พระพุทธเจ้าอีกจักรวาลหนึ่ง มีจริงหรือไม่

ในห้อง 'ฝากคำถามถึงหลวงพ่อเล็ก' ตั้งกระทู้โดย Chalida236, 2 พฤษภาคม 2012.

  1. Chalida236

    Chalida236 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +18
    นมัสการพระอาจารย์
    รบกวนถามเรื่องแดนพุทธเกษตร และการมีของพระพุทธเจ้าอีกโลกธาตุหนึ่ง เหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ค่ะ ตามที่เคยได้อ่านมาว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวในแต่ละจักรวาลหรือมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกธาตุเดียวกัน ไม่สามารถมีได้ถึง 2 พระองค์ในโลกธาตุเดียวกัน แต่ในพระไตรปิฏกก็ได้กล่าวเช่นกันว่าจักวาลนี้ไม่ใช่จักวาลเดียวที่มีอยู่ ยังมีจักวาลอื่นอีกหลายแสนจักวาลด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอยู่อีกจักวาลหนึ่ง
     
  2. อินทิราธา

    อินทิราธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +346
    มารอฟังคำตอบค่ะ วานผู้รู้ด้วยค่ะ
     
  3. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    คุยกับผีตัวที่ ๒๒ พบมนุษย์ในจักรวาล(โลก)อื่น
    ต่อเนื่องจากเรื่องราวของผีตัวที่ ๒๑ ที่ได้พบมาที่ผู้เขียนได้จบลงตรงที่ขอเดินทางไปต่อจากพรหมโลกชั้นที่ ๑๒ ที่ได้พบกับท่านท้าวทศพักตร์พรหมแล้ว ผู้เขียนก็ขอเดินทางต่อไปเนื่องจากเวลานั้นกำลังของสมาธิ(ฌาณ)ยังมีอีกมาก สามารถใช้เดินทางต่อไปได้ ซึ่งต้องขอบอกว่าการไปสู่ดินแดนต่างๆในสภาวะแห่งจิต จะโดยฌาณหรือการถอดจิตไปก็ตามนั้น จิตนั้นจำเป็นจะต้องมีกำลังมาก เช่นเดียวกับการที่มนุษย์เดินทางไปนอกโลกด้วยยานอวกาศที่ต้องใช้เชื้อเพลิง มากเช่นกัน กำลังของสมาธิหรือฌาณจึงต้องมีมากด้วย นั่นเป็นสิ่งสำคัญของนักปฏิบัติ นักบำเพ็ญทั้งหลายจำเป็นจะต้องฝึกฝน คือทำให้มากเจริญให้มาก เพื่อสั่งสมกำลังของจิต เพื่อใช้ในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ (กล่าวโดยย่อ) เมื่อผู้เขียนเดินทางต่อไปจากพรหมโลกชั้นที่ ๑๒ บริเวณโดยรอบตัวผู้เขียนเวิ้ว้างเพราะเป็นห้วงอวกาศเห็นดวงดาวต่างๆที่อยู่ ในจักวาลของเราที่เคยได้รับรู้จากการเรียนการศึกษาและข่าวสารที่ได้รับ เรื่องดวงดาวและระบบสุริยะจักรกวาลของเราได้เห็นดวงอาทิตย์ที่ใหญ่โตและมี แสงอันร้อนแรงด้วยผู้เขียนก็ไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าได้ออกจากจักวาลนี้ไปสู้ จักรวาลอื่นที่ไกลกันออกไปไปเรื่อยๆเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปพบกับสิ่งที่ตัว ผู้เขียนเองไม่เคยเห็นมาก่อนแม้ในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ดวงดาว หรือแม้แต่องการที่ทำงานเกี่ยวกับนอกโลกก็ยังไม่เคยได้พบและหรือมีหลักฐานมา ยืนยัน และที่สำคัญยังไม่ปรากฏว่าใครหรือชนชาติใดในโลกของเราใบนี้จะได้เคยออกไปนอก ระบบสุริยะจักรวาลนี้ด้วยยานอวกาศเลยอย่างมากก็บินวนอยู่ในระบบสุริยะ จักรวาลเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ผู้เขียนได้พบจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนนอกเหนือ จากนรก-สวรรค์และสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาลเราเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีใครพบ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพทธเจ้าของเราทุกๆพระองค์ และพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาสมาบัติอีกมากมายก็เคยได้ออกไปยังดินแดนต่างๆที่ อยู่นอกจักรวาลของเรามาแล้ว ดังที่พระได้ทรงตรัสไว้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนหรือคล้ายกับเราที่ เรียกว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในโลกธาตุอื่น พระองค์ตรัสเรียกโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ว่า โลกธาตุ อีกกว่า ๑๐,๐๐๐ โลกธาตุ ผู้เขียนเคยได้ยินได้ฟังมาเชื่อตามนั้นแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบจนกระทั่ง เวลานี้ที่กำลังเขียนเรื่องนี้แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังทรงจำได้ไม่ลืม กับประสบการณ์ครั้งนั้นที่กำลังจะเล่าให้ฟัง หลังจากที่เดินทางด้วยจิตออกจากจักวาลของเราเข้าไปยังห้วงอวกาศอีกห้วงหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าไกลกันกับจักรวาลของเราแค่ไหน แต่เมื่อเข้าไปก็รู้ว่าคนละจักรวาลกัน ที่มั่นใจก็เพราะปรากฏว่ามีพระอาทิตย์อีกดวงและมีดวงดาวบริวารที่รายล้อม ลักษณะเช่นเดียวกับจักรวาลของเราแต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียวผู้เขียนก็ไปยัง ดวงดาวดวงหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายโลกแล้วผู้เขียนก็ได้พบกับสิ่งมีชีวิตพวกแรก ในดินแดนอันไกลโพ้นนี้ ลักษณะของพวกเขาคล้ายเราแต่ไม่เหมือน ตัวเขาค่อนข้างเล็กขนาดเท่าต้นพริกบ้านเรา ลักษณะที่เด่นของเขาคือ เขามีหูที่ใหญ่เหมือนหูช้างแต่เรียวเล็กกว่า ที่เห็นพวกเขากำลังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อยู่คือทำกสิกรรม เกษตรกรรมเหมือนกับที่บ้านของเรา ผู้เขียนจึงเข้าไปทักทายพูดคุยกับเขาด้วยความสนใจ เราพูดกันด้วยจิตหรือมโนสำนึก เราสื่อสารและเข้าใจกันได้โดยง่ายทุกคนเป็นกันเอง (เขาอยู่กันเป็นครอบครัวเหมือนเรา) ผู้เขียนทักทายพวกเขาว่า “เอ่อ ขอโทษครับ ที่นี่ที่ไหน แล้วอย่างพวกท่านเรียกว่าอะไร” หนึ่งในนั้นตอบผู้เขียนมาว่า “เราก็เป็นมนุษย์เหมือนท่านนี้แหละ แต่คนละแบบกัน ท่านก็ดูความแตกต่างเอาก็น่าจะรู้” “มนุษย์หรือ มนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า” “ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวอย่างที่พวกท่านเรียกหรอก เราเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับท่าน แต่อยู่คนละโลกคนละจักรวาลกันเท่านั้น แต่มีชีวิตเลือดเนื้อ มีการทำมากินเลี้ยงชีวิตเหมือนกัน อย่างในสมัยที่ท่านมานี้โลกของเราเป็นยุคเกษตรกรรมคือทำไร่ทำนา แต่ที่เราตัวเล็กกว่าท่านเพราะเราเป็นยุคที่เกิดตารมหลังท่าน ท่านพัฒนาไปก่อนเราเยอะ เรายังใช้แรงงานจากสัตว์ในการประกอบการเกษตร แต่เรามีสิ่งที่พิเศษกว่าท่านคือ หูที่ใหญ่ของเราที่มันสามารถทำให้เราได้ยินเสียงทุกอย่างที่เกิดในจักรวาล ของเราและใกล้เคียงและโดยเฉพาะเสียงทิพย์ทั้งหลาย เราอยู่ด้วยอาหาร ข้าวน้ำ เราหายใจด้วยอากาศ เรามีการหลับนอนพักผ่อน เรามีกลางวันกลางคืนเหมือนท่าน เรามีการขับถ่าย เรามีความรัก มีเพศชาย-หญิง เราสมสู่สืบพันธ์ มีการสร้างครอบครัวเฉกเช่นท่านทุกประการ มีเลือดมีเนื้อ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความสุข ความทุกข์ มีรอยยิ้ม มีน้ำตา มีดีใจ มีเสียใจ แต่โลกของเราเกิดที่หลังท่าน ยังล้าหลังท่านอยู่นานนัก แต่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกับท่าน เรารู้จักโลกของท่าน ที่เรารู้เพราะเรารู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นและปรินิพพานที่นั่น ทุกโลกธาตุย่อมรับรู้ถึงสิ่งนี้เป็นสำคัญ โลกธาตุใดมีวาระการอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธาตุนั้นย่อมเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในหมื่นโลกธาตุ ว่าเป็นโลกธาตุที่ถึงพร้อมแห่งการมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งศาสนิกชนผู้นับถือพระองค์นั้นมีในทุกโลกธาตุ ครั้งที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ พระองค์ก็ได้เสด็จไปประกาศพระสัทธรรมในทุกโลกธาตุที่มีมนุษย์อาศัยอยู่นับ ได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นโลกธาตุตามที่พระองค์ตรัสไว้ พระองค์มีอาณุภาพกว้างใหญ่ไพศาลยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน ท่านเองก็รู้มิใช่หรือ” ผู้เขียนพยักหน้ารับคำ “อีกอย่างการเดินทางของท่านครั้งนี้เป็นไปโดยบังเอิญและไม่คาดคิดว่าจะได้พบ เจอกับมนุษย์แบบเดียวกับท่านมันก็เลยดูอาจจะเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ สำหรับท่านแต่ท่านจงเชื่อไว้เถอะว่าไม่มีอะไรประหลาดและอัศจรรย์หรอกเพราะ ทุกอย่างมันมีและมันเป็นอย่างที่มันเป็นเหมือนโลกของเรา ถ้าท่านมีเวลาหรือมีกำลังพอเราอยากพาท่านไปโลกธาตุอื่นๆที่ติดๆกันกับเราอีก สัก ๒-๓ โลกธาตุเพื่อที่จะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เพื่อที่ท่านจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ท่านพอจะมีเวลาไปมั้ย” “เรามีเวลามากพอสำหรับความรู้และประสบการณ์ ขอท่านจงนำทางเราเถิด ดีเหมือนกันเราจะได้มัคคุเทศน์นำทางไปเพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนยังไง และที่สำคัญจะได้ไม่เสียเวลาเปล่า” แล้วเพื่อนใหม่ที่เป็นมนุษย์อีกโลกหนึ่งนั้นก็พาผู้เขียนไปด้วยการเหาะไป นี่เป็นอีกอัศจรรย์หนึ่งคือเพื่อนใหม่ของผู้เขียน เหาะได้มีฤทธิ์ทางใจและมีกำลังมากด้วย เค้าบอกผู้เขียนว่านี่เป็นเรื่อแงธรรมดาของพวกเขา ทุกคนในโลกของเขาทำได้ตั้งแต่เกิด เขาไม่ต้องใช้พาหนะในการเดินทางแต่ไปด้วยการเหาะเหินไปดังที่เห็นนี้ เราทั้งสองเดินทางออกจากจักรวาลที่อยู่ไปยังอีกจักรวาลหนึ่งซึ่ผู้เขียนไม่ รู้ทางหากแต่ตามผู้ที่นำทางไปเท่านั้นถึงไหนถึงกันจนมายังดินแดนที่เรียกว่า โลกอีกที่หนึ่ง ที่นั่นผู้นำทางได้ชี้ให้เห็นลักษณะของมนุษย์และอธิบายการดำรงชีวิตของ มนุษย์ทั่นั่น รายละเอียด มนุษย์โลกธาตุนี้ ตัวเล็กเท่าผีเสื้อ มีปีกบินได้ เที่ยวหาอาหารตามดอกไม้มีน้ำหวาน ดำรงชีวิตอยู่ด้วยน้ำหวาน มีรูปร่างเหมือนเราทุกประการเลยเพียงแต่ว่ามีปีก อาศัยอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ มีการปลูกที่อยู่อาศัยลักษณะคล้ายบ้านของเราที่เราอยู่ มีประตูหน้าต่างแต่ทุกอย่างเล็กไปหมดตามขนาดตัวของเขา เครื่องใช้ไม้สอยเหมือนของเล่นของเด็กที่โลกของเราแต่ทุกอย่างสามารถใช้งาน ได้จริง มีภาษาพูด มีการสร้างครอบครัว มีการถ่ายทอดความรู้ มีกิจกรรมต่างๆเหมือนที่โลกของเรา มีการร้องรำร่ายรำ มีเครื่องดนตรี มีเสียงเพลง มีความรัก มีความสุข ทุกย่าองในโลกธาตุดูเล็กไปหมด มีแต่ต้นไม้เท่านั้นที่ใหญ่แต่ก็ไม่ใหญ่มากใหญ่สุดไม่น่าเกิน ๒-๓ เมตรของเรา สรรพสัตว์อื่นๆก็ตัวเล็กๆ ไม่ศัตรูทุกชีวิตอญุ่กับอย่างผาสุข ไม่มีการฆ่าไม่มีการล่าการกินเนื้อต่างเผ่าพันธ์ มนุษย์และสัตว์ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและพูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันได้หมด กินอาหารตามธรรมชาติมีแต่พวกมังสวิรัติทั้งนั้น “โลกธาตุนี้เป็นมังสวิรัติทั้งหมด ทั้งมนุษย์และสัตว์ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ด้วยศีลคือการไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน มีการเจริญพรหมวิหารอยู่เป็นนิจ เป็นโลกธาตุที่เกิดใหม่เพิ่งมีมนุษย์มาอาศัยได้ไม่นาน มนุษย์ยุคแรกนั้นมาจากพรหมโลก และก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวิวัฒนาการมาจนปัจจุบันดังที่เห็น” เพื่อนใหม่ผู้เขียนอธิบายพอสังเขป เราอยู่ดูวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่นี่อีกพักหนึ่ง แล้วเดินทางไปโลกธาตุต่อไป “ไปต่อกันเถอะ” เพื่อนใหม่ของผู้เขียนชักชวน ผู้เขียนก็ตามไป มาได้ไกลอีกระยะหนึ่งจากโลกธาตุของมนุษย์มังสวิรัติ มาถึงโลกธาตุอีกโลกธาตุหนึ่ง ที่นี่มีแต่เสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหวไปทั่งเป็นเสียงของเหล็กการ เคลื่อนที่ของเหล็กที่มีน้ำหนักมากๆดังไปทั่ว เมื่อผู้เขียนได้เห็นภาพก็คือ มนุษย์ที่นี่มีรูปร่าง สัดส่วนที่เกือบจะเท่าเรา แต่ผิวหนังคนละสีของเค้าออกขาวซีด ไม่มีผม ใส่เสื้อผ้ารัดกุม ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าให้เห็น เห็นแต่สิ่งปลูกสร้างที่เจริญรุดหน้าเราไปมาก บรรยากาศรอบข้างดูเหมือนร้อนแต่เย็นเพราะมีการปรับอากาศให้พอเหมาะในการดำรง ชีวิต เหมือนอยู่ในโดม มนุษย์นั่งหรือทำงานอยู่แต่เพียงภายในโดม ข้างนอกจากโดมไป จะมีแต่หุ่นเหล็กตัวใหญ่ทำงานอภิมหาอุตสาหกรรม มีการเกษตรเพื่อสร้างอาหาร หุ่นทุกตัวควบคุมด้วยมนุษย์ที่อยู่ภายในโดมซึ่งควบคุมด้วยซุปเปอร์ คอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกว่าล้ำหน้าเราไปอย่างมากมายจนผู้เขียนเรียกไม่ถูกว่าอะไร เพราะที่มีอยู่ในโลกเราบางอย่างก็ว่าล้ำหน้าไปแล้ว แต่ถ้าเทียบกับที่โลกนี้เรียกว่าล้าหลังไปเลยสำหรับความล้ำหน้าในโลกของเรา มันเกินบรรยาย ในเรื่องไฮเทคโนโลยี แต่ดูเหมือนคนบนโลกนี้ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใสเท่าไหร่ ทุกคนหน้าดำคร่ำเคร่งกับสิ่งที่ตัวเองทำโดยไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่ เท่าที่เห็นมีการพูดคุยสื่อสารกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ต่างอยู่ในที่ใครที่มัน สื่อสารกันด้วยโลกไซเบอร์ในเทคโนโลยีอย่างเดียว เพื่อนใหม่ของผู้เขียนอธิบายให้ผู้เขียนเข้าใจในวิวัฒนาการของโลกธาตุนี้ให้ ฟังว่า “โลกธาตุนี้เจริญกว่าสโลกธาตุของท่านมาก ต่างกันอยู่ประมาณไม่กี่พันปี รุ่งเรืองในเรื่องหุ่นยนต์ เทคโนโลยี มีสงครามระหว่างชนชาติชนชั้นอยู่เนืองนิจ ทุกคนมุ่งพัฒนาศักยภาพด้านเครื่องจักร หุ่นยนต์ที่ใช้ในการรบการสงคราม การเกษตรมีบ้างแต่น้อย อาหารส่วนใหญ่สังเคราะห์จากธาตุที่มีอยู่ซึ่งก็นับวันยิ่งหายากจึงทำให้เกิด สงครามแย่งชิงทรัพยาการที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เรียกว่าเป็นยุคเข็ญของมนุษย์เลยที่เดียว ความสุขรอยยิ้มจึงค่อนข้างหาได้ยาก ทุกคนไม่สามารถอยู่ด้วยความประมาทเผลอเรอได้ การแสวงหาความสุขมีน้อย ทุกคนคิดถึงแต่งานๆๆ แต่ก็ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้จุดหมายว่าทำไปเพื่ออะไรและได้อะไรจากการทำนั้น นอกจากสงครามการสู้รบและการสูญเสีย ไม่มีการเจรจาระหว่างชนชาติและเผ่าพันธ์ นับเป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ซึ่โลกของท่านก็กำลังเดินทางไปสู่วิถีเดียวกันนี้ในไม่ช้า แต่ทุกอย่างก็จะมีที่สุดของมันโลกธาตุที่เป็นแบบนี้มีอยู่มากพอสมควร เป็นโลกธาตุที่ไม่น่าอยู่เลย เราไปโลกธาตุอื่นต่อเถอะ” ผู้เขียนถอนหายใจ แล้วก็ตามเพื่อนใหม่ไปโลกธาตุอื่นต่อ เราเดินทางกันอีกระยะหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มันดูเหมือนไม่ไกลกันนัก อาจจะเป็นเพราะเริ่มชินกับการเดินทางแล้ว แต่รู้สึกว่ามาไกลจากโลกที่เราอยู่มาก แต่ผู้เขียนยังอยากไปต่อและเวลายังมีกำลังจิตยังเหลือเอาไงเอากัน แล้วก็มาถึงอีกโลกธาตุหนึ่ง โลกนี้เหมือนโลกธาตุร้างเหมือนไม่มีมนุษย์อยู่เลย แต่มีธรรมชาติที่สวยงามมาก งามกว่าโลกธาตุอื่นที่ไปมาและแม้แต่ที่โลกของเราก็เทียบไม่ติด ไม่มีเครื่องจักรเครื่องยนต์กลไก แม้แต่สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตก็ไม่ปรากฏเห็นแต่เพียงบ้านเป็นหลังๆกระจายกัน ไปทั่วบริเวณ มีภูเขา แม่น้ำ น้ำตก ทะเล ท้องฟ้า ที่งดงาม อากาศเย็นสบายๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนคุยกันมาแต่ไกลๆ ผู้คนมีลักษณะรุงรัง หนวดเครา ขนเต็มหน้าตา เต็มตัวไปหมด เสื้อผ้าเป็นหนังหรือขนสัตว์ ในมือพวกเขามีสิ่งที่เหมือนจอบเสียมที่ใช้ขุดแต่ไม่เหมือนโลกเรา มันทำด้วยความเรียบง่ายจากธรรมชาติ จากกิ่งไม้และหิน ในมือพวกเขาถือเอาหัวเผือกมัน ผลไม้ ติดมือกันมา มีรอยยิ้มพูดคุยกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะตลอดการเดินทาง ประกอบกับเสียงสรรพสัตว์นานาชนิดที่แข่งกันร้องมันช่างมีความสุขเหลือเกิน เพื่อนใหม่ของผู้เขียนได้อธบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกธาตุนี้ว่า “ที่นี่เป็นโลกในยุคหินมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ เงื้อมผาเป็น่สวนใหญ่ ปลูกบ้านเรือนมีบ้างมุงด้วยต้นไม่ใบหญ้า มนุษย์ยังมีจำนวนไม่มากนัก มีความเป็นอยู่เรียบง่าย รักสันติ ชอบความสงบ รักใคร่เอื้อเฟื้อต่อกัน มีพิธีกรรมความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณในทางที่ดี เรียกว่าเป็นยุคที่มนุษย์มีความสุขที่สุดยุคหนึ่งเลยที่เดียว ไม่มีการฆ่าฟัน ไม่มีสงคราม อาหารและน้ำอุดมสมบูรณ์มาก เกินความต้องการจึงไม้ต้องแก่งแย่งไม่มีการประกอบอาชีพอะไรทุกคนอยู่ด้วย ความสุขกันไปวันๆ มีที่อยู่ ที่กิน มีความรัก มีความสามัคคีในหมู่คณะ ไม่มีใครอยากได้ของใครเพราะทุกคนมีได้เหมือนกันทุกอย่าง โดยเฉพาะปัจจัยสี่ เพราะทรัยกรธรรมชาติมีอย่างมากมายเหลือเฟือ ท่านเองก็คงสัมผัสความสุขที่ว่านั่นได้เหมือนกันใช่มั้ย” เพื่อนใหม่ผู้เขียน ผู้เขียนพยักหน้ารับคำพร้อมกับพูดตอบไปว่า “มันน่าสุขสบายจริงๆนั่นแหละ ธรรรมชาติอย่างนี้ความสมบูรณ์อย่างนี้ที่โลกของเราก็โหยหาเช่นกัน เสียดายที่มนุษย์โลกของเราไม่มีโอกาศได้สัมผัสธรรมชาติแบบนี้ นั่นก็เพราะความเจริญทางด้านวัตถุที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ทุกอย่างก็เลยเปลี่ยนไป” “เราเดินทางกันต่อเถอะ” เพื่อนใหม่ผู้เขียนชวน “ชักรู้สึกเหนื่อยๆแล้ว แต่ก็ยังไหว งั้นไปอีกสัก ๑ โลกก็แล้วกัน ชักอยากจะกลับโลกตัวเองแล้วสิ ไปโลกที่มียานอวกาศ เดินทางไปไหนด้วยยานอวกาศตามที่โลกของเราเรียกได้มั้ยหล่ะท่าน” “ได้สิ ตามมา” “เพื่อนใหม่ผู้เขียนนำหน้า ผู้เขียนก็ตามไป ในที่สุดก็มาถึงโลกธาตุในอีกจักรวาลหนึ่ง แต่ที่นี่ต่างจากที่อื่น เพราะเมื่อเข้ามาในบริเวณขอบจักรวาลผู้เขียนก็ได้เห็นยานบิน ยานอวกาศรูปร่างต่างๆเข้าออกเต็มไปหมด บางลำไปด้วยความเร็วเอื่อยๆ บางลำพุ่งไปเร็วมาก บางลำเห็นแว็บๆก็หายไป ตื่นตาตื่นใจ “ยานอวกาศของจริงนี่” ผู้เขียนรำพึง เมื่อเข้าไปถึงโลกใบนั้นแล้ว สิ่งที่เห็นก็คือ มนุษย์ที่มีรูปร่างผอมบาง ผิวหนังไม่มีขน มีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละ ๓ นิ้ว หัวมีลักษณะ โตใหญ่จากบนและเรียวลงคางแหลม ตากลมโต จมูกเล็ก ปากเล็ก ไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่เห็นอวัยวะสืบพันธ์ทั้งชาย-หญิง พูดคุยกันด้วยโทรจิต ที่สำคัญไม่เดินดิน แต่ใช้โทรจิตในการเคลื่อนที่ เหมือนเหาะไป เคลื่อนที่ไปได้เร็วมาก ผู้เขียนและเพื่อนใหม่ได้มีโอกาส พูดคุยกับมนุษย์ที่โลกนี้คนหนึ่ง ทราบชื่อว่า โทล เขาได้เล่าให้ฟังถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา การดำเนินชีวิต การแสวงหา พวกเขาเป็นนักแสวงหา โดยเฉพาะทรัพยากรทั้งหลายที่มีคุณค่า ที่โลกของพวกเขาตอนนี้แทบไม่เหลือทรัพยากรอะไรแล้วจำเป็นต้องสร้างยานอวกาศ เพื่อเดินทางไปยังโลกธาตุอื่นทั้งที่มี มนุษย์อยู่ และไม่มีมนุษย์อยู่ เพื่อเก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรที่จำเป็นในการดำรงชีพ บางทีก็ขโมย บางทีก็แลกเปลี่ยนภูมิปัญญา บางทีก็แย่งชิงด้วยการทำสงครามกัน แต่ถ้าในโลกธาตุที่ไม่มีมนุษย์ก็จับจองเป็นเจ้าของบ เก็บเกียวทรัพยากรที่มีค่านั้นมาใช้ในโลกธาตุนี้ มีครอบครัว มีพวกพ้องเผ่าพันธ์ เดินทางด้วยวิทยาการที่ล้ำสมัย มีสมองเป็นเลิศ มีโทรจิตที่สามารถสื่อสารระหว่างกัน หรือกระทั่งใช้โทรจิตบังคับจิตใจ สิ่งของ สิ่งต่างๆให้เป็นไปตามต้องการได้ พวกเขาจัดได้ว่าเป็นสุดยอดของการพัฒนาสายพันธ์มนุษย์และวิวัฒนาการเลยที เดียว รวมไปถึงวิทยาการที่ล้ำสมัย ทั้งที่อยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนยานพาหนะ อยู่ที่โลกธาตุตัวเองไม่ต้องใช้ยานพาหนะ เพราะไปได้ด้วยโทรจิต แต่ต้องอาศัยยานอวกาศเดินทางระหว่างจักรวาล โทลบอกว่า เผ่าพันธ์ของเขามีอาณานิคมมากมาย พวกของเขาเดินทางไปทั่วทุกจักรวาลอันมากมาย มีพันธมิตรด้านการค้าพานิช แลกเปลี่ยนสิ่งต้องการ กันด้วยทรัพยาการที่หาได้ โลกไหนมีอะไรที่พวกเขาต้องการและถ้าเขารู้ว่าโลกไหนต้องการอะไร พวกเขาก็จะเอาของเหล่านั้นไปแลกเปลี่ยน โลกที่เป็นลักษณะเดียวกันกับพวกเขามีอยู่มากมายไปมาหาสู่กันด้วยยานอวกาศ ทั้งสิ้น แล้วผู้เขียนก็ขอให้โทล แสดง การเคลื่อนไหวของเขาให้ดูสักหน่อยซึ่งโทลก็ยินดี ที่จะแสดงให้ดู เขาใช้โทรจิตเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งอย่างรวดเร็วประดุจหายตัวได้ มันเร็วมาก แม้กระทั่งเรื่องการสื่อสารพวกเขาสามารถคุยกันทีเดียวพร้อมกันได้ทั้งหมด โทลได้แสดงโดยการให้ผู้เขียนมองไปที่เพื่อนพ้องของเขากลุ่มหนึ่งแล้วเขาจะ ใช้โทรจิตบอกให้ทั้งกลุ่มนั้นประมาณ ๒๐-๓๐ คน หันมาทักทายผู้เขียนด้วยอาการเดียวกัน โดยการโบกมือทักทาย หลังจากที่เขาส่งโทรจิตไป พวกพ้องของเขากลุ่มนั้นก็หันมาโบกมือทักทายพร้อมกันในเวลาเดียวกันทั้งหมด ทันที เป็นที่น่าแปลกใจในกำลังของโทรจิตที่ถึงกันหมด ผู้เขียนถามว่า พวกเขามีการฝึกฝนอย่างไร โทลบอกว่า มันเป็นตั้งแต่เกิดทุกคนเกิดมาก็ทำได้เลย แต่ก็ต้องมีการฝึกฝนเหมือนกัน ขึ้นอยู่ที่ใครมีพลังมากกว่ากันเท่านั้น มีพลังมากก็สามารถควบคุมคนอื่นได้มากเรียกว่าอาจจะได้เป็นหัวหน้า ที่นี่วัดความสามารถกันด้วยโทรจิต รายละเอียดอื่นๆมีอีกแต่ผู้เขียนก็เลือกที่จะเล่าใจความสำคัญๆที่อาจจะมี ประโยชน์ต่อผู้อ่านเท่านั้น หลังจากได้พูดคุยกันอีกพักใหญ่ ผู้เขียนและเพื่อนใหม่ ก็บอกลาโทล และขอบคุณสำหรับมิตรภาพและความรู้ ผู้เขียนและเพื่อนใหม่ก็พากันกลับมาที่โลกของเพื่อนใหม่ซึ่งใช้เวลาไม่นาน มาถึงผู้เขียนก้ได้ขอบคุณสำหรับการเป็นมัคคุเทศน์จำเป็น และได้ถามนามของเพื่อนใหม่ว่าชื่ออะไร เพื่อนใหม่ที่พาผู้เขียนเดินทางมีชื่อ อสิ หลังจากทราบชื่อเสียงและพูดคุยกันอีกพอสมควรผู้เขียนจึงขอตัวกลับมายังโลก ของตัวเอง และไม่ลืมที่จะขอบคุณในทุกๆอย่าง โดยเฉพาะมิตรภาพที่ต่างมีให้กัน ไม่ได้สัญญาว่าจะพบกันอีกแต่จะจดจำเอาไว้ว่าในห้วงฟ้าอันไกลโพ้นยังมีมนุษย์ มีจิตวิญญาณ ที่ต้องการความรักและความสุขอยู่มากมาย ครั้งนี้ผู้เขียนก็ได้รู้ความจริงที่ยิ่งขึ้นไปอีกเรื่องหนึ่งเรื่องโลกธาตุ และมนุษย์ที่อาศัยในโลกธาตุอื่นว่ามีอยู่จริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทรงตรัสบอกเอาไว้ นับว่าพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูอย่างแท้จริง รู้ทั้งทางพ้นทุกข์ และรู้ถึงการเวียนไปแห่งสารบบแห่งชีวิตและจิตวิญญาณ การกำเนิด การดำรงอยู่และการดับ แม้เรื่องมนุษย์และโลกธาตุก็ทรงรู้ สมควรที่มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม จะกราบไหว้บูชา ท้ายที่สุดเรื่องนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนาที่จะอวดอ้างหรือแสดงอะไรที่เหนือ ธรรมชาติเพื่อหวังความนับถือจากใครๆเพียงแต่นำประสบการณ์จากการปฏิบัติสมาธิ ส่วนตัวมาเล่าให้ฟังเพื่อความรู้ความบันเทิงเท่านั้นอาจจะมีสาระบ้างตามฐานะ ตามความรู้ที่มี ผู้เขียนเป็นเพียงผู้เล่าเรื่อง ส่วนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขอให้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านผู้อ่านทั้ง หลายเองก็แล้วกัน สำรับเรื่องนี้ก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ รอพบกับคุยกับผีตัวที่ ๒๓ ต่อไปในโอกาสหน้าก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2012
  4. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    เอามาจากในนี้แหละครับ ลองอ่านดู ของหลวงพี่เล็กครับ

    การเกิดขึ้นของดวงจิต

    ถาม : (ถามเรื่องการเกิดขึ้นของดวงจิต)

    ตอบ: มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอก มันสามารถเกิดได้ แต่โอกาสมันน้อยมาก แล้วขณะเดียวกัน ที่ไปนิพพานแล้วก็ดี ที่อยู่เป็นเทวดา พรหมก็ดี ที่อยู่ในมนุษย์โลก รวมๆ แล้วยังไม่เท่ากับข้างล่างเลย ข้างล่างยังมีโอกาสขึ้นมาอีกตั้งเยอะ

    ถาม: แล้วโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี่ มีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐมแล้วเหรอครับ ?

    ตอบ: บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีมาสมัยไหน เดี๋ยวถ้ามีโอกาสลองไปเคาะถามมันดู มันจะตอบไหม ถึงเวลาก็เอาไม้กระทุ้งๆ หน่อย เฮ้ย ! เอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ ?

    ถาม: มีที่นี่ที่เดียวใช่ไหมครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะลงมาตรัส ?

    ตอบ: มีโลกนี้โลกเดียวที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัส เพราะว่าเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยลักษณะที่มีความทุกข์ ความสุขที่มันแตกต่างแยกเห็นกันอย่างชัดเจน ในเมื่อเห็นกันอย่างชัดเจน สามารถสั่งสอนให้คนเข้าถึงธรรม ก็เห็นได้ง่าย โลกอื่นส่วนใหญ่สบาย ในเมื่อสบายไปบอกว่าทุกข์ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปบอกว่าไม่เที่ยง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อายุเป็นหมื่นๆ ปีน่ะ ฉะนั้น โอกาสที่เขาจะเห็นธรรม เข้าถึงธรรมมันก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกนี้ เขาถึงได้เรียกว่า มงคลจักรวาล จักรวาลที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ลองไปโลกอื่นดูก็ได้ประเภทบำเพ็ญบารมีกันทีลืมไปเลย

    ถาม: จิตเวลาจะเกิดที่ไหน มันจะผูกพันกับที่นั่นหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: มันมีส่วนความจำของมันอยู่ ถึงเวลาพอไปถึงตรงจุดนั้น มันก็จะจำได้ นึกได้ หรือไม่ก็ประเภทที่ว่า อยู่ๆ ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

    ถาม: อย่างนี้ ถ้าเกิดสมมุติเราไปเกิดที่จักรวาลที่ไกลมากๆ โอกาสก็น้อยสิครับ ที่จะมาเกิดในจักรวาลนี้ ?

    ตอบ: ทำไม มีเยอะแยะไป เกิดสลับกันไปสลับกันมา ของเขาก็เหมือนกัน เคยมาเกิดเป็นของเรา แล้วก็ไปเกิดเป็นของเขา เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความดี ความชั่วที่เขาทำ ทำความดีเอาไว้มากกว่านี้ แต่ไม่พอที่จะเป็นเทวดา ก็ไปเกิดอยู่ในดวงดาวที่มีสะดวกสบาย

    ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนว่าไม่ควรคิดมันมันอยู่ ๔ อย่าง คือ พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า กว่าจะบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย สี่อสงไขยกับแสนมหากัป สิ่งที่ท่านทำได้พิลึกพิลั่นเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะเข้าถึงหรือทำได้ ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ คือพวกได้อภิญญา ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง จะเป็นอย่างไรบ้าง กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม โลกจินไตย คือความไม่มีที่สิ้นสุดของโลก คือความเป็นไปของโลกเรานี้ ท่านบอกว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ ผู้ใดคิด พึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะเสียเวลาตายซะเปล่าๆ โดยไม่มีความดีติดตัวไป เพราะมัวแต่ไปคิดอยู่ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมไป จะเกิดผลเร็วกว่าเยอะ



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    http://palungjit.org/threads/การเกิดขึ้นของดวงจิต.153900/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤษภาคม 2012
  5. Chalida236

    Chalida236 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +18
    สาธุค่า..........................................

     

แชร์หน้านี้

Loading...