ร่วมทำบุญบูชา มงคลตัดผ่านสวรรยามหากุมารต้นไฟอมฤต(สลายจุดชะลอชะตาสี่มหาฤทธิ์พญา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ชัยวัฒน์ EV 7739 1525 5 TH

    พี่สมบัติ EV 7739 1526 4 TH
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    คนที่ไม่ทันตะกรุดหรือลังเลเพราะปัจจัยไม่พอ ทั้งคนที่บ่นๆกับผมถามรายการเก่าๆย้ำว่าขอราคาเบาๆพอเหลือมั๊ย อันนี้ก็ติดตามกันไว้รายการนี้เก่าแน่ๆแถมถูกกว่าปรกติและสวยด้วย น่าใช้ ซึ่งถ้าพ่ออาจารย์ยอมให้เอาออกคงจะหมดไวจริงเพราะมันเตะตาคือสวยในมุมของตัวเครื่องรางเองเรียกว่ามีเสน่ห์แบบลึกลับ คราวนี้ไม่ต้องรอถึงวัน ใครไม่ทันห้ามบ่นกันทีหลังอีกเพราะถือว่าเราแจ้งเป็นระยะๆแล้ว:eek:
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้เดี๋ยวมาติดตามพูดคุยเรื่องของอาวุธซึ่งเป็นเทพวิญญาณที่มีชีวิตจนได้รับการสักการะในฐานะของเทวะองค์หนึ่งกัน ห้ามพลาด
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มีคนบอกว่าตะกรุดแก้เงียบ ดี ถามว่าของเพิ่งจะถึงวันเดียวดียังไง เค้าบอกว่าผมสัมผัสได้ว่าสร้อยพระที่ห้อยคอมีพลังงาน บางองค์ก็เต้นตุบๆเหมือนจังหวะหัวใจมนุษย์ บางองค์ก็ร้อนๆอุ่นๆ บางองค์ก็เย็นๆ ทั้งที่สวมคอไว้เฉยๆ ซึ่งปกติไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย ก็เป็นเรื่องเล่าเล็กๆ พี่เค้าว่าแรงครูมาแค่ท่องคาถาก็รับรู้ได้ จากปกติไม่เคยสัมผัสอะไรได้เลย สำหรับตะกรุดนี้ก็รอดูกันยาวๆติดตัวไว้ให้ตลอดหมั่นปลุกบ่อยๆ
    ** ส่วนคนที่โอนไว้ก็จะจัดส่งให้รอบวันพรุ่งนี้นะครับ
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ติดตามกันให้ดีนะครับ กับเทพศาสตราที่เป็นดุจแทนของมหาจักรวาล ทั้งเป็นเทพศาสตราที่มีชีวิตและครูบาอาจารย์ท่านสรรเสริญกันมากว่ามีอานุภาพตัดกรรมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด... ทั้งนี้ยังใช้หนุน.. ใช้คลาย... และใช้ได้อีกหลายๆย่าง เน้นๆว่าใครอยากจะแก้ไขและปรับตัวกฏ หรือสิ่งที่เรียกว่าวิถี ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่กดคนเอาไว้จนจมลึกจริงๆ เอาไว้ตามให้ทันกันรอบเช้าวันพรุ่งนี้
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา เทพศาสตราวิญญาณมหากาลสุทรรศนจักรราชัน(วิถีหมื่นพันผันแปร)

    ตามคติความเชื่อในเรื่องเทพศาสตรานั้น จักรรัตนะนับว่าเป็นอาวุธวิเศษซึ่งมีอานุภาพมากและก็มีหลายชนิด ทั้งจักรของพระเป็นเจ้า จักรของเทพเจ้า จักรของพระโพธิสัตว์และจักรของพระจักรพรรดิ์ ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านว่าจักรแต่ละตัวก็มักจะมีชื่อเรียกต่างๆเป็นชื่อเฉพาะของเค้าไปดุจชื่อที่เราเรียกคน เช่นนายเอ นายบี ทั้งนี้ก็เพราะเค้ามีชีวิต แต่หากจะกล่าวถึงจักรที่เป็นเจ้าแห่งจักรทั้งปวงแล้วก็ต้องยกให้จักรพระนารายณ์นั่นเอง

    พ่ออาจารย์ท่านว่านามของจักรนารายณ์นั้นถูกยกอ้างอิงขึ้นมาพูดหลายครั้ง และคนทำก็หาได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเขาไม่ จึงทำได้เพียงชื่อไม่อาจสมบูรณ์พร้อมทั้งรูป นาม และพลังเทพวิญญาณ ตามลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งโลก แม้สวรรค์ อสูรพิภพและใต้บาดาล มีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับเป็นอาวุธวิเศษที่ใช้ทำลายจักรวาลได้อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งพระนารายณ์จะทรงอาวุธนี้เสมอ เมื่อกล่าวถึงจักรพระนารายณ์แล้วพ่ออาจารย์ท่านก็ได้นำสุทรรศนจักรที่ท่านทำพิธีหล่อเก็บไว้เมื่อสามปีก่อนออกมา ท่านว่าหากจะทำจักรพระนารายณ์ก็ต้องทำให้ได้อย่างนี้

    ***สิ่งที่น้อยคนนักยากจะรู้
    สุทรรศนจักรนั้นเป็นตัวแทนของมหาจักรวาลที่หมุนวนแสดงถึงห้วงสังสารวัฏ อันเป็นสถานที่ตั้งอยู่ให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้พึ่งพาอาศัย เปรียบได้กับวงโคจรของมหาจักรวาลนั้นเอง ทั้งการปรากฏของสุทรรศนจักรยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนสิ่งดีงาม เป็นรูปลักษณะของกาลอันเป็นมงคลทั้งปวง ซึ่งในอำนาจของเทพอาวุธนั้นนับว่ามีพลังทำลายล้างร้ายแรงยิ่ง ด้วยสามารถใช้ประหารศัตรูอันเป็นสิ่งมีชีวิตไม่จำกัดเผ่าพันธุ์ได้ทุกชนิด ทั้งยังเลือกจำกัดอำนาจพลังทำลายเฉพาะคนหรือจะทำลายให้เป็นภัยพิบัติในวงกว้างก็ได้ ทั้งนี้สุทรรศนจักรยังใช้เปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงดาวที่แม้แต่อำนาจของเทพเจ้ายังทำไม่ได้ ทั้งยังบันดาลสุริยคราสและกดขี่ดาวบาปเคราะห์ได้ทั้งปวง พ่ออาจารย์ท่านว่าเพราะเปลี่ยนวิถีดวงดาวจึงเท่ากับเปลี่ยนกฏวัฏจักร ทำลายกฏแห่งกรรมที่ดำเนินอยู่ตลอดได้ทั้งสิ้น ทั้งยังใช้พลิกแพลงปรับเปลี่ยนวิถีดวงดาว วิถีชีวิตและชะตาลิขิตให้พลิกกลับผันแปรได้นับหมื่นนับพันหนทาง "แม้จะตัดมงจรของกรรมกลางวิถีก็ยังทำได้" เช่นนั้นอำนาจของสุทรรศนจักรจึงเป็นจักรที่ทำได้มากกว่าการทำลายล้าง ซ้ำเขายังมีชีวิตของเขา มีฐานะเป็นเทพวิญญาณองค์หนึ่ง และเป็นดุจเจ้าชีวิตในบรรดาจักรรัตนะทั้งหมดด้วยเขาดำรงค์อยู่ในสถานะจักรเทวะราชัน คือผู้ปกครองและเจ้าแห่งเทพวิญญาณในจักรรัตนะทั้งปวง

    ในโลกทิพย์นั้นเมื่อกล่าวถึงจักรราชันย่อมหมายถึงสุทรรศจักรแห่งพระนารายณ์ พ่ออาจารย์ท่านว่าหากจะทำจักรแล้วก็ต้องทำให้มีอานุภาพแบบสุทรรศนจักร ด้วยเขาเป็นเทพวิญญาณ ดังนั้นเราก็จะเชิญให้เขาลงมาทำหน้าที่ เมื่อสำเร็จเป็นเครื่องรางแล้วเทวานุภาพแห่งจักรนารายณ์นั้น จะดีเด่นด้านคุ้มภัยทั้งปราบศัตรู และยังใช้ส่งเสริมการงานให้สำเร็จ ด้วยอำนาจเฉพาะทางเขาจะปราบทุกข์เข็ญทั้งอุปสรรคทั้งปวงให้สลายหายสิ้น พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่ว่าจะพิชิตหมู่มาร มีชัยเหนือศัตรูทำลายทะลุทะลวงคุณไสยมนต์ดำอวิชชาต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ นอกจากใช้เสริมอำนาจบารมีและทำให้วงจรชีวิตและการงานไหลลื่นแล้ว พ่ออาจารย์ท่านว่าเขายังทำอะไรได้มากกว่านั้นไม่เสียชื่อจักเทวะราชันแน่นอน

    สุทรรศนจักรนั้นเป็นของทิพย์ แม้สำหรับทวยเทพเองก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสิ่งเร้นลับไม่อาจเข้าใจอำนาจของเขาได้ทั้งหมด คุณสมบัติของผู้ที่ถือครองสุทรรศนจักรนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าโดยทั่วไปเมื่อบังเกิดจักรรัตนะขึ้นในโลก จักรจะสามารถมอบให้ซึ่งความเป็นใหญ่ในทวีปใหญ่ทั้งสี่มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารแก่ผู้ครอบครอง แต่กับผู้ถือครองสุทรรศจักรนั้นเค้าจะมอบความเป็นใหญ่ในมหาจักรวาลทุกมิติให้กับผู้ครอบครองไว้เช่นนั้น ทั้งนี้ด้วยวาสนาคนมิได้เสมอกันดุจยอดเขาและลำธาร จะเห็นว่าผู้ได้จักรรัตนะต้องมีวาสนามหาจักรพรรดิ์ราชพ่ออาจารย์ท่านจึงตั้งใจจะใช้อำนาจแห่งสุทรรศนจักรยกวาสนาของคนบูชา ให้บุคคลเหล่านั้นอยู่ในเงาของมหาจักรเทวะราชัน มีวาสนาที่รุ่งเรืองขึ้นดุจวาสนาจักรพรรดิ์หรือโพธิสัตว์ที่มาทำงานในยุคปัจจุบัน


    ทั้งนี้อำนาจอันเป็นเอกเทศน์ของจักรเทวะราชันนั้นยังใช้ชี้และแก้ไขสิ่งต่างๆได้ เช่นการปรับภพปรับภูมิของตนเองให้ดีขึ้น แก้ไขประหารสิ่งชั่วร้ายในเบื้องหลังวัฏจักรกรรมทั้งอดีตกาล ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยจักรนี้ถือว่าเป็นยอดแห่งจักรมหาจักรพรรดิ์ พ่ออาจารย์ท่านว่าอยากได้อะไรก็บอกพี่จักรเขา อยากจะปราบอะไรก็บอกพี่จักรเขา

    เช่นไปทำงานเรามีเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนร่วมงานหรือใครๆก็ดีที่วันๆหนึ่งเราต้องประสบพบเจอ พ่ออาจารย์ท่านว่าให้ยกพี่จักรนี่แหละบอกกล่าวเขาไปเลยว่าใครทำอะไรไม่ดีกับเราทั้งต่อหน้าและลับหลังให้พี่จักรจัดการได้เลย ถ้าเขาคิดร้ายและทำเรื่องเลวร้ายกับเราจริงพ่ออาจารย์ท่านว่าจักรนี้จะตัดวาสนาของเขาทันทีคิดง่ายๆดุจเราปาจักรไปตัดหัวเขานั่นแหละ แต่นี้หัวเขาไม่ได้หาย ชีวิตเขาก็ยังอยู่ แต่เมื่อตัดวาสนาแรงกฏแห่งกรรมที่เขาทำไว้อันควรจะเป็นก็จะถาโถมเข้ามา พ่ออาจารย์ท่านว่าจักรตัวนี้ให้ใช้กันให้ดี เพราะหากผู้ใดใช้เป็นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งแรงตบะอันสะสมมาทุกชาติภพ ท่านว่าเราพูดมากกว่านี้ไม่ได้ แต่อย่าเอาไปอธิษฐานความคิดพิกลพิการกันเท่านั้นก็พอ

    แม้คนแสวงหาทรัพย์ หาลู่ทางการเงิน อยากได้ทรัพย์พ่ออาจารย์ท่านว่าให้บอกพี่จักรเขาได้เลย เพราะนี่คือสุทรรศนจักรของพระเป็นเจ้าเป็นจักรเทวะราชัน เป็นจักรเทพวิญญาณซึ่งมีบารมีมากที่สุดแล้ว จะปราบปรามตัดอุปสรรคลดทอนแรงกรรมหรือแก้อาถรรพ์ใด จะเปลี่ยนแปลงกฏเปลี่ยนแปลงมหาวิถีทั้งหมื่นพันพ่ออาจารย์ท่านว่าแค่จักรหมุนก็ไม่เหลือแล้วให้อธิษฐานกันให้ดีบอกพี่เขา ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม คนที่ชอบทางสมาธิปัญญาก็จะเกิดง่ายขึ้น ความรู้และวิชชาต่างๆก็จะเข้าถึงง่ายขึ้น ด้วยพลังที่หนุนได้ทั้งมหาจักรวาลไปพร้อมๆกัน พ่ออาจารย์ท่านว่าเรื่องของมนุษย์คนเดียวนั้นจึงเป็นเรื่องเล็กอย่างถึงที่สุด

    จักรนี้พ่ออาจารย์ท่านหล่อและเสกมาหลายปี ท่านพูดยิ้มๆเหมือนปัดออกไปว่ากว่าจะสำเร็จได้เรียกกันว่าเสกจนลืมตายทีเดียว ลืมไปเสียแล้วว่าทำอะไรไปบ้างเพราะมันยากเหลือเกิน ยากจนไม่อยากจะจำ ด้วยความเป็นเทพวิญญาณและฐานะจักรเทวะราชัน ไม่ใช่นึกจะทำนึกจะเอาชื่อเขามาใช้ก็ทำได้ มหาจักรนี้พ่ออาจารย์ท่านให้พกติดตัวท่านว่าป้องกันภัยทุกอย่าง ปรับธาตุกันแก้ ล้างคุณไสยเสนียดจัญไร อาถรรพณ์วิชาชั้นต่ำ แถมยังขอบารมีท่านให้ตามไปปราบคนสั่ง คนกระทำใส่เราได้ด้วย จะดูดทรัพย์ ดูดคน ดูดโชคลาภ ดูดสิ่งมงคลในสากลโลกท่านว่าแลล้วแต่จะอธิษฐานเลย จะนำมาแช่ทำน้ำมนต์ก็มีฤทธิ์สารพัดตามอธิษฐาน ป่วยไข้ให้นำจักรมาวางตรงจุดที่มีอาการโรคนั้นก็จะบรรเทา นั่งสมาธิทำกรรมฐานวางบนฝ่ามือจะรวมจิตได้เร็ว ใครชอบสายวิชาพลังจักรวาล จักนี้ก็จะดูดพลังงานเข้าร่างคนใช้ได้เร็ว ทั้งยังตรึงรูปพลังงานนั้นไว้ให้อยู่ในร่างกายเราให้เราสามารถใช้ประโยชน์ได้นานตามบุญวาสนา ทั้งคุ้มครองป้องกันภัย ปราบศัตรู แก้คุณไสยมนต์ดำอวิชาต่างๆ เพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมี หนุนเสริมหน้าที่การงานให้สำเร็จ อานุภาพใหญ่ๆเลยที่จักรจะหนุนเรา พ่ออาจารย์ท่านว่ามีดังนี้
    1. ตัวกูผู้ชนะ
    2. มหาอำนาจราชศักดิ์
    3. เมตตาชนนิยม
    4. ป้องกันโรคภัย
    5. ความมั่นคงและมั่งคั่ง
    6. ป้องกันภัยพิบัติ
    7. ปรับภพหนุนนภูมิ
    8. เปลี่ยนลิขิตดวงดาวหลีกเลี่ยงบาปเคราะห์
    9. บารมี โชคลาภ ความก้าวหน้า


    พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นของที่ใช้ได้ทุกภาค ไม่ว่าจะเล่นทางปราบหรือทางโปรดแล้วแต่ใจแล้วแต่สถานการณ์ทีเดียว ขอให้ยึดมั่นในคุณพระนารายณ์จักรนี้จะใช้ได้ร้อยแปดพันประการดุจพระนารายณ์ท่านใช้งานทีเดียว เพียงเราใช้อาราธนาพกไว้เฉยๆ จักรนั้นก็จะครอบตัวเราหมุนติ้วๆอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น ตามที่ฉันบอกว่าอยู่ในเงาของสุทรรศจักรแม้ดาวบาปเคราะห์ก็กล้ำกรายไม่ได้ด้วยเป็นมหาศัตรูกัน แม้เราเจอภัยอะไร ทั้งที่รู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี จักเขารจะออกหน้ารับแทนอย่าได้กังวล นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นเทพวิญญาณซึ่งมีชีวิต อะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเขาตัดสินใจได้เอง อะไรที่มันไม่ดี เห็นอะไรผิดสังเกตแค่นี้เขาก็พุ่งออกไปแล้ว จะใช้ทางอบรม กำจัด ปราบปรามนี่เขาทำให้อัตโนมัติหมดเลย แค่คิดก็แล่นไปเลย ยิ่งถ้าใจเราเกิดความระแวงใครขึ้นมาแล้วเขาเหล่านั้นผิดจริงๆก็จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรมได้รวดเร็วเพราะอำนาจเร่งเร้าของจักรสำคัญนี้

    ด้วยจักรสำคัญนี้จะมีพลังพิเศษเพราะเขาสามารถหนุนชีวิตเราให้ลอยขึ้นสูงดุจดาวค้างฟ้าได้ พ่ออาจารย์ท่านว่า******อย่าลืมเชียวว่านอกจากจะเป็นอาวุธแล้วจักรรัตนะยังเป็นพาหนะในพระจักรพรรดิ์ด้วย ดังนั้นจึงสามารถแบก ยก และหนุนชะตาชีวิตขึ้นไปได้ ทั้งการทำงานที่จะหมุนตัวเข้าหรือคลายตัวออก หากหมุนเข้าก็คือเร่งรัดกฏวัฏจักรหากคลายออกก็จะคลายกฏชาติสงสาร เวลาจะใช้ก็ให้เรากำหนดจิตบอกกับพี่จักรเขาว่าจะเร่งหรือคลาย จะขออะไรก็ตามก็บอกเขาไป ทั้งนี้ยังใช้เล่นทางดูดพลังงานได้อีกด้วย จะใช้ดูดพลังงานอะไร ถ่ายพลังงานใส่สิ่งไหนก็ให้อธิษฐานเอา พ่ออาจารย์ท่านว่าทำได้ง่ายๆเช่นเราไปงานเสกพระ เราก็กำหนดจิตบอกพี่จักรไปว่าให้เขาช่วยกักเก็บพลังงานในพิธีนี้ให้หน่อย พอจะถ่ายลงอะไรให้ประสิทธิ์กับวัตถุมงคลชิ้นไหนก็ให้เอาพี่จักรไปวางทับไว้และบอกให้พี่เขาถ่ายพลังงาน พ่ออาจารย์ท่านว่าแค่ช้างกะดิกหูงูแลบลิ้นชั่วพริบตาก็เป็นอันสำเร็จ เรียกว่าเราสามารถดัดแปลงใช้งานเขาได้อีกมากสุดแล้วแต่ความต้องการ ความปรารถนาของเรานั่นทีเดียว แต่จำไว้ข้อปฏิบัติใหญ่สำหรับคนใช้ คือต้องใช้ด้วยความเคารพและให้เกียรติเขา เรียกเขาว่าพี่ทุกคำได้ยิ่งดี

    ***สุทรรศนจักรสำคัญนี้พ่ออาจารย์ท่านนำมาเจาะติดพลอย(คละสี)หรือที่ท่านเรียกว่าแก้วจักรพรรดิ์ทุกชิ้น พ่ออาจารย์ท่านว่าแก้วนี้เสกลงไว้ครบมีอำนาจดุจมณีรัตนะ ท่านติดไว้ให้หนุนส่งเสริมพลังงานซึ่งกันและกัน ท่านว่าต่อไปทุกความปรารถนาของเรา จะได้สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งมณีรัตนะ ซ้ำจักรรัตนะก็จะช่วยหนุนตัวเราในทุกที่ ทุกเวลา

    คาถาบูชา
    หริโอม ตัสสะ สุเมรุนารายัสสะ ศรีนาราเยน สุทัศนะจักราวุธธัง

    * เทพอาวุธอันมีจิตวิญญาณซึ่งเป็นราชันแห่งอาวุธนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าเขาเป็นของเฉพาะบุคคลเรียกว่ามีคู่บารมี มีคู่บำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว แม้ใครสั่งสมบารมีมาทางสายโพธิสัตว์ สายมหาจักรพรรดิ์ เขาเห็น เขาจะรู้ ว่านี่คือเครื่องบริโภคของเขา คือคู่บารมี คู่บำเพ็ญเพียรอันจะตามติดตัวเขาไปทุกภพ และเขาก็จะมานำของคู่บารมีของเขาไปใช้เอง พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าคนที่มีปัญหาเยอะหรือชีวิตอยู่ในที่ต่ำตั้งแต่เบื้องต้นให้ถือได้เต็มที่คนละสองเล่ม ให้กำหนดเป้าหมายแบ่งแยกหน้าที่บอกพี่จักรเขาให้ชัดเจนหนึ่งนั้นไว้เพื่อนหนุนชูชีวิตตน อีกหนึ่งนั้นเอาไว้เพื่อทำลายสิ่งขัดขวางทั้งปวง

    ร่วมทำบุญบูชา เทพศาสตราวิญญาณมหากาลสุทรรศนจักรราชัน(วิถีหมื่นพันผันแปร) บูชา 2,500 บาท

    45043822-1892646610817602-4970462512316153856-n.jpg
    45204283-730508240632221-6707808802529345536-n.jpg
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่แมน EV 7738 1606 8 TH

    พี่กฤตยชญ์ EV 7738 1607 1 TH

    พี่ศิระ EV 7738 1608 5 TH
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ได้ข่าวหลวงปู่แขกมรณภาพแล้วใจหาย ขอน้อมส่งหลวงปู่สู่พระนิพพานนะครับ :(
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    สร้างสุขภาพดีด้วยตัวเอง

    สุขภาพที่ดีใครๆก็อยากมี แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การเสพสื่อโซเชียล ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรมทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีวิธีสร้างสุขภาพดีง่ายๆที่อยากบอกต่อ ซึ่งหากคุณได้ทำตามล่ะก็รับรองเลยว่าสุขภาพจะดีขึ้นแน่นอน

    1. การเลือกรับประทานอาหาร
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพราะร่างกายจะนำไปพัฒนาและซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ควรลดอาหารที่มีแคลอรีสูง ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกายในที่สุด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์

    2. บริหารสมอง
    การบริหารสมองก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน เป็นต้น ควรหันมารับประทานผลไม้พวก ส้ม องุ่น เบอร์รี่ให้มากขึ้นด้วย เพราะผลไม้จำพวกนี้มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ หรือการหัวเราะก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีในระบบประสาทที่ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งร่างกาย จิตใจ อีกทั้งคนรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย

    3. พักสายตาจากการเสพสื่อโซเชียล
    ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรก็ต้องถ่ายรูป แชร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้มากเกินไปนอกจากจะทำให้เป็นคนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเมื่อยล้า หรือตาแห้งเพราะต้องคอยจ้องอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัว หรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพักสายตา และบริหารดวงตาของเราด้วย เช่น กระพริบตา กลอกตาไปมาเพื่อป้องกันตาแห้ง หรือมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดโซเชียลลงบ้าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเครียดจากการเสพข่าว สุขภาพจิตดีขึ้น

    4. ออกกำลังกาย
    การออกกำลังกายนอกจากจะได้สุขภาพที่ดี เพราะอวัยวะภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เรามีภูมิต้านทานห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ หรือจะวิ่ง จะแอโรบิค ก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งนั้น แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายจริง ๆ งานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ทั้งยังทำให้บ้านสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย

    5. พักผ่อนให้เพียงพอ
    เมื่อทำกิจวัตรต่าง ๆ ในแต่ละวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไป ร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริ้วรอย เสี่ยงต่อโรคภัยต่าง ๆ ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย

    เห็นไหมแค่วิธีง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้แล้ว อาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย อาจรู้สึกฝืนตัวเองสักนิดในช่วงแรก แต่รับรองได้เลยว่า ความพยายามไม่ศูนย์เปล่าแน่นอน ถือเป็นกำไรเสียด้วยซ้ำ!


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่พรเทพ EV 7738 9884 4 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EV 7738 9885 8 TH

    พี่สุรวุฒิ EV 7738 9886 1 TH
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ช่วงนี้มีแต่คนถามกันเข้ามาว่าเมื่อไหร่จะออกของหลักร้อยบ้าง เพราะตะกรุดครั้งก่อนหลายๆคนจ้องอยู่แต่บูชาไม่ไหวแล้วก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหนนี้ก็ติดตามไว้นะ ผมบอกได้คำเดียวว่าเป็นตะกรุดดอกเขียวๆเกี่ยวกับเทพวิชาสำคัญ รับรองว่าดีใจหาย :)
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    - เรื่องเล่างานกฐิน

    มีพี่ท่านนึงไปทอดกฐินที่ต่างจังหวัด วัดของหลวงปู่... วัดเขา... ซึ่งปกติเวลาไปกราบพระเกจิพี่เขาก็จะอาราธนาพระของเกจิองค์นั้นห้อยไปด้วยเพื่อให้ท่านอธิษฐานเป่าให้อีกรอบหนึ่ง

    หนนี้ก็เช่นกันพี่เขาว่าห้อยพระไปสามองค์ องค์ประจำคือพระกำแพงซุ้มกอที่ไปบุกมาจากร้าน...บนพันธุ์ทิพในราคาที่สูงมาก องค์ที่สองคือพระที่หลวงปู่รูปนั้นสร้าง อีกองค์ก็คือพระผงสมพรปากของพ่ออาจารย์ท่านที่บูชาไปสดๆร้อนๆนี่เอง

    หลังจากทำบุญและได้มีโอกาศรอกราบสนทนากันแล้วพี่เค้าว่าก็เข้าเรื่องเลยคือถอดสร้อยขอให้ท่านเป่าให้ ส่วนตนเองก็มองดูด้วยความสบายใจ พี่เขาว่าปกติหลวงปู่เป่าแล้วจะยื่นคืนให้เลย แต่หนนี้ท่านกลับจับพระพลิกๆดูทีละองค์แล้วส่งคืนพร้อมกับพูดว่าทำมาหากินห้อยองค์นี้องค์เดียวพอ ตอนนั้นพี่เขาว่าในใจนึกว่าท่านพูดถึงพระกำแพง แต่พอมองมือท่านที่จับองค์พระกลับเป็นพระของพ่ออาจารย์ท่าน ซึ่งพี่เขาก็ว่าแปลกดีเพราะในเส้นนั้นมีพระของหลวงปู่ท่านด้วย ปกติพระเกจิจะไม่ค่อยเห็นมายกย่องของๆคนอื่นเท่าไหร่ พี่เขาว่าอารมณ์เหมือนงงๆ แต่ก็แอบคิดและตกตะลึงว่าอะไรกันพระสมพรปากของพ่ออาจารย์ท่านใช้ทางทำมาหากินดีกว่าซุ้มกออีกหรอ
    ...ก็ฟังเขาเล่ามาก็เลยเอามาพิมพ์ไว้ ใครเชื่อก็ห้อยดู รับรองว่าดี

    b475bf7c9427a179e31fda933bba992b.jpg
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พร้อมกันรึยัง กับนั่งรับทรัพย์ ....รุ่นนี้ยอดขลังแค่หลักร้อย

    45376644-2231854117050287-5910276127766609920-n.jpg
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เปรี๊ยง เปรี๊ยง สีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ สีเขียวของเทวราช ...ตะกรุดวิชาปู่พระอินทร์
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพระอินทร์กินอาหาร (นั่งรับทรัพย์เปิดโลกเบิกบารมี)

    พระอินทร์ท่านสั่งให้ฉันสร้าง ...ทำให้คนไม่มีจะกิน อดกิน ไม่ได้กิน

    พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าปู่พระอินทร์นั้น นับได้ว่าท่านเป็นเทวดาที่มีความผูกพันธ์กับมนุษย์อยู่มาก เวลาคนดี คนกตัญญู คนมีความเพียร...สรุปเอาว่าคนดีคนมีบุญทั้งหลายเดือดร้อน เธอรู้มั๊ยยิ่งดีมาก ยิ่งมีบุญมาก อันนี้พระอินทร์ท่านก็จะอยู่ไม่ได้เพราะท่านจะรู้จะเห็นในข่ายญาณของท่าน ทำให้ท่านต้องรีบมาช่วยเหลือ ประจวบกับโลกในปัจจุบันนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าคนดีที่เดือดร้อนนี้ก็มีมากเหลือเกิน แม้ปู่พระอินทร์ท่านอยากจะช่วยบางคนท่านก็ช่วยไม่ได้ ทั้งออกหน้าไม่ได้ หรือลงมาเล่นเองไม่ได้ ด้วยเพราะคนเหล่านั้นมีอุปสรรคที่จำเป็นต้องผ่านให้ได้ด้วยตัวเอง หรือกำลังชดใช้เศษกรรมอันใดอันหนึ่งอยู่ จึงกลายเป็นว่าคนดีล้นโลกแต่ทุกคนก็เดือดร้อนเหมือนๆกันและเสียงของความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาทปู่พระอินทร์ท่านทุกคราไป

    เมื่อท่านช่วยตรงๆไม่ได้ก็ต้องช่วยกันทางอ้อม ด้วยเหตุว่าคนที่มีบุญสัมพันธ์กันกับท่านนั้นยังมีอยู่มาก ทั้งเทพที่เคยอยู่ในคณะ เทพที่เป็นบริวาร ตลอดจนคนที่มีวาสนาจะได้เป็นเทพในดาวดึงส์หรืออดีตชาติซึ่งผ่านมาหลายภพเคยอุบัติในดาวดึงส์เหล่านั้น ล้วนแต่เป็นคนที่มีวาระกรรมร่วมกับท่านทั้งสิ้น ท่านจึงถือเสมือนว่าเป็นคนของท่าน เป็นลูกหลานท่านกลายๆ ดังนั้นท่านจึงปรารถนาจะช่วยให้พ้นทุกข์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยครอบมือ ครอบวิชาเฉพาะของท่านให้พ่ออาจารย์ท่านทำแทนไว้จะได้สงเคราะห์คนที่มีแรงกรรมมากหลายชาติหลายภพทั้งหลายสืบต่อไป

    ทำไมต้องตะกรุดดอกเขียวๆ
    เพราะวิชานี้จัดเป็นวิชาเฉพาะ เป็นเทพวิชาอย่างแท้จริง ที่พ่ออาจารย์ท่านสืบวิชาโดยตรงจากปู่พระอินทร์ ให้ทำไว้ช่วยคนสามสถานหรือคนสามจำพวก คือ คนที่ไม่มีจะกิน คนอดกิน แล้วก็คนไม่ได้กิน
    - คนไม่มีจะกิน คนประเภทนี้ความหมายก้ตรงตัวอยู่แล้วคือในปัจจุบันนั้นไม่มีอะไรเลย ถึงอดีตจะมีหรือไม่มีก้ตาม ถ้าปัจจุบันไม่มีก้เป็นคนประเภทนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าบางคนเขาถึงกับไม่มีเงินจะกินข้าว หรืออาจอุปมาได้กับคนที่เวลาจะใช้ทรัพย์ทำอะไรจำเป็จะต้องคิดหนักเพราะชีวิตฝืดเคือง ทำอะไรก้ไม่สะดวกราบลื่น ท่านว่าสมัยนี้คนที่ติดเศษกรรมไม่สมารถพ้นไปได้เช่นนี้ยังมีอยู่มาก บางคนจากชีวิตสบายๆกลายเป็นต่ำลงๆเรื่อยๆก็มี ดังนั้นคนประเภทแรกก็คือคนที่ยังไม่มีจุดยืน คนที่อับจนหนทาง ไม่มีทรัพย์ ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตน ไม่มีคนยอมรับ ไม่มีที่ยืนในสังคม
    - คนอดกิน อดกินก็คือกินไม่ได้ ซึ่งอันนี้ต้องแยกแยะระหว่างกินไม่ได้กับไม่ได้กิน เพราะกินไม่ได้กินไม่ทันคนอื่นนั้นยังนับว่ามีวาสนายังมีสิทธิที่จะกิน คนประเภทนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่ถึงกับแย่ บางคนนับว่ามีวาสนาหรือมีชีวิตสบายทีเดียว แต่คนจำพวกนี้เวลาทำอะไรอาจจะมีอุปสรรค หรือเรียกว่าชอบสิ่งใด ทำสิ่งใด อยากได้อะไร สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่สมหวัง ไม่ได้ดั่งใจตัวเองไปทั้งสิ้น ท่านจึงเรียกคนประเภทนี้ว่าคนอดกิน คือทำไปก็แห้ว ทำไปก็พลาดเรียกว่ามีทุน มีวาสนา แต่ไม่มีดวงทั้งที่มันควรจะได้ ควรจะเป็นของเรามากกว่าใคร ทั้งที่เรามีพร้อมในปัจจัยต่างๆมากกว่าคนอื่นเขา แต่เรากลับผิดพลาดอยู่เรื่อยโดยหาสาเหตุไม่เจอ ในขณะเดียวกันคนที่มีดวงแต่ไม่มีทุนไม่มีวาสนากลับได้กินแบบฟลุ๊คๆอยู่ตลอด ทั้งด้านการงาน เรื่องคู่ครอง เรื่องจังหวะโอกาสต่างๆในชีวิต เช่นนั้นคนอดกินพ่ออาจารย์ท่านจึงเปรียบเทียบไว้กับคนที่ไม่สมหวังในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจทำ พูดง่ายๆคือเหมือนจะได้กินแต่ก็หิวอยู่ ยังอดอยู่ ยังชวดอยู่นั่นเอง
    - คนไม่ได้กิน คนประเภทนี้ท่านว่าเป็นคนที่ไม่ทันกินกับคนอื่นเขา ดุจว่าคนอื่นเขากินกันอิ่มแล้ว เขาแยกย้ายกันไปหมดแล้วตัวเองก็ยังหิวยังไม่ได้กินกับใครเขา เพราะไขว่คว่า หยิบฉวย แย่งชิงโอกาสกับใครเขาไม่ทัน แบบว่ามองไม่เห็นโอกาส ต่อให้โอกาสนั้นมาตั้งมาวางอยู่เบื้องหน้าก็จะละเลยมองข้ามไป ซึ่งคนจำพวกนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าจะน่าเวทนากว่าคนประเภทอื่น เพราะเขาชวดไปหมด ไม่มีแม้แต่จุดเริ่ม เพราะเขามองไม่เห็นอะไรแล้วชีวิตเขาก็จะไม่ได้อะไร ดังนั้นชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับคำว่าไม่ได้กินเสียหรอกๆๆอยู่เช่นนั้น

    พ่ออาจารย์ท่านว่าคนทั้งสามลักษณะนี้ เป็นคนที่ให้คำจำกัดความในชีวิตได้สั้นๆแบบผรุสวาทเลยว่า "ซวย" คำเดียว เช่นนั้นพระอินทร์ท่านจึงสั่งให้ฉันสร้าง (วิชาเฉพาะ)...ทำให้คนไม่มีจะกิน อดกิน ไม่ได้กิน หรือสรุปตรงตัวคือมีชีวิตวนเวียนอยู่กับเรื่องซวยซับซ้อนง่ายๆเช่นนี้

    วิชาสำคัญนี้ท่านเรียกว่าพระอินทร์กินอาหาร พ่ออาจารย์ท่านว่าต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเทวดานั้นก็มีหลากหลายขั้นด้วยกัน ระดับดีๆหน่อยเขาก็เรียกกันว่าเทพบดีซึ่งพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเปรียบได้กับเจ้าคนนายคนนั่นเอง แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือพระอินทร์เพราะท่านเป็นราชาของเทวดา เป็นประธานของเทวสภาเช่นนั้น ดังนั้นความวิจิตรละเอียดอ่อนของกามคุณทั้งหลายในวิมานของพระอินทร์ก็ดี ในชีวิตของพระอินทร์ก็ดี ในวาสนาของพระอินทร์เจ้าสวรรค์นั้นก็ดี แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมจะประณีตสูงสุดในกามภพจนเหล่าเทพบดีทั้งหลายเทียบกันไม่ติด

    อันความสุขจากกามคุณทั้งหลายนั้น ต้องยอมรับว่าจะหาใครที่สุขเกินพระอินทร์เป็นไม่มี เรียกได้ว่าทั้งกินมากที่สุด ทั้งเสพย์มากที่สุด ทั้งอิ่มมากที่สุด แล้วก็สบายอย่างปราณีตมากที่สุดเช่นกัน ด้วยความสุขจากกามคุณที่เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งปวงนั้นสิ่งเหล่านี้ย่อมดูขัดกับการเป็นพหูสูตรของพระองค์ท่าน จนคราหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะถึงกับต้องไปเตือนสติท่านถึงดาวดึงส์พิภพทีเดียว แต่หากใครไปอยู่ในจุดนั้น จุดที่เป็นราชาของทวยเทพ จุดที่เสวยสุขอย่างประณีตสูงสุดทุกด้านของกามคุณก็อาจจะลุ่มหลงจนองค์พระอรหันต์ต้องมาตักเตือนเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ใครๆก็ปรารถนาอยากจะเป็นพระอินทร์ อสูรก็อยากยึดสวรรค์ เทวดาก็อยากโค่นบัลลังค์ จนสวรรค์นั้นต้องมีตำแหน่งพระอินทร์รองจากพระอินทร์องค์หลักเพิ่มขึ้นรองรับผู้มีบุญวาสนาอีกหลายตำแหน่ง ดั่งคำกล่าวยืนยันของพระอริยะเจ้าหลายๆท่านว่าพระอินทร์นั้นมีหลายองค์เช่นนี้

    ดังนั้นวิชาพระอินทร์กินอาหาร จึงอุปมาได้กับการกิน การเสพย์ความสุขที่ประณีตสูงสุดในกามภพแล้วนั่นเอง พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าเหนือกามภพขึ้นไปเทพพรหมทั้งหลายเขาจะไม่ลงมายุ่งกับมนุษย์มากหากไม่มีวาสนาสัมพันธ์กันจริงๆ ดังนั้นเทพที่ยังติดต่อหรือคอยช่วยเหลือมนุษย์ส่วนใหญ่จึงเป็นชาวจาตุมหาราชิกากับดาวดึงส์นี่เอง เช่นนี้ปู่พระอินทร์ท่านจึงตั้งใจให้พ่ออาจารย์ลงวิชาพระอินทร์กินอาหาร เพื่อเอาวาสนา เอาความสุขของเทวะราชา เอาวาสนาของเทวราชอินทรามาล้างความซวยในโชคชะตาของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนไม่มีจะกิน คนอดกิน หรือคนไม่ได้กินก็ดี ท่านว่าต่อไปต้องได้กิน ได้เสวยความสุขอย่างปราณีตมากขึ้นๆไปเรื่อยๆตามลำดับขั้น

    พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดนี้ฉันทำง่าย เพราะฉันไม่ได้ทำเอง แต่ให้พระอินทร์ท่านทำท่านสำเร็จให้ล้วนๆ ฉันกำหนดจิตคอยดูอย่างเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่รู้จะพูดจะบอกอะไรกันมาก ให้พิจารณากันเองว่ามันตรงกับชีวิตตัวเองหรือเปล่า แต่ไอ้ตะกรุดดอกเขียวๆนี่แหละที่เคยให้คนเอาไปใช้แล้วเขาก็เอาไปตั้งชื่อกันเองว่าตะกรุดนั่งรับทรัพย์ พ่ออาจารย์ท่านว่าปู่พระอินทร์ท่านลงให้ครบทั้งหมดฉันก็พูดมากไม่ได้ พูดได้แต่น้อยๆว่าครอบคลุมความซวยของมนุษย์ ซ้ำท่านยังกำชับว่าตะกรุดนี้คนที่ไม่มีวาสนาเคยเป็นลูกหลานหรือบริวารกับตัวปู่พระอินทร์ท่านมาก่อนนั้น เขาจะไม่พบ จะไม่เห็น สัมผัสไม่ได้แม้แต่เงาของตะกรุดดอกนี้เลย ถึงจะพบก็จะบันดาลให้ผ่านพ้นไปไม่อยู่ในสายตา มองไม่เห็นความสำคัญของตะกรุดนี้

    แต่เดิมนั้นพ่ออาจารย์ท่านนำมาเสกเก็บรักษาไว้ เวลาเชิญปู่พระอินทร์ทำพิธีท่านก็จะฝากตะกรุดนี้ให้ปู่พระอินทร์ท่านเสกเรียงดอกจนสำเร็จจึงใช้เวลาค่อนข้างนานและปู่พระอินทร์ท่านยังย้ำว่าให้เก็บเอาไว้ก่อน จนปัจจุบันนี้พ่ออาจารย์ท่านว่ามีแต่คนบ่นว่าทำไมมันซวยขนาดนี้ ยุคนี้คือยุคอะไร ประจวบกับปู่พระอินทร์ท่านมีนิมิตอนุญาติให้พ่ออาจารย์นำตะกรุดออกมาได้ ท่านจึงได้นำมาอธิษฐานจิตเสกเปิดโลกเบิกบารมีให้อีกวาระหนึ่ง ท่านว่าดีอย่างไรไม่ต้องพูดเพราะเราเสกจนฟ้าลั่น เสมือนเทวดาท่านรับรู้พระอินทร์ท่านให้พร ดังนั้นตะกรุดนี้จึงใช้ได้หลายด้าน
    - เปิดโลก คือเปิดสิ่งที่ปิด โอกาสที่มีน้อยหรือแทบไม่มีมี เปิดให้พร้อม เปิดให้สำเร็จทั้งหมด
    - เบิกบารมี คือขอบารมีปู่พระอินทร์ท่านต่อวาสนาให้คนนำไปบูชาไม่ให้หมด ไม่ให้อด ไม่ให้ทิ้งกันไปกลางทาง

    พ่ออาจารย์ท่านว่าทำให้ทุกอย่างสำเร็จหมดแล้ว จะใช้อย่างไรก็สุดแล้วแต่จะอธิษฐานใจกัน แต่วิชานี้ท่านไม่ได้ทำบ่อยแล้วก็นานปีจึงจะทำได้สำเร็จซักครั้งหนึ่ง ***จะใช้จะบูชากี่ดอกท่านว่าแต่ละคนจะมีสัมผัสอยู่ในใจของเขาเองเป็นตัวรู้ที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวเขากับวิชาตะกรุดนี้ นั่นคือวาสนาบารมีของเค้า เป็นพลังที่พอเหมาะกับกายเนื้อเขาจะรับได้เพื่อฟันฟ่าอุปสรรควิบากกรรมของเขาเองปู่พระอินทร์ท่านจะดลใจให้รู้ได้เฉพาะคน

    คาถาบูชา
    นะอินทะราชา นะมามีมา สุวัณณังวา ราชะตังมา มณีวา ธนังวา นะพามานะ(ขอตามปรารถนา)


    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพระอินทร์กินอาหาร (นั่งรับทรัพย์เปิดโลกเบิกบารมี) บูชา 900 บาท

    45376644-2231854117050287-5910276127766609920-n.jpg
    45339976-2197372970481435-526536705289748480-n.jpg
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ภาคภูมิ EV 7739 0068 4 TH

    พี่ธเนศพล EV 7739 0069 8 TH

    พี่ศิระ EV 7739 0070 7 TH

    พี่นวรัตน์ EV 7739 0071 5 TH
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบ PM ครบจ้า ตะกรุดพระอินทร์มาแรงจริงๆ รู้เลยว่าคนเดือดร้อนสามเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ;)
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตัวอย่าง ผลการเจริญพุทธานุสสติแบบง่ายๆ แต่มีผลมาก

    ญาติโยมทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นวันที่สามของการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้ก็ขอพูดแต่ละอย่างโดยย่อแต่พระสูตรจะยาว ความจริงพระสูตรมีความสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องของบุคคลตัวอย่าง วันนี้ก็ขอพูดแต่ละอย่างโดยย่อแต่พระสูตรจะยาว ความจริงพระสูตรมีความสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องของบุคคลตัวอย่างวันนี้ก็ขอแนะนำบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทให้รู้จักการฝึกสมาธิกำลังไม่ต้องมาก

    เพราะการฝึกสมาธินี่ความจริงไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก ไม่ต้องใช้กำลังมากนัก เพราะสมาธิแปลว่า การตั้งใจ ให้ใช้แค่อารมณ์เป็นสุข หรือฝึกโดยเฉพาะจะเอาอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีการทรงตัว ให้ได้การทรงตัวเรียกว่า ฌาน ถ้าอารมณ์ทรงตัวสมาธิแบบนั้นอย่างภาวนาว่า พุทโธ พอได้เวลาปั๊ปหายใจเข้า หายใจออกมันบังคับเองว่าภาวนาว่า พุทโธ อย่างนี้ชื่อว่า การทรงฌาน วันนี้ก็ขอแนะนำเฉพาะจุดของ พุทโธ ในเบื้องต้นนะ ในเบื้องปลาย อาจจะแนะนำในการจบของการเจริญกรรมฐานก็ได้สุดแล้วแต่เวลา คำว่า พุทโธ มีความสำคัญมาก การภาวนานี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอาตมาไม่กะไม่เกณฑ์ไม่บังคับใครนะ ถ้าท่านผู้ใดภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งมีการคล่องตัวดีแล้ว แล้วก็มีการทรงตัวดี จิตใจเรียบหมายความว่า ไม่สะดุด แล้วก็มีอารมณ์แจ่มใสก็ให้ภาวนาอย่างนั้นไม่ต้องเปลี่ยน คำว่า พุทโธ นี่หมายถึงพระพุทธเจ้า ท่านจะภาวนาว่าพุทโธ หรืออย่างอื่นก็ตามใจ ผลที่จะเหมือนกัน ก็คือว่าก่อนจะภาวนาเรานึกถึงพระพุทธเจ้า อย่างทุกคนที่ฝึกมโนมยิทธิที่ภาวนาว่า นะมะพะธะ ขณะที่ภาวนาว่า นะมะพะธะ เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า บางท่านก็เห็นพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้แม้ว่าจะภาวนาว่า นะมะพะธะ ก็เหมือน พุทโธ คือนึกถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง หรือบางท่านภาวนาว่า สัมมาอะระหัง บ้าง อิติสุคโต บ้าง ยุบหนอพองหนอ บ้าง ทุกอย่างจะภาวนาว่าอย่างไรก็ตามถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าถือว่าเป็น พุทธานุสสติ อานิสงส์เหมือนกัน แนะนำวิธีปฏิบัติกันก่อน ก็ขอได้โปรดไม่ต้องเครียด เอาอย่างนี้นะ ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทที่มีเวลาน้อยให้ใช้การบังคับใจตัวเองครั้งละไม่เกิน ๑๐ รอบ คำว่ารอบก็หมายความว่า หายใจเข้า นึกว่าพุท หายใจออก นึกว่าโธ เป็นหนึ่งรอบ หรือหนึ่งจบ อย่างนี้ไม่เกินสิบใช้ได้

    แต่ว่าการบังคับไม่เกินสิบนี่ต้องบังคับให้ทรงตัวจริงๆ หมายความว่า เวลานี้เราต้องการจะภาวนาเราจะนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ก็บังคับใจว่าหายใจเข้าเรานึกตามว่า พุท หายใจออกนึกตามว่า โธ แต่ว่าเวลาหายใจหายใจตามสบายอย่าบังคับลมหายใจ ทำอย่างนี้คิดว่า เราจะทำอย่างนี้เพียงแค่สิบรอบ หรือว่าสิบครั้ง พุทโธสิบหน ในขณะที่เราจะภาวนาว่าพุทโธสิบหนนี่ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตคิดถึงอย่างอื่นเลย ถ้าบังเอิญจิตคิดฟุ้งซ่านก่อนที่จะครบสิบครั้งก็เริ่มต้นใหม่ ถ้าท่านทำอย่างนี้ทุกคนก่อนหลับนึกภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้า นึกว่า พุท หายใจออก นึกว่า โธ หรือว่าจะภาวนาอย่างอื่นก็ได้เอาแค่สิบครั้งให้ทรงตัวจริงๆ แล้วก็ปล่อยจิตให้คิดไปตามเรื่องตามราวไป ถ้าเวลาตื่นใหม่ๆ ยังไม่ต้องลุกจากที่นอน นอนแบบนั้นภาวนาอย่างนี้สิบครั้งรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย ทำอย่างนี้ทุกวันอย่างช้าไม่เกิน ๓ เดือน กำลังของทุกท่านจะเป็นกำลังใจของผู้ทรงฌาน นั่นหมายความว่าจิตจะทรงสมาธิได้ดี

    ทีนี้การจะทรงสมาธิได้นานหรือไม่นานไม่สำคัญ อย่าไปเร่งรัดเกินไป ถึงแม้จิตจะทรงสมาธิได้ไม่นาน คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน ถ้าหากว่าจิตว่างจากอารมณ์อื่นจิตจะนึกถึง พุทโธ ขึ้นมาทันที โดยที่เราไม่ต้องบังคับอย่างนี้ชื่อว่าเป็น ผู้ทรงฌาน ถ้าเป็นผู้ทรงฌานแบบนี้ดี แบบไหนก็ต้องขอนำตัวอย่างมา ตัวอย่าง ที่จะนำมานี่ไม่ใช่ผู้ทรงฌาน เป็นคนที่มีบาปมาก แต่ทว่าก่อนจะตายคิดถึงพระพุทธเจ้านิดเดียว เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ จากสวรรค์จะต้องลง อเวจี เป็นต้น แต่ก็ไม่ทันจะลงเพราะพบองค์สมเด็จพระทศพลคือพระพุทธเจ้า ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็น พระโสดาบัน ตัดความชั่วทั้งหมดไปเลย

    นี่เป็นเรื่องย่อที่จะเล่าสู่กันฟังแต่ไม่ใช่เรื่อง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร ท่านไม่เคารพพระพุทธศาสนาจริง แต่เขาไม่ได้ทำความชั่วเขาไม่ได้ทำบาป แต่รายนี้ไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วยแล้วก็ไม่เคารพทุกๆ ศาสนา สำหรับมัฏฐกุลฑลีเทพบุตรนี่เขาไม่เคารพพระพุทธศาสนา แต่เขาเคารพศาสนาพราหมณ์ เพราะพ่อเป็นอาจารย์สอนวิชาของพราหมณ์ แต่รายนี้ยิ่งกว่านั้นไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วย ไม่เคารพทุกศาสนา แล้วก็กลั่นแกล้งคนที่บำเพ็ญบุญในพุทธศาสนาด้วย ฟังตัวอย่างต่อไปนะ

    ปรากฏว่ามีบุคคลคนหนึ่งชื่อในสมัยมนุษย์ชื่ออะไรอาตมาก็ลืม แต่ตอนที่เขาเป็นเทวดามีนามว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตร เรื่องราวก็เกิดขึ้นไม่นานนัก เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดานั่นเอง สองพันปีเศษๆ ก็เป็นอันว่า ในสมัยนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประทับที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็ตั้งใจจะเทศน์โปรดพุทธมารดา เป็นการสนองคุณความดีของมารดาที่สงเคราะห์พระองค์ เมื่อพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นแสดงความประสงค์พระอินทร์ก็ไปเชิญพุทธมารดามาที่อยู่ชั้นดุสิต แต่ความจริง พุทธมารดา ท่านเป็น เทพบุตร ท่านเป็น ผู้ชาย จากเป็นผู้หญิงตายจากความเป็นผู้หญิงก็มาเกิดเป็นเทพบุตรเป็นผู้ชาย เพราะว่าท้องของบุคคลใดที่พระพุทธเจ้าเกิดท้องนั้นคนอื่นไม่ควรจะเกิดซ้ำ ฉะนั้นท่านจึงไปเกิดเป็นเทพบุตรว่า เทพบุตรองค์ที่พุทธมารดามาแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็แสดงพระธรรมเทศนาคือ เทศน์อภิธรรม ขณะที่พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่เทวดาส่วนใหญ่ในดาวดึงส์ก็มาฟังมาก แต่ว่าคำว่า มาก ก็ยังไม่ถึงว่าหมดเพราะว่า เทวดาบางท่านก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จก็มีเพราะยังใหม่มากเพราะเพิ่งถึง

    เวลานั้นก็มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อจริงๆ บาลีก็มาได้บอก เขียนไว้แต่เพียงว่าจริยาของท่าน ท่านให้ชื่อตามบาลีว่า อากาสจารีเทพบุตร เรียกว่าเทพบุตรที่เที่ยวไปในอากาศ เทวดาองค์นี้เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าครู่หนึ่งพอเป็นที่พอใจ ก็เหาะไปตามวิมานต่างๆ ประกาศว่า พ่อเอ้ย แม่เอ้ย ใครเป็นเจ้าของวิมานนี้บ้าง เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเทศน์โปรดที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ขอทุกท่านไปฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเพื่อ ต่อบุญบารมี เป็นอันว่าเทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดีเมื่อทราบต่างองค์ต่างก็รีบมา แต่ว่าเทวดาองค์นี้เหาะไปถึงวิมานๆ หนึ่ง ปรากฏว่าวิมานนั้นมีสภาพเศร้าหมองมากเครื่องทิพย์เศร้าหมอง ดูเครื่องแต่งตัวเทวดาที่เป็นเจ้าของวิมานก็เศร้าหมอง มองดูอีกทีที่ รักแร้มีเหงื่อ ตามธรรมดาถ้าเครื่องทิพย์เศร้าหมองก็ดี ที่รักแร้มีเหงื่อก็ดีแสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องจุติ คำว่า จุติ คือ เคลื่อนไป ไปจากเทวดาจะไปเกิดที่ไหนยังไม่ทราบ เมื่อท่านอากาสจารีเทพบุตรเห็นดังนั้นก็เรียกว่า ใครเป็นเจ้าของวิมานนี้เวลานี้พระพุทธเจ้ามาเทศน์โปรดที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ตัวท่านเองทำไมไม่ไปฟังเทศน์ต่อบุญบารมีอีก ไม่ช้าไม่นานอีกไม่เกิน ๗ วันนี้ ท่านจะต้องจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เพราะเวลานี้เครื่องทิพย์ของท่านเศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ทำไมไม่ไปสั่งสมบารมีให้มันดีขึ้น ไม่ต่อบุญบารมีใหม่

    เวลานั้นถ้าเจ้าของ เมาความเป็นทิพย์ เพราะว่าการตายของท่านจากความเป็นคนท่านไม่ใช่นักบุญท่านเป็นนักบาป แต่ก่อนจะตายนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิดเดียว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนหลัง เป็นอันว่าเจ้าของวิมานฟังแล้วก็ตกใจมองดูเครื่องทิพย์เห็นเศร้าหมองจริง ดูที่รักแร้มีเหงื่อจริงก็สะดุ้งตกใจกลัวคิดว่าเราตายแน่ เทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดีพรหมก็ดีท่านมีร่างกายเป็นทิพย์มีใจเป็นทิพย์ ถ้าท่านจะเคลื่อนจากที่นั่นท่านจะไปเกิดที่ไหนเพราะอาศัยกรรมอะไรท่านทราบ ท่าน สุปปติฏฐิตะเทพบุตร จึงมาคิดพิจารณาตัวเองว่าเราจะต้องจุติภายใน ๗ วัน ถ้าเราจะจุติจากความเป็นเทวดาแล้วเราจะไปไหน ก็ทราบจากกำลังใจที่เป็นทิพย์ว่าเราจะต้อง ลงอเวจีมหานรกสิ้นเวลา ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ต้องผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม เวลาไม่แน่นอน หลังจากนั้นก็ต้องว่านรกทั้ง ๘ ขุมจากอเวจีขึ้นมาถึงขุมที่ ๑ ผ่านนรกบริวารขึ้นมาเรื่อย หลังจากนั้นมาจากนรกขุมใหญ่แล้วก็ต้องเข้ายมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุมเมื่อผ่านยมโลกีย์นรก ๑๐ ขุมแล้วก็ต้องเข้าแดนเปรตอีก ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรตก็มาเป็นอสุรกาย พ้นจากอสุรกายก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน พอจะสิ้นสุดภาวะสัตว์เดรัจฉานก็เกิดเป็น กา ๕๐๐ ชาติ เป็น แร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็น สุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ หลังจากนั้นก็มาเป็น คนง่อย ๕๐๐ ชาติ ที่เป็นคนง่อยก็เพราะว่าอาศัยที่ตัวเองฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโทษปาณาติบาต แล้วก็ไปเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะอาศัยกฎของกรรมเวลาที่เขาคุยกันด้านธรรมะธัมโมบ้าง ฟังเทศน์ฟังธรรมกันบ้าง ฟังพระสวดบ้าง แกล้งเอาเสียงกลบส่งเสียงดังคุยเสียดัง แล้วก็ต้องเป็น คนตาบอด ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะเวลาเขาทำความดีกันทำบุญกันเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น

    หลังจากนั้นเมื่อทราบว่า ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ ก็มีการตกใจกลัวก็บอกท่านอากาสจารีว่า ท่านอากาสจารีช่วยเราด้วย อากาสจารีก็ถามว่า อะไรเล่าบอกกันเสียก่อนเพื่อนเอ๋ย ก็บอกว่า ถ้าฉันจุติจากความเป็นเทวดาต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก เล่าเรื่อยมาตามลำดับตามที่กล่าวมาแล้ว หลังจากนั้นท่านอากาสจารีก็ถามว่า สมัยที่เป็นมนุษย์ทำอะไรไว้

    ท่านสุปปติฏฐิตะเทพบุตร ก็บอกว่า สมัยที่ฉันเป็นมนุษย์ฉันไม่เคยสร้างความดี ขึ้นชื่อว่า ทานการให้ก็ดี การรักษาศีลก็ดี เจริญภาวนาก็ตาม คำว่าเมตตาปรานีไม่เคยมี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา ค้าขายมีความร่ำรวย แล้วต่อมาเวลาใกล้จะตายป่วยหนักทุกขเวทนาครอบงำมาก เวลานั้นเห็นภรรยานั่งใกล้ๆ เธอก็ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาไม่ได้ เห็นบุตรธิดานั่งใกล้ๆ เธอก็ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาไม่ได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เป็นคนรวยก็ไม่สามารถจะช่วยให้ทุกขเวทนาคลายได้ จึงนึกในใจว่าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาคือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก เขาลือกันว่า พระพุทธเจ้าใจดีเมตตาไม่ว่าใคร จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า มาช่วยให้หายโรค ความจริงเขาไม่ได้นึกด้วยความนับถือ มารูปเดียวกับมัฏฐกุลฑลีแต่มัฏฐกุลฑลีเขาไม่ทำบาป

    เป็นอันว่าขณะที่นึกถึงพระพุทธเจ้าขอให้มาช่วยนั่นเองเธอก็ตาย เพราะ บุญกำลังใหญ่ มีปริมาณน้อยบุญ ที่นึกถึงพระพุทธเจ้าน่ะมีกำลังใหญ่มาก บุญสูงมาก แต่ว่าปริมาณของบุญมีนิดเดียว หมายถึงว่า ทองคำมีค่าสูงแต่ว่าเรามีนิดเดียวมันก็ใช้ไม่ได้นาน ขายประเดี๋ยวก็หมด ใช้สตางค์เดี๋ยวก็หมด ฉันใดกำลังใหญ่ของบุญที่เป็น พุทธานุสสติ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าของสุปปติฏฐิตะเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร นี่บุญใหญ่กำลังใหญ่แต่ว่าปริมาณน้อย ครองความเป็นสุขในความเป็นเทวดาไม่นานก็หมดบุญ เขาจึงบอกกับอากาสจารีเทพบุตรว่า ถ้าท่านไม่ช่วยผม ผมต้องลงอเวจีมหานรกแน่ อีกนานแสนนานหลายสิบกัป หรือหลายร้อยกัปจึงจะกลับมาเป็นคนได้ กว่าจะมาเป็นคนปกติกับเขาก็เสวยทุกขเวทนามาก ท่านอากาสจารีก็บอกว่า ท่านสุปปติฏฐิตะเพื่อนรัก เธอก็เป็นเทวดา ฉันก็เป็นเทวดาเราก็เป็นเทวดาเหมือนกันโอกาสที่จะช่วยกันมันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีวาสนาบารมีไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเธอ แต่บุคคลที่จะช่วยเธอได้ก็เห็นจะมีอยู่องค์เดียวคือ พระอินทร์ ที่เป็นนายของเรา ทั้ง ๒ องค์ก็พากันไปเฝ้าพระอินทร์ขอให้ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่า ฉันเป็นนายเธอก็จริงแหล่แต่ทว่าฉันก็แค่เทวดาเหมือนกันฉันก็ช่วยไม่ได้ ก็มีอยู่ท่านเดียวองค์นี้ถ้าช่วยได้ก็ได้ ถ้าองค์นี้ช่วยไม่ได้ก็ไม่มีใครช่วยได้นั่นคือ พระพุทธเจ้า เวลานี้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กำลังเทศน์โปรดพุทธมารดาเป็นการสนองคุณ ฉะนั้นพระอินทร์จึงได้พาเทวดา ๒ องค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

    พระอินทร์ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่าเทวดาองค์นี้คือ สุปปติฏฐิตะเทพบุตร มีโทษแบบนี้มีกรรมแบบนี้ พระพุทธเจ้าทรงฟังแล้วก็ทรงพิจารณาว่า เราจะช่วยเทวดาองค์นี้ได้ไหม ก็ทรงทราบว่า ถ้าเทศน์อภิธรรมจะไม่ตรงกับอุปนิสัยของสุปปติฏฐิตะเทพบุตรเมื่อเทศน์ไปๆ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรสุปปติฏฐิตะเทพบุตรก็จะหมดอายุจุติจากเทวดาลงอเวจีทันที องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงพิจารณาใหม่ว่าจะเทศน์อะไร อภิธรรมไม่ถูกใจจะเทศน์อะไรดี พระชินสีห์ก็ทรงทราบว่าถ้าเราเทศน์ อุณหิตวิชัยสูตร จะเป็นที่ถูกใจของเทวดาองค์นี้

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้หยุดพระอภิธรรมชั่วคราวเดี๋ยวเดียว แล้วเทศน์อุณหิตวิชัยสูตร พอเทศน์จบก็ปรากฏว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตรก็ดี อากาสจารีหรือเทวดาอีกหลายๆ องค์ก็ตาม เมื่อฟังจบแล้วต่างคนต่างก็บรรลุมรรคผลมีพระโสดาบันเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุปปติฏฐิตะเทพบุตรเป็น พระโสดาบัน ทันที เมื่อเป็นพระโสดาบันก็เป็นเวลาพอดีที่จะต้องจุติ เธอก็ตายจากความเป็นเทวดาแล้วก็เกิดเป็นเทวดาทันที ชั่วพริบตาเดียว ตายปุ๊ปเกิดปั๊ปที่นั่นเองเป็นพระโสดาบัน ก็เป็นอันว่ากฎของกรรมทั้งหลายที่ทำลายศีลก็ดี ทำลายธรรมก็ดีที่จะมีโอกาสให้สุปปติฏฐิตะเทพบุตรลงอบายภูมิต่อไปไม่มี เหลือทางเดียว ทางที่เขาจะต้องเดินต่อไปเข้าถึงพระนิพพาน

    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องนี้ที่นำมาพูดเรื่องนี้ทีมีการร้ายแรงมากเพราะ สุปปติฏฐิตะเทพบุตร ไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วย และไม่เคารพทุกๆ ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาทุกศาสนาต่างก็มีความดีเขายังทำความดีกัน ถึงแม้บางศาสนาที่มีความดีไม่ถึงนิพพานเขาก็สามารถไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ยังมีความดี แต่ว่าสุปปติฏฐิตะเทพบุตรไม่ยอมสร้างความดีทุกอย่าง ทำบาปวันดีไม่ละวันพระไม่เว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาณาติบาตก็ชอบ อทินนาทานก็ชอบ กาเมสุมิจฉาจารก็ชอบ มุสาวาทก็ชอบ การดื่มสุราเมรัยก็ชอบ ชอบหมดครบถ้วนบริบูรณ์ ขาดความเมตตาปรานี

    แต่ว่าก่อนจะตาย เขานึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียวก็เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ ทีนี้การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าจะถามว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตรภาวนาว่า พุทโธ หรือเปล่า ก็ต้องขอตอบว่าเปล่า เขาไม่ได้ภาวนาว่าพุทโธ แต่เขาคิดแต่เพียงว่าเวลานี้เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้าใจดีเมตตาปรานีไม่เลือกบุคคล ไม่เลือกคณะ ใครมีทุกข์พระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ให้มีความสุข เวลานี้เรามีทุกข์มาก พอมีทุกขเวทนาทางกายป่วยไข้ไม่สบายอาการเครียดจัด ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ นี่เขานึกเพียงแค่ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ว่าเป็นเวลานั้นพอดีเขาบังเอิญตาย เพราะอาศัยที่กำลังนึกถึงพระพุทธเจ้าเราเรียกกันว่า พุทธานุสสติ ตามภาษาบาลี นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์แต่เวลาน้อยเหลือเกิน เวลาของเขานึกถึงพระพุทธเจ้าน้อย แต่ถึงจะมีเวลาน้อย แต่กำลังที่นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็เป็นบุญใหญ่ เพราะอาศัยที่เป็นบุญใหญ่เขาไม่เคยสร้างวิหารทานเขาก็มีวิมานได้ เขาไม่เคยให้ทานเขาก็มีวิมานได้ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ได้ มีร่างกายเป็นทิพย์ได้ เพราะอะไร เพราะอำนาจของ พุทธบารมี

    ทีนี้พวกเราเหล่าพุทธบริษัท เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายส่วนใหญ่หวังจะไปนิพพาน เราก็ต้องกันกันไว้ก่อนว่าเราจะไปนิพพานชาตินี้ได้หรือไม่ได้ยังไม่แน่ ถึงแม้ว่าจะไปได้แน่ก็ต้องกันกันไว้ก่อน สำคัญคือ

    ๑. ทานต้องมี ทานการให้เป็นปัจจัยให้มีทรัพย์สินในชาติข้างหน้าจะร่ำรวย เราจะไปนิพพาน เราจะไม่มีโอกาสรวยก็ช่างมัน หวังว่าบังเอิญถ้าไปไม่ได้เราต้องรวยไว้ก่อน
    ๒. ศีล เป็นปัจจัยให้มีร่างกายมีความอุดมสมบูรณ์ คนที่รักษา ศีลบริสุทธิ์ จะมีร่างกายสมบูรณ์แบบทุกอย่างครบอาการ ๓๒ ถ้ามีจิต เมตตามาก จะมีความสวยมาก และก็จะไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีอายุยืนนาน นี่เรื่องของศีล

    เรื่องของ ภาวนา ก็เป็นเหตุ ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ก็ เป็นคนมีปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำแล้วก็ตั้งใจว่าการตายคราวนี้ เราขอตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้จะไม่มีต่อไปอีก เมื่อตายครั้งสุดท้ายก็ไม่เกิดมาเพื่อตายใหม่ อันนี้อย่าลืมนะ ตัวนี้เป็น วิปัสสนาญาณสูงมาก ใช้ศัพท์ง่าย แต่เป็นกำลังวิปัสสนาญาณตัวสุดท้ายคือ ตัดอวิชชา ไม่ใช่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยตามหนังสือเรื่อยเปื่อย เอาง่ายๆ ตัดสินใจให้มันแน่นอนว่าการตายของร่างกายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการตายครั้งสุดท้าย เพราะร่างกายที่มีอยู่ปรากฏว่ามีแต่ทุกขเวทนาทุกวัน ทุกขเวทนามีอะไรบ้างก็นั่งนึกตามความเป็นจริง

    ๑.ตื่นขึ้นมาแล้วมันหิว ความหิวก็เป็นทุกข์ ทุกข์ตัวแรกเมื่อตื่นใหม่ๆ ก็เกิดจากการปวดอุจจาระปัสสาวะมันก็เป็นทุกข์เป็นประจำวัน

    ๒.การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นอาการของความทุกข์

    ๓.ความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังเราตั้งใจอยากได้อะไรไม่ได้อย่างนั้นสมความตั้งใจ มันก็เป็นทุกข์

    ๔.การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันก็เป็นทุกข์

    ๕.ความตายจะเข้าถึง มันก็เป็นทุกข์

    ทั้งหมดนี้อาศัยใคร ใครเป็นเหตุให้เราทุกข์ ท่านผู้นั้นคือ ร่างกายทุกข์มันเกิดจากการมีร่างกายอย่างเดียว ในเมื่อร่างกายอย่างนี้มันเป็นทุกข์อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดหมายปลายทางนั่นคือ นิพพาน ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทคิดอย่างนี้ทุกวันแม้จะเป็นเวลาเล็กน้อยก็ไม่สำคัญ ตื่นขึ้นมาจะเป็นเวลาไหนก็ได้คิดอย่างนี้เสียก่อนแล้วก็ภาวนา คำว่าภาวนาจะภาวนาว่าอย่างไรก็ไม่ว่า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนจะภาวนาว่าอย่างไรก็เหมือนกัน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ ถ้าเป็นอย่างนี้คิดจนชินสมมุติว่าชาตินี้ถ้าเราจะตายจริงๆ ถ้าญาติโยมคิดอย่างนี้ทุกๆ วัน จะเป็นวันละเล็กน้อยก่อนหลับวันละ ๒ นาที ตื่นใหม่ๆ สัก ๓ นาที ทำอย่างนี้ทุกวัน ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ถ้าถึงเวลานั้นญาติโยมไม่ได้คิดตามนี้จะมีการไม่สบายใจ ต้องคิดเสียหน่อยนึกเสียหน่อยตามปกติ ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าท่านเป็นฌานในด้านนี้ แล้วจิตเป็นฌานอย่างนี้ขอยืนยันว่าลงนรกไม่ได้แน่

    ทีนี้เวลาที่จะตายให้สังเกตตามนี้ ถ้าหากว่าจะไปนิพพานได้ทุกคนจะเห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก อยู่ใกล้ท่านหรือเห็นพระอรหันต์อยู่ใกล้ อันนี้ต้องเห็นทุกคน ขอยืนยันว่าเห็นทุกคนถ้ายังไม่เห็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เห็นพระอรหันต์ หรือเทวดา หรือพรหมก็ตาม เวลานั้นมันยังไม่ตายป่วยหนักยังไงก็ยังไม่ตาย ถ้าเวลาจะตายจะต้องเห็น ถ้าเห็นพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์อยู่แนวหน้า ข้างหลังเป็นเทวดากับพรหมอย่างนี้ ท่านไปนิพพานกันแน่

    ถ้าบังเอิญมีเทวดาหรือพรหมอยู่ข้างหน้าอย่างนี้ ยังไม่ไปนิพพาน อย่างนี้ถ้าตายแล้วต้องเป็นเทวดา เป็นพรหมหรือเป็นนางฟ้า แต่ก็ไม่ใช่ของแปลกถ้าเป็นเทวดาก็ตาม เป็นนางฟ้าก็ตามเป็นพรหมก็ตาม อีกไม่นานนัก พระศรีอาริย์ ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์เพียงแค่จบเดียวอย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน แต่ความจริงถ้าบำเพ็ญบารมีกันอย่างนี้เขาไม่เป็นพระโสดาบันกันหรอกนะ ถ้าสมมุติว่าเรายังไม่ได้นะตายจากความเป็นคนเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์แล้วเป็น พระโสดาบัน ก็ซวยเต็มที อย่างนี้อย่างเลวต้องเป็น อนาคามี เป็นอย่างน้อย เพราะบารมีถึงแล้ว หลังจากนั้นก็ต่อบุญบารมีของเราเรื่อยขึ้นไปจนถึงนิพพาน เป็นอันว่าร่างกายประเภทนี้ที่เราไม่ต้องการไม่ต้องพบมันอีก เป็นอันว่าหมดเวลาพอดี ขอทุกท่านตั้งใจ

    edu-photo-197576089587.jpg
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้เดี๋ยวจะมาพูดคุยเรื่องคาถาสั้นๆที่ใช้กันง่ายๆ แถมมีคุณมากมายดุจฝอยท่วมหลังช้างกันนะครับ;)
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มะอะอุ

    อรุณสวัสดิ์ครับ เกี่ยวกับคาถามะอะอุนี้เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยเพราะจะเห็นได้จากคาถาหรือรอยจารของพระเกจิต่างๆ ซึ่งหลายครั้งพ่ออาจารย์ท่านก็ชอบใช้คาถานี้ในการจารเครื่องมงคลเหมือนกัน

    บางคนที่อ่านขอมพอออกบ้าง หรือบางคนที่เห็นรอยจารมะอะอุนี้ มีหลายคนและหลายครั้งที่เวลาเช่าเครื่องมงคลมักจะขอให้พ่ออาจารย์ท่านลงจารยาว จารเต็มๆ จารคาถาแปลกๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความคิดของเหล่าคนที่ชอบของพิเศษ ของแปลก ของที่ดูไม่ธรรมดา

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลย พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าพูดถึงคาถาแล้วไม่มีสิ่งใดเกินพุทโธ กับมะอะอุนี้ไปได้ ทั้งภาวนาก็มีคุณได้ล้านช่องดุจฝอยท่วมหลังช้างสุดแต่จะใช้ ซ้ำยังเป็นคำที่จำง่าย จำกันได้ขึ้นใจ ใช้ก็ยิ่งง่าย หากแต่กลับไม่ค่อยมีใครใช้กันไม่ว่าจะใช้ทางคาถาก็ดี ใช้ทางภาวนาก็ดี


    - เกี่ยวกับ มะ อะ อุ

    มะ อะ อุ คำสามคำนี้พ่ออาจารย์ท่านว่ามีปรากฏในพระสติปัฏฐานเกี่ยวเนื่องในวิธีทำสันโดษของพระพุทธองค์ เป็นคำสั้นๆแต่มีความหมายยิ่งใหญ่

    มะ ย่อมาจาก มหาปุริสะ หมายถึงพระมหาบุรุษผู้นั้น ทรงเปี่ยมไปด้วยกำลังแห่ง
    บารมีทั้งสามสิบทัศ โดยปฐมาจารย์แต่โบราณแทนอักษร"มะ"ด้วยกำลังของศีล ซึ่งศีลนี้เองก็เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นบาทฐานแรกแห่งการภาวนาทั้งปวง เช่นนั้นบุคคลผู้ทุศีล ผู้ไม่มีศีลสมบูรณ์แล้วย่อมจะกระทำการภาวนาให้ดีหรือสำเร็จนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าแค่อักษรมะตัวเดียวนั้นก็ครอบคลุมบารมีทั้งสามสิบทัศน์ไปทั้งหมดแล้ว

    อะ ย่อมาจาก อาโลโก ที่แปลว่าแสงสว่าง คำว่าแสง สว่าง ในที่นี้ย่อมถูกนำมาเปรียบกับสมาธินั่นเอง ดุจแสงสว่างที่ขจัดความโง่เขลา ความมืดบอดอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ พ่ออาจารย์ท่านให้เหตุผลว่าเพราะสมาธิในเบื้องต้นนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติย่อมปรากฏแสงสว่าง หรือนิมิตขึ้นมา เรียกว่าสีต่างๆก็ได้ เรียกว่ารัศมีก็ได้ซึ่งแสงสีเหล่านี้จะเกิดจากการปฏิบัติสมาธินั่นเอง เช่นนั้น"อะ"ตัวอักขระนี้ย่อมเปรียบเสมือนกำลังแห่งสมาธิฌาณ อันเป็นคติที่สองในบาทฐานของการภาวนา

    อุ ย่อมาจาก อุตมปัญญา ถูกนำมาใช้แทนความหมายของปัญญา พ่ออาจารย์ท่านว่าอันตัวอุตมปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาเพียงทั่วไปหากแต่เป็นปณิธานสูงสุดในพระศาสนาของพระตถาคตเจ้า นั่นคือกำลังปัญญาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กำลังปัญญาอันไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือเทียบเท่าและยิ่งกว่า เป็นกำลังปัญญาที่จะบังเกิดเฉพาะในพระสัพพัญญุตญาณมิได้มีปรากฏในพระอัครสาวกหรือพระสาวกหมู่หนึ่งหมู่ใด เรียกว่าเป็นคุณของพระพุทธเจ้าที่จะแสดงออกให้นิกรชนทั้งหลายได้พบเห็นด้วยพระฉัพพรรณรังสีทั้งหกประการเท่านั้น

    เช่นนั้นมะก็คือโชตินี อะก็คือพระแสง อุก็คือพระฉัพพรรณรังสี
    ซึ่งสามสิ่งนี้มีบาทฐานมาจากศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นหลักการสำคัญของการบำเพ็ญปฏิบัติ เป็นหลักการของการบรรลุโพธิญาณ เป็นองค์คุณและกำลังของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงว่ามะอะอุแค่สามคำนี้ถ้าผู้ใดรู้ความหมาย ถ้าผู้ใดภาวนาได้ หรือแม้แต่ผู้ใดเกิดศรัทธาอย่างจริงใจแลนำไปเป็นบาทฐานของการบำเพ็ญบารมีในชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็ ผู้นั้นถือได้ว่ามีกำลังแห่งพระพุทธคุณ มีกำลังอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าท่านหนุนนำและเป็นผู้ชี้ทางการดำเนินชีวิตทีเดียว ดังนี้พ่ออาจารย์ท่านจึงกล่าวเสมอว่าอย่าได้ไปดูถูกดูแคลนพระคาถาใดๆเลย แม้จะสั้น แต่บทที่ว่าสั้นนั้นอาจจะประเสริฐที่สุด เป็นจุดแทนกำลังอันสูงสุดยิ่งกว่าบทยาวๆบทไหนๆก็เป็นได้ เช่นนั้นเธอจงรู้และนำไปใช้ จงใช้อย่างเข้าใจ และใช้กันให้เป็น

    edu-photo-197576089587.jpg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...