ภพดับเป็นนิพพาน

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 มีนาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๑๑๒/๒๘๘
    ๘. โกสัมพีสูตร
    [๒๖๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระมุสิละ ท่านพระปวิฏฐะ ท่านพระนารทะ และท่านพระอานนท์
    อยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี ฯ
    [๒๖๙] ครั้งนั้น ท่านพระปวิฏฐะได้กล่าวคำนี้กะท่านพระมุสิละว่า ดูกรท่านมุสิละ
    เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ และจากการทนต่อ
    ความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่าเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
    ดังนี้หรือ ฯ พระมุสิละกล่าวว่า ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
    ความตรึกไปตามอาการ และการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ฯ
    ป. ท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย
    จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ...
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะ
    เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
    จึงมีนามรูป ...เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
    จึงมีสังขารดังนี้หรือ ฯ
    ม. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ
    [๒๗๐] ป. ดูกรท่านมุสิละ อนึ่ง เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ มีญาณเฉพาะตัว
    ท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
    ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติดับชราและมรณะจึงดับ
    ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไป
    ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพดับ
    ชาติจึงดับ ฯลฯ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ... เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ...
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ... เพราะสฬายตนะดับ
    ผัสสะจึงดับ ... เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ...
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
    ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯ
    [๒๗๑] ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ
    ตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า
    ภพดับเป็นนิพพานหรือ ฯ
    ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
    ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า
    ภพดับเป็นนิพพาน ฯ
    ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านมุสิละ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพ ฯ เมื่อพระปวิฏฐะกล่าวอย่างนี้แล้ว
    ท่านมุสิละได้นิ่งอยู่ ฯ
    [๒๗๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระนารทะได้กล่าวกะท่านปวิฏฐะว่า สาธุท่านปวิฏฐะ ผมพึงได้ปัญหานั้น
    ท่านจงถามปัญหาอย่างนั้น ผมจะแก้ปัญหานั้นแก่ท่าน ท่านปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านนารทะได้ปัญหานั้น
    ผมขอถามปัญหานั้นกะท่านนารทะ และขอท่านนารทะจงแก้ปัญหานั้นแก่ผม
    ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย
    จึงมีชราและมรณะ ดังนี้หรือ ฯ
    นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชราและมรณะ ฯ
    ป. ท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาการตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย
    จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้หรือ ฯ
    นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตาม
    อาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยอิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ฯ
    [๒๗๓] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
    ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า
    เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ ฯ
    นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯ
    [๒๗๔] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา
    ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า
    ภพดับเป็นนิพพาน ดังนี้หรือ ฯ
    นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ
    การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่าภพดับเป็นนิพพาน ฯ
    ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านนารทะก็เป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ ฯ
    นา. อาวุโส ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็น
    จริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพ อาวุโส เปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้น
    ไม่มีเชือกโพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้นบุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย
    เดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้น ก็รู้ว่ามีน้ำแต่จะสัมผัสด้วยกายไม่ได้ ฉันใด ดูกรอาวุโส ข้อว่า
    ภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่า
    ผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
    [๒๗๕] เมื่อท่านพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะท่านพระ
    ปวิฏฐะว่า ดูกรท่านปวิฏฐะ ท่านชอบพูดอย่างนี้ ท่านได้พูดอะไรกะท่านนารทะบ้าง พระปวิฏฐะ
    กล่าวว่า ท่านอานนท์ ผมพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดอะไรกะท่านนารทะ นอกจากกัลยาณธรรม นอกจากกุศลธรรม ฯ
    จบสูตรที่ ๘
     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    กราบโมทนา สาธุ ๆ
    ที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่ด้วยครับ
    การให้ธรรมะ ชนะ การให้ทั้งปวง
    สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...