วิธีกำจัดจุดอ่อน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 9 กันยายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : บางทีเวลาเดินไปแล้วไปเห็นคนจนจะถามตัวเองตลอด ?

    ตอบ : ไม่ต้องจนหรอก ดูหน้าใครก็ได้ ยิ่งตามป้ายรถเมล์น่ะยิ่งดี ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก มากี่คันก็ไม่ใช่คันที่เราจะไปซักที คิดดูเถอะใจมันกระวนกระวายขนาดไหน แบกทุกข์ไว้ทั้งนั้น เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันเจ้านายจะด่า เดี๋ยวเขาก็จะขีดเส้นแดงแล้ว โอ๊ย...ประสาทจะกิน แค่ป้ายรถเมล์ป้ายเดียวมันก็จะบรรลุอยู่แล้ว

    ถาม : มันจะถามตัวเองว่าถ้าเกิดมาแล้วเราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้ แล้วเกิดเป็นอย่างนั้นจะเอามั้ย เป็นหมาหรือเป็นหมาขี้เรื้อนเราก็ไม่รู้ว่าเราทำบาปอะไรไว้บ้างถ้าเกิดมาอย่างนั้น ใจมันบอกไม่เอาๆ ?

    ตอบ : อาจจะทุเรศกับมันด้วย (หัวเราะ) นั่นแหละดีที่สุดเลยย้ำมันบ่อยๆ ตอกหัวตะปูให้มันจมให้มิดให้ได้

    ถาม : บางทีไม่ทันมันก็เซเหมือนกัน ?

    ตอบ : ก็ธรรมดาเคยแพ้มันมานานนี่ พวกกิเลสนี่แหม ! เหมือนมันรู้ทางจริงๆ จะเจาะตรงที่เป็นจุดอ่อนของเรา

    ถาม : แล้วจะทำยังไงครับถ้ามันรู้จุดอ่อนของเรา ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำ ตั้งสมาธิไว้ก่อนเป็นอันดับแรกสเร็จแล้ว เอากำลังสมาธิทั้งหมดของเราเกาะนิพพานไว้ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะอยู่ตรงนี้แหละ มันจะมาอีท่าไหนไม่ใส่ใจทั้งนั้น ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธินิวรณ์ ๕ มันดับลงชั่วคราว ถ้านิวรณ์ ๕ ดับลงชั่วคราวจิตใจเราไม่สอดส่ายวุ่นวายกิเลสละเอียดเข้ามามันจะเห็นชัด

    เสร็จแล้วมันจะละเอียดแค่ไหนเรื่องของเอ็ง ราคะเกิดขึ้นเรื่องของราคะ ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับเอ็งด้วย โทสะเกิดขึ้นเรื่องของเอ็ง ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย โลภะเกิดขึ้นข้าอยู่บนนิพพาน ข้าไม่ไปปรุงแต่งกับมันด้วย

    ไม่มีตัวจิตไปคอยใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำปลา โลภะ โทสะ โมหะที่เป็นสมบัติของร่างกายก็อยู่ไม่ได้ มันจืดชืดไม่เป็นท่า อย่างเก่งก็ตั้งอยู่ได้แป๊บหนึ่งก็สลายไป เพราะฉะนั้นใครได้มโนมยิทธินี่ถือว่าเป็นกุศลมหาศาลเลย เพราะสามารถตัดกิเลสอัตโนมัติตรงจุดนี้ได้ เผ่นขึ้นไปเกาะพระบนนิพพานโน่น มีอะไรเกิดขึ้นเกาะพระท่าเดียวอย่างอื่นไม่สนทั้งนั้น

    ในเมื่อไม่มีจิตไปคอยปรุงแต่ง ตัวจิตสังขารนี่แหละน่ากลัวที่สุดเลย เมื่อกี้บอกแล้วว่าถ้าคิดเราจะคิดยังไง จะมีแต่สาเหตุของความทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะการคิดมันมีฟุ้งซ่านไป ๒ ทาง คือไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต

    อดีตผ่านมาแล้วไปนิพพานได้ที่ไหนกัน ถ้าไปได้ไม่มานั่งแหง็กอยู่อย่างนี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง รถที่ไม่ออกเราไปขึ้นมันมีประโยชน์อะไร ต้องเอาปัจจุบันนี้เอารถเที่ยวปัจจุบันที่ออกอยู่นี่แหละ ต้องรีบไปกับมัน ขืนช้าตกรถไปนิพพานไม่ทัน

    ในเมื่อเราไม่ใส่ใจกับมันไม่สนใจกับมันเราเกาะนิพพานอย่างเดียวจิตก็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิเลสมายุ่งด้วยไม่ได้เดี๋ยวมันก็หมดไม่รู้ตัว ที่ว่าหมดนั่นก็คือ กิเลสมันหมดไม่รู้ตัวโดนกดอยู่นานๆ เฉาตายไปเอง ตอนนั้นเราก็อยู่ยาวไปเลยไม่ต้องลงแล้ว (หัวเราะ) คนอื่นมาก็ว่าหัวใจล้มเหลว (หัวเราะ) ตายไปซะแล้ว เป็นพระนี่เสียท่านะ ถึงทำได้อย่างนั้นก็ต้องทนอยู่ต่อไป ของโยมถ้าทำได้ก็ไปเลย

    ตัวอย่างคุณจัทนา วีระผล พอทำไปๆ ถึงตรงจุดหนึ่งจิตมันก็ยั้งเอาไว้ ตอนนั้นปัญญามากความเป็นทิพย์มีเยอะ ต้องรู้ว่าถ้าเรายั้งจิตไว้ตรงจุดนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก ๑๒ ปี แล้วถ้าหากว่าเราพิจารณาต่อเข้าถึงที่สุดนี่เราจะตายเลย เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาดูว่ามีอะไรต้องห่วงมั้ย ? คนที่รักของที่รัก ทรัพย์สมบัติอะไรทุกอย่าง ไม่มี ในเมื่อไม่มีจะอยู่ต่อไปทำไม ร่างกายก็ป่วยตะแง็กๆ อยู่ ไปเลยดีกว่า ก็ไปเลยง่ายดีนอนไปเฉยๆ

    นี่ๆ บรรดาท่านที่ปัญญาเยอรู้แจ้งเห็นทุกข์ชัดเจน พวกที่ปัญญาน้อยๆ เห็นท่านย่าบอกว่าจะแกล้งให้มันปวดท้องให้มันขาดใจตายไปเลยจะได้เห็นทุกข์ เหมือนวัวดื้อออกนอกเส้นทางต้องเจอไม้เรียว วัวตัวไหนอยู่ในเส้นทางอยู่แล้วไม่โดนตีหรอก เดินตรงไปเดี๋ยวมันก็ไปคอกเอง

    เพราะฉะนั้นคนไหนวัวดื้อไม่ยอมพิจารณาทุกข์นี่เดี๋ยวโดนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเขาเอาเราจนได้ แต่ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ เห็นเป็นปกติ เขาไม่ต้องบังคับเราแล้วนี่ มันก็เหมือนกับวัวไม่ออกนอกทางก็ไม่ต้องเจอไม้เรียว ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะให้เขาตีเราดีหรือว่าเราจะเลือกเดินไปเองดี เขาตีเรานี่บางทีเขาตีหนักรับไม่ได้ บางทีลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคนกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย เป็นมิจฉาทิฏฐิตรงที่ว่าพอเข้ามาปฏิบัติดีเท่านั้นเองล่ะ สารพัดเรื่องเลวร้ายมันก็ถล่มเข้ามาเลย รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่า ก็บรรลัยเลยสิ

    นั่นแหละ ถ้าเผลอเมื่อไหร่สติมันไม่ทัน กิเลสมันชักได้ก็กลายเป็นว่าห่างความดีไปเลย ทั้งๆ ที่เดินใกล้ประตูนิดเดียวจวนจะผ่านประตูไปได้แล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องทั้งอดทั้งทน ขันติบารมีใช้ให้เยอะๆ ไว้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตามเราจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นตั้งใจไว้ แต่แรกเป็นยังไงปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น

    ถาม : ถ้าเราเกาะร่างกายอยู่แล้วเราคิดถึงตัวนี้มันมีเลยนะคะ ?

    ตอบ : ก็ให้มันแค่นี้ ล็อคมันอยู่แค่นี้ มันได้แค่ชาตินี้ให้มันเถอะ ดอกเบี้ยด้วย ไม่ใช่เงินต้นจ่ายมันซะดีๆ บอกแล้วว่า ธรรมดาของการเกิดมามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราเองมีชีวิตแค่ชั่วลมหายใจเดียวจะต้องไปสนใจไปกังวลอะไรกับ จบแล้วจบกัน มัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จกัน ถ้ามัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จมัน



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...