นิพพานคืออะไร ทำไมใครๆก็อยากจะไปนิพพาน.

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ดินหอม, 27 มิถุนายน 2015.

  1. ดินหอม

    ดินหอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +188
    สมาชิกหลายท่านในเวปนี้ ต่างพยายามตั้งจุดหมายของชีวิตหวังที่จะไปให้ถึงซึ่ง" นิพพาน"จึงอยากทราบความหมายแท้จริงของนิยามคำว่า "นิพพาน"ในความหมายของแต่ละท่านคืออะไร และเหตุใดจึงอยากไปนิพพาน ท่านมีแนวทางปฎิบัติอย่างไร ที่เชื่อว่าจะได้ไปให้ถึงแดนนิพพาน ขอแชร์ประสพการณ์ของแต่ละท่าน เพื่อเป็นแนวทางปฎิบัติให้ผู้อื่นครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    นิพพานเป็ฯชื่อของธรรมารมณ์ชนิดหนึ่ง

    ที่ไม่สามารถเอามาเป็นของใครได้
    เอาให้ตนก็ไม่ได้ เอาให้คนอื่นก็ไม่ได้
    เพราะ...

    นิพพานคือธรรมารมณ์
     
  3. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    นิพพานไม่แตกต่างจากธรรมารมณ์อื่น
    เหมือนรูปไม่ต่างจากว่าง
    และว่าไม่ต่างจากรูป

    เหตุเดียวที่นิพพานไม่ต่างจากธรรมารมณือื่น
    เพราะนิพพานคือธรรมารมณ์

    เหมือนว่าง กะรูป
    ถ้ามันคือธรรมารมณ์
    ก็ไม่ต่างจากนิพพาน
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คนส่วนใหญ่ก็คงจะเชื่อว่านิพพานก็คือการไม่ต้องกลับมาเกิดอีกอันนี้คงเข้าใจตรงกัน แต่รายละเอียดคงต่างกัน เช่น เป็นสถานที่หรือไม่ใช่สถานที่ การรับรู้ไม่เหลืออีกต่อไปหรือยังมีอะไรที่เหลืออยู่ มีเกิดดับหรือเที่ยงแท้ แต่คนที่อยากไปหรือเข้าถึงก็คงไม่อยากเกิดอีก
     
  5. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ที่สุดแห่งธรรมคือนิพพาน ทีสุดแห่งวิวัฒนาการของชีวิตทั้งหลายคือการไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอันต้องทุกข์ทนกับกายสังขารที่เกิดดับนี้ ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าทุกชีวิตต่างไต่ระดับไปสู่สุขแท้ซึ่งก็คือนิพพาน .....^__^
     
  6. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ตอบเท่าที่ตอบได้นะครับ เพราะตัวผมเองไม่ได้ถึงและไม่รู้ว่าอยู่ในกระแสด้วยหรือเปล่า ตอบจากประสบการณ์จึงทำได้ยาก

    เริ่มจากแรก ๆ ทีเดียว พุทธเจ้า มองหาหนทางดับทุกข์ สิ่งที่พระพุทธองค์พบเห็นและเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ และจากการศึกษาในสำนักครูบาอาจารย์ที่ดีที่สุดในยุคนั้น ก็ยังไม่สามารถนำสิ่งที่พระองค์รู้สึกว่าจะนำมาซึ่งการพ้นทุกข์ได้

    ถึงตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า อาจารย์ทั้งสองท่านสอนได้อย่างมากสุดก็ถึงรูปฌานและอรูปฌาน ซึ่งไปได้สุดทางแค่รูปพรหม และอรูปพรหม หรือในทางสมาธิไปได้สุดทางแค่ความว่าง แต่ในส่วนของศาสนาพราหมณ์ที่เป็นพื้นฐานทางสังคมในยุคนั้นก็ผูกขาดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การปกครอง และระบอบวรรณะ

    หลังจากการฝึกจากทั้งสองสำนัก ท่านจึงมาตรัสรู้ที่ต้นโพธิ
    ว่ากันว่าสิ่งที่นำทุกข์มาสู่มนุษย์ คือการปรุงแต่ง จากกระบวนการของขันธ์ทั้งห้า และปฏิจจสมุปบาท ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การรับรู้ แต่มันไปอยู่ที่การปรุงแต่ง เมื่อปรุงแต่งแล้วก็นำไปสู่การปรุงแต่งต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นวงจรแห่งทุกข์

    การดับทุกข์ คือการหยุดการปรุงแต่ง รับรู้อย่างที่มันเป็น และมองทุกอย่างอย่างเป็นปัจจุบัน ไม่หลงใจไปกับอดีตและอนาคต และตามจิตให้ทัน ซึ่งเป็นการตัดวงจร หรือตัดห่วงโซ่ให้ขาดจากกัน เมื่อวงจรขาดจากกันแล้ว อารมณ์มันก็จะหยุด ซึ่งในภาพที่ใหญ่กว่าคือเป็นการหยุดวงจรของชีวิตด้วยเช่นกัน เพราะภพ ชาติ ชรามรณะมันได้ตัดขาดออกจากกันไปแล้วด้วย

    ทีนี้ในทางมหายาน เกิดการพัฒนาทางปรัชญาไปมาก จากที่เคยมองว่า

    นิพพานก็เรื่องนึง โลกียก็เรื่องนึง

    ก็เริ่มพัฒนาความคิดไปเรื่อย ๆ ซึ่งในครั้งสำคัญที่สุดอยู่ในยุคของมัธยมิกะ ของนาคารชุน ที่ท่านได้มองว่า ทุกอย่างไม่มีอยู่จริง เป็นเหมือนภาพมายา เพราะทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยเหตุและปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้นในการตั้งอยู่ ถ้าจริง ๆ แล้วโลกนี้ไม่ได้มีอยู่จริง
    แล้วสภาวะนิพพานจะมีอยู่จริงได้อย่างไร

    มาถึงตรงนี้ เขามองว่านิพพานจริง ๆ ก็เป็นเพียงภาพมายา สังสารวัฏก็ไม่ได้ต่างจากนิพพาน

    ในกลุ่มปรัชญายุคหลังมองว่านิพพาน มันไม่ใช่สภาวะมีขั้ว เพราะการมีขั้ว เกิดจากการเปรียบเทียบ และมันเกิดขึ้นด้วยธรรมที่ต้องพึ่งพากันเอง แต่ละขั้วที่ปรากฏก็ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยเข่นกัน ไม่มีทุกข์ จึงไม่มีสุข และจริง ๆ มันไม่ได้มีอะไรอยู่เลย

    นิพพานจึงไม่ได้ต่างกับสังสารวัฏ ทุกข์จึงไม่ได้ต่างกับสุข เป็นก็ไม่ได้ต่างกับตาย ชายไม่ได้ต่างกับหญิง เพราะต่างเป็นภาพมายาด้วยกันทั้งนั้น ที่ไปไกลกว่านั้นอีกก็มองว่า ว่าง ก็ไม่ได้ต่างจากไม่ว่างด้วย การกล่าวกันเรื่อย ๆ ว่าให้ว่าง จึงต้องเป็นเรื่องที่เราจะต้องกลับมาย้อนถามว่า ว่างต้องว่างจากอะไร

    เขามองว่าคนในสภาวะนั้น ๆ จะมองสรรพสิ่งแบบไร้ขั้ว หรือ non duality มองสรรพสิ่งในแบบที่มันเป็น ไร้การปรุงแต่งใด ๆ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และสภาวธรรม

    อันนี้แค่ตอบคร่าว ๆ แค่ประเด็นเดียว ถ้ามีประเด็นอื่น ๆ อะไรสงสัยให้ค่อย ๆ คุยกันภายหลังแล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับ คุณเจ้าของกระทู้ และพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ผมจะเริ่มจากการ เป็นคนก่อน และสรรพสัตว์ ทุก สาขาอาฃีพ ที่เกิดแก่ เจ็บและตาย ในโลกใบนี้ ถ้าจะพูดตามสรรพคือกรรมดี และกรรมชั่ว ที่ตนทำเท่านั้น ที่ทำให้ สัตว์ หรือ คนๆนั้น ต้องทำให้ไปเกิด ไม่ว่าคนหรือสัตว์ จิตตัวแท้ก็คือคน แต่ว่า ต้องไปใช้กรรม คือ มนุษย์ คือแดนกลาง แดนเลือก ที่จะทำให้ไปเกิด ในแดนนั้น เช่น เกิดเป็นคน รวยคนจน จนตาบอด บ้าใบ้ หูหนวก คนพิการต่างๆ พวกพ่อค้า วานิช นายพล นายพัน นายก ประธานาธิบดี พระมหากษัติย์


    คนชนชั้นต่างๆ เผ่าพันธุ์ต่างๆ คนทั้งหลาย ทั่วทั้งโลกใบนี้ ก็คือกรรม จำแนก ให้คนและสัตว์นั้น ต้องไปเกิด ใช้กรรมที่ตนทำทั้งสิ้น ไอ้กรรม คือการกระทำ ของเรา และสัตว์ทั้งหลาย ถ้าทำกรรมชั่ว ก็ทำให้ไปเกิด เป็น สัตว์นรก เป็นเปรต อสูรกาย กรรมเบา ก็ทำให้มาเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ต่างๆที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ กรรมเบา ก็ทำให้เกิด ในแดนกลาง คือ คนในฐานะต่างๆกันออกไป และเชื้อชาติต่างๆแบ่งเป็นคนเผ่าพันต่างๆ หลายเชื้อชาติ ก็เพราะ กรรม ที่เราทำให้ไปเกิด เป็นอย่างนั้นๆ


    ตานี้ ก็มาว่ากันต่อไป ในศาสนาต่างๆ ต่างคนต่างสอน ให้คนของ ศาสนานั้นๆ ต่างทำความดี จะได้ไปเกิด ในสรรค์ชั้นนั้น ๆ ก็เพราะความรู้ ของเจ้าของศาสนานั้นๆมีภูมิ ความรู้ในระดับใด แต่ทุกศาสนา จึงสอน ให้คนเป็นคนดี แต่มีศาสนาเดียว ที่ทรงค้นพบ คืดแดนพระนิพพาน คือ แดนอมตะ เป็นแดนวิเศษ ที่พระองค์ทรงค้นพบ เป็นแดน ที่ไม่ต้อง เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ฉนั้น พระองค์ทรงค้นพบ การเกิด เมื่อมนุษย์ทำความดี ก็ทำให้ไปเกิดเป็น เทวดา นางฟ้า หรือ เจริญสมาธิกรรมฐานได้ฌาณ 1-2-3-4 ทำให้ไปเกิดเป็นพรหม หรือเจริญสมาธิกรรมฐาน ได้อรูปฌาณ ๔ ทำให้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีรูป เป็นดวงจิต ลอยอยู่เฉยๆ
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาว่าต่อ ตานี้เมื่อ สัตว์ทั้งหลาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดแห่ง ทุกข์ บา
    งที ก็ทำให้ไปเกิด ในแดนต่างๆ ตามอำนาจ กรรมที่เราทำ ทำกรรมชั่ว ก็ทำให้ไปเกิด ที่ไม่ดี เช่นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน มนุษย์คือแดนกลาง ทำความดี ก็ทำให้ไปเกิด เป็นเทวดา นางฟ้า ชั้นต่างๆ พรหมชั้นต่างๆ อรูปพรหมไม่มีรูป ชั้นต่างๆ ไม่ว่า สัตว์ประเภทใดๆ ที่กว่าวมาแล้ว และสวรรค์ พรหม อรูปพรหมก็ดี ไม่ใช่ว่า เป็นของศาสนาใดๆ ในโลกนี้ ทุกศาสนา ทุกชนชั้น คนเผ่าพันต่างๆ สัตว์ทุกประเภท มีสิทธิไปเกิดกันได้ ทุกตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ


    เมื่อพระศาสดาเอกของโลก ก็คือ พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ พระนิพพาน ก็ทรงสั่งสอน เวไนยสัตว์ คือผู้คนทั้งหลาย ให้หาทางพ้นทุกข์ คือแดนเกิด ไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปไหนอีก นั้นคือแดนพระนิพพาน แดนพระนิพพาน ทุกคนจะไปได้ นั้นต้อง ดับตัณหา อุปทานทั้งหมด ถึงจะไปได้ ตัดภพ ตัดชาติ ชรามรณะได้โดยสิ้นเชิง ดับไม่มีเชื้อ พูดย่อๆคือ ตัดโลภ โกรธ หลง ได้โดยสิ้นเชิง ดับสูญ จากกิเลสทั้งมวล ฉนั้น เกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือ พรหม อรูปพรหม ก้ดี มีความสุขจริง แต่เวลา หมดบุญวาสนาเมื่อไหร่ ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก ตานี้ไม่แน่ว่า เราทำกรรมอะไรไว้ ก็ต้องทำให้ไปเกิดในที่ไม่ดีอีก พุทธองค์จึง


    ทรงสอน ให้เรา หาทางพ้นทุกข์ด้วย การปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบ พระทรงสอนไว้หมดแล้ว ศึกษาเอาเองได้ด้วยทาง ในเว็บพลังจิต พระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ต่างๆ ท่านได้สอน วิชาที่พระพุทธเจ้าสอน ไว้ ในวิธีการต่างๆ มากมาย ให้เลือกเอา ที่เราชอบ อย่างไหน ให้เอาไปปฏิบัติ ในสุด ท่านทั้งหลายก็ จะได้ หนทางดับทุกข์ที่พระองค์ทรงค้นพบ พ้นทุกข์กัน ตามกำลังวาสนาบารมี ทุกท่านทุกคน ครับสวัสดี ยังมีอีกเยอะที่ไม่ได้พูดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...