พระพุทธเจ้า ...โหราศาสตร์...และ คนไทย

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 21 มีนาคม 2012.

  1. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ที่มา http://nonlaw.7forum.net
    โดย sunny



    อาณาจักรศรีสุวรภูมิ

    การเรียนรู้ศีกษาในสิ่งใด ๆ ก็ตาม การำระทำที่ถูกต้องที่สุดจะต้องรู้ที่มา แหล่กำเนิดสิ่งนั้น ๆ เสียก่อน เพื่อให้รู้อย่างลึกซึ้ง และเข้าใจอย่างกระจ่าง สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางค้นคว้าให้กว้างขวางได้ในอนาคต

    การศึกษาสาขาโหราศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน จึงต้องรู้ว่ามีแหล่งกำเนิดจากที่ไหน ชนชาติใดเป็นจ้าของวิชานี้ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่นักศึกษาทั้งหลายจะได้ทราบที่มาที่ไปของวิชาโหราศาสตร์ อันเป็นวิทยากรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อันเป็นภูมิปัญญาของบรรพกาลมีการสืบทอดยาวนานมากจนไม่อาจคำนวนได้ และยังเหลืออยู่ให้เรา ได้ศึกษาค้นคว้า และพิศวงมหัศจรรย์ในความก้าวหน้าทางวิทยาการของคนในยุคโบราณที่มีความก้าวหน้าทางวิทยากรได้ล้ำยุคเกินกว่าวิทยาการปัจจุบันจะก้าวไหถึงแม้ในขณะนี้ซึ่งนับเป็นยุคของเทคโนโลยีก็ตาม

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]“วิชาโหราศาสตร์ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น ตามหลักฐานจากจารึกโบราณนั้นระบุไว้อย่างขุดเจนตรงกันว่า “ฤาษีโคตมะ” ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่ง “อาณาจักรศรีสุวรภูมิ” อันเป็นต้นราชวงศ์โคตมะ” ซึ่งได้สละราชสมบัติผนวชเป็นฤาษีได้คิดค้นและรจนาขึ้นในครั้งบรรพกาล ดังนั้นเราจึงต้องเริ่มศึกษากันว่า “อาณาจักรศรีสุวรภูมิ” นั้นตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของโลก เป็นชนชาติอะไร และชนชาตินั้นยังเหลือเผ่าพันธ์อยู่ในปัจจุบันหรือไม่ [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]การค้นคว้าประวัติศาสตร์โบราณ แหล่งความรู้ประวัติศาสตร์ ที่สมบูรณ์ที่สุดและถูกต้องที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลกก็คือ “พระไตรปิฎก คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา” ซึ่งจะรายละเอียดทุกชนิดของสังคมยุคโบราณนับเป็นแสนปีปรากฎอยู่ในชาดกต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในพระสุตันปิฎก ซึ่งจะกล่าวถึงอาณาจักรและนครโบราณ ซึ่งบางแห่งก็สูญหายไปจากโลกแล้ว สำหรับ “อาณาจักรศรีสุวรภูมิ” และแคว้นนครมีปรากฎในพระไตรปิฎก เช่น [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ในสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิเทส [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]“เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ ย่อมแล่นไปสูมหาสุมทรด้วยเรือ ….. ไปสุวรรณภูมิ…” (ปรโต สโมหิโต สมนฺนาคโต โภเค ปริเยสนฺโต นาวาย …สุวณฺณภูมึ คจฺฉติ) [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]และในสุตตันตปิฎก ขุทกนิกาย พุทธวงศ์ ความว่า [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]“ก็พระนครที่ประสูติของกกุสันธพุทธเจ้านั้นมีชื่อว่า “นครเขมรัฐ” (เชียงตุง) พระบิดามีพระนามว่าอัคคิทัต..”[/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]และในสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย ความว่า

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]“…..ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้านั้น ดินแดนสุวรภูมิ เป็นที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นที่พระทับของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ได้เสด็จมาประทับแล้วในการนี้ พระกัสสปะได้เสด็จประทับแล้วในกาลนี้ พระโคดมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จมาประทับอีก ๑”


    ดังตัวอย่างดังกล่าวนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า “อาณาจักรศรีสุวรภูมิ” ซึ่งในพระไตรปิฎกเรียกว่า “สุวรภูมิ” และนครต่าง ๆ นั้น “มีอยู่จริง” และมีมานานแล้วก่อนสมัยพุทธกาล หากเทียบตามจำนวนปีของศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็สามารถจะประมาณได้ถึงความเก่าแก่แห่งอาณาจักรศรีสุวรภูมิได้ ดังนี้

    ๑. ยุคศาสนาพระกกุสันธะพุทธเจ้ามีอายุ ๕๐๐,๐๐๐ ปี

    ๒. ยุคศาสนาพระโกนาคมนะพุทธเจ้ามีอายุ ๓๐,๐๐๐ ปี

    ๓. ยุคศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้ามีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี

    ๔. ยุคศาสนาพระโคตมะพุทธเจ้าถึงปัจจุบัน ๒๕๔๖ ปี

    เมื่อนำเอาจำนวนปีของยุคศาสนาหมายเลข ๑ ถึง หมายเลข ๔ (ปีปัจจุบัน) รวมกันจะได้ =๕๒๒,๕๔๖ ปี (ห้าแสนห้าหมื่นสองพันห้าร้อยสี่สิบหกปี) นี่คือความเก่าแก่โดยประมาณของอาณาจักรศรีสุวรภูมิ หรือสุวรภูมิ ซึ่งปรากฎยืนยันอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งได้รับการตรวจสอบความถูกต้องทุกตัวอักษรโดยการสังคายนา และรับรองโดยพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาแล้วทั้งสิ้น จึงเชื่อมั่นได้ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักของมานุษยวิทยาปัจจุบันได้แบ่งยุคของมนุษย์ไว้ เป็น ๕ ยุคด้วยกันคือ

    ก. สมัยหินเก่า ระหว่าง ๕๐๐,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ ปี

    ข. สมัยกลาง ระหว่าง ๑๐,๐๐๐ ปี ถึง ๘,๓๕๐ ปี

    ค. สมัยใหม่ ระหว่าง ๘,๙๐๐ ถึง ๒,๐๐๐ ปี

    ง. ยุคโลหะ(ยุคก่อนประวัติศาสตร์) ระหว่างต้น ๒,๕๐๐๐ ปี ถึงปลาย ๒,๑๐๐ ปี

    จ. ยุคสมัยประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ ๒,๑๐๐ ปีลงมา

    ข้อมูลในพระไตรปิฎกดังกล่าวนั้นเป็นระยะก่อนประวัติศาสตร์มาก จึงจำเป็นต้องค้นหาต่อไปว่า ในยุคที่ใกล้เคียงกันนั้นมีกล่าวถึงหือเกี่ยวข้องเรื่องของสุวรภูมิไว้ที่ใดอีกบ้าง ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ปฐมกัปป์ ผูกที่ ๑ มีว่า

    “…..กปฺปวินาสเก ขารุทกมหาเมโฆ วุฎฺฐาย โส อาทิโต สุขุมํ วสฺสนฺโต

    อนุกฺกเมน ตาลกฺขนฺธาทิปมานาหิ มหาธาราหิ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิ ปูเรนฺโต วสฺสติ ขารุทเกน ผุฎฺฐา ปถวิรุกฺขปพฺพตา…”

    เมื่อสมัยกาลน้ำท่วม โลกนั้นมิได้หมายความว่าได้ท่วมไปทั้งหมดทุกแห่งก็หาไม่ เหลือแคว้นเมืองใหญ่ อยู่เป็นบางแห่ง ภายหลังเมื่อน้ำแห้งจึงเกิดเป็นเขาพระสุเมรุราช (หิมาลัย) โลกก็แบ่งเป็น ๔ ทวีปนับ แต่เบื้องเขาพระสุเมรุราชไปเบื้องตะวันตกคือ อโคยานทวีป เบื้องใต้คือชมพูทวีป เบื้องเหนือคืออุตรกุรุทวีป เบื้องตะวันออก คือบุพพวิเทหทวีป…ชนรักษาศีลปฏิบัติธรรมตามถ้ำ เขาหลวง จึงเหลือรอดชีวิตจากมหาอุทกภัยอยู่ในบุพพวิเทหทวีปนี้พร้อม จัดประชุมกัน เห็นว่ามีเหลืออยู่มากมาย จึงกล่าวว่า เราเหลือรอดชีวิตมากขนาด เราจงเรียกขานเราว่า ลวทยฺย (อ่านว่าละวะไทยยะ แปลว่า มากมาย ) คำว่า “ไทยยะ” แปลว่า รอด อิสระ ซึ่งรวมคำทั้งสองคือ ลวไทยยะ จะได้ความหมายว่า “รอดมากมาย” ในกาลต่อไปเถิด แลชนทั้งหลายที่รอดพ้นจากน้ำท่วมก็พากันสร้างบ้านแหลเมืองอยู่ ณ กึ่งกลางบุพพวิเทหทวีปอันชนสบด้วยทะเลทั้งออกแลตก รุ่งเรืองสืบนามว่า สุวรรณภูมิ..” [/FONT]



    เมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาทั้ง ๒ ชนิด คือทางพุทธศาสนา กับมานุษยวิทยา จะเห็นได้ว่าตรงกันในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า จะครอบคลุมตั้งแต่ยุคหินเก่า มาจนถึงตอนปลายของยุคหินใหม่ จึงมีทางเป็นไปได้เพราะมีมนุษย์เกิดขึ้น และพัฒนาการเป็นขั้นตอนแล้ว จะเห็นว่ายุคศาสนาแต่ละศาสนามีอายุเวลาไม่สม่ำเสมอกัน ปัจจุบันนี้มนุษย์เราอยู่ในยุคที่ ๔ ซึ่งมีอายุ ๕,๐๐๐ ปีขณะนี้ล่วงเลยมาแล้ว ๒๕๔๖ ปี ถ้าคิดรวมเวลาที่พระพุทะเจ้าสมณโคดมมีพระชนม์ชีพอีก ๘๐ ปี จะเป้ฯเวลา ๒,๖๒๖ ปี เหนือขึ้นไปเป็นศาสนาพระกัสสปะพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยุคที่ ๓ ซึ่งเป็นยุคที่มีเวลา ๓๐,๐๐๐ ปี คิดรวมถึงเวลานี้จะได้ ๓๒,๖๒๖ ปี ซึ่งมนุษย์จะต้องได้รับการพัฒนามาแลเป็นอย่างเป็นขั้นตอนแล้ว และหากคำนวณระยะเวลาช่วงระหว่างสิ้นยุคพระพุทธเจ้ากัสสปะ ถึงเริ่มสมัยพุทธกาลพระโคดมพุทธเจ้าจะได้ระยะเวลา ๔,๐๐๐ ปี

    เมื่อเปรียบเทียบระยะเวลาทั้ง ๒ ชนิด คือทางพุทธศาสนา กับมานุษยวิทยา จะเห็นได้ว่าตรงกันในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า จะครอบคลุมตั้งแต่ยุคหินเก่า มาจนถึงตอนปลายของยุคหินใหม่ จึงมีทางเป็นไปได้เพราะมีมนุษย์เกิดขึ้น และพัฒนาการเป็นขั้นตอนแล้ว จะเห็นว่ายุคศาสนาแต่ละศาสนามีอายุเวลาไม่สม่ำเสมอกัน ปัจจุบันนี้มนุษย์เราอยู่ในยุคที่ ๔ ซึ่งมีอายุ ๕,๐๐๐ ปีขณะนี้ล่วงเลยมาแล้ว ๒๕๔๖ ปี ถ้าคิดรวมเวลาที่พระพุทะเจ้าสมณโคดมมีพระชนม์ชีพอีก ๘๐ ปี จะเป้ฯเวลา ๒,๖๒๖ ปี เหนือขึ้นไปเป็นศาสนาพระกัสสปะพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยุคที่ ๓ ซึ่งเป็นยุคที่มีเวลา ๓๐,๐๐๐ ปี คิดรวมถึงเวลานี้จะได้ ๓๒,๖๒๖ ปี ซึ่งมนุษย์จะต้องได้รับการพัฒนามาแลเป็นอย่างเป็นขั้นตอนแล้ว และหากคำนวณระยะเวลาช่วงระหว่างสิ้นยุคพระพุทธเจ้ากัสสปะ ถึงเริ่มสมัยพุทธกาลพระโคดมพุทธเจ้าจะได้ระยะเวลา ๔,๐๐๐ ปี

    จากการสำรวจทางภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา พบว่าบริเวณที่เป็นบุพพวิเทหทวีป ในยุคก่อนพุทธกาลหรือประมาณ ๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว ทะเลด้านอ่าวไทยนั้นไม่ได้มีอาณาเขตเหมือนกับในปัจจุบัน แต่ท้องทะเลยุคนั้นได้กินเนื้อที่ลึกเข้ามาในผืนแผ่นดินปัจจุบันโดยสรุป ดังนี้ คือ

    ทิศเหนือ จดจังหวัดชัยนาท นครสวรรค์ เพชรบูรณ์

    ทิศตะวันออก จดจังหวัดนครราชสีมา กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ชลบุรี

    ทิศตะวันตก จดจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี นครปฐม

    ทิศใต้ ออกอ่าวไทยที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    ในยุคสมัยดังกล่าวนี้ส่วนที่เป็นทิศเหนือและทิศตะวันออกนั้น เป็นทะเลที่เกือบจะแยกตัวออกจากอ่าวไทย เพราะจะต้องผ่านเข้าช่องแคบเข้าสู่ทะเลน้อยนั้น ก็ต้องผ่านเกาะใหญ่ที่ขวางทางเข้าสูทะเลน้อยอยู่คล้ายปราการ (คล้ายกับเกาะพระสุทรเจดีย์ ปากน้ำ สมุทรปราการ ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอยุทธยาในสมัยต่อมา จากนั้นจึงจะสามารถเดินเรือเข้าสู่ เมืองลวรัฐ (ลโวทยฺย) หรือจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน

    (มีต่อ)

    ---------------------------------------------------------------------
    ความสงสัยเป็นบันไดแห่งการค้นหา

    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...