ชะตากรรม โดย ท.เลียงพิบูลย์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Jt Odyssey, 5 สิงหาคม 2012.

  1. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ชะตากรรม
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



    เรื่องของชะตากรรมเคยมีผู้เล่าและผู้เขียนกันมาแล้ว โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องที่มีผู้วิเศษ หรือผู้เชี่ยวชาญในการทำนายทายทักผ่านสายตาของข้าพเจ้ามาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ข้าพเจ้าก็ให้แต่เพียงความสนใจ ว่าเป็นเรื่องที่แปลกเหลือเชื่อ เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ที่จะยอมรับนับถือ หรือเชื่อถือสิ่งสุดวิสัยที่ไม่ได้ประสบด้วยตนเองนั้นยากนัก แทบจะกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อวิชาไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดูฤกษ์ดูยาม เมื่อมีผู้เล่าก็เออๆ ครับๆ ไปตามเรื่องเพื่อมิให้เป็นที่ขัดใจของผู้อื่นเท่านั้น

    แต่ในกรณีของเรื่องที่ข้าพเจ้ามาบรรยายสู่ท่านทั้งหลายต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะยอมรับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าไม่กังวลใจเลยว่าผู้อ่านจะเชื่อเรื่องที่ข้าพเจ้าจะบรรยายนี้หรือไม่ เพราะความรู้สึกเชื่อหรือไม่เชื่อนี้ ได้เคยเกิดกับข้าพเจ้ามาก่อนแล้ว หากว่าเรื่องที่ข้าพเจ้านำมาเล่านี้มีประโยชน์ในทางคติธรรม และสาระพอที่จะทำให้เกิดความเมตตาความกรุณาต่อมนุษย์หรือสัตว์ ผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ในโลกเดียวในภพเดียวกันกับท่านผู้อ่านแล้ว ข้าพเจ้าก็มีความปิติเป็นอย่างยิ่ง ที่อดีตชะตากรรมของข้าพเจ้าสามารถยังประโยชน์สุขให้แก่ชีวิตอันคับแค้นของผู้ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้ได้บ้าง นอกจากที่ข้าพเจ้าได้เคยบำเพ็ญมาแล้ว ดังที่ข้าพเจ้าจะขอดำเนินเรื่องต่อไปนี้

    ก่อนที่มหาสงครามเอเซียบูรพา อันมีกองทัพซามูไรจะระเบิดขึ้นไม่นานนัก เช้าวันหนึ่งขณะที่บรรยากาศการเมืองอันตรึงเครียดในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ที่ข้าพเจ้ากำลังอ่านอยู่อย่างสนใจ วิทยุก็ส่งเสียงตลอดเวลาให้ประชาชนต่อต้านผู้รุกราน ภรรยาของข้าพเจ้าเดินกลับเข้ามาในบ้าน หลังจากที่ได้กระทำกิจวัตรในการทำบุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณรทุกเช้าแล้ว ก็ตรงมาหาที่เก้าอี้นอนที่ข้าพเจ้ากำลังสำราญอารมณ์อยู่ เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า

    “คุณคะ คุณทราบไหมคะ ยายแปลกกับตามี คนเฝ้าสวนที่อยู่หลังบ้านเรานี้ มีโชคถูกรางวัลสลากล็อตเตอรี่ที่หนึ่งค่ะ”


    ข้าพเจ้าได้ฟังก็ตอบโดยไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ว่า “ก็ดีแล้วนี่ เป็นโชคของแก”

    ภรรยาของข้าพเจ้ามีกิริยากระสับกระส่าย ที่เห็นข้าพเจ้าไม่มีอาการตื่นเต้นอย่างที่เธอคาดหวัง เพราะข้าพเจ้ามัวไปสนใจเรื่องสงครามทางยุโรปและข่าวทางเอเซียกำลังจะก่อความไม่สงบแล้วเธอก็พยายามพูดต่อไปอีกว่า “มันไม่ใช่เรื่องอย่างนั้นน่ะซิคะ”

    “เรื่องมันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ แล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ ถ้าไม่ใช่กฎธรรมดาของคนที่มีโชคดีคนใดคนหนึ่ง ต้องมีโอกาสถูกรางวัลสลากกินแบ่งแต่ละงวดในเดือนหนึ่งๆ ทุกเดือน” ข้าพเจ้ายังเพ่งสายตาอยู่กับหนังสือพิมพ์ต่อไป

    “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ” ภรรยาของข้าพเจ้าพยายามดำเนินเรื่องให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจต่อไป

    “เขาว่ามีอาจารย์ปะขาวผู้หนึ่งมาจากเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคเหนือ มาพักอยู่ที่กุฏิของท่านมหาฯ ที่เราใส่บาตรท่านทุกวันนี้แหละ ท่านดูดวงชะตาให้ยายแปลกและตามี ยายแปลกไปที่วัดเมื่อวันพระก่อนนี้ ไปบ่นกับท่านอาจารย์มีความขัดสนยากจนเหลือเกิน ท่านก็เลยกรุณาตรวจดวงชะตาให้ ท่านทำนายว่าต่อไปอีก ๗ วันนี้ จะมีลาภใหญ่ บังเกิดขึ้นกับสองผัวเมีย แถมยังรับรองอย่างมั่นคงว่าจะมีลาภแน่ๆ แล้วคุณก็ดูซิคะพอครบกำหนด ๗ วันจริงๆ สองผัวเมียก็ได้ลาภอย่างที่ท่านอาจารย์ปะขาวรับรอง เป็นลาภใหญ่รางวัลที่ ๑ เสียด้วย”

    แล้วเธอก็จ้องดูข้าพเจ้าเมื่อกล่าวจบว่า จะมีความสนใจขึ้นมาบ้างหรือยัง ข้าพเจ้าพอจะเดาความคิดของเธอได้ว่า เธอพยายามจูงใจให้ข้าพเจ้าเลื่อมใสในการเชื่อคำพยากรณ์คำทำนายโชคชะตา ข้าพเจ้าจึงเสริมเพื่อให้ขบขัน ไม่ให้เป็นที่ขัดใจเธอว่า

    “ก็ดี ทายแม่นดี น่าจะไปหาที่นั่งตามใต้ต้นมะขามที่ท้องสนามหลวง คงจะรวยแน่ๆ”

    แต่ภรรยาของข้าพเจ้าไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดของข้าพเจ้ากลับอ้อนวอนว่า “คุณขา ดิฉันอยากจะขอให้คุณไปพบกับท่านอาจารย์ปะขาวค่ะ หมู่นี้ดิฉันมีความรู้สึกไม่ใคร่สบายใจเลย นอนหลับก็ฝันไม่สู้ดีบ่อยๆ ค่ะ”

    “เธออย่าไปเอานิยมนิยายอะไรกับเรื่องความฝันนักเลย มันจะทำให้เกิดความกลุ้มใจเปล่าๆ คนเราถ้านอนมากก็ฝันมาก นอนน้อยก็ฝันน้อย” ข้าพเจ้าปลอบโยนให้เธอคลายความหงุดหงิดใจ แต่ไม่เป็นผล เธอกลับรบเร้าวิงวอนข้าพเจ้าไปตรวจดวงชะตาเพื่อให้เป็นที่แน่ใจ และเพื่อเธอจะได้คลายความข้องใจในความฝันต่อไป ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเอ็นดูสงสารขึ้นมา ไม่อยากให้เป็นที่ขัดใจของเธอต่อไป จึงรับคำว่ายอมจะไปด้วย ทั้งๆ ที่ในใจข้าพเจ้ายังยืนมติเดิม คือ ไม่เลื่อมใสอยู่นั่นเอง

    หลังจากนั้นเราก็ชวนไปหาอาจารย์ปะขาว ที่วัดข้างบ้านท่านพักอยู่ที่กุฏิท่านมหาฯ พระมหาฯ องค์นี้มีความคุ้นเคยกับทางครอบครัวของข้าพเจ้าอย่างดี เมื่อเราไปถึง ณ ที่นั้น ท่านอาจารย์ไม่อยู่ ทราบว่ามีผู้มารับไปพบปะกับท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งจะเป็นผู้ใดข้าพเจ้ามิได้สนใจสอบถาม กลับเริ่มสนใจกับผู้คนจำนวนมากหลายที่กำลังชุมนุมรอท่านอาจารย์ปะขาวอยู่ ณ ที่นั้น

    ข้าพเจ้าคะเนว่าคงจะเป็นเพราะกิตติศัพท์ของการทำนายอันแม่นยำของท่าน ที่มีอำนาจดึงดูดความสนใจของประชาชนที่ทราบข่าวทั่วไป ข้าพเจ้าจึงยังนึกวาดภาพบุคลิกของท่านอาจารย์ปะขาวไว้ในความรู้สึกก่อนที่จะได้เห็นตัวจริงว่า คงมีอายุย่างเข้าวัยชรานุ่งขาวห่มขาว ถือไม่เท้ายันกาย และมีลูกประคำคอ ท่องบ่นพระเวทย์มนต์ตามธรรมดาของปะขาว หรือพวกโยคีฤาษีไพร

    เมื่อเราผ่านเวลาไปด้วยการสนทนาในเรื่องต่างๆ กับท่านมหาฯ สักพักใหญ่ ท่านอาจารย์ปะขาวก็กลับมา ท่านมหาฯ ก็แนะนำให้เราได้ทำการคารวะเป็นที่รู้จักกัน ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังที่ได้คาดคะเนรูปร่างลักษณะของท่านอาจารย์ปะขาวผิดไปหมด ความจริงปรากฏว่ายังไม่แก่เกินไป ร่างของท่านอาจารย์มีส่วนส่วนสันทัด มีท่ามีสง่าน่ายำเกรง ดวงหน้ามีแววยิ้มแย้มละมุนละไมบริสุทธิ์ ปราศจากลักษณะที่เคลือบแฝงด้วยเล่ห์ ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากแววตา ดูเป็นบุคลิกที่มีอารมณ์เปิดเผยเยือกเย็น ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นตาเย็นจิตแก่ผู้ที่ได้วิสาสะด้วย ข้าพเจ้าเกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาบ้าง ดีกว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้พบกับตัวท่านอาจารย์

    ในวาระนั้น ภรรยาของข้าพเจ้าก็เริ่มวิสาสะกับท่านอาจารย์โดยทันที ในขณะเดียวกันกับผู้คนที่มารอคอยอยู่ก่อนหน้าที่เรามาถึง ก็พากันเข้ามาขอเครื่องรางและของขลังต่างๆ ตามความต้องการของแต่ละบุคคล เมื่อได้แล้วก็ค่อยๆ พากันทยอยกลับ จนเหลือเราเท่านั้น ภรรยาของข้าพเจ้าก็ขอร้องให้ท่านอาจารย์ทำนายดวงชะตาเรา แต่ข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวทักท้วงว่าประการใด ท่านอาจารย์นั่งพับเพียบประณมมือหลับตาอยู่สักครู่แล้วลืมตาขึ้นกล่าวว่า

    “สามีของคุณนายมีความรู้สึกไม่สู้สนใจพอใจนักในการที่จะให้ตรวจทำนายทายทักดวงชะตา”


    (มีต่อ ๑)
     
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <table style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; " align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 16px; line-height: 20px; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; " valign="top">ข้าพเจ้าสะดุ้งขึ้นในใจทันทีที่ได้ยินกล่าวเช่นนี้ เพราะข้าพเจ้าก็มิได้แสดงทีท่าอย่างไรที่จะให้ผู้อื่นได้ทราบว่า ข้าพเจ้ามีความไม่พอใจ ท่านอาจารย์กลับทายความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้าได้อย่างถูกต้องตรงเผงทีเดียว อีกใจหนึ่งยังไม่ยอมจำนน คิดไปว่าท่านจะมีสายตาอันละเอียดไว พอที่จะจับพิรุธในดวงตาหรือกิริยาผิดแปลกบางประการได้ จึงสามารถที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงภรรยาของข้าพเจ้ายืนยันกับท่านอาจารย์ต่อไปว่า

    “ดิฉันได้ตกลงแล้วว่า จะขอให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาทำนายให้ ขออย่าให้เสียความตั้งใจเลยนะคะท่าน”

    ท่านอาจารย์ปะขาวก็เริ่มหลับตานิ่งอยู่สักครู่ แล้วก็ลืมตา อากัปกิริยาตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาแห่งความยุ่งยากบ่งถึงความหนักใจฉายเด่น ออกมาจากดวงตาทั้งสองของท่านอาจารย์ แล้วก็ค่อยๆ พูดช้าๆ ด้วยอาการตริตรองอย่างหนักใจว่า

    “ความสัตย์จริงฉันไม่ใคร่อยากจะทำนายดวงชะตาของคุณผู้ชาย ในลักษณะอย่างนี้ เพราะต่อแต่นี้ไปอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า จะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดกับตัวสามีของคุณนายมันเข้าขั้นร้ายแรง และฉันเองก็ไม่สมัครใจบอกตรงๆ เพราะทำให้ไม่สบายใจเกิดขวัญเสียได้ แต่ในปัจจุบันนี้ทุกอย่างเป็นปกติดี อย่างไรก็ดีในรอบปีต่อไปนี้แหลจะร้ายแรง”

    ข้าพเจ้าฟังแล้วอดรนทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “ขอท่านอาจารย์โปรดแจ้งมาให้ชัดเจนเถิดครับ เรื่องจะมีอาการร้ายแรงขนาดไหนผมมีความอดทนที่จะฟังได้ทั้งนั้น จิตใจของผมเข้มแข็งมากพอครับ”

    ท่านอาจารย์ปะขาวนิ่งคิดอยู่สักครู่ ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงจะไม่อาจตัดสินใจอะไรลงไปได้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่แล้วก็กล่าวว่า

    “ดวงชะตาของคุณนั้นบ่งว่า จะต้องตายอย่างผีไม่มีญาติ”

    ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งทันที โดยปกติข้าพเจ้ามีอารมณ์เย็นไม่เคยสะดุ้งกลัวภยันตราย หรือเหตุร้ายใดๆ ที่เกิดกับตัวข้าพเจ้ามาก่อนนี้เลย และในเมื่อได้ฟังการทำนายโชคชะตาครั้งนี้ก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ข้าพเจ้านี้จะต้องตายอย่างผีไม่มีญาติ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็มิใช่ร่ำรวยนัก แต่ก็ไม่ยากจนแร้นแค้นอะไร ยังมีภรรยาที่รักเคารพข้าพเจ้า เป็นห่วงดุจดังเทพเจ้าของเธอฉะนั้น เมื่อมีผู้รักและห่วงใยเช่นนี้แล้ว ใยจะมาบอกให้ข้าพเจ้าเชื่อได้ว่าจะต้องตายและตายอย่างผีไม่มีญาติ

    ภรรยาของข้าพเจ้ามีท่าทางกระวนกระวายใจ แสดงว่ามีทุกข์หนักอยู่ในใจเมื่อได้ฟังคำพยากรณ์ของท่านอาจารย์ปะขาวอย่าตรงไปตรงมา รีบถามขึ้นทันทีว่า “ท่านอาจารย์มีวิธีใดบ้างที่จะช่วยสะเดาะเคราะห์เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา กลับเหตุร้ายกลายเป็นดีบ้างคะ ได้โปรดกรุณาด้วยค่ะ”

    อาจารย์ปะขาวอธิบายว่า การสะเดาะเคราะห์เป็นเพียงการช่วยให้กำลังใจดีขึ้นเท่านั้น แต่ผลที่จะได้รับนั้นคงจะไม่สมบูรณ์ตามที่คาดหวังนักเรื่องนี้ผู้อื่นจะช่วยได้ยากนัก ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามดวงชะตาของกุศลกรรมและอกุศลกรรม คือกรรมดีและกรรมชั่ว

    บางคนอ้างว่าเคยทำกรรมดีตลอดมา แต่เหตุไฉนจึงได้รับแต่ชะตากรรมความลำบากยากแค้น เรื่องนี้กรรมเก่าที่เคยสร้างมาแต่ปางก่อนมาสนองในชาตินี้ก็ได้ กว่าจะหมดกรรมเก่าหรือวิบากกรรมแล้วก็ผ่านกรรมดี บางคนที่ได้ผ่านกรรมดี แล้วก็ผ่านวิบากกรรม ดวงชะตาชี้เส้นทางเดิน ถ้าจะเปรียบก็ไม่ผิดกับทางเดินของชีวิตเรา จะเดินผ่านทางราบเรียบตลอดชีวิตเหมือนเราเดินผ่านสวนดอกไม้อันสวยงามน่าชมนั้นไม่ได้

    การเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้น เมื่อเราเดินพ้นจากสิ่งที่ทุรกันดารตลอดไป บางทีท่านก็ผ่านทั้งทางดีและร้ายเป็นระยะๆ ไป กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คืออวสานแห่งชีวิต จะทุกข์จะสุขเป็นการทำของเราเอง เราประกอบกรรมชั่วก็ต้องทุกข์ยากลำบาก เราประกอบกรรมดีเราก็ย่อมได้รับความสุขความสบาย ทางเดินเส้นชะตาชีวิตกับทางเดินของชีวิตก็ไม่ผิดกัน จะเปรียบได้ก็เหมือนกลางวันและกลางคืนเท่านั้น

    เส้นชะตาชีวิตเกิดจากอดีตนั้นเปรียบเหมือนกลางคืน ซึ่งเราไม่รู้ว่าเคยสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วมากน้อยเท่าใด การเดินผ่านตำบลต่างๆ นั้น เปรียบเหมือนกลางวันเป็นปัจจุบัน ในชาตินี้เราสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วก็แล้วแต่เรา การจะช่วยเหตุร้ายให้กลายเป็นดีเราต้องช่วยพึ่งตัวเอง การแก้ไขก็อยู่ที่ใจเราเป็นใหญ่ เราจะสร้างสรรค์หรือนรกอยู่ที่ใจเรา

    ตอนนี้อาจารย์ปะขาวก็หัวเราะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มผิดกับตอนต้น แล้วกล่าวต่อไปว่า

    “สำหรับคุณนายอีก ๖ เดือน ก็จะเสียคนเก่าแก่ ต่อไปจะเสียทรัพย์สินในระยะติดต่อกัน”

    ข้าพเจ้ารับฟังไว้โดยไม่สนใจว่าจริงจังอะไรนัก หลังจากข้าพเจ้ากับภรรยาได้ไปหาอาจารย์ปะขาวแล้ว อาจารย์ปะขาวก็เดินทางกลับไปยังจังหวัดภาคเหนือ ต่อจากนั้นมาประมาณ ๖ เดือน นายบัวคนขับรถซึ่งเป็นคนอยู่มาเก่าแก่ก็ป่วยลง ขั้นแรกเป็นไข้ธรรมดา ข้าพเจ้าได้พยายามรักษาพอเกือบจะหายก็มีโรคปอดบวมเข้ามาแทรก เหลือกำลังที่นายแพทย์จะเยียวยาต่อไป หลังจากนั้นก็ถึงแก่กรรมลง ข้าพเจ้าและภรรยารู้สึกมีความเสียดายอาลัยคนเก่าที่มีอายุมาก แต่ซื่อสัตย์สุจริตหาไม่ได้ง่าย เราจึงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อได้จัดการฌาปนกิจเรียบร้อย ข้าพเจ้านึกถึงคำทำนายของอาจารย์ปะขาว เริ่มเป็นความจริงขึ้นมาแล้วหนึ่งข้อ เป็นปฐมแห่งการต้องยอมจำนนต่อคำพยากรณ์ ที่ไม่สามารถหาเหตุผลพิสูจน์ได้ เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นการบังเอิญ

    เมื่อคนรถเก่าแก่ถึงแก่กรรมแล้ว ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้คนใหม่คนหนึ่งชื่อ “เชิด” เป็นคนหนุ่มและแข็งแรงดี อยู่ทำงานได้ ๒ - ๓ เดือน เครื่องเพชรและเครื่องทอง ซึ่งเป็นของภรรยาข้าพเจ้าจะเป็นโดยเผอเรอหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่อเอาออกมาแล้วได้ลืมเอาไปเก็บเข้าที่ ขโมยจึงยกเอาไปทั้งหีบเหล็กซึ่งไม่สู้ใหญ่นัก เราสงสัยคนในบ้าน แต่คนเคยอยู่ในบ้านนั้นล้วนแต่เป็นคนซื่อและเก่าแก่ทั้งสิ้น ไม่เคยมีอะไรหายมาก่อนจึงทำให้ไม่ระวัง จะมีก็แต่นายเชิดคนขับรถคนเดียวเท่านั้นที่มาอยู่ใหม่ ไม่มีใครรู้ประวัติหัวนอนปลายตีน นอกจากเป็นผู้คุ้นเคยชอบพอกันกับคนเก่าที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว และภรรยาคนขับรถคนเก่าเป็นผู้แนะนำมาให้

    เหตุการณ์ครั้งนี้ภรรยาข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้สึกเสียใจเท่าใดนัก คล้ายกับรู้ตัวว่าจะต้องถูกโจรกรรมตามคำพยากรณ์ล่วงหน้าอยู่แล้ว รู้สึกว่าเธอเป็นห่วงข้าพเจ้ามากกว่า เธอพูดว่าของเหล่านี้เป็นของนอกกาย ไม่ค่อยจะเสียดายเท่าใด เพราะท่านอาจารย์ปะขาวได้ทายไว้ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น บัดนี้เรื่องอะไรก็เป็นความจริงขึ้นแล้วสองประการ จึงเป็นห่วงข้าพเจ้ามากกว่าและคิดล่วงหน้าว่า มันจะต้องเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าแน่ๆ

    หลังจากมีการไต่สวนเรื่องของหายแล้วไม่กี่วัน นายเชิดคนขับรถใหม่ของเราก็หายไป โดยไม่ได้บอกให้ทราบล่วงหน้า และไม่มีใครรู้จักที่อยู่บ้านช่องของเขาเลย ข้าพเจ้าจึงต้องขับรถเอง ภรรยาของข้าพเจ้าทัดทานไม่ยอมให้ออกจากบ้านบ่อยนัก เพราะยังจำคำทำนายของอาจารย์ปะขาวได้อย่างฝังใจ ทำให้หวาดระแวงเป็นห่วงอยู่เสมอ


    (มีต่อ ๒)</td></tr><tr><td style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 12px; line-height: normal; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; "> </td></tr></tbody></table>
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    วันหนึ่งข้าพเจ้าขับรถไปทางถนนสายหนึ่งในกรุงเทพฯ บังเอิญมองไปข้างหน้ารถเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งแล่นอยู่ในระยะไกลพอจะมองเห็น ได้แฉลบหลบรถสามล้อ แล้วชนเอาแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งกำลังหาบของอยู่ข้างถนน แม่ค้านั้นล้มลง หาบและไม้คานกระเด็น และของหกกระจัดกระจาย รถคันนั้นไม่ได้หยุดลงช่วยกลับแล่นหนีไป เป็นการกระทำของคนขับที่เลวที่สุด เจ้าหน้าที่การจราจรก็ไม่ค่อยเข้มงวดนัก เพราะในพระนครยังมีรถน้อย พอข้าพเจ้าขับรถไปถึงก็หยุดลงข้างถนน พอดีแม่ค้าเร่นั้นแกกำลังยันตัวลุกขึ้น ข้าพเจ้าเข้าไปประคองแกลุกขึ้น เห็นว่าแกไม่ค่อยมีบาดเจ็บนัก เพราะรถเพียงแต่ชนหาบเฉี่ยวไปเท่านั้น นับว่าบุญของแกมาก มีบางคนช่วงแกเก็บหาบไว้ข้างถนน เพื่อไม่ให้กีดขวางทางรถ เผอิญขณะนั้นไม่มีตำรวจ รถคันนั้นก็ลอยนวลไปได้อย่างสบาย

    ข้าพเจ้าพยุงแกเข้าไปข้างถนน และช่วยเก็บเศษสตางค์ที่ตกเรี่ยราดมามอบให้ ขนมหกเกลื่อนถนนนั้น มีขนมตาล ข้าวเหนียวสังขยา ขนมใส่ไส้และขนมกล้วย เข้าใจว่าแกจะเข้าไปขายบริเวณโรงเรียนแห่งใดแห่งหนึ่งในแถวนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารแกมาก เพราะเห็นแกมีอายุมากคะเนไม่ต่ำกว่า ๖๐ เป็นวัยที่ไม่น่าจะมาหาบเร่ขายของเลย ควรจะอยู่เฝ้าบ้านเรือนคอยดูลูกหลานมากกว่า จึงถามว่า

    “ยายเจ็บมากหรือเปล่า ?” เพราเห็นเสื้อผ้าแกขาดแกตอบว่า “ไม่มากหรอกคุณ รู้สึกแขนขาถลอกแสบๆ ขัดยอกนิดหน่อย”

    “ยายอยู่ที่ไหน ฉันจะพาไปส่งบ้านให้” แกจึงบอกที่อยู่ของแกให้ทราบ ข้าพเจ้าชวนให้แกขึ้นนั่งรอจะพาไปส่งถึงบ้าน แกอิดเอื้อนอยู่สักครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็หยิบหาบและไม้คาน และข้าวของที่เหลือยังไม่เสียหายใส่ในกระจาดแล้วก็ยกขึ้นรถ

    แกยกมือขึ้นไหว้ข้าพเจ้าแล้วร้องว่า “โอยทำไมคุณถึงใจดีอย่างนี้ คุณไม่ได้เป็นคนชนดิฉันเลย คุณกลับช่วยเหลือดิฉัน ส่วนคนชนดิฉันนั้นมันหนีไป แต่อิฉันไม่โกรธมันหรอก มันเป็นบาปกับเคราะห์ของดิฉันเองทำอย่างไรได้ คนเรามีเคราะห์แล้วก็หนีเคราะห์ไม่พ้น”

    ข้าพเจ้าได้ยินถึงต้องสะดุ้งในคำพูดที่แกบอกว่า บาปกับเคราะห์นั้นหนีกันไม่พ้นแน่ ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงคำพยากรณ์ของอาจารย์ปะขาว แล้วก็มานึกถึงตัวเอง คิดคำนึงว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย จะขอทำความดี การสร้างความดีเท่านั้นจะทำให้จิตใจของเราสบาย ข้าพเจ้าถามว่า “ยายแก่แล้ว ทำไมถึงได้มาหาบของขายอย่างนี้ล่ะ ลูกหลานยายไม่มีหรือ”

    “ลูกหลานมีเหมือนกันแหละคุณ อิฉันอยู่กับลูกสะใภ้กับหลานอีก ๓ คน ลูกสะใภ้กำลังเป็นไข้ไม่สบายอยู่บ้าน”

    ก่อนส่งบ้านก็พาไปแวะที่คลีนิค ซึ่งมีหมอชอบพอกับข้าพเจ้า เพื่อให้ใส่ยาแดงที่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ แล้วพาแกไปส่งตามตำบลบ้านที่แกอยู่ จอดรถที่ปากซอยแคบๆ พยุงแกลงมาจากรถ ชาวบ้านแถวนั้นถามกันเซ็งแซ่ว่ายายเป็นอะไร แล้วหันมาถามข้าพเจ้าว่า

    “แกเป็นอะไรคุณ คุณเป็นคนขับรถชนแกหรือ”

    ยังไม่ทันจะตอบ หญิงชราแม่ค้าก็ตอบเองว่า “โอย คุณแกไม่ได้ขับรถชนฉันหรอก รถคันอื่นมันชนแล้วมันก็หนีไป คุณแกเป็นคนช่วยเหลือฉันต่างหาก”

    ข้าพเจ้าเปิดประตูหลัง หยิบหาบสาแหรกไม้คานขึ้นมา ทันใดนั้นชาวบ้านที่มามุงดูก็ยกหาบตามแม่ค้าชรา มีชาวบ้านคนหนึ่งช่วยพยุงแกไป ข้าพเจ้าเดินตามไปพอหมดระยะถนนเล็กๆ แล้วก็เป็นสะพานไม้ ๒ แผ่น ข้างล่างมีน้ำดำเหมือนหมึกซึ่งเต็มไปด้วยลูกน้ำเป็นแหล่งเพาะยุง มองดูสองข้างทางแล้วหาที่สะอาดเจริญตาไม่ได้เลย ตามปกติข้าพเจ้าไม่เคยเดินตามตรอกซอยเหล่านี้เลย เมื่อมาเห็นสภาพนี้แล้วรู้สึกสมเพชคนที่อยู่ในซอยนี้มาก เพราะมีทั้งเศษและกากอาหารที่ส่งกลิ่นชวนๆ จะอาเจียนออกมา

    สักครู่หนึ่งก็ถึงบ้าน แม่ค้าชราก็เชิญให้ข้าพเจ้าไปในห้อง ข้าพเจ้ามัวดูสภาพของกลุ่มชนหมู่หนึ่งซึ่งเรียกว่าคนในประเภทหาเช้ากินค่ำ จนไม่ได้ยินเสียงเด็กๆ ในซอยนั้นร้องทักท่านยายแม่ค้าคนนั้นมาตลอดทาง

    ข้าพเจ้าเดินตามเข้าไปในห้องแถวมองดูรอบๆ ตัวรู้สึกว่าไม่มีสิ่งของมีค่าเลย มีลังไม้ที่ใช้ใส่ปี๊บน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันก๊าดตั้งอยู่ ๒ ใบ ยายแม่ค้าลากเอามาแล้วเอาผ้าปัดละอองฝุ่นแล้วเชิญให้นั่ง ข้าพเจ้านั่งโดยไม่นึกรังเกียจหรือกลัวเสื้อผ้าจะเปื้อนสายตาเหลือบไปพบหญิงคนหนึ่งนอนห่มผ้าเก่าตลบมุ้งซึ่งไม่สู้สะอาดตานัก แสดงว่าไม่สบาย ข้างตัวมีโกร่งบดยาและมีแก้วน้ำ ซึ่งมีดอกมะลิลอยอยู่ ดูหญิงคนนั้นอายุคะเนคงไม่เกิน ๓๐ แต่ไม่แน่ใจเพราะคนกำลังป่วยอยู่อาจจะดูแก่กว่าอายุจริงก็ได้

    เมื่อเป็นสภาพเช่นนั้นทำให้เกิดความสงสารยิ่งนัก คิดว่าชะตาชีวิตเกิดมาไม่เหมือนกันแล้วเศร้าใจ มองเห็นข้างๆ ตัวคนป่วยมีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓ ขวบ และเด็กชาย ๒ คน เด็กหญิงนั้นต้องเป็นน้องไว้จุก เด็กชาย ๒ คนคงเป็นพี่ คนโตอายุคงไม่เกิน ๘ ขวบ ไม่นุ่งผ้ากำลังนั่งเล่นกระป๋องนมชนิดแขวนอยู่ตามร้านกาแฟ ส่วนน้องสาวมีผ้าขาวม้าเย็บเป็นโสร่งนุ่ง คนกลางนั้นอายุประมาณ ๔ ขวบ ไม่นุ่งผ้า หญิงชราแม่ค้าไล่ให้ไปนุ่งผ้าแล้วให้มาไหว้ข้าพเจ้าทั้ง ๓ คน หญิงที่กำลังนอนอยู่เห็นข้าพเจ้าเข้าไปนั่งพยายามจะลุกขึ้น ข้าพเจ้าห้ามไว้ เพราะเห็นผิวหน้าคล้ำด้วยพิษไข้ หญิงชราบอกว่า

    “นี่ค่ะคุณ ลูกสะใภ้อิฉันมันเป็นไข้มาหลายวันแล้ว นี่ก็หลานๆ ทั้ง ๓ คนนี่แหละค่ะ ไม่ทราบว่าจะทำอะไรเลี้ยง ก็ต้องรับขนมไปขายพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันตายไปวันหนึ่งๆ แหละคุณ ธรรมดาแกก็ไปขายขนม แต่แกป่วยดิฉันก็ต้องไปขายแทน ถ้าหยุดก็ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาซื้อกินเลี้ยงชีวิต”

    ข้าพเจ้าถามว่าลูกชายทำงานอะไร ? แกบอกว่า “เดิมมันขับรถแหละคุณ นี่มันหายหัวไปหลายเดือนแล้ว บ้างก็ว่ามันไปอยู่บางกะปิ บางคนก็บอกว่ามันติดตะราง มันอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะมันไม่เคยหยิบยื่นเงินให้ใช้เลย”

    ข้าพเจ้าถามถึงลูกสะใภ้เป็นไข้ไปหาหมอรักษาหรือเปล่า แกตอบว่า “เปล่าค่ะ คุณเจ้าขา จะไปหาหมอที่ไหนและเอาเงินที่ไหนไปรักษา จะไปโรงพยาบาลหรือคนไข้ก็แน่น กว่าจะได้ตรวจก็ครึ่งวันค่อนวัน อิฉันเลยรักษาเอาเองตามมีตามเกิด เอายาหอมบ้าง ยาเขียวบ้าง พอระงับไข้จนกว่าจะหาย คนจนนี่คุณจะกินเข้าไปก็ลำบากอยู่แล้ว มันหลายปากหลายท้องรักษากันไปตามบุญตามกรรม”

    มองดูแล้วอดสังเวชใจไม่ได้ ข้าพเจ้านั้นมีพอจะช่วยเหลือแกได้บ้าง จึงอยากจะช่วยเหลือครอบครัวนี้ และภายหลังข้าพเจ้าได้ทราบว่าแกชื่อ “โฉม” ลูกสะใภ้ชื่อ “ชมชื่น” ข้าพเจ้าจึงบอกกับยายโฉมว่า

    “นี่ยายฉันมอบเงินนี้ไว้ให้ใช้ก่อนนะ รับเอาไว้เถิดแล้วฉันจะช่วยเหลือต่อไปอีก ให้ซื้อเสื้อผ้าให้เด็กๆ ซื้ออาหารดีๆ ให้ลูกสะใภ้”


    (มีต่อ ๓)
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <table style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; " align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 16px; line-height: 20px; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; " valign="top">แล้วข้าพเจ้าก็ลุกออกมาโดยไม่ต้องการจะรับการขอบใจจากแก ถึงกระนั้นหญิงชราก็รีบกอดขาข้าพเจ้าน้ำตาไหล พูดออกมาอย่างเสียงสะอื้นไห้ “โอ พ่อคุณ พระมาโปรดยายแล้ว ยายดีใจจนพูดไม่ถูก ท่านให้เงินยายมากมายอย่างนี้ ยายขายขนมตั้งกี่ปีก็เก็บไม่ได้ วันนี้ยายนึกว่าจะอดแล้ว ขายขนมก็ขาดทุน ข้าวสารก็ไม่มี ค่าเช่าก็ยังไม่ได้ให้เขา เหมือนกับฝันไปค่ะ”

    ความจริงเงินที่ข้าพเจ้าให้นั้นไม่มากมายสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับคนจน เช่นหญิงชราผู้นี้ข้าวสารก็ไม่มี ถ่านและอะไรๆ อีกหลายอย่างแกยังไม่มี จึงเห็นเป็นของมากมายและมีค่ายิ่ง แกพร่ำบ่นถึงบุญคุณที่ข้าพเจ้าได้ช่วย

    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ไปตามนายแพทย์ที่เป็นเพื่อนแล้วนำไปดูอาการของลูกสะใภ้ยายโฉม เมื่อหมอตรวจเรียบร้อยก็ว่าเป็นไข้มาลาเรีย จัดการให้ยาและฉีดยาเสร็จ ดูหมอรู้สึกงงเหมือนกัน ไม่คาดว่าข้าพเจ้าจะพามารักษาคนไข้ในบ้านสัปปะรังเคเช่นนั้น ข้าพเจ้าอธิบายให้เข้าใจ หมอจึงรู้สึกโมทนาในความมีใจกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ข้าพเจ้ากระทำไป

    วันนั้นข้าพเจ้ากลับบ้านด้วยหัวใจอิ่มเอิบสบายใจ เล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง เธอก็พลอยแสดงความยินดีด้วย ต่อมาข้าพเจ้าพยายามช่วยเหลือยายโฉมตามมีตามเกิดเท่าที่สามารถจะช่วยได้โดยมิได้ทอดทิ้ง นานๆ ข้าพเจ้าก็ไปเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง สภาพของเด็กก็มีเสื้อผ้าสวมใส่ดีขึ้น บ้านช่องก็จัดเรียบร้อย มีของใช้ที่จำเป็นมากขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าอิ่มเอมใจและพอใจในการช่วยเหลือครั้งนี้มาก ส่วนลูกสะใภ้นั้นเมื่อหายเรียบร้อย แล้วก็มิได้นิ่งนอนอยู่กับบ้าน ออกค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ตามอาชีพเดิม เป็นการช่วยเหลือให้ยายโฉมได้หยุดพักอยู่กับบ้านได้

    วันหนึ่งหลังอาหารเย็น มีเด็กเข้ามาบอกว่ามีคนมาหา ข้าพเจ้าจึงบอกให้เชิญเข้ามาในห้องรับแขก เมื่อแขกผู้นั้นเข้ามาข้าพเจ้าจำได้ว่า ผู้มาเยี่ยมเคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันมาแต่เล็กๆ และข้าพเจ้าทราบข่าวว่าเขาอยู่ภาคเหนือ และทำการค้าใหญ่โตแต่เราไม่ค่อยติดต่อกันมานับสิบๆ ปี เมื่อข้าพเจ้าพบเขามีความยินดีมากในฐานะที่ได้พบเพื่อนเก่าซึ่งจากกันไปนานๆ จะได้พบกันสักครั้ง

    แต่ข้าพเจ้าสังเกตดูสีหน้าและดวงตาของเพื่อนหมองคล้ำมาก เข้าใจว่าเพื่อนคนนี้คงจะเจ็บป่วยหรือมีทุกข์ร้อนอะไรสักอย่าง จะพูดจามีอาการอึกอัก กระสับกระส่ายเหมือนหวั่นกลัวหรือหนีภัยอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อรู้สึกดังนั้นจึงชวนเข้าไปในห้องเขียนหนังสือส่วนตัว ซึ่งไม่มีคนพลุกพล่าน เมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคน ข้าพเจ้าจึงพูดนำขึ้นก่อนว่า

    “รู้สึกว่าเพื่อนจะมีทุกข์อะไรมา ถ้าช่วยได้ขอให้บอกเถิดยินดีจะช่วยเหลือ”

    ดวงตาของเขามีความแจ่มใสขึ้นมาทันทีที่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้พูดจบ เขาพูดอย่างตะกุกตะกัก

    “ผมกำลังมีความทุกข์หนักจริงๆ คนงานและกรรมกรประมาณสองร้อยกว่าครัวเรือน กำลังคอยความหวังจากผม ถ้าผมพลาดหวังพวกนี้จะได้รับความลำบากมาก ถึงกับอดอยากตายแน่ ทุนของผมหมด สินค้าส่งออกไม่ได้เพราะติดสงคราม ผมมากรุงเทพฯ สักสิบวันกว่าแล้ว ได้เที่ยววิ่งเต้นหาเงินแต่ก็ไม่สำเร็จสักราย ผมได้พยายามอ้อนวอนเพื่อให้เขาเห็นใจในความทุกข์ยากลำบากครั้งนี้ เพื่อนฝูงที่รักใคร่พอที่จะช่วยเหลือผมได้และทั้งที่ผมเคยช่วยเหลือมาแล้ว ทุกคนไม่มีใครเห็นใจ ผมมาหาคุณเป็นคนสุดท้ายแล้ว ทั้งๆ ที่เราออกจากโรงเรียนก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย มาบัดนี้ผมร้อนมาก ขอพึ่งความร่มเย็นจากคุณ สำหรับผมเองก็ไม่มีความหมายอะไร แต่สงสารอีก ๒๐๐ กว่าครอบครัว มีทั้งเด็กๆ และผู้หญิงจะต้องอดอยากได้รับความลำบาก”

    ข้าพเจ้าบอกให้เขาทราบว่า ข้าพเจ้าเห็นใจและอนุญาตว่าเขาต้องการจะให้ข้าพเจ้าช่วยอย่างไร ถ้าสามารถช่วยได้แล้วก็ไม่มีอะไรขัดข้อง เขาจึงบอกจำนวนเงินที่เขาต้องการให้ข้าพเจ้าทราบเป็นจำนวนเงินไม่น้อย ถ้ายามปกติแล้วข้าพเจ้าก็ต้องบอกปัดทันที ในโอกาสเช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องการสร้างความดีไว้ก่อนที่จะตาย เพื่อนคนนี้เคยทราบว่าเป็นคนดีและคนซื่อ เมื่อคิดได้ว่าข้าพเจ้าตายแล้วเงินก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อไป สู้ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันในยามยากดีกว่า ข้าพเจ้าตอบตกลงว่าจะให้เงินจำนวนนั้น

    ทันใดนั้นดวงตาของเพื่อนแจ่มใสด้วยความดีใจ และพูดเสียงสั่นๆ “โอ ! ท่านช่วยชีวิตผมไว้ได้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะนำหลักฐานและทนายความมาพร้อมกับทำสัญญา”

    ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ต้อง แล้วก็ไขโต๊ะเขียนหนังสือหยิบเช็คธนาคารมาเขียนจำนวนเงินตามที่เพื่อนต้องการ ลงนามแล้วยื่นให้เขา รู้สึกว่าเขาตกตะลึงเหมือนถูกผีหลอกหรือฝันไป ฉะนั้นเมื่อเก็บเช็คมองดูอย่างงงๆ แล้วทรุดตัวลงกอดขาข้าพเจ้าไว้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาด้วยความดีใจ ได้ยินเสียงเขาสะอื้นน้ำตาไหลหยดลงต้องเท้าข้าพเจ้าหลายหยด ตัวเองก็พลอยอดน้ำตาคลอไม่ได้ พยุงให้ลุกขึ้นนั่ง เขาก็เน้นพูดว่า

    “ท่านได้ช่วยผมคราวนี้ ได้ช่วยชีวิตผมไว้นาทีสุดท้าย ที่ผมได้มาหาคุณครั้งนี้ก็นึกไว้ก่อนว่าความสำเร็จนั้นมีหวังน้อยมากเพราะผู้ที่ผมไปขอความช่วยเหลือมานั้นต่างก็มีฐานะดีและมีความชอบพอกันมาก เป็นส่วนที่มีความหวังได้มากมายกลับผิดหวัง เมื่อผมว่าจะมาหาคุณยังมีคนบอกว่าเห็นจะไม่ได้ผล เพราะคุณเป็นคนตรงและคุณก็ไม่ให้ใคร คุณไม่ต้องการของใคร แต่ผมก็บอกว่าเป็นคนกำลังจะจมน้ำตาย แม้จะเป็นต้นอ้อที่ลอยน้ำมาเมื่อไม่มีอะไรก็ต้องจับไว้ก่อน แต่เมื่อมาถึงคุณกลับได้ผลเกินคาดหมาย คุณได้ชุบชีวิตของผมให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาต่อสู้กับโลกอีก ผมคิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิตของผมแล้ว”

    ข้าพเจ้าถามว่า “เพราะเหตุใดจึงว่าเป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิตของคุณ”

    เพื่อนตอบว่า “เมื่อผมมาหาคุณเป็นคนสุดท้ายแล้วผิดหวังครั้งนี้ ผมกลับไปโรงแรมก็จะยิงตัวตาย ทุกสิ่งทุกอย่างได้เตรียมไว้แล้ว” พลางก็หยิบปืน ๖.๓๕ ม.ม. จากกระเป๋าพร้อมด้วยจดหมาย ๓ ฉบับให้ข้าพเจ้าดูเป็นหลักฐาน ฉบับหนึ่งถึงตำรวจ อีกสองฉบับถึงมารดาและภรรยา


    จดหมายถึงตำรวจนั้นมีใจความว่า ตัวเขาสมัครใจฆ่าตัวตายเอง อย่าเอาผิดสงสัยผู้อื่นเลย ส่วนจดหมายถึงมารดาและภรรยามีใจความว่าขอลาตาย ข้าพเจ้าเห็นหลักฐานเช่นนั้นก็ขนลุก ดีใจที่ได้ช่วยชีวิตมนุษย์ไว้อีกผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าสบายใจมาก หลังจากเพื่อนผู้นั้นไปแล้ว ได้นำเรื่องที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนผู้นั้นให้ภรรยาฟัง ภรรยาข้าพเจ้าพลอยดีใจด้วย และเมื่อเล่าถึงกิริยาของเพื่อนที่แสดงความดีใจแกเลยพลอยน้ำตาไหล กล่าวได้ว่าไม่มีครั้งใดที่ข้าพเจ้ามีความอิ่มเอมใจและสบายใจที่ได้รับเหมือนครั้งนี้ในชีวิต


    (มีต่อ ๔)</td></tr><tr><td style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 12px; line-height: normal; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; "> </td></tr></tbody></table>
     
  5. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ในขณะนั้นภาวะสงครามเอเซียบูรพาบีบบังคับไทยเข้าสู่สงคราม ทำให้สินค้าต่างๆ ขึ้นราคา และยารักษาโรคต่างๆ ราคาแพงขึ้นทุกวัน เฉพาะอย่างยิ่งชนิดซัลฟาขึ้นราคามากทำให้คนยากจนต้องเสียชีวิต เพราะป่วยเป็นโรคปอดบวมมิใช่น้อย ส่วนมากเป็นเด็กที่น่าสงสาร ข้าพเจ้าก็ได้ซื้อยาไว้แจกจ่ายให้เป็นทานเมื่อมีคนป่วยมาขอ และไม่ยอมซื้อยาค้ากำไร และให้ตัวผู้ป่วยไข้จริงๆ

    ข้าพเจ้ายังคงไม่ลืมนึกถึงคำพยากรณ์ของอาจารย์ปะขาวเหมือนกับคอยเตือนก้องอยู่ในหูว่า วันตายของข้าพเจ้าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว มาตอนนี้เองข้าพเจ้ารู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกหวาดกลัวความตาย จิตใจไม่กังวลอะไรเลย ข้าพเจ้าไม่มีบุตรที่ต้องเป็นห่วง แม้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีบุตรด้วยกัน ภรรยาของข้าพเจ้าอ้อนวอนขอให้หาภรรยาอีกคนเพื่อมีบุตรสืบสกุลต่อไป ข้าพเจ้าเห็นใจความรู้สึกอันสูงของภรรยา แต่ต้องปฏิเสธว่าสุดแต่บุญกรรมดีกว่า

    ตามที่อาจารย์ปะขาวเคยบอกข้าพเจ้าว่า จะต้องตายกลางถนนอย่างผีไม่มีญาติ ยังมองไม่เห็นเลยว่าจะเป็นไปได้เพราะฐานะของข้าพเจ้าไม่ถึงแร้นแค้น เหตุใดจึงจะตายอย่างผีไม่มีญาติยังข้องใจสงสัยนัก แล้วยังบอกอีกว่าการสะเดาะเคราะห์หรือการถ่ายเคราะห์นั้น มันเป็นการช่วยกำลังใจเท่านั้น การจะช่วยได้ก็ต้องด้วยใจของตัวเอง คนอื่นยากที่จะช่วยเราได้ ข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นจริง

    เพราะที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือบุคคลต่างๆ นั้นมันทำให้ข้าพเจ้าสบายใจอย่างประหลาด หลังจากวันไปให้อาจารย์ปะขาวทำนายแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้พยายามสร้างแต่ความดี ข้าพเจ้าทราบว่าการสร้างความดีนั้นเห็นผลช้า ถ้าจะเปรียบการทำชั่วแล้ว ผลที่จะได้เห็นนั้นเร็วกว่า และข้าพเจ้าก็ไม่นึกหวังต้องการตอบแทนความดีใดทั้งสิ้น

    สงครามทางเอเซียอุบัติขึ้นประมาณปีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิดในพระนครวันแรกที่ตึก ๗ ชั้น ถนนเยาวราช และที่สถานทูตเยอรมันในเวลากลางคืน ประชาชนในพระนครต่างตื่นตกใจ เพราะไม่เคยประสบภัยทางอากาศมาก่อนเลยต่างก็อพยพหนีภัยไปในที่ต่างๆ บ้างก็ไปต่างจังหวัด ต่างก็ไปเพียงชานพระนคร ให้ห่างจากชุมชนและจุดยุทธศาสตร์

    ข้าพเจ้าเป็นห่วงยายโฉมกับหลานๆ และลูกสะใภ้ที่ข้าพเจ้าได้อุปการะมานั้น คิดว่าถ้าแกจะต้องการอพยพพวกเด็กๆ ก็จะช่วยเหลือ จึงได้บอกความประสงค์ให้แกทราบ แกย้อนถามข้าพเจ้าว่า “ท่านจะไปไหนค่ะ”

    ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าไม่ไป เพราะไม่มีเด็ก เป็นห่วงแกว่าแกก็ไม่ไปเหมือนกัน ข้าพเจ้ารบเร้าให้แกไปเพราะเป็นห่วงเด็กๆ จัดการหาที่อยู่อาศัยไม่ให้ลำบากแกก็ไม่ยอม แกบอกว่า

    “ท่านเป็นคนช่วยชีวิตให้อิฉันพ้นความลำบาก ในเมื่อท่านไม่ไป อิฉันและเด็กๆ ก็ไม่ยอมไปหรอกค่ะ พวกอิฉันไม่กลัว ท่านอยู่ได้พวกอิฉันก็อยู่ได้”

    ข้าพเจ้าพยายามปลอบโยนแกอย่างไร แกก็ไม่ยอมไป ข้าพเจ้าก็จนใจ

    วันหนึ่งข้าพเจ้าจดจำได้ติดตาติดใจในชีวิตอย่างแม่นยำ ไม่ลืม วันนั้นถ้าจำไม่ผิดก็เป็นวันพระ และเป็นวันสำคัญของชาติและศาสนาคือ “วันวิสาขบูชา” วันนั้นข้าพเจ้าได้มาแถวถนนพาหุรัด เสียงสัญญาณภัยทางอากาศดังขึ้น บอกเหตุว่าข้าศึกได้ส่งเครื่องบินมาโจมตีกรุงเทพฯ แล้ว แและดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินข้าศึกโจมตีพระนครในเวลากลางวัน ระยะไม่ห่างจากสัญญาณภัยทางอากาศกลางวันเท่าใดนัก เครื่องบินข้าศึกก็บินอยู่เหนือพระนครและทิ้งระเบิดในที่ต่างๆ ตามหลุมหลบภัยแน่นด้วยประชาชนที่หนีภัยจนล้นออกมา

    เวลานั้นระเบิดจะได้ถูกทิ้งจากเครื่องบินข้าศึกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก บังเอิญภาพยนตร์รอบเช้าเลิกพอดี ผู้คนต่างวิ่งหนีกันชุลมุนต่างคนต่างเอาตัวรอด เสียงร้องไห้ระเบ็งเซ็งแซ่ในเมื่อระเบิดตกลงใกล้ๆ ข้าพเจ้าได้เร่งฝีเท้าเดินผ่านโรงภาพยนตร์ ตั้งใจว่าจะเข้าไปพักอาศัยวัดแห่งหนึ่งเพื่อหลบภัย บังเอิญข้างหน้ามีเด็กหญิงเล็กๆ เดินหลงทางร้องไห้อยู่ ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่ที่มาด้วยกันนั้นไปทางไหน ผู้คนต่างหนีชุลมุนเอาตัวรอด ไม่เอาใจใส่ต่ออะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าเกิดรู้สึกสงสาร แม้ตัวเองจะกลัวเพียงไรแต่ก็ไม่สามารถจะปล่อยให้เด็กตกอยู่ในอันตรายได้ เพราะเด็กคนนั้นอายุประมาณ ๓ ขวบ

    เมื่อคิดว่าจะต้องช่วย ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปหาเพื่อจะได้อุ้มหนีหลบไปทางอื่น รู้สึกว่าเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ได้ใกล้เข้ามาทุกที พอข้าพเจ้าจวนจะถึงเด็กคนนั้นก็พอดีเด็กล้มคว่ำ ข้าพเจ้าย่อตัวก้มลงไปอุ้ม เสียงระเบิดและสะเก็ดตกลงใกล้ตัว ทำให้หมวกกะโล่ที่สวมอยู่บนศีรษะถูกปาดยอดไปเหมือนถูกคมมีดโกน ลมปะทะวาบเย็นศีรษะข้าพเจ้าเกือบคะมำล้มทับเด็กลงไป มันเป็นนาทีแห่งชีวิตของการอยู่กับตายภายในพริบตาเดียวของข้าพเจ้าแท้ๆ ถ้าไม่มีเด็กล้มลงที่นั่นในชั่วระยะที่ข้าพเจ้าก้มลงอุ้มเด็กคนนั้นแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้าก็หมดความหมายและยุติเพียงเท่านี้

    ข้าพเจ้าอุ้มเด็กกำลังจะข้ามถนน เห็นมีคนถูกสะเก็ดระเบิดนอนคอพับเลือดโซมกาย มองไปทางไหนเห็นแต่เศษปูน เศษอิฐเศษไม้เกลื่อนถนน นอกนั้นยังมีซากมนุษย์หลายคนอยู่ในที่ต่างๆ กัน ข้าพเจ้ากับเด็กน้อยเคราะห์ดีมาก รู้สึกตกใจมากเมื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขนเด็กนั้นไม่ร้อง นึกว่าเด็กนั้นคงตายก้มดูเห็นเด็กนั้นคงลืมตาแจ๋ว มองดูข้าพเจ้าอุ้มวิ่งข้ามถนน เพื่อจะได้หลบเข้าประตูวัดสุทัศน์ เสียงระเบิดค่อยๆ ห่างออกไป

    ข้าพเจ้าเดินทางเข้าไปในวัดเห็นผู้คนหลบภัยเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ มองเห็นหญิงผู้หนึ่งอายุประมาณ ๓๐ กำลังเดินร้องไห้ มีหญิงเดินตามมา ๓ - ๔ คน และมีเด็กเดินตามออกมา กำลังเถียงกันเรื่องเด็กหาย ต่างเข้าใจว่าคนนั้นคงอุ้มมา คนนี้ก็ว่าคนนั้นอุ้มมาเพราะต่างวิ่งหนีมาคนละทาง พอรวมกันเข้าแล้วจึงทราบว่าเด็กหายไป เมื่อหญิงนั้นกำลังจะเดินไปหาเด็กที่หาย พอเห็นข้าพเจ้าอุ้มเด็กแกก็รีบวิ่งมารับเด็ก เด็กก็โผเข้าหาร้องเรียก “แม่” ส่วนหญิงคนนั้นรับเด็กจากมือข้าพเจ้าไปกอดรัดเหมือนกับว่จะไม่ยอมให้จากไปอีกในชีวิต ปากก็พร่ำพูดแต่ว่า

    “ลูกของแม่ ลูกของแม่ เหมือนเกิดใหม่”

    พวกที่ตามมาข้างหลังก็พากันห้อมล้อมดีอกดีใจ ข้าพเจ้าถือโอกาสที่พวกญาติของแม่หนูกำลังตื่นเต้นดีอกดีใจ รีบเดินผ่านฝูงชนเข้าไปในบริเวณโบสถ์ แล้วเดินออกอีกประตูหนึ่งเพื่อหาทางกลับต่อไป ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อญาติของแม่หนูเหล่านั้นรับขวัญหายตื่นเต้น แล้วคงมองหาคนที่ช่วยเด็กเพื่อขอบอกขอบใจ แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการ เป็นอันว่าได้เห็นความดีอกดีใจของญาติของแม่หนูที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือแกไว้ หรือแม่หนูเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ ก็ยังไม่แน่ ยังสงสัยอยู่ไม่รู้หาย

    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้รับความสบายใจแล้วเมื่อได้พบสภาพเช่นนั้น ต่อจากวันที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเด็กหญิงให้ได้พบกับผู้เป็นแม่ หรือจะพูดให้ยุติธรรมหน่อยก็คือ เด็กหญิงเล็กๆ ผู้นั้นได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้า เพราะถ้าข้าพเจ้าไม่ก้มลงอุ้มเด็กน้อย ป่านนี้ข้าพเจ้าคงจะกลายเป็นผีไม่มีญาติ ใครจะทราบว่าข้าพเจ้าเป็นใครอยู่ที่ไหน มีตัวอย่างปรากฏว่า บางคนเมื่อถูกระเบิดแล้วเสื้อผ้าหายไปหมด เนื้อตัวแหลกเหลวจำไม่ได้แล้ว ใครเล่าจะไปรู้ว่าใครเป็นใคร คนเก็บศพก็คงรวมเป็นผีไม่มีญาติ


    (มีต่อ ๕)
     
  6. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <table style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; " align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 16px; line-height: 20px; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; " valign="top">ข้าพเจ้านึกถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าสะดุ้งขึ้นมาทันที รำลึกถึงคำพยากรณ์ของอาจารย์ปะขาวได้ว่า ข้าพเจ้าจะต้องตายกลางถนนอย่างผีไม่มีญาติ ข้าพเจ้าไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาตายแบบนี้ แต่ข้าพเจ้าก็รอดตายอย่างหวุดหวิดเต็มที คิดแล้วก็ใจหายว่า ข้าพเจ้าจะต้องเผชิญต่อทุกข์กรรมอันนี้เมื่อใดอีก การสะเดาะเคราะห์นั้นเพียงช่วยกำลังใจ เราท่านั้นที่จะช่วยตัวเราได้

    เมื่อข้าพเจ้านึกถึงคำพูดเช่นนี้แล้ว มาประกอบกับเหตุการณ์ที่ผ่านไป ในนาทีสุดท้าย ที่ข้าพเจ้าได้วิ่งเข้าอุ้มเด็กหญิงที่หกล้มหน้าคว่ำอยู่ ในเวลานั้นไม่ได้คำนึงถึงอันตรายที่ตัวอาจจะได้รับ ตัดสินใจทันทีที่จะช่วยเด็กน้อยให้ได้ ทั้งๆ เวลานั้นก็มีผู้คนวิ่งชุลมุนแต่ก็ไม่มีใครเอาใจใส่ต่อแม่หนูน้อยนั้นเลย เพราะต่างรักชีวิตเพื่อรักษาตัวให้รอด จึงไม่ได้เอาใจใส่ต่อใครทั้งสิ้น ทางหลุมหลบภัยก็พยายามแย่งกันเข้าไป ราวกับว่าคนอื่นตายก็ช่างมันขอให้ตัวเองรอดก็แล้วกัน ด้วยจิตใจเป็นกุศลเช่นนั้นแหละจึงทำให้ข้าพเจ้ารอดตายมาได้

    บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นสุขใจแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไปนั้นเวลานี้ได้เห็นผลทันตา ที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเด็กน้อยเพียงคนเดียวทำให้อีกหลายคนมีความสุขสบายใจ อย่างน้อยก็มีพ่อมีแม่ของแม่หนู ถ้าข้าพเจ้าไม่ช่วยคงจะมีอีกหลายคนเศร้าโศกถึงแม่หนูที่น่ารักน่าเอ็นดูดุจที่ข้าพเจ้าได้เห็นมากับตา เมื่อแม่หนูได้มาพบญาติเช่นนี้ ข้าพเจ้ามีความพอใจและสบายใจมาก

    หลังจากได้รอดจากภัยทางอากาศกลางวัน วันนั้นเป็นต้นมาการโจมตีทางอากาศก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกคราว วันหนึ่งพระภิกษุองค์หนึ่งมาหาข้าพเจ้าที่บ้าน ข้าพเจ้านิมนต์ท่านพักโดยความเคารพ สังเกตดูท่านเคร่งมาก ท่านแจ้งว่าท่านอยู่เขาทางภาคเหนือ ท่านผ่านมาก็แวะมาเยี่ยม เพราะท่านได้ทราบข่าวจากเพื่อนข้าพเจ้า เพื่อนผู้นั้นคือ ผู้ที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือการเงินครั้งก่อน ข้าพเจ้าได้นิมนต์ให้ท่านพักที่บ้าน และถวายอาหารเช้าและเพลแก่ท่านด้วยความเคารพและศรัทธา

    ภรรยาข้าพเจ้าได้จัดที่พักให้ท่านอยู่ชั้นบนห้องของเรา เราทั้งสองลงมาสู่ห้องชั้นล่าง เย็นวันนั้นภรรยาและข้าพเจ้าได้นั่งสนทนากับท่าน ตอนหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า อยากจะให้ท่านตรวจดูดวงชะตาชีวิตของข้าพเจ้าว่า เมื่อไรจะพ้นเคราะห์ หรือจะเป็นอย่างไรต่อไป ท่านได้พูดออกตัวว่า

    “อาตมาไม่ใคร่จะดูให้ใครนัก เพราะมันจะทำให้อาตมาพูดความจริงเห็นร้ายก็บอกร้าย เห็นดีก็บอกดี เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าต้องระวังมากในเรื่องเหล่านี้ แต่สำหรับโยมเมื่อขอร้องแล้วไม่เป็นไรอาตมาจะตรวจให้ เพราะโยมมีผู้ยกย่องว่าเป็นคนใจดีมีบุญ แต่คนเราเกิดมาก็ต้องมีบุญมีกรรมทุกรูปทุกนาม จะมีกรรมดีกรรมชั่วก็สุดแต่ที่จะสร้างสมมาแต่ปางก่อน”

    ท่านพูดแล้วก็หลับตานิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้ากับภรรยาต่างก็นั่งมองดูตากัน หลังจากนั้นท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วก็ยิ้มด้วยอารมณ์ดี

    “อาตมาตรวจแล้ว เดิมเคราะห์ของโยมผู้ชายชะตาขาดจุดดวงชะตาสิ้นสุดในวันสำคัญ คือวันวิสาขบูชา แต่บัดนี้ได้ผ่านพ้นมาแล้ว เหตุใดจึงผ่านพ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาตมาได้เพ่งถึงอะไรที่คุ้มครองชีวิตของโยมผู้ชายให้รอดมาได้อย่างนี้ จึงเห็นได้ว่าโยมผู้ชายได้พยายามสร้างความดีงาม ได้ช่วยชีวิตคนไว้และได้สร้างกรรมดีตลอดมา กุศลผลบุญอันนี้เป็นบารมีได้ช่วยให้คุณผู้ชายพ้นเคราะห์ ต่อไปนี้พ้นเคราะห์แล้วโยมทั้งสองจะอยู่เป็นสุข”

    เราคุยกับท่านพอสมควรกับเวลา ก็นิมนต์ท่านพักผ่อน ก่อนที่ท่านจะขึ้นห้องชั้นบน ท่านได้หันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “คืนนี้หากมีเรื่องอะไรที่น่าตกใจก็ไม่ต้องตกใจกลัว อย่าได้ขึ้นไปปลุกอาตมาเลย ขอให้โยมทั้งสองจงนอนหลับให้สบาย” ท่านพูดเป็นนัย แล้วท่านก็เข้าห้องที่จัดให้ท่านจำวัด แล้วเราก็ลงมาพักผ่อน

    คืนนั้นดูภรรยาของข้าพเจ้ามีจิตใจสดชื่นแจ่มใสมากเป็นพิเศษ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้เห็นความสุขสบายใจเช่นนี้มานานแล้ว คืนนั้นกลางดึกได้ยินสัญญาณภัยทางอากาศดังขึ้น ข้าพเจ้าปลุกภรรยาให้ลุกขึ้น แล้วก็นึกถึงพระภิกษุซึ่งจำวัดอยู่ในบ้าน ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปปลุกท่าน แต่เมื่อนึกถึงคำที่ท่านได้พูดไว้ในตอนหัวค่ำ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ดีไม่ต้องไปปลุกท่าน ทั้งให้ข้าพเจ้าสบายใจด้วย เราจึงตกลงไม่ไปปลุกท่าน

    เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มบินว่อนเหนือกรุงเทพฯ แล้วก็โปรยระเบิดลงมาสนั่นหวั่นไหว ข้าพเจ้าสั่งให้คนในบ้านทั้งหมดเข้าสู่หลุมหลบภัย ซึ่งสร้างไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราได้ยินเสียงเครื่องบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ แล้วก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คนที่อยู่ในหลุมหลบภัยก็สั่นสะเทือนเหมือนกับว่าอยู่ท่ามกลางคลื่นลมจัด เราต้องทนทรมานกันอยู่ในหลุมหลบภัย กว่าสัญญาณปลอดภัยจะดังขึ้นก็จวนสว่าง

    ข้าพเจ้าออกจากหลุมหลบภัยนึกว่าบ้านช่องคงจะพังทลายหมด แต่ก็เปล่าทุกสิ่งยังอยู่เรียบร้อยดี ข้าพเจ้าและภรรยาง่วงนอนทั้งๆ ที่ได้ยินเสียงโจษจันกันระเบ็งเซ็แซ่อยู่รอบบ้านถึงการทิ้งระเบิดคราวนี้ และหลายแห่งไฟไหม้ด้วยลูกระเบิดเพลิง ข้าพเจ้าก็ไม่เอาใจใส่ เพราะว่าง่วงนอนจนลืมตาไม่ขึ้นจึงเข้านอน เช้าตื่นนอนสายมากพอรู้สึกตัวเป็นห่วงพระที่มาพัก เพราะจะต้องจัดอาหารถวายท่าน นึกเป็นห่วงท่านตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

    ครั้นลุกขึ้นมาก็เห็นภรรยาตื่นอยู่ก่อน พอภรรยาข้าพเจ้าเห็นก็เข้ามาบอกว่าพระที่ท่านมาพักจำวัดบ้านเรานั้น ท่านได้กลับไปแต่เช้าแล้วในขณะที่ข้าพเจ้ายังนอนหลับอยู่ ได้ความจากแม่ครัวว่า ท่านสั่งว่าไม่ต้องปลุกข้าพเจ้าและภรรยา และได้สั่งให้บอกข้าพเจ้าและภรรยาว่า ต่อนี้จะมีแต่ความสุข ให้หมั่นอยู่ในศีลธรรม แล้วท่านก็เดินออกจากบ้าน ภรรยาข้าพเจ้าตื่นมาพอดีกับท่านจะออกประตูบ้านยังเห็นผ้าเหลืองแว้บออกไปพ้นประตู ภรรยาข้าพเจ้าจึงวิ่งไปจะนิมนต์ให้ท่านกลับมาฉันเช้าก่อน แต่พอออกประตูก็ไม่เห็นองค์ท่าน มองไปทางซ้ายขวาก็ไม่พบ ไม่ทราบว่าท่านไปทางไหนได้อย่างรวดเร็ว

    เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นก็ต้องตกใจ เมื่อได้ทราบว่า บ้านข้าพเจ้ามีลูกระเบิดทำลายตกอยู่ตั้ง ๒ ลูก แต่มันช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้ทั้ง ๒ ลูกอยู่ข้างบันไดหลังจมฝังลึกลงไปอยู่ในดินเกือบมิดข้างละลูกทั้งๆ ที่ดินตอนนั้นมีเพียงเล็กน้อย ถ้าหากพลาดไปนิดเดียวถูกซีเมนต์ก็จะต้องระเบิดขึ้น นี่ช่างเหมาะเจาะที่ได้ฝังลึกลงไปในดินโดยไม่ระเบิด ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปแจ้งต่อทางราชการ ให้ทหารช่างแสงมาเอาขึ้นรถออกจากบ้านในวันนั้น ต่อมาก็ไม่มีเหตุอันพิสดารเกิดขึ้นกับครอบครัวและข้าพเจ้าอีกจวบจนญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตร


    (มีต่อ ๖)</td></tr><tr><td style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; font-size: 12px; line-height: normal; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, sans-serif; "> </td></tr></tbody></table>
     
  7. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเยี่ยมยายโฉม ซึ่งข้าพเจ้าเคยช่วยเหลือแกตลอดมา พอโผล่เข้าไปในบ้านข้าพเจ้าก็แปลกใจมาก เพราะเห็นคนขับรถซึ่งเคยอยู่กับข้าพเจ้ามาในระยะสั้น แล้วก็ออกไปโดยเร็วไม่บอกกล่าว และภรรยาข้าพเจ้าสงสัยว่าต้องเป็นคนลักเครื่องประดับอันมีค่าของเธออยู่ในบ้านนั้นด้วย ข้าพเจ้าทักทายปราศรัยเป็นอันดี

    “ยังไงนายเชิดสบายดีหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”

    เมื่อข้าพเจ้าได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว นายเชิดก็ตรงเข้ามากราบที่เท้า ทำให้ข้าพเจ้างง ยายโฉมหญิงชราได้เดินมาแล้วร้องบอกว่า “เจ้าเชิดลูกชายอิฉันเจ้าค่ะ มันไปติดตะรางมา อิฉันบอกมันว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณมาก ท่านได้กรุณาจึงได้อยู่เย็นเป็นสุขมาถึงทุกวันนี้ เจ้าเชิดมันบอกว่า มันจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีต่อไป”

    ข้าพเจ้าสนับสนุนว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนายเชิด คนเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเรานึกว่าเราเคยทำชั่วพยายามกลับตัวทำดี พระท่านยกโทษให้ในเมื่อรู้สึกผิดชอบ แม้แต่ศาลยังมีความกรุณาต่อผู้ที่สารภาพโทษสำนึกผิด”

    นายเชิดก้มลงกราบน้ำตาไหล ด้วยไม่นึกว่าผู้ที่อุปการะแม่ของเขานั้นเป็นข้าพเจ้า เสียงนายเชิดพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปกราบเท้าท่านและคุณนายที่บ้าน สารภาพผิดครับ”

    ข้าพเจ้าห้ามว่า “ไม่ต้องก็ได้ เรากลับตัวได้ภรรยาฉันก็คงดีใจด้วย” หลังจากสนทนาอยู่พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็ลากลับ

    รุ่งขึ้นขณะที่ข้าพเจ้ากับภรรยากำลังรับประทานอาหารอยู่ มีคนมาบอกว่านายเชิดมาหา ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเข้ามาได้อย่างกันเอง พอนายเชิดเข้ามาข้าพเจ้ามองดูก็เห็นถือห่ออะไรห่อหนึ่ง แต่รู้สึกว่าเป็นของไม่เบา พอนายเชิดเข้ามาก็ก้มลงกราบข้าพเจ้า แล้วก็เข้ามากราบภรรยาข้าพเจ้า ส่วนภรรยาข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่เคยชอบหน้านายเชิดตั้งแต่ของหายมา บัดนี้ดูทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสดี นายเชิดพูดขึ้นว่า

    “ท่านครับ ผมได้ทราบจากแม่ผมว่า ได้ท่านเป็นผู้อุปการะพร้อมทั้งลูกและเมียผมให้ได้รับความสุขสบาย แม่พร่ำสอนผมว่าแม่สวดมนต์ทุกคืนขอพรพระช่วยดลบันดาลให้ท่านมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น ก่อนนี้ผมเคยเป็นคนชั่วช้าเลวทราม บังอาจลักทรัพย์ของท่านไป บัดนี้ผมนำเอาของมาคืนแล้วทุกอย่างของท่านคงอยู่ครบ ผมไม่ได้แตะต้องข้างในเลย เพราะเมื่อลักของท่านไปแล้วก็ไปฝังไว้ที่กลางสวนแห่งหนึ่ง กลัวท่านจะแจ้งตำรวจจับ

    แต่พอฝังอยู่ไม่ทันไรก็มีเพื่อนมาชวนไปปล้นผมก็ไปด้วย แต่แล้วก็เสียรู้เจ้าทรัพย์ซึ่งรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว เพราะสายลับหักหลังนำความไปบอกเจ้าของบ้าน ตำรวจล้อมจับได้ทั้งหมด ผมจึงถูกนำขึ้นศาล ศาลตัดสินจำคุก ผมรับสารภาพผิดในเรื่องปล้นแต่ไม่ทันลงมือ จึงถูกศาลสั่งจำคุกฐานกรุณาได้ลดหย่อนผ่อนโทษบ้าง พอผมออกจากคุกก็ตรงเข้าไปในบ้านนึกว่าคงพบแม่อยู่ในสภาพที่แย่ ลูกและภรรยาผมคงลำบาก แต่เมื่อไปถึงกลับตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ แม่และลูกเมียอยู่สุขสบาย ลูกๆ ได้เข้าเรียน เมื่อได้ทราบว่าท่านเป็นผู้อุปการะ ผมรู้สึกเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ผมจึงได้ไปขุดเอาของที่ผมลักไปมาคืนและกราบขอโทษด้วย”

    แล้วนายเชิดก็แก้ห่อออก มันเป็นหีบเหล็กขนาดย่อม ที่หายไปจริงๆ จะผิดก็ที่มันเปื้อนดินและมีสนิมขึ้น เมื่อภรรยาข้าพเจ้าให้เปิดหีบด้วยกุญแจก็เปิดได้ง่าย เมื่อเปิดดูข้างในทุกอย่างเรียบร้อย ภรรยาข้าพเจ้าจึงหยิบสร้อยคอทองคำ ๑ เส้นฝากให้นายเชิดนำไปให้ภรรยา นายเชิดก้มลงกราบภรรยาข้าพเจ้า ปากก็พร่ำขอบคุณแทนภรรยา

    ข้าพเจ้าเฝ้าสังเกตดูเหตุการณ์และกิริยาของนายเชิด ก็แน่ใจว่ากลับตัวได้แน่ คนเราแม้จะพยายามเป็นคนดีอย่างไร หากมีสิ่งแวดล้อมบีบบังคับอาจเปลี่ยนจิตใจภายหลังก็ได้ และหลังจากวันนั้นแล้วได้พานายเชิดไปฝากทำงาน ณ ที่แห่งหนึ่ง เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวเป็นสุขต่อไป

    ต่อมาอีกไม่ช้า ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากเพื่อนผู้ที่รอดจากการฆ่าตัวตายเพราะการช่วยเหลือจากข้าพเจ้า แจ้งมาว่าบัดนี้เขาได้มีกิจการใหญ่โตขึ้นอีกแล้ว รายได้ก็สูงขึ้นมาก เขาจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ในเร็วๆ นี้ เพื่อจะได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาคืนให้ข้าพเจ้า พร้อมกันนั้นเขาก็พาบุตรและภรรยามากราบเคารพข้าพเจ้าด้วย เพราะเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงสุดในชีวิตของเขา


    ข้าพเจ้าจึงรีบตอบเขาไปว่า อย่าได้เอาเรื่องการช่วยเหลือเพียงเท่านี้เป็นเรื่องใหญ่เลย ข้าพเจ้ากระดากใจและอาย อย่าให้ลำบากแก่ภรรยาและบุตรที่จะต้องรอนแรมมา ด้วยเรื่องเฉพาะมาขอบคุณโดยไม่จำเป็น ขอให้งดดีกว่า หลังจากข้าพเจ้าจดหมายตอบไปประมาณ ๑๐ วัน เขาก็มากรุงเทพฯ พร้อมกับบุตรสาวบุตรชายและภรรยา แล้วนำธูปเทียนและมีของเครื่องใช้บางอย่าง มีขันน้ำ ผักส้มป่อย ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใครคนหนึ่งคงจะลาบวช กลับได้ความว่าเขาจะดำหัว ข้าพเจ้าก็หัวเราะเพราะไม่ค่อยจะได้ยิน หรือเคยได้ยินมาแต่ลืม แต่แล้วนึกได้ว่าการดำหัวของภาคเหนือนี้ก็คือ รดน้ำท่านผู้ใหญ่ที่นับถือนั่นเอง

    เมื่อเสร็จจากการรดน้ำตามประเพณีภาคเหนือแล้ว ข้าพเจ้าอวยพรให้แก่ครอบครัวเขาพอสมควร แล้วเขาก็หยิบเช็คจ่ายเงินมาให้ข้าพเจ้า ซึ่งเขาเตรียมเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้ารับมาดูก็เห็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจ่ายให้ในคราวก่อนนั้นมากมาย ข้าพเจ้าจึงส่งคืนไม่ยอมรับไว้ โดยอ้างถึงค่าของเงินในระยะนั้นกับในระยะนี้ผิดกันมาก ที่เขาจ่ายให้ยังไม่คุ้มค่าน้ำเงินเมื่อเทียบกับเวลาที่เอาไป แล้วเขาก็ยังบอกว่าเวลานี้กิจการของเขาเจริญมีรายได้มากมาย ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าชุบชีวิตของคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นรุ่งเรืองเช่นนี้

    ข้าพเจ้ายืนยันว่า ข้าพเจ้าตั้งใจช่วยไม่หวังสิ่งตอบแทน ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีบุตรเมื่อตายไปแล้วสมบัติที่มีอยู่ก็เอาไปไม่ได้ จึงไม่ยอมรับเงินส่วนเกิน เขาก็จนใจจำต้องเปลี่ยนเช็คให้ใหม่แล้วกล่าวคำยกบุญยอคุณให้บุตรและภรรยาเขาทราบ และให้ระลึกถึงบุญคุณจนตลอดไปชั่ว ลูกหลานทั้งตระกูล ข้าพเจ้ารู้สึกกระดากใจจนไม่รู้จะวางหน้าอย่างไร ผลแท้จริงข้าพเจ้าได้รับคือความสุขใจ ความสบายใจซึ่งหาไม่ได้ในโลกนี้ ถ้าจิตใจเราไม่ศรัทธาแม้จะมีเงินล้นฟ้าก็ไม่สามารถหาความสุขสบายใจเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ลืมเลยว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรา บัดนี้ข้าพเจ้ายิ้มรับความตายได้แล้วอย่างเป็นสุข



    ..................... เอวัง .....................
    credit by
    ::
     
  8. prosper

    prosper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +383
    อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณที่นำมาให้อ่าน เตือนสติให้คนทำดีได้ดีมากๆเลยค่ะ
    มีความสุข บุญรักษานะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...