"ลุงสามตา"​

 

ขอบคุณค่ะ