ปกิณกธรรมก่อนทำวัตรค่ำ วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 22 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    ปกิณกธรรมก่อนทำวัตรค่ำ วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 908690.jpg
      908690.jpg
      ขนาดไฟล์:
      284 KB
      เปิดดู:
      105
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มีลูกศิษย์ของพระอาจารย์พระมหาธวัชชัย กลฺยาโณ ป.ธ.๙ เจ้าคณะอำเภอพนมทวน เจ้าอาวาสวัดพังตรุ ซึ่งท่านอาจารย์พระมหาธวัชชัยนั้น ติดต่อมาล่วงหน้าว่าจะนำเหรียญมาให้กระผม/อาตมภาพช่วยจารเพิ่มราคาให้หน่อย ถามว่ามากเท่าไร ? ท่านบอกว่า "๑๙ เหรียญเท่านั้น" ปรากฏว่าพอมาถึงกลายเป็น ๒๐ ลัง..! แล้วก็มาแบบมือเปล่า กระทั่งดอกไม้ธูปเทียนอะไรก็ไม่มี กระผม/อาตมภาพจึงต้องให้กลับไป

    อย่าลืมว่าการพุทธาภิเษกตามแบบสายของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น พวกเรากราบขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์เป็นปกติ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นใคร ? คุณเล่นจะมามือเปล่า แล้วก็ไปสะกิด "ช่วยทำให้ผมหน่อย" อย่างนั้นหรือ ? แม้กระทั่งการจารแผ่นชนวน เพื่อที่จะหล่อพระหรือว่าสร้างวัตถุมงคล ก็ยังต้องมีดอกไม้ธูปเทียนหรือบายศรีมาเลย


    แล้วนี่งานพุทธาภิเษกใหญ่ขนาดนั้น ถ้าไม่มีบายศรีใหญ่ครบชุด กระผม/อาตมภาพก็ไม่บังอาจทำหรอก เพราะว่าถ้าใช้กำลังตัวเองไปก็ได้หน่อยเดียวเท่านั้น เนื่องเพราะว่าจำกัดด้วยระยะเวลา อายุความเป็นมนุษย์นั้นน้อยนัก แต่ถ้าหากว่าปลุกเสกโดยขอบารมีพระ ท่านให้พรหมเทวดาช่วยรักษาวัตถุมงคลเหล่านั้น ซึ่งอายุของพรหมเทวดาท่านยาวนานมาก เราตายไปหลายรอบแล้วท่านเองก็ยังอยู่ ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเล่น ๆ ก็ได้

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเตือนไปหลายท่านแล้วว่า "พระพุทธเจ้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ ถึงเวลานึกอยากทำรูปของท่านก็ทำ นึกอยากจะสร้างก็สร้าง..!"


    ตัวอย่างชัดเจนที่สุดมีอยู่ ก็คือวัดแห่งหนึ่งที่อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง สร้างรูปสมเด็จองค์ปฐม ใหญ่มาก แต่เป็นการสร้างแบบที่รู้แค่ว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่มีคนศรัทธามาก ตั้งใจสร้างประมาณว่าเอาไว้ดึงคนเข้าวัด..!

    ช่างปั้นก็เป็นช่างคนเดียวกับที่ปั้นพระให้วัดท่าขนุน ช่างหล่อก็เป็นช่างหล่อทีมเดียวกับที่หล่อพระให้วัดท่าขนุน แต่ปรากฏว่าของท่าน แค่ยกหุ่นพระพุทธรูปเพื่อที่จะไปหล่อที่วัดก็รอกขาด หุ่นตกกระแทกพื้น เสียหายหมด จนช่างปั้นต้องปั้นให้ใหม่..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2022
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    การหล่อพระก็ใช้ฤกษ์เดียวกันกับของวัดท่าขนุน ใช้ช่างชุดเดียวกัน แต่ของวัดท่าขนุนหล่อออกมาแล้ว หลวงพ่อทองคำแทบจะไม่ต้องแต่งเลย ตัดสายชนวนแล้วขัดเรียบก็ใช้ได้ แต่ทางด้านโน้นไปหล่อ ๔ ครั้ง ไม่เต็มสักครั้ง คำว่าไม่เต็ม ก็คือโลหะแล่นไม่ทั่ว จะเกิดรอยโบ๋รอยแหว่งใหญ่ ๆ มากมาย ต้องมาปะ มาอุด มาอะไรกัน ถ้าหากว่าเกินกำลังก็ต้องปั้นใหม่ หล่อใหม่

    นั่นคือการสร้างพระโดยที่วัตถุประสงค์ตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นมาก็ใช้ไม่ได้แล้ว คือสร้างพระเพื่อดึงศรัทธาคนเข้าวัด ไม่ใช่สร้างเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่สร้างเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา แล้วการสร้างก็ไม่ทราบว่าได้ทำบวงสรวงขออนุญาตหรือเปล่า ? ถึงได้มีสารพัดอุปสรรคขนาดนั้น


    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านสร้างพระคำข้าว ๑ องค์ โดยการที่ฉันอาหารไป คำไหนรู้สึกว่าอร่อยก็คายออกมา ก็คือตัดใจสละ..ไม่กินแล้ว เก็บเอามาตากแห้งไว้ แล้วก็บดทำผง ปั้นได้พระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ๑ องค์ จากนั้นทำพิธีบวงสรวงใหญ่เต็มพิธี เพื่อรับพระพุทธรูป

    หลวงพ่อฤๅษีฯ ตอนนั้นยังเป็นพระใหม่อยู่ สงสัยมาก ถามว่า "หลวงพ่อครับ พระพุทธรูปองค์แค่นี้ต้องใช้บายศรีชุดใหญ่เต็มชุดเลยหรือครับ ?" หลวงพ่อปานถามกลับว่า "พระพุทธเจ้ามีเล็กหรือ ?" เพราะมีบาลีว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้


    หลวงปู่ปานท่านเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า ท่านก็ทำเต็มพิธี เพราะว่านั่นคือพระพุทธเจ้า แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเห็นเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กหน้าตักแค่ ๕ นิ้ว นั่นคือสิ่งที่มองต่างกัน แล้วสมัยนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องของคุณพระรัตนตรัยมากมายเหมือนสมัยหลัง

    อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะยกตัวอย่างให้ก็คือ มีลูกศิษย์รับพระของขวัญวัดปากน้ำไปจากหลวงปู่สด วัดปากน้ำ แล้วก็บ่นว่าพระองค์เล็กนิดเดียว แบบนี้จะช่วยคุ้มครองป้องกันได้จริงหรือ ? ปรากฏว่าคืนนั้นฝันเห็นองค์พระขยายใหญ่จนเต็มจักรวาล แล้วมีเสียงกระหึ่มลงมาว่า "ขนาดนี้พอที่จะรักษาไหม ?" ก็คือพอที่จะคุ้มครองแกได้ไหม ? ประมาณนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2022
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    เรื่องของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก ไม่มีมนุษย์รูปไหน นามไหนที่จะมีบารมีเกินกว่าพระองค์ท่าน เพราะว่านอกนั้นก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่สร้างบารมีน้อยกว่า พระอรหันต์ก็สร้างบารมีน้อยกว่า พรหมเทวดายิ่งไม่ต้องพูดถึง ก็แปลว่า คำว่าพระพุทธเจ้านั้นไม่มีคำว่า "เล็ก"

    หลวงปู่ปานท่านบอกว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ๒ พระองค์ นั่งถามตอบถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ถามตอบกันเป็นปีก็ตอบไม่หมดว่าพระพุทธเจ้ามีคุณขนาดไหน ที่โบราณใช้คำว่า "ฝอยท่วมหลังช้าง" ก็คือเขียนใส่กระดาษแล้วกองสูงท่วมหลังช้าง ยังบรรยายคุณของพระพุทธเจ้าได้ไม่หมดเลย

    พวกเราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมต้องเข้าใจด้วยว่า พุทธานุสติที่กระผม/อาตมภาพสอนทุกคน สอนทุกครั้ง สอนทุกเช้าที่ปฏิบัติธรรม บางคนอาจจะคิดว่าสอนอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยากจะถามคืนไปว่า ไอ้ที่สอนซ้ำซากนี่ ทำได้ดีแล้วหรือยัง ?

    พุทธานุสติเป็นกองกรรมฐานที่ช่วยให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ดีที่สุดและง่ายที่สุด เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลย นอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่าน คือเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน

    อยากจะบอกว่า ความรู้ที่กระผม/อาตมภาพศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมมาทั้งหมด สรุปลงก็เหลือเท่าที่มาจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะให้ทุกเช้าที่มีการปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ใครอยากจะเป็นพระอภิญญา ใครอยากจะเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ ทำไปเลย ทำได้เมื่อไร กำลังใจถึงระดับ ได้อย่างที่ต้องการแน่นอน..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    ถ้าจะเป็นอภิญญา ๖ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เพราะว่าข้อที่ ๖ ของอภิญญา ๖ ก็คืออาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดกิเลสให้สิ้นไป อย่างน้อย ๆ ต้องสิ้นไปในระดับโสดาบัน ถึงถือว่าได้ญาณตัวนี้

    แต่ถ้าเป็นปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป เพราะว่ากำลังของปฏิสัมภิทาญาณนั้นสูงมาก ถึงขนาดฝืนกฎของกรรมได้สบาย ถ้าหากว่าไม่ใช่บุคคลที่ยอมรับกฎของกรรมในระดับพระอนาคามีขึ้นไปแล้ว อาจจะไปสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับโลกสารพัดโลก สารพัดภพภูมิ ก็แปลว่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอย่างที่คิดไม่ถึง จึงต้องมีกฎเกณฑ์กติกาบังคับเอาไว้แบบนี้

    โดยเฉพาะนิโรธะสมาบัติ หรือนิโรธสมาบัติ อย่างที่พวกเราเรียกกัน ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณขึ้นไป ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ อนาคามีธรรมดายังไม่พอ อนาคามีวิชชา ๓ อนาคามีอภิญญา ๖ ก็ไม่ได้ ต้องเป็นอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมก่อนทำวัตรค่ำ
    วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...