วสลสูตรที่ ๗ ลักษณะคนถ่อย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย subsea, 19 สิงหาคม 2011.

  1. subsea

    subsea สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +5
    <CENTER> พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>วสลสูตรที่ ๗
    </CENTER>
    [๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มี
    พระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต
    ยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้วตกแต่ง
    ของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
    ตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาช-
    *พราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว

    ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่
    นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ

    เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
    ถามว่า ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็น
    คนถ่อยหรือ ฯ

    อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ
    ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคน
    ถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
    อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ-
    *คาถาประพันธ์นี้ว่า

    [๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และ
    มีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

    ๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน
    ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้าน
    และชาวนิคม พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ใน
    บ้านหรือในป่า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนี
    ไปเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ
    พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ
    แห่งตนก็ดี เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์
    ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของ
    เพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็น
    คนถ่อย ฯ

    ๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัย
    หนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย
    แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
    พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิด
    ไว้ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด
    ย่อมไม่ตอบแทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วย
    มุสาวาท พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์
    และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนา
    ของเล็กน้อย พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะ
    ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก มี
    ความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว
    พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือ
    คฤหัสถ์สาวกของพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    ๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระ-
    อรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อม
    ทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว
    คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย ฯ

    บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ
    แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน
    จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคนจัณฑาลเลี้ยง
    ตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่าตังมาคะ เป็นคนกินของที่ตนให้
    สุกเอง เขาได้ยศอย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และ
    พราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้นยานอัน
    ประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น เขาสำรอกกาม-
    ราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้
    ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยาย-
    มนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขาปรากฏในบาปกรรม
    อยู่เนืองๆ พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้า
    ก็เป็นทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจากครหาไม่ได้
    บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ
    แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ฯ

    [๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
    แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์
    ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
    บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุ
    จักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์
    เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
    จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ


    <CENTER>จบวสลสูตรที่ ๗
    </CENTER>

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๒๙๒ - ๗๓๗๙. หน้าที่ ๓๒๐ - ๓๒๓.
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=7292&Z=7379&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=305
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๕</U>
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_25



     

แชร์หน้านี้

Loading...