ทิฐิกถา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 22 เมษายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
    มหาวรรค ทิฐิกถา

    [๒๙๔] ที่ตั้งแห่งทิฐิเท่าไร ความกลุ้มรุมแห่งทิฐิเท่าไร ทิฐิเท่าไร ความถือผิด
    แห่งทิฐิเท่าไร ความถอนที่ตั้งแห่งทิฐิเป็นไฉน ทิฐิคือความลูบคลำด้วยความถือผิดเท่าไร ฯ

    ถามว่า ที่ตั้งแห่งทิฐิเท่าไร ตอบว่า ที่ตั้งแห่งทิฐิ ๘ ถามว่า ความกลุ้มรุมแห่ง
    ทิฐิเท่าไร ตอบว่า ความกลุ้มรุมแห่งทิฐิ ๑๘ ถามว่า ทิฐิเท่าไร ตอบว่าทิฐิ ๑๖ ถามว่า

    ความถือผิดแห่งทิฐิเท่าไร ตอบว่า ความถือผิดแห่งทิฐิ ๑๓๐ถามว่า ความถอนที่ตั้งแห่งทิฐิ

    เป็นไฉน ตอบว่า โสดาปัตติมรรคเป็นเครื่องถอนที่ตั้งแห่งทิฐิ ฯ


    [๒๙๕] คำว่า ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดเท่าไร ตอบว่า ทิฐิ คือ
    ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูปว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือ

    ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็น

    ตัวตนของเรา ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่า นั่น

    ของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป เสียง

    กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ


    [๒๙๖] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด ซึ่ง จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
    ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ว่า นั่นของเรานั่นเป็นเรา นั่นเป็น

    ตัวตนของเรา ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส

    ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส ว่านั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือ ความ

    ลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งจักษุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา

    ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา ว่านั่นของเรา นั่นเป็นเรา

    นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ


    [๒๙๗] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา
    รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญา ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ

    คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ

    สัญเจตนาธรรมสัญเจตนา ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือ ความ

    ลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหาโผฏฐัพพตัณหา ธรรม

    ตัณหา ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเราทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือ

    ผิดซึ่งรูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธรรมวิตก ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา

    นั่นเป็นตัวตนของเราทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร

    รสวิจารโผฏฐัพพวิจาร ธรรมวิจาร ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ


    [๒๙๘] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ
    วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือ

    ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ

    โลหิตกสิณ โอทาตกสิณอากาสกสิณ วิญญาณกสิณ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน

    ของเรา ฯ


    [๒๙๙] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ
    เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ฯลฯน้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

    สมองศีรษะ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ


    [๓๐๐] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งจักขายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ
    สัททายตนะ ฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะกายายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

    มนายตนะ ธรรมายตนะ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ โสตวิญญาณธาตุ

    ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาธาตุ รสธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ

    กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ธรรมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็น

    ตัวตนของเรา ฯ


    [๓๐๑] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งจักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์
    ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเปกขินทรีย์

    สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ว่านั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็น

    ตัวตนของเรา ฯ


    [๓๐๒] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ
    รูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพเอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ

    ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานจตุตถฌาน เมตตาเจโตวิมุติ กรุณาเจโตวิมุติ มุทิตาเจโตวิมุติ อุเปกขา

    เจโตวิมุติอากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนว

    สัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ


    [๓๐๓] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป
    สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชราและมรณะ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็น

    เรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ทิฐิ คือความลูบคลำด้วยความถือผิดอย่างนี้ ฯ


    [๓๐๔] ที่ตั้งแห่งทิฐิ ๘ เป็นไฉน แม้ขันธ์ทั้งหลายก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ แม้อวิชชา
    ผัสสะ สัญญา วิตก อโยนิโสมนสิการ มิตรชั่ว เสียงแต่ที่อื่นทุกอย่างเป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ ฯ

    ขันธ์ทั้งหลายเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ เพราะอรรถว่า เป็นที่อาศัย
    ตั้งขึ้น แม้ขันธ์ทั้งหลายก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฐิอย่างนี้ ... อวิชชา ...ผัสสะ ... สัญญา ... วิตก ...

    อโยนิโสมนสิการ ... มิตรชั่ว เสียงแต่ที่อื่น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย ชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งทิฐิ เพราะ

    อรรถว่าเป็นที่อาศัยตั้งขึ้น แม้เสียงแต่ที่อื่นก็เป็นที่ตั้งแห่งทิฐิอย่างนี้ ที่ตั้งแห่งทิฐิ ๘ เหล่านี้ ฯ


    [๓๐๕] ความกลุ้มรุมแห่งทิฐิ ๑๘ เป็นไฉน ทิฐิ คือ ทิฐิไป ทิฐิรกชัฏ ทิฐิ
    กันดาร ทิฐิเป็นเสี้ยนหนาม ทิฐิวิบัติ ทิฐิเป็นสังโยชน์ ทิฐิเป็นลูกศร ทิฐิเป็นสมภพ

    ทิฐิเป็นเครื่องกังวล ทิฐิเป็นเครื่องผูกพัน ทิฐิเป็นเหว ทิฐิเป็นอนุสัย ทิฐิเป็นเหตุให้

    เดือดร้อน ทิฐิเป็นเหตุให้เร่าร้อน ทิฐิเป็นเครื่องร้อยกรองทิฐิเป็นเครื่องยึดมั่น ทิฐิเป็น

    เหตุให้ถือผิด ทิฐิเป็นเหตุให้ลูบคลำ ความกลุ้มรุมแห่งทิฐิ ๑๘ เหล่านี้ ฯ


    [๓๐๖] ทิฐิ ๑๖ เป็นไฉน คือ อัสสาททิฐิ ๑ อัตตานุทิฐิ ๑ มิจฉาทิฐิ ๑
    สักกายทิฐิ ๑ สัสสตทิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ๑ อุจเฉททิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ๑ อันต

    คาหิกทิฐิ ๑ ปุพพันตานุทิฐิ ๑ อปรันตานุทิฐิ ๑ สังโยชนิกาทิฐิ ๑ ทิฐิอันกางกั้นด้วย

    มานะว่าเป็นเรา ๑ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่าของเรา ๑ ทิฐิอันสัมปยุตด้วยอัตตวาทะ ๑ ทิฐิอัน

    สัมปยุตด้วยโลกวาทะ ๑ ภวทิฐิ ๑ วิภวทิฐิ ๑ ทิฐิ ๑๖เหล่านี้ ฯ


    [๓๐๗] อัสสาททิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการเท่าไร อัตตานุทิฐิ ...มิจฉาทิฐิ ...
    สักกายทิฐิ ... สัสสตทิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ... อุจเฉททิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ... อันตคาหิก

    ทิฐิ ... ปุพพันตานุทิฐิ ... อปรันตานุทิฐิ ... สังโยชนิกาทิฐิ ... ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่าเรา ...

    ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่าของเรา... ทิฐิอันสัมปยุตด้วยอัตตวาทะ ... ทิฐิอันสัมปยุตด้วยโลก

    วาทะ ... ภวทิฐิ ...วิภวทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการเท่าไร ฯ


    [๓๐๘] อัสสาททิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ อัตตานุทิฐิ ... ๒๐ มิจฉาทิฐิ ... ๑๐
    สักกายทิฐิ ... ๒๐ สัสสตทิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ... ๑๕อุจเฉททิฐิอันมีสักกายะเป็นวัตถุ ... ๕

    อันตคาหิกทิฐิ ... ๕๐ ปุพพันตานุทิฐิ... ๑๘ อปรันตานุทิฐิ ... ๔๔ สังโยชนิกาทิฐิ ... ๑๘

    ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่าเรา ... ๑๘ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่าของเรา ... ๑๘ ทิฐิอันปฏิสังยุต

    ด้วยอัตตวาทะ ... ๒๐ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยโลกวาทะ ... ๘ ภวทิฐิ ... ๑๙ วิภวทิฐิ มีความถือผิด

    ด้วยอาการ ๑๙ ฯ


    [๓๐๙] อัสสาททิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นไฉน ทิฐิ คือความลูบคลำ
    ด้วยถือความผิดว่า สุขโสมนัสอาศัยรูปใดเกิดขึ้น นี้เป็นอัสสาทะ(ความยินดี) แห่งรูป ทิฐิไม่ใช่

    อัสสาทะ อัสสาทะมิใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่งอัสสาทะเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและอัสสาทะ นี้

    ท่านกล่าวว่า อัสสาททิฐิ อัสสาททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นทิฐิวิบัติ บุคคลผู้ประกอบด้วยทิฐิ

    วิบัตินั้น เป็นผู้มีทิฐิวิบัติ บุคคลผู้มีทิฐิวิบัติ ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรนั่งใกล้ ข้อนั้น

    เพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฐิลามก ทิฐิใด ราคะใด ราคะไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิไม่ใช่ราคะ

    ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง ราคะเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและราคะ นี้ท่านกล่าวว่า ทิฐิราคะ บุคคลผู้ประกอบ

    ด้วยทิฐินั้นและราคะนั้น เป็นผู้ยินดีในทิฐิราคะ ทานที่ให้ในบุคคลผู้ยินดีในทิฐิราคะ เป็นทาน

    ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฐิลามก อัสสาททิฐิเป็น

    มิจฉาทิฐิ บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ มีคติเป็น ๒ คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน

    อนึ่งบุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ สมาทาน กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ให้บริบูรณ์

    ตามทิฐิ ธรรมทั้งปวง คือ เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจและสังขาร เหล่านั้น ย่อม

    เป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์

    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฐิลามก เปรียบเหมือนพืชสะเดา พืชบวบขม หรือพืช

    น้ำเต้าขม ที่เขาฝังลงในแผ่นดินเปียก อาศัยรสแผ่นดินและรสน้ำ พืชทั้งปวงนั้นย่อมเป็นไปเพื่อ

    ความเป็นของมีรสขม รสปร่า ไม่เป็นสาระ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสะเดาเป็น ต้นนั้นมีพืชเลว

    ฉันใด บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ ก็ฉันนั้นเหมือนกันสมาทานกายกรรม วจีกรรม และ

    มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามทิฐิ ธรรมทั้งปวงคือ เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขาร

    เหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล

    เพื่อความทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นมีทิฐิลามก อัสสาททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ทิฐิ

    คือ ทิฐิที่ไป ทิฐิรกชัฏ ฯลฯ ทิฐิเป็นเหตุให้ถือผิดและลูบคลำ ฯ


    [๓๑๐] ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า สุขโสมนัส อาศัยเวทนา สัญญา
    สังขาร วิญญาณ จักษุ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

    จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ จักษุสัมผัส

    โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส จักษุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชา

    เวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา

    ใด เกิดขึ้น นี้เป็นอัสสาทะแห่งมโนสัมผัสสชาเวทนาทิฐิไม่ใช่อัสสาทะ อัสสาทะไม่ใช่ทิฐิ ...

    ทิฐิเป็นเหตุให้ถือผิดและลูบคลำ ความเกี่ยวข้องแห่งจิตอันทิฐิกลุ้มรุม เป็นมิจฉาทิฐิซึ่งจัดเป็น

    อัสสาททิฐิ ด้วยอาการ ๑๘ นี้ ฯ


    [๓๑๑] สังโยชน์และทิฐิมีอยู่ สังโยชน์แต่มิใช่ทิฐิมีอยู่ สังโยชน์และทิฐิเป็น
    ไฉน ความลูบคลำด้วยสักกายทิฐิ สักกายทิฐิและสีลัพพตปรามาส เหล่านี้เป็นสังโยชน์และ

    ทิฐิ สังโยชน์แต่ไม่ใช่ทิฐิเป็นไฉน กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ มานสังโยชน์ วิจิกิจฉา

    สังโยชน์ ภวราคสังโยชน์ อิสสาสังโยชน์มัจฉริยสังโยชน์ อนุสัยสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์

    เหล่านี้เป็นสังโยชน์แต่มิใช่ทิฐิอัสสาททิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๑๒] อัตตานุทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับใน
    โลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระ

    อริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ

    ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง เห็นตนว่ามีรูปบ้าง เห็นรูปในตนบ้าง ย่อมเห็นเวทนา สัญญา

    สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตนเอง เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง เห็นวิญญาณในตนบ้าง เห็นตน

    ในวิญญาณบ้าง ฯ


    [๓๑๓] ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นปฐวีกสิณโดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นปฐวีกสิณ
    และตนไม่เป็นสองว่า ปฐวีกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใดปฐวีกสิณก็อันนั้น เปรียบเหมือน

    เมื่อประทีป น้ำมันกำลังลุกโพลงอยู่ บุคคลเห็นเปลวไฟและแสงสว่างไม่เป็นสองว่า เปลวไฟอันใด

    แสงสว่างก็อันนั้น แสงสว่างอันใด เปลวไฟก็อันนั้น ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น

    เหมือนกันย่อมเห็นปฐวีกสิณโดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นปฐวีกสิณและตนไม่เป็นสองว่า ปฐวี

    กสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด ปฐวีกสิณก็อันนั้น ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและวัตถุนี้เป็น

    อัตตานุทิฐิมีรูปเป็นวัตถุที่ ๑ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นทิฐิวิบัติ บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วย

    อัตตานุทิฐิ ย่อมมีคติเป็นสอง ฯลฯเหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่มิใช่ทิฐิ ฯ

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นอาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ
    โลหิตกสิณ โอทาตกสิณ โดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสองว่า

    โอทาตกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใดโอทาตกสิณก็อันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมัน

    กำลังลุกโพลงอยู่ บุคคลเห็นเปลวไฟและแสงสว่างไม่เป็นสองว่า เปลวไฟอันใด แสงสว่างก็อันนั้น

    แสงสว่างอันใด เปลวไฟก็อันนั้น ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันฯลฯ ย่อม

    เห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสอง ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุ

    ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่งทิฐิและวัตถุนี้เป็นอัตตานุทิฐิมีรูปเป็นวัตถุ

    ที่ ๑ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นทิฐิวิบัติ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ บุคคล

    ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๔] ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตนของเรานี้นั้นมีรูปด้วยรูปนี้ ดังนี้ ชื่อว่า

    ย่อมเห็นตนว่ามีรูป เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา บุรุษพึงพูดถึงต้นไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี่ต้นไม้ นี่เงา

    ต้นไม้เป็นอย่างหนึ่งเงาเป็นอย่างหนึ่ง แต่ต้นไม้นี้นั้นแลมีเงาด้วยเงานี้ ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมเห็น

    ต้นไม้ว่ามีเงา ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็น เวทนา สัญญา

    สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตน

    ของเรานี้นั้นมีรูปด้วยรูปนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีรูป ทิฐิคือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่งวัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและวัตถุ นี้เป็น

    อัตตานุทิฐิ มีรูปเป็นวัตถุที่ ๒ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่

    ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๕] ปุถุชนย่อมเห็นรูปในตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา ก็แลในตัวตนนี้มีรูปเช่นนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็น

    รูปในตน เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอมบุรุษพึงพูดถึงดอกไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี้ดอกไม้ นี้กลิ่น

    หอม ดอกไม้อย่างหนึ่งกลิ่นหอมอย่างหนึ่ง แต่กลิ่นหอมนี้นั้นแลมีอยู่ในดอกไม้นี้ ดังนี้ ชื่อว่า

    ย่อมเห็นกลิ่นหอมในดอกไม้ ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นเวทนา

    สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน เขาย่อมมีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของ

    เรา ก็แลในตัวตนนี้มีรูปเช่นนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นรูปในตน ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความ

    ถือผิด ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิฯลฯ นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีรูปเป็นวัตถุที่ ๓ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ

    ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นรูปในตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๖] ปุถุชนย่อมเห็นตนในรูปอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตนของเรานี้นั้นมีอยู่ในรูปนี้ ดังนี้ ชื่อว่า

    ย่อมเห็นตนในรูป เปรียบเหมือนแก้วมณีที่ใส่ไว้ในขวด บุรุษพึงพูดถึงแก้วมณีนั้นอย่างนี้ว่า นี้แก้ว

    มณี นี้ขวด แก้วมณีเป็นอย่างหนึ่ง ขวดเป็นอย่างหนึ่ง แต่แก้วมณีนี้นั้นแลมีอยู่ในขวดนี้ ดังนี้ชื่อว่า

    ย่อมเห็นแก้วมณีในขวด ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นเวทนา สัญญา

    สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน เขามีความเห็นอย่างนี้ว่านี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตน

    ของเรานี้นั้นแลมีอยู่ในรูปนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนในรูป ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและวัตถุนี้เป็น

    อัตตานุทิฐิ มีรูปเป็นวัตถุที่ ๔ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ

    ปุถุชนย่อมเห็นรูปในตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๗] ปุถุชนย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นจักขุสัมผัสสชาเวทนา ... มโนสัมผัสสชาเวทนา โดย
    ความเป็นตน คือ ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาเวทนาและตนไม่เป็นสองว่ามโนสัมผัสสชาเวทนาอันใด

    เราก็อันนั้นเราอันใด มโนสัมผัสสชาเวทนาก็อันนั้นเปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลง

    อยู่ บุคคลย่อมเห็นเปลวไฟและแสงสว่างไม่เป็นสองว่า เปลวไฟอันใดแสงสว่างก็อันนั้น แสง

    สว่างอันใด เปลวไฟก็อันนั้นฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นมโน

    สัมผัสสชาเวทนาโดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาเวทนาและตนไม่เป็นสองว่า มโน

    สัมผัสสชาเวทนาอันใดเราก็อันนั้น เราอันใด มโนสัมผัสสชาเวทนาก็อันนั้น ทิฐิ คือ ความลูบ

    คลำด้วยความถือผิด ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่งวัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและ

    วัตถุ นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีเวทนาเป็นวัตถุที่ ๑ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๘] ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีเวทนาอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสัญญา สังขาร วิญญาณ รูป โดยความ เป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีเวทนาด้วยเวทนานี้

    ดังนี้ชื่อว่าเห็นตนว่ามีเวทนา เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงาบุรุษพึงพูดถึงต้นไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี้ต้นไม้

    นี้เงา ต้นไม้เป็นอย่างหนึ่ง เงาเป็นอย่างหนึ่ง แต่ว่าต้นไม้นี้นั้นแลมีเงาด้วยเงานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อม

    เห็นต้นไม้มีเงาฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นสัญญา สังขาร วิญญาณ

    รูป โดยความเป็นตน เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตนของเรานี้นั้นแล

    มีเวทนาด้วยเวทนานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีเวทนา ทิฐิ คือความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่งวัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและวัตถุนี้เป็น

    อัตตานุทิฐิมีเวทนาเป็นวัตถุที่ ๒ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ

    ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีเวทนาอย่างนี้ ฯ


    [๓๑๙] ปุถุชนย่อมเห็นเวทนาในตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสัญญา สังขาร วิญญาณ รูป โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา ก็และในตัวตนนี้มีเวทนานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็น

    เวทนาในตน เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอมบุรุษพึงพูดถึงดอกไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี้ดอกไม้ นี้

    กลิ่นหอม ดอกไม้เป็นอย่างหนึ่งกลิ่นหอมเป็นอย่างหนึ่ง แต่กลิ่นหอมมีอยู่ในดอกไม้นี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นกลิ่นหอมในดอกไม้ ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็น

    สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป โดยความเป็นตน เขามีความเห็นอย่างนี้ว่านี้แลเป็นตัวตนของเรา

    ก็แลในตัวตนนี้มีเวทนา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นเวทนาในตนทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ฯลฯนี้เป็นอัตตานุทิฐิมีเวทนาเป็นวัตถุที่ ๓ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉา

    ทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นเวทนาในตนอย่างนี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2010
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๓๒๐] ปุถุชนย่อมเห็นตนในเวทนาอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสัญญา สังขาร วิญญาณ รูปโดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีอยู่ในเวทนานี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นตนในเวทนา เปรียบเหมือนฯลฯ ชื่อว่าย่อมเห็นแก้วมณีในขวด ฉันใด บุคคล

    บางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ... ชื่อว่า ย่อมเห็นตนในเวทนา ทิฐิ คือความลูบคลำด้วย

    ความถือผิดทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและ

    วัตถุนี้เป็นอัตตานุทิฐิมีเวทนาเป็นวัตถุที่ ๔ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนในเวทนาอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๑] ปุถุชนย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นจักขุสัมผัสสชาสัญญา ... มโนสัมผัสสชาสัญญา โดย
    ความเป็นตน คือ ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาสัญญาและตนไม่เป็นสองว่ามโนสัมผัสสชาสัญญาอันใด

    เราก็อันนั้น เราอันใด มโนสัมผัสสชาสัญญาก็อันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลง

    อยู่ บุคคลย่อมเห็นเปลวไฟและแสงสว่างไม่เป็นสอง ... ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือน

    กัน ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาสัญญาและตนไม่เป็นสองว่า มโนสัมผัสสชาสัญญาอันใด เราก็อันนั้น

    เราอันใด มโนสัมผัสสชาสัญญาก็อันนั้น ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด ทิฐิไม่ใช่วัตถุ

    วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่งนี้เป็นอัตตานุทิฐิ มีสัญญาเป็นวัตถุที่ ๑

    อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นสัญญาโดย

    ความเป็นตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๒] ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีสัญญาอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีสัญญาด้วยสัญญานี้

    ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีสัญญา เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา ... ชื่อว่าย่อมเห็นต้นไม้ว่ามีเงา ฉันใด

    บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา โดยความเป็น

    ตน ... นี้เป็นอัตตานุฐิทิมีสัญญาเป็นวัตถุ ๒ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็น

    สังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีสัญญาอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๓] ปุถุชนย่อมเห็นสัญญาในตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา ก็แลในตัวตนนี้มีสัญญานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็น

    สัญญาในตน เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอม ...ชื่อว่าย่อมเห็นกลิ่นหอมในดอกไม้ ฉันใด บุคคล

    บางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา โดยความเป็นตน ...

    นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสัญญาเป็นวัตถุที่ ๓ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นสัญญาในตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๔] บุคคลย่อมเห็นตนในสัญญาอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้เป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีอยู่ในสัญญานี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นตนในสัญญา เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขาใส่ไว้ในขวด ... ชื่อว่าย่อมเห็นแก้วมณีใน

    ขวด ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นสังขาร วิญญาณ รูป เวทนา

    โดยความเป็นตน ... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสัญญาเป็นวัตถุที่ ๔ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ

    เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนในสัญญาอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๕] ปุถุชนย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นจักขุสัมผัสสชาเจตนา ... มโนสัมผัสสชาเจตนา โดย
    ความเป็นตน คือ ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาเจตนาและตนไม่เป็นสองว่ามโนสัมผัสสชาเจตนาอันใด

    เราก็อันนั้น เราอันใด มโนสัมผัสสชาเจตนาก็อันนั้นเปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันกำลังลุกโพลง

    อยู่ บุคคลย่อมเห็นเปลวไฟและแสงสว่างไม่เป็นสอง ... ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น

    เหมือนกัน ย่อมเห็นมโนสัมผัสสชาเจตนาโดยความเป็นตน ... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสังขารเป็นวัตถุ

    ที่ ๑ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นสังขาร

    โดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๖] ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีสังขารอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ตัวตนของเรานี้นั้นแลมีสังขารด้วยสังขารนี้

    ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนมีสังขาร เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา บุรุษพึงพูดถึงต้นไม้นั้นอย่างนี้ ... ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นว่าต้นไม้มีเงาฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นวิญญาณ รูป

    เวทนาสัญญา โดยความเป็นตน ... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสังขารเป็นวัตถุที่ ๒ อัตตานุทิฐิเป็น

    มิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีสังขารอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๗] ปุถุชนย่อมเห็นสังขารในตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา ก็แลในตัวตนนี้มีสังขารเหล่านี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อม

    เห็นสังขารในตนเปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอม ... ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น

    เหมือนกัน ย่อมเห็นวิญญาณ รูปเวทนา สัญญา โดยความเป็นตน ... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสังขาร

    เป็นวัตถุที่ ๓ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็น

    สังขารในตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๘] ปุถุชนย่อมเห็นตนในสังขารอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีอยู่ในสังขารนี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นตนในสังขาร เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขาใส่ไว้ในขวด ... ชื่อว่าเห็นแก้วมณีในขวด

    ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา โดย

    ความเป็นตน ...นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีสังขารเป็นวัตถุที่ ๔ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้

    เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนในสังขารอย่างนี้ ฯ


    [๓๒๙] ปุถุชนย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นจักขุวิญญาณ ... มโนวิญญาณ โดยความเป็นตน คือ
    ย่อมเห็นมโนวิญญาณและตนไม่เป็นสองว่า มโนวิญญาณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด มโน

    วิญญาณก็อันนั้น เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันอันลุกโพลงอยู่ บุคคลย่อมเห็นเปลวไฟและ

    แสงสว่างไม่เป็นสอง ... ฉันใดบุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นมโนวิญญาณ

    โดยความเป็นตน... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีวิญญาณเป็นวัตถุที่ ๑ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้

    เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๓๐] ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขารโดยความเป็นตน เขามี
    ความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเราแต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีวิญญาณด้วยวิญญาณนี้

    ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณ เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา ... ชื่อว่าย่อมเห็นต้นไม้ว่ามีเงา ฉันใด

    บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร โดยความเป็นตน

    นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีวิญญาณเป็นวัตถุที่ ๒ อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณอย่างนี้ ฯ


    [๓๓๑] ปุถุชนย่อมเห็นวิญญาณในตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร โดยความเป็นตน เขา
    มีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา ก็แลในตัวตนนี้มีวิญญาณนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็น

    วิญญาณในตน เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอม... ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    ย่อมเห็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร โดยความเป็นตน ... นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีวิญญาณเป็นวัตถุที่ ๓

    อัตตานุทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิปุถุชน ย่อมเห็นวิญญาณใน

    ตนอย่างนี้ ฯ


    [๓๓๒] ปุถุชนย่อมเห็นตนในวิญญาณอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร โดยความเป็นตน เขามี
    ความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแลมีอยู่ในวิญญาณนี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นตนในวิญญาณ เปรียบเหมือนแก้วมณีที่เขาใส่ไว้ในขวด ... ชื่อว่าย่อมเห็นแก้วมณีใน

    ขวด ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร โดย

    ความเป็นตน นี้เป็นอัตตานุทิฐิมีวิญญาณเป็นวัตถุที่ ๔ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์แต่ไม่ใช่ทิฐิ

    ปุถุชนย่อมเห็นตนในวิญญาณอย่างนี้ อัตตานุทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้ ฯ


    [๓๓๓] มิจฉาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๒ เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดแห่งมิจฉาทิฐิอันกล่าวถึงวัตถุอย่างนี้ว่า ทานที่
    ให้แล้วไม่มีผล ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่งวัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและ

    วัตถุ นี้เป็นมิจฉาทิฐิมีวัตถุผิดที่ ๑ มิจฉาทิฐิเป็นทิฐิวิบัติ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดแห่งมิจฉาทิฐิอันกล่าวถึงวัตถุอย่างนี้ว่า ยัญที่บูชาแล้ว

    ไม่มีผล ฯลฯ การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้า

    ไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นก็ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้

    และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ทิฐิไม่ใช่วัตถุ

    วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง วัตถุเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐิและวัตถุ นี้เป็นมิจฉาทิฐิมีวัตถุ ๑๐

    มิจฉาทิฐิเป็นทิฐิวิบัติ ฯลฯ บุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ ย่อมมีคติเป็น ๒ ฯลฯ เหล่านี้

    เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ มิจฉาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้ ฯ


    [334] สักกายทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน ฯ
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ มิได้เห็นพระอริยะเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระ
    อริยะเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ได้เห็นสัปบุรุษไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ

    ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง เห็นตนว่ามีรูปบ้าง เห็นรูป

    ในตนบ้าง เห็นตนในรูปบ้างย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง

    เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง เห็นตนในวิญญาณบ้าง เห็นวิญญาณในตนบ้าง ฯ

    ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นปฐวีกสิณ ฯลฯ โอทาตกสิณโดยความเป็นตน คือ
    ย่อมเห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสองว่า โอทาตกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด โอทาต

    กสิณก็อันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่ ฯลฯ ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็

    ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นโอทาตกสิณโดยความเป็นตน ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือ

    ผิด ฯลฯ นี้เป็นสักกายทิฐิมีรูปเป็นวัตถุที่ ๑ สักกายทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่มิใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯลฯ สักกายทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐

    เหล่านี้ ฯ

    [๓๓๕] สัสสตทิฐิมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕เป็นไฉน ฯ
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ... ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของ
    สัปบุรุษ ย่อมเห็นตนว่ามีรูปบ้าง เห็นรูปในตนบ้าง เห็นตนในรูปบ้างเห็นตนว่ามีเวทนาบ้าง

    เห็นตนว่ามีสัญญาบ้าง เห็นตนว่ามีสังขารบ้าง เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง เห็นวิญญาณในตนบ้าง

    เห็นตนในวิญญาณบ้าง ฯ

    ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน
    เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแล มีรูปด้วยรูปนี้ ดังนี้

    ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีรูป เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา บุรุษพึงพูดถึงต้นไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี้ต้นไม้ นี้เ

    งา ต้นไม้เป็นอย่างหนึ่ง เงาเป็นอย่างหนึ่ง แต่ว่าต้นไม้นี้นั้นแล มีเงาด้วยเงานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อม

    เห็นต้นไม้ว่ามีเงา ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นเวทนา... โดยความ

    เป็นตน นี้เป็นสัสสตทิฐิอันมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุที่ ๑ สัสสตทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้

    เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างนี้ ฯลฯ สัสสตทิฐิอันมีสักกายทิฐิ

    เป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕เหล่านี้ ฯ


    [๓๓๖] อุจเฉททิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕เป็นไฉน ฯ
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ... ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของ
    สัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นเวทนาโดยความเป็นตนเห็นสัญญาโดยความเป็นตน

    เห็นสังขารโดยความเป็นตน เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ฯ

    ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นปฐวีกสิณ ฯลฯ โอทาตกสิณโดยความเป็นตน คือ
    ย่อมเห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสองว่า โอทาตกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด โอทาตกสิณ

    ก็อันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่ ฯลฯ นี้เป็นอุจเฉทิฐิอันมีสักกกายทิฐิ

    เป็นวัตถุที่ ๑ อุจเฉททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่มิใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็น

    รูปโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯลฯ อุจเฉททิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕

    เหล่านี้ ฯ


    [๓๓๗] อันตคาหิกทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๕๐ เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น
    สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้อง

    หน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีก ย่อมไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หา

    มิได้ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ย่อมถือผิดด้วยอาการเท่าไร ฯ

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกเที่ยง ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ ฯ


    [๓๓๘] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกเที่ยง ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ทิฐินั้นถือ
    เอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุวัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิและ

    วัตถุ นี้เป็นทิฐิที่ถือเอาที่สุดว่าโลกเที่ยงที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสัง

    โยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ

    สัญญาเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ สังขารเป็นโลกและเป็นของเที่ยง ฯลฯ วิญญาณเป็นโลก

    และเป็นของเที่ยง ฯลฯ ทิฐินั้นถือเอาที่สุด เช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ

    ทิฐิไม่ใช่วัตถุ ... นี้เป็นทิฐิที่ถือเอาที่สุดว่าโลกเที่ยงที่ ๕ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ

    เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกเที่ยงย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕

    เหล่านี้ ฯ


    [๓๓๙] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่เที่ยง ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปเป็นโลกและเป็นของไม่เที่ยง ทิฐินั้น
    ถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ นี้เป็นทิฐิที่ถือเอาที่สุดว่าโลก

    ไม่เที่ยงที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯลฯ ทิฐิ

    คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาเป็นโลกและเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาเป็นโลก

    และเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารเป็นโลกและเป็นของไม่เที่ยง วิญญาณเป็นโลกและเป็นของไม่

    เที่ยง ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อนตคาหิกทิฐิ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉา

    ทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่เที่ยง ย่อมถือผิด

    ด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๐] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกมีที่สุด ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕เป็นไฉน ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเขียวแผ่ไปสู่โอกาสนิดหน่อย เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า
    โลกนี้มีที่สุดกลม ดังนี้ เขาจึงมีความสำคัญว่าโลกมีที่สุด ทิฐิ คือความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลก เครื่องที่แผ่ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลก ทิฐินั้นถือเอาที่สุด

    เช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิเป็นอย่างหนึ่ง

    วัตถุเป็นอย่างหนึ่งทิฐิและวัตถุ นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าโลกมีที่สุดที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็น

    มิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเหลืองแผ่ไป

    ทำสีแดงแผ่ไป ทำสีขาวแผ่ไป ทำแสงสว่างแผ่ไป สู่โอกาสนิดหน่อย เขามีความคิดอย่างนี้ว่า

    โลกนี้มีที่สุดกลม ดังนี้ เขาจึงมีความสำคัญว่าโลกมีที่สุดทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิด

    ว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลก เครื่องที่แผ่ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลก ทิฐินั้นถือเอาที่สุด

    เช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกมีที่สุด ย่อมถือ

    ผิดด้วยอาการ ๕เหล่านี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2010
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๓๔๑] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่มีที่สุด ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕เป็นไฉน ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเขียวแผ่ไปสู่โอกาสอันกว้าง เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า
    โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดมิได้ ดังนี้ จึงมีความสำคัญว่าโลกไม่มีที่สุด ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วย

    ความถือผิดว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลกเครื่องที่แผ่ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลก ทิฐินั้น

    ถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็น

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าโลกไม่มีที่สุดที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำสีเหลือง ทำสีแดง ทำสีขาว ทำแสงสว่างแผ่ไปสู่โอกาส
    อันกว้าง เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดมิได้ดังนี้ เขาจึงมีความสำคัญว่า โลก

    ไม่มีที่สุด ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ที่ที่แผ่ไปนั้นเป็นวัตถุและเป็นโลก เครื่องที่แผ่

    ไปนั้นเป็นตนและเป็นโลกทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่มีที่สุด ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๒] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕
    เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปเป็นชีพและสรีระ ชีพอันใด สรีระก็
    อันนั้น ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุ

    ไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้นที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็น

    มิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้สังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิคือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนา

    เป็นชีพและเป็นสรีระ สัญญาเป็นชีพและเป็นสรีระ สังขารเป็นชีพและเป็นสรีระ วิญญาณเป็นชีพ

    และเป็นสรีระชีพอันใด สรีระก็อันนั้น ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอันต

    คาหิกทิฐิ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๓] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕
    เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปเป็นสรีระ ไม่ใช่ชีพ รูปนั้นเป็นสรีระ
    ชีพเป็นอย่างหนึ่ง สรีระเป็นอย่างหนึ่ง ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันต

    คาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ...นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็น

    อื่นที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาเป็นสรีระ ไม่ใช่ชีพ สัญญาเป็นสรีระ
    ไม่ใช่ชีพ สังขารเป็นสรีระ ไม่ใช่ชีพ วิญญาณเป็นสรีระ ไม่ใช่ชีพ วิญญาณนั้นเป็นสรีระ ชีพ

    เป็นอย่างหนึ่ง สรีระก็เป็นอย่างหนึ่ง ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันต

    คาหิกทิฐิ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๔] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก ย่อมถือผิดด้วย
    อาการ ๕ เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์
    แต่การแตกแล้วย่อมเป็นอีกบ้าง คงอยู่บ้าง อุบัติขึ้นบ้าง เกิดบ้างทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น

    เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุวัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุด

    ว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็น

    สังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ
    สัญญาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สังขารต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ วิญญาณ

    ต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์แต่กายแตกแล้วย่อมเป็นอีกบ้าง คงอยู่บ้าง อุบัติขึ้นบ้าง

    เกิดบ้าง ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอา

    ที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๕] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ย่อมถือผิด
    ด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์
    แต่กายแตกแล้วย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศไป สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ทิฐินั้นถือ

    เอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็น

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีกที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิเป็น

    มิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ
    สัญญาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละสังขารต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ วิญญาณ

    ต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์แต่กายแตกแล้วย่อมไม่เป็นอีก ทิฐินั้นถือเอาที่สุด

    เช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่

    ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๖] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่
    เป็นอีกก็มี ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์
    แต่กายแตกแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้น

    จึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ... นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์

    เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มีที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ

    เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ
    สัญญาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สังขารต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ วิญญาณ

    ต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์แต่กายแตกแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ทิฐิ

    นี้ถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ฯลฯ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า

    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๗] ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็ หามิได้ ย่อม
    ไม่เป็นอีกก็หามิได้ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า รูปต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์
    แต่กายแตกแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะ

    ฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า

    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิ เป็น

    มิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ทิฐิ คือ ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า เวทนาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ
    สัญญาต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สังขารต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ วิญญาณ

    ต้องตายเป็นธรรมดาในโลกนี้แหละ สัตว์แต่กายแตกแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็

    หามิได้ ทิฐินั้นถือเอาที่สุดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุ

    ไม่ใช่ทิฐิ ... ทิฐิและวัตถุ นี้เป็นทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก

    ก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ที่ ๑ อันตคาหิกทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็น

    อีกก็หามิได้ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕ เหล่านี้อันตคาหิกทิฐิย่อมถือผิดด้วยอาการ ๕๐ เหล่านี้


    [๓๔๘] ปุพพันตานุทิฐิ (ความตามเห็นขันธ์ส่วนอดีต) ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๑๘
    เป็นไฉน ฯ

    สัสสตทิฐิ (ทิฐิว่าตนและโลกเที่ยง) ๔ เอกัจจสัสสติกาทิฐิ (ทิฐิว่าตนและโลก
    เที่ยงเป็นบางอย่าง) ๔ อันตานันติกาทิฐิ (ทิฐิว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้) ๔ อมราวิกเขปิกา

    ทิฐิ (ทิฐิซัดส่ายไม่ตายตัว) ๔ อธิจจสมุปปันนิกาทิฐิ(ทิฐิว่าตนและโลกเกิดขึ้นลอยๆ) ๒

    ปุพพันตานุทิฐิ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๑๘เหล่านี้ ฯ


    [๓๔๙] อปรันตานุทิฐิ (ความตามเห็นขันธ์ส่วนอนาคต) ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๔๔
    เป็นไฉน ฯ

    สัญญีวาททิฐิ (ทิฐิว่าตนเมื่อตายแล้วมีสัญญา) ๑๗ อสัญญีวาททิฐิ (ทิฐิว่าตน
    เมื่อตายแล้วไม่มีสัญญา) ๘ เนวสัญญีนาสัญญีวาททิฐิ (ทิฐิว่าตนเมื่อตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี

    สัญญาก็มิใช่) ๘ อุจเฉทวาททิฐิ (ทิฐิว่าสัตว์ตายแล้วขาดสูญ) ๗ ทิฐิธรรมนิพพานวาททิฐิ

    (ทิฐิว่านิพพานเป็นปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์) ๕ อปรันตานุทิฐิ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๔๔

    เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๐] สังโยชนิกาทิฐิ (ทิฐิเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ) ย่อมถือ ผิดด้วย
    อาการ ๑๘ เป็นไฉน ฯ

    ทิฐิ คือ ทิฐิที่ไป ทิฐิที่รกชัฏ ฯลฯ ทิฐิเป็นเหตุให้ถือผิด ทิฐิเป็นเหตุให้ลูบคลำ
    สังโยชนิกาทิฐิ ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๑] ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า เป็นเรา ย่อมถือผิด ด้วยอาการ๑๘ เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ตาเป็นเรา ทิฐิมิใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ...นี้เป็นทิฐิ
    อันกางกั้นด้วยมานะว่าเป็นเราที่ ๑ มานวินิพันธาทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯเหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่

    มิใช่ทิฐิ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า หูเป็นเรา ฯลฯจมูกเป็นเรา ฯลฯ ลิ้นเป็นเรา ฯลฯ กาย

    เป็นเรา ฯลฯ ใจเป็นเรา ฯลฯธรรมารมณ์เป็นเรา ฯลฯ จักขุวิญญาณเป็นเรา ฯลฯ มโนวิญญาณ

    เป็นเรา ฯลฯความลูบคลำความถือผิดว่าเป็นเรา ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิ

    อันกางกั้นด้วยมานะว่าเป็นเราที่ ๘ มานวินิพันธาทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า เป็นเรา ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๒] ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ของเรา ย่อมถือผิด ด้วยอาการ๑๘ เป็นไฉน ฯ
    ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ตาของเรา ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ...นี้เป็นทิฐิ
    อันกางกั้นด้วยมานะว่าของเราที่ ๑ มานวินิพันธาทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯเหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่

    ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า หูของเรา ฯลฯจมูกของเรา ฯลฯ ลิ้นของเรา ฯลฯ กาย

    ของเรา ฯลฯ ใจของเรา ฯลฯธรรมารมณ์ของเรา ฯลฯ จักขุวิญญาณของเรา ฯลฯ มโนวิญญาณ

    ของเรา ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ของเรา ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอัน

    กางกั้นด้วยมานะว่า ของเรา ที่ ๘ มานวินิพันธาทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่มิใช่ทิฐิ ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ของเรา ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๓] ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตน ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๒๐เป็นไฉน ฯ
    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ... ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของ
    สัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีรูปบ้าง เห็นรูปในตนบ้าง เห็นตนในรูปบ้าง ฯลฯ

    เห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง เห็นวิญญาณ

    ในตนบ้าง เห็นตนในวิญญาณบ้าง ฯลฯ

    ปุถุชนมองเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นปฐวี
    กสิณ ฯลฯ โอทาตกสิณ โดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสอง เปรียบ

    เหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่บุคคลเห็นเปลวไฟ และแสงสว่างไม่เป็นสองฉันใด บุคคล

    บางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นโอทาตกสิณโดยความเป็นตน ฯลฯ นี้เป็นทิฐิอัน

    ปฏิสังยุตด้วยอัตตวาทะมีรูปเป็นวัตถุที่ ๑ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยอัตตวาทะเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้

    เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตน ย่อมถือผิด ด้วยอาการ ๒๐

    เหล่านี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2010
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๓๕๔] ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก ย่อมถือผิด ด้วยอาการ ๘เป็นไฉน ฯ
    ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ตนและโลกเที่ยง เป็นทิฐิ อันปฏิสังยุต ด้วยวาทะ
    ปรารภโลก ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุมิใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกที่ ๑

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯเหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ตนและโลกไม่เที่ยง ฯลฯ ตนและโลกเที่ยงก็มี ไม่
    เที่ยงก็มี ตนและโลกเที่ยงก็หามิได้ ไม่เที่ยงก็หามิได้ ตนและโลกมีที่สุด ตนและโลกไม่มีที่สุด

    ตนและโลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี ตนและโลกมีที่สุดก็หามิได้ ไม่มีที่สุดก็หามิได้ เป็นทิฐิอัน

    ปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะ

    ปรารภโลกที่ ๘ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๘เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๕] ความถือผิดด้วยความติดอยู่ เป็นภวทิฐิ ความถือผิดด้วยความแล่นเลยไป
    เป็นวิภวทิฐิ อัสสาททิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร

    อัตตานุทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร ฯลฯ ทิฐิอัน

    ปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก มีความถือผิดด้วยอาการ ๘ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร ฯ

    อัสสาททิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี อัตตานุทิฐิ
    มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕ มิจฉาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๐

    เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด สักกายทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕

    สัสสตทิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด อุจเฉททิฐิ

    อันมีสักกายเป็นวัตถุมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า

    โลกเที่ยงมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่เที่ยง

    มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าโลกมีที่สุด มีความถือผิด

    ด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่มีที่สุด มีความ

    ถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระ

    ก็อันนั้น มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพเป็นอื่น

    สรีระก็เป็นอื่นมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้อง

    หน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอา

    ที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี มีความถือผิด

    ด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มีเป็นวิภวทิฐิก็มี อปรันตานุทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๔๔

    เป็นภวทิฐิก็มีเป็นวิภวทิฐิก็มี สังโยชนิกาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นภวทิฐิก็มี

    เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า เป็นเรา มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นวิภวทิฐิ

    ทั้งหมด ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ของเรา มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นภวทิฐิทั้งหมด

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตน มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก มีความถือผิดด้วยอาการ ๘ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี

    ทิฐิทั้งหมดเป็นอัตตานุทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นสักกายทิฐิ เป็นอันตคาหิกทิฐิ เป็นสังโยชนิ

    กาทิฐิ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตนเป็นภวทิฐิ เป็นวิภวทิฐิชนเหล่าใดยึดถือทิฐิ ๒

    อย่างนี้ ญาณในนิโรธย่อมไม่มีแก่ชนเหล่านั้น สัตว์โลกนี้ยึดถือในทิฐิใด ก็เป็นผู้มีสัญญาวิปริต

    เพราะทิฐินั้น ฯ


    [๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ผู้ถูกทิฐิ ๒ อย่างกลุ้มรุมแล้ว พวกหนึ่ง
    ย่อมติดอยู่ พวกหนึ่งย่อมแล่นไป ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมติดอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เทวดาและมนุษย์ผู้ชอบภพ ยินดีในภพ บันเทิงอยู่ในภพ จิตของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อม

    ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในธรรมที่เราแสดงเพื่อความดับภพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมติดอยู่อย่างนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมแล่นไปอย่างไร ก็เทวดาและมนุษย์
    พวกหนึ่งย่อมอึดอัด ระอา เกลียดชังภพ ย่อมยินดีความปราศจากภพว่า ชาวเราเอ๋ย ได้ยินว่า

    เมื่อใด ตนแต่กายแตกไปแล้วย่อมขาดสูญย่อมพินาศ เมื่อนั้น ตนเบื้องหน้าแต่ตายแล้ว

    ย่อมไม่เป็นอีก เพราะฉะนั้นความไม่เกิดนี้ละเอียด ประณีต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและ

    มนุษย์พวกหนึ่งย่อมแล่นไปอย่างนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ย่อมเห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง ครั้นแล้วย่อมปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด

    เพื่อดับความเป็นสัตว์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ อย่างนี้แล ฯ

    ถ้าภิกษุใด เห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง และก้าวล่วง
    ความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมน้อมใจไปในธรรมตามที่เป็นจริง
    เพื่อความหมดสิ้นแห่งภวตัณหา ภิกษุนั้น กำหนดรู้ ความ
    เป็นสัตว์แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม
    ไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้ ฯ


    [๓๕๗] บุคคล ๓ จำพวกมีทิฐิวิบัติ บุคคล ๓ จำพวกมีทิฐิสมบัติ ฯ
    บุคคล ๓ จำพวกเหล่าไหนมีทิฐิวิบัติ เดียรถีย์ ๑ สาวกเดียรถีย์ ๑ บุคคลผู้มีทิฐิ
    ผิด ๑ บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้มีทิฐิวิบัติ ฯ

    บุคคล ๓ จำพวกเหล่าไหนมีทิฐิสมบัติ พระตถาคต ๑ สาวกพระตถาคต ๑
    บุคคลผู้มีทิฐิชอบ ๑ บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้มีทิฐิสมบัติ ฯ

    นรชนใด เป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธ มีความลบหลู่ลามก
    มีทิฐิวิบัติ เจ้าเล่ห์ พึงรู้จักนรชนนั้นว่าเป็นคนเลว นรชนใด
    เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่คุณท่าน มีทิฐิ
    สมบัติ มีปัญญา พึงรู้จักนรชนนั้นว่า เป็นผู้ประเสริฐ ดังนี้ ฯ


    [๓๕๘] ทิฐิวิบัติ ๓ ทิฐิสมบัติ ๓ ฯ
    ทิฐิวิบัติ ๓ เป็นไฉน ความเห็นวิบัติว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของ
    ของเรา ทิฐิวิบัติ ๓ เหล่านี้ ฯ

    ทิฐิสมบัติ ๓ เป็นไฉน ความเห็นอันถูกต้องว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
    นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ทิฐิสมบัติ ๓ เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๙] ทิฐิอะไรว่า นั่นของเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้น ตามถือส่วนสุดอะไร
    ทิฐิอะไรว่า นั่นเป็นเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้น ตามถือส่วนสุดอะไร ทิฐิอะไรว่า นั่น

    เป็นตัวตนของเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้นตามถือส่วนสุดอะไร ฯ

    ความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีตว่า นั่นของเรา เป็นทิฐิ ๑๘ ทิฐิเหล่านั้น ตามถือขันธ์
    ส่วนอดีต ความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคตว่า นั่นเป็นเรา เป็นทิฐิ ๔๔ทิฐิเหล่านั้นตามถือขันธ์

    ส่วนอนาคต อัตตานุทิฐิมีวัตถุ ๒๐ ว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา เป็นสักกายทิฐิ มีวัตถุ ๒๐ ทิฐิ ๖๒

    โดยมีสักกายทิฐิเป็นประธานทิฐิเหล่านั้น ตามถือขันธ์ทั้งส่วนอดีตและส่วนอนาคต ฯ


    [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งถึงความเชื่อแน่ในเรา ชนเหล่านั้น
    ทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพ

    สุทธาวาส ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ สัตตักขัตตุ
    ปรมโสดาบัน ๑ โกลังโกละโสดาบัน ๑ เอกพิชีโสดาบัน ๑พระสกทาคามี ๑ พระอรหันต์ใน

    ปัจจุบัน ๑ เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ บุคคล๕ จำพวกนี้
    คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุปหัจจปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อสังขารปรินิพพายี

    อนาคามีบุคคล ๑ สสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีอนาคามีบุคคล ๑ เชื่อแน่

    ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงความเชื่อแน่ในเรา บุคคลเหล่านั้น
    ทั้งหมด ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ใน

    ภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ


    [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคล
    เหล่านั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวม ๕จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้

    บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพชั้นสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือสัตตักขัตตุ
    ปรมโสดาบัน ๑ ... พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑ เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ ... อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
    บุคคล ๑ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคลเหล่า
    นั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวมเป็น ๕ จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕

    จำพวกนี้ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ฉะนี้แล ฯ

    จบทิฐิกถา


    [๓๕๔] ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก ย่อมถือผิด ด้วยอาการ ๘เป็นไฉน ฯ
    ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ตนและโลกเที่ยง เป็นทิฐิ อันปฏิสังยุต ด้วยวาทะ
    ปรารภโลก ทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุมิใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกที่ ๑

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯเหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ฯ

    ความลูบคลำด้วยความถือผิดว่า ตนและโลกไม่เที่ยง ฯลฯ ตนและโลกเที่ยงก็มี ไม่
    เที่ยงก็มี ตนและโลกเที่ยงก็หามิได้ ไม่เที่ยงก็หามิได้ ตนและโลกมีที่สุด ตนและโลกไม่มีที่สุด

    ตนและโลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี ตนและโลกมีที่สุดก็หามิได้ ไม่มีที่สุดก็หามิได้ เป็นทิฐิอัน

    ปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกทิฐิไม่ใช่วัตถุ วัตถุไม่ใช่ทิฐิ ... นี้เป็นทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะ

    ปรารภโลกที่ ๘ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลกเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ เหล่านี้เป็นสังโยชน์

    แต่ไม่ใช่ทิฐิ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก ย่อมถือผิดด้วยอาการ ๘เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๕] ความถือผิดด้วยความติดอยู่ เป็นภวทิฐิ ความถือผิดด้วยความแล่นเลยไป
    เป็นวิภวทิฐิ อัสสาททิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร

    อัตตานุทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร ฯลฯ ทิฐิอัน

    ปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก มีความถือผิดด้วยอาการ ๘ เป็นภวทิฐิเท่าไร เป็นวิภวทิฐิเท่าไร ฯ

    อัสสาททิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๓๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี อัตตานุทิฐิ
    มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕ มิจฉาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๐

    เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด สักกายทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕

    สัสสตทิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด อุจเฉททิฐิ

    อันมีสักกายเป็นวัตถุมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า

    โลกเที่ยงมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่เที่ยง

    มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่าโลกมีที่สุด มีความถือผิด

    ด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่มีที่สุด มีความ

    ถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระ

    ก็อันนั้น มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพเป็นอื่น

    สรีระก็เป็นอื่นมีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้อง

    หน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิทั้งหมด ทิฐิอันถือเอา

    ที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก มีความถือผิดด้วยอาการ ๕ เป็นวิภวทิฐิทั้งหมด

    ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี มีความถือผิด

    ด้วยอาการ ๕ เป็นภวทิฐิก็มีเป็นวิภวทิฐิก็มี อปรันตานุทิฐิ มีความถือผิดด้วยอาการ ๔๔

    เป็นภวทิฐิก็มีเป็นวิภวทิฐิก็มี สังโยชนิกาทิฐิมีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นภวทิฐิก็มี

    เป็นวิภวทิฐิก็มี ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า เป็นเรา มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นวิภวทิฐิ

    ทั้งหมด ทิฐิอันกางกั้นด้วยมานะว่า ของเรา มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๘ เป็นภวทิฐิทั้งหมด

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตน มีความถือผิดด้วยอาการ ๒๐ เป็นภวทิฐิ ๑๕ เป็นวิภวทิฐิ ๕

    ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภโลก มีความถือผิดด้วยอาการ ๘ เป็นภวทิฐิก็มี เป็นวิภวทิฐิก็มี

    ทิฐิทั้งหมดเป็นอัตตานุทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นสักกายทิฐิ เป็นอันตคาหิกทิฐิ เป็นสังโยชนิ

    กาทิฐิ ทิฐิอันปฏิสังยุตด้วยวาทะปรารภตนเป็นภวทิฐิ เป็นวิภวทิฐิชนเหล่าใดยึดถือทิฐิ ๒

    อย่างนี้ ญาณในนิโรธย่อมไม่มีแก่ชนเหล่านั้น สัตว์โลกนี้ยึดถือในทิฐิใด ก็เป็นผู้มีสัญญาวิปริต

    เพราะทิฐินั้น ฯ


    [๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ผู้ถูกทิฐิ ๒ อย่างกลุ้มรุมแล้ว พวกหนึ่ง
    ย่อมติดอยู่ พวกหนึ่งย่อมแล่นไป ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมติดอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เทวดาและมนุษย์ผู้ชอบภพ ยินดีในภพ บันเทิงอยู่ในภพ จิตของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อม

    ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในธรรมที่เราแสดงเพื่อความดับภพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมติดอยู่อย่างนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์พวกหนึ่งย่อมแล่นไปอย่างไร ก็เทวดาและมนุษย์
    พวกหนึ่งย่อมอึดอัด ระอา เกลียดชังภพ ย่อมยินดีความปราศจากภพว่า ชาวเราเอ๋ย ได้ยินว่า

    เมื่อใด ตนแต่กายแตกไปแล้วย่อมขาดสูญย่อมพินาศ เมื่อนั้น ตนเบื้องหน้าแต่ตายแล้ว

    ย่อมไม่เป็นอีก เพราะฉะนั้นความไม่เกิดนี้ละเอียด ประณีต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและ

    มนุษย์พวกหนึ่งย่อมแล่นไปอย่างนี้แล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ย่อมเห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง ครั้นแล้วย่อมปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด

    เพื่อดับความเป็นสัตว์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ อย่างนี้แล ฯ

    ถ้าภิกษุใด เห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง และก้าวล่วง
    ความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมน้อมใจไปในธรรมตามที่เป็นจริง
    เพื่อความหมดสิ้นแห่งภวตัณหา ภิกษุนั้น กำหนดรู้ ความ
    เป็นสัตว์แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม
    ไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้ ฯ


    [๓๕๗] บุคคล ๓ จำพวกมีทิฐิวิบัติ บุคคล ๓ จำพวกมีทิฐิสมบัติ ฯ
    บุคคล ๓ จำพวกเหล่าไหนมีทิฐิวิบัติ เดียรถีย์ ๑ สาวกเดียรถีย์ ๑ บุคคลผู้มีทิฐิ
    ผิด ๑ บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้มีทิฐิวิบัติ ฯ

    บุคคล ๓ จำพวกเหล่าไหนมีทิฐิสมบัติ พระตถาคต ๑ สาวกพระตถาคต ๑
    บุคคลผู้มีทิฐิชอบ ๑ บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้มีทิฐิสมบัติ ฯ

    นรชนใด เป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธ มีความลบหลู่ลามก
    มีทิฐิวิบัติ เจ้าเล่ห์ พึงรู้จักนรชนนั้นว่าเป็นคนเลว นรชนใด
    เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่คุณท่าน มีทิฐิ
    สมบัติ มีปัญญา พึงรู้จักนรชนนั้นว่า เป็นผู้ประเสริฐ ดังนี้ ฯ


    [๓๕๘] ทิฐิวิบัติ ๓ ทิฐิสมบัติ ๓ ฯ
    ทิฐิวิบัติ ๓ เป็นไฉน ความเห็นวิบัติว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของ
    ของเรา ทิฐิวิบัติ ๓ เหล่านี้ ฯ

    ทิฐิสมบัติ ๓ เป็นไฉน ความเห็นอันถูกต้องว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
    นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ทิฐิสมบัติ ๓ เหล่านี้ ฯ


    [๓๕๙] ทิฐิอะไรว่า นั่นของเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้น ตามถือส่วนสุดอะไร
    ทิฐิอะไรว่า นั่นเป็นเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้น ตามถือส่วนสุดอะไร ทิฐิอะไรว่า นั่น

    เป็นตัวตนของเรา เป็นทิฐิเท่าไร ทิฐิเหล่านั้นตามถือส่วนสุดอะไร ฯ

    ความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีตว่า นั่นของเรา เป็นทิฐิ ๑๘ ทิฐิเหล่านั้น ตามถือขันธ์
    ส่วนอดีต ความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคตว่า นั่นเป็นเรา เป็นทิฐิ ๔๔ทิฐิเหล่านั้นตามถือขันธ์

    ส่วนอนาคต อัตตานุทิฐิมีวัตถุ ๒๐ ว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา เป็นสักกายทิฐิ มีวัตถุ ๒๐ ทิฐิ ๖๒

    โดยมีสักกายทิฐิเป็นประธานทิฐิเหล่านั้น ตามถือขันธ์ทั้งส่วนอดีตและส่วนอนาคต ฯ


    [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งถึงความเชื่อแน่ในเรา ชนเหล่านั้น
    ทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพ

    สุทธาวาส ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ สัตตักขัตตุ
    ปรมโสดาบัน ๑ โกลังโกละโสดาบัน ๑ เอกพิชีโสดาบัน ๑พระสกทาคามี ๑ พระอรหันต์ใน

    ปัจจุบัน ๑ เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ บุคคล๕ จำพวกนี้
    คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุปหัจจปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อสังขารปรินิพพายี

    อนาคามีบุคคล ๑ สสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีอนาคามีบุคคล ๑ เชื่อแน่

    ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงความเชื่อแน่ในเรา บุคคลเหล่านั้น
    ทั้งหมด ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ใน

    ภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ


    [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคล
    เหล่านั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวม ๕จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้

    บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพชั้นสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือสัตตักขัตตุ
    ปรมโสดาบัน ๑ ... พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑ เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ

    บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ ... อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
    บุคคล ๑ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคลเหล่า
    นั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวมเป็น ๕ จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕

    จำพวกนี้ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ฉะนี้แล ฯ

    จบทิฐิกถา

    http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84_-_%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84_-_%E0%B9%92._%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2010
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ศึกษาเพิ่มเติม http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=31&start_byte=217061
     

แชร์หน้านี้

Loading...