สงสัยเรื่องพระอนาคามี ครับ ใครเชี่ยวชาญช่วยตอบทีครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bankzar, 21 มิถุนายน 2013.

  1. bankzar

    bankzar สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +18
    เคยศึกษา แล้วจำได้ขึ้นใจว่า พระอนาคามี เป็นอริยบุคคล ชั้น ที่ 3 ซึ่งจะไม่เกิดในกามาวจร อีกแล้ว ไม่ใช่แต่มนุษย์ แม้แต่ สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่เกิด

    แต่จะเข้าพรหมชั้น สุทธาวาส เพื่อบำเพ็ญต่อ จนนิพพาน

    แต่พอ มีข่าวดังๆ ตามที่ทราบก็เลยลองหาประวัติดู เห็นมีคนเคลมว่า หลวงปู่เณรคำเป็นพระอนาคามีมาเกิด

    ก็เลยสงสัยว่า
    1. กรณีพระอนาคามี นี่ ผมเข้าใจผิดหรือไม่ หรือพระอนาคามี สามารถมาเกิดเป็นมนุษย์ได้จริงๆ

    2. เคยมี case แบบนี้ มาก่อนหรือไม่ครับ ที่พระอนาคามีไม่เข้าชั้นพรหม

    ปล. เอาว่า คุยกันเฉพาะ เรื่อง พระอนาคามี นะครับ สงสัยแค่เรื่องนี้ ส่วนเรื่องหลวงปู่เณรคำนี่ เก็บไว้พิจรณากันเอาเองดีกว่าครับ
     
  2. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    อนาคามี. แปลว่า ผู้ที่ไม่ต้องกลับมาสู่ กามภพ
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ5ประการ
    อนาคามีเป็นผู้รู้โทษที่หาประมานไม่ได้ ในกามทั้งหลาย
    จึงเป็นผู้ที่ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ไม่ต้องกลับมาหาสิ่งที่เป็นทุกข์อีก
    ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเลย

    อนาคามีไม่จำเป็นต้องอยู่ สุทธาวาสเสมือนไป และไม่ต้องบำเพ็ญอะไรอีก เมื่อสังโยชน์คือกามละขาดเเล้ว กามภพถูกตัดออกทันที เชื้ิอของกามธาตุหมดไป
    จะอยู่ชั้นไหนในพรหมโลกก็ตาม ยังประมานอายุของพรหมชั้นนั้นให้สิ้นไปแล้ว (อนาคามี ไม่ต้องกลับมา ปรินิพพาน ในภพนั้นนั่นเอง)
     
  3. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เวลาพูดถึง กาม ต้องลงให้ครบ. คติของกามภพมี5เเห่ง 1สวรรค์ 2มนุษย์ 3นรก 4กำเนิดเดรฉาน 5เปรตวิสัย
    โทษของกามหาประมานไม่ได้ คนที่ตายจากมนุษย์เพราะหลงยึดในกามมั่วเมาเเต่รสหวานของกาม ไม่เห็นส่วนที่มีโทษ ก็จะตกเป็นเหยือของกาม นั้นเอง
    กามพระองค์เปรียบเหมือนไซที่เค้าไว้หนักปลา มีการล่อหลอกให้หลงเป็นธรรมดา เมื่อยึดกามเเล้ว ก็จะไม่พ้นโทษของกามไปได้คือ นรกเป็นต้น เมื่อตกลงนรกแล้วโอกาสจะกลับมานั้นเเสนยาก
     
  4. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เวลานี้ เราอยู่ในชั้น มนุษย์ มีโอกาสเห็นโทษในกามทั้งหลายอยู่เเล้ว
    เพราะมนุษย์ คือผู้เสวยทั้งสุขทั้งทุกข์
    กามคุณ คือรูป ที่มีลักษณะน่ารัก เป็นที่ตั้งเเห่งความกำหนัด(ที่เที่ยวหากินของมาร)
    ทุกวันนี้คนเรามีปกติเห็นเเต่รสหวานของมัน เมื่อไปกำหนัดในรสหวานจากกามแล้ว ย่อมยึดถือ(อุปทาน)
    เวลาไปเจอรูปที่ไม่น่าพอใจ ย่อมรู้สึกเครียดคัดขยักเเขยง นี่ก็คือโทษของกาม เป็นธรรมดา (ติดกับ)

    ต่อเมื่อเรามีปกติิเห็นโทษ(อาทีนาวะ)ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน เหตุให้เกิดทุกข์ย่อมดับ เมื่อตัณหาดับ ความยึดมั่นในกามก็ดับลงไปเอง
    ถ้าเรายังละสังโยชน์เบื้องต่ำคือกาม โอกาสที่จะกลับมา มีสูง. โสดาบันก็ต้องกลับ สกทาคมีก็ต้องกลับ
    เเต่ถ้าไม่ได้อะไรเลย โอกาสไปนรกก็สูงเช่นกัน
    เเต่. อนาคามี. ไม่ต้องกลับมา คือชั้นพิเศษ (ติดอยู่ในโลกที่เสวยสุขโดยส่วนเดียว ไม่เคลื่อนออกจากตรงนั้น แล้วปรินิพพานภพนั้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    สรุปสั้นๆก็คือ พระอานาคามี ไม่ลงมาเกิดอีกแล้วในโลกมนุษย์
    ตายจากความเป็นคนแล้วเป็นพรหมแล้วก็นิพพานบนนั้นเลย

    เคสที่ยกมา ผมไม่เคยอ่านเจอ
    ส่วนเรื่องของหลวงปู่เณรคำ ผมว่า ไม่คิดจะดีที่สุด
     
  6. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อะไรผิดต้องบอกว่า ผิด
    เรื่อง วิรพล สุขผล นั้น ถ้าใครเคลมว่า เป็นพระอนาคามีมา เกิด นั้น
    ต้องบอกว่า มั่ว แล้วครับ เพราะคนที่พูดนั้น เขาไม่เคยศึกษาพระพุทธพจน์ให้ดี
    จึงพูดผิดพระธรรมวินัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2013
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    พระอนาคามี นั้นจักไม่มาจุติเกิด หรือเวียนว่ายตายเกิด อีกแล้ว ด้วยบารมีเพราะเป็นผู้ไม่ข้องแวะหลุดพ้นในกามฉันทะแล้วคงเหลือเพียงอุปกิเลสอย่างละเอียดเท่านั้น หลุดพ้นจากกามและรูปาวัจระแล้ว พระอนาคามีทั้งหลาย จักก้าวหน้าทางจิตและหลุดพ้นเข้าพระนิพพานในที่สุดครับ

    แต่ยังมีพระอนาคามีอีกส่วนหนึ่งฝ่ายพุทธภูมิ โพธิสัตว์ ส่วนนี้ ด้วยมโณปณิธาณแห่งการสร้างบารมี จึงยังต้องกลับมาจุติเกิด เพื่อทำหน้าที่สร้างบารมี และช่วยเหลือสรรพสัตว์ไม่มีข้อยกเว้นครับ เพราะเหตุแห่งการสร้างบารมีครับ สาธุ

    ดังนั้นจึงควรแยกแยะให้ดีให้ออกครับ สาธุ
     
  8. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ tjs ครับ

    พระอนาคามีนั้น จะไม่เกิดมาเกิดใหม่ใน กามภพ (นรก เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต มนุษย์ และเทวดา) แต่จะเกิดในพรหมโลก และสิ้นกิเลสเข้าสู่นิพพานบนพรหมโลก ที่ตนอยู่นั้นแหละครับ หรือเจ๋งกว่านั้น ท่านอาจจะเลื่อนขั้นเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น และนิพพานไปเลยไม่ต้องเกิดอีกก็ได้ครับ

    และพระอนาคามีเป็นพระอริยบุคคลครับ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ หรือพุทธภูมิในความหมายที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า

    ถ้าใครยังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ ก็คือยังเป็นปุถุชน อยู่ไม่ใช่ พระอริยะ
    พระโพธิสัตว์ถ้าจะบรรลุธรรมนั้น มีอยู่ 2 กรณีคือ
    1. ขอลาพุทธภูมิ ก่อน จึงสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ (ตั้งแต่โสดาฯ ขึ้นไป)
    2. บำเพ็ญบารมีให้เต็มที่ และบรรลุธรรมในฐานะพระพุทธเจ้าเท่านั้น
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    ท่านจงปล่อยวางในภูมิความรู้ อย่างเป็นธรรมสังขตธรรมให้เป็นธรรมชาติ
    พุทธภูมิที่เป็นพระสงฆ์และเป็นพระอนาคามี ดำรงจิตแบบอรหันต์มรรค ล้วนมีหลายพระองค์
    กรณีนี้ท่านเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิ เพื่อการสร้างบารมี จึงไม่แปลกที่ท่านจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสรรพสัตว์บางจำพวก

    หากท่านไม่เชื่อในสิ่งที่กระผมกล่าวก็ไม่เป็นไรแต่ขอให้ท่านเชื่อในภูมิบารมีแห่งหลวงปู่ทวด สมเด็จโตเป็นต้น เพราะท่านเป็นยิ่งกว่าพระอริยะที่คุณเข้าใจครับ สาธุ

    แม้กระนั้นขอกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แม้ว่าบารมีที่บำเพ็ญมามากจนกระทั่งจิตมีความสะอาดบริสุทธิ์มากแล้วเป็นจิตของพระอริยะยิ่งกว่าพระอนาคามีแล้ว แต่ด้วยมโณปณิธาณพุทธภูมิ เมื่อตนดับกายสังขารไปแล้ว ที่ควรไปคืออรูปพรหม แต่ท่านก็จักไม่ไปสู่ทิพยวิมานแห่งนั้น แต่ด้วยประเพณีปฏิบัติ ท่านรู้ดีว่า ท่านควรไปยังดุสิตวิมานเท่านั้น เพราะมีเหตุปัจจัยประกอบที่ดีงามเกื้อหนุนอยู่ เช่นนี้เรื่องนี้ ขอท่านทั้งหลายจงเปิดใจกว้างใน สิ่งที่กระผมกล่าวมา ซึ่งสามารถอธิบายได้ทุกคำถามด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอ และในทางจิตภาวนา กระผมก็รู้แจ้งในวิถีเหล่านี้ดี ก็อยู่ที่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะก็แค่ปราถนาอธิบายให้ท่านได้มีปัญญารอบรู้แจ้งก็เท่านั้นครับ จึงขอกล่าวอธิบายเช่นนี้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระอนาคามี ถ้าไม่เลื่อนขั้นเป็น พระอรหันต์ในภพนั้น
    ก็จะเกิดอีกครั้งเดียวในพรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องชั้นสุทธาวาส แต่ชั้นสุทธาวาส นั้นมีแต่พระอนาคามีเท่านั้น)

    นึ่คือข้อความจากพระไตรปิฎกครับ

    พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ พระองค์ว่า บุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระอนาคามีผู้เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ฯ

    ลองดูรายละเอียดที่
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A=2130&Z=2536
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=527

    ส่วนหลวงปู่ทวดกับสมเด็จโตฯ นั้น เชื่อกันว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ (ไม่ใช่พระอริยะบุคคล แต่เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม แต่จะบรรลุเมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอันนานแสนนาน)

    บางทีเราคิดว่า ใช่แบบนี้ แต่ความเป็นจริงนั้น อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ ดังนั้นต้องดูว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เช่นไร ถ้าผิดจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แสดงว่า เป็นสัทธรรมปฏิรูปแล้วครับ อย่าได้ไปหลงเชื่อหรือคล้อยตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2013
  11. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    รองจาก "อนาคามี". เรียกว่า "อาคามี" (ผู้ที่ยังไม่พ้นมนุษย์)
    อาคามีได้เเก่ สกทาคามี โสดาบัน ปุถุชน คือ ผู้ที่ยังต้องกลับมา
    โสดาบัน กับ. สกทาคามี จะพ้น อบาย ทุกคติ วินิบาตไปแล้ว
    ส่วน ปุถุชน ยังไม่พ้นนรก. กำเนิดเดรฉาน. เปรตวิสัย



    พระสูตรนี้คือ อนาคามี. ผู้ปรินิพพาน ในอรูปภพ. "เนวสัญญานาสัญญายตนะ"
    ถ้าไม่ใช่อนาคามี. ยังไม่ได้ละสังโยชน์เบื้องต่ำก่อนไปอยู่ภพนั้น หมดสิทธิที่จะรู้ธรรมมะ ย่อมต้องกลับลงมาเพราะภพนี้ยากต่อการบรรลุธรรม

    ^
    ^

    "สัตว์ที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่. ". สามารถปรินิพพานได้
    ก็คงตัดการบำเพ็ญเพียรเพื่อนิพพานออกได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    ถ้าว่ากันตามตำรา กรณีของผมอาจจะไม่มีกล่าวถึงโดยละเอียด

    ถ้าอย่างนั้น ใกล้เข้ามาหน่อย กระผมของถามว่า อย่างท่าน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเป็นพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติดี ท่านไม่ใช่พระอริยะบุคคล อย่างนั้นหรอ แล้วท่านเป็นพระแบบไหน ครับ ศีลท่านก็งามบริบูรณ์ สมาธิของท่านก็ดีงามบริบูรณ์ ปัญญาของท่านก็รอบรู้ในธรรม ผมถามเพราะให้ท่านพิจารณาดู

    หากพระสงฆ์ผู้นั้นปราถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะกลายเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ใช่พระอริยะ ทันทีอย่างนั้นเหรอ ผมว่ามันขัดแย้งด้วยเนื้อแท้แห่งความดีเนื้อแท้แห่งจิตที่สะอาดบริสุทธิ์มากแล้วแม้จะยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ตาม

    ความจริงเราไม่ได้สนใจหรอว่าใครจะปราถนาอะไร ความเป็นพระอริยะ หรือพระอนาคามีอยู่ที่การปฏฺบัติทางจิต ที่บรรลุธรรมที่สูงในระดับที่ควรมีควรได้ควรต้องทำให้ถึงก็เท่านั้น เมื่อถึงแล้วละกามราคะทั้งหลาย ได้แล้ว เหลือแค่กิเลสอันเป็นธุลีตกตะกอนลึกอยู่แค่นั้น ก็พิจารณาได้ว่า ท่านใกล้ความเป็นอรหันต์แล้ว แค่นั้นเอง

    มองอะไรควรมองให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ที่ความบริสุทธิของจิต ตำราอาจไม่ใช่สิ่งที่ใช่ทั้งหมด เพราะบางส่วนที่ละเอียดหรือเป็นปลีกย่อย อาจจะไม่มีอยู่ในตำราก็มีครับ สาธ

     
  13. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ tjs

    บางส่วนที่ไม่มีในตำรา อาจจะมีทั้งถูกและไม่ถูกก็ได้
    แต่ อะไรที่ ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าตรัส ถือว่า ผิด ครับ

    อย่างในกรณีนี้คือ เรื่องพระอนาคามี
    จะสรุปว่า พระอนาคามีบางจำพวกเป็นพระโพธิสัตว์เพราะไม่มีในตำรา ไม่ได้ครับ เพราะกรณีนี้ มีบันทึกในตำราพระไตรปิฎกชัดเจน ไม่ใช่ว่าไม่มี เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ดีแล้วว่า พระอนาคามีคือผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ประการ จึงไม่กลับมาเกิดในกามภพ เช่น มนุษย์อีก

    เราจะไปบัญญัติในสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัตินั้น ไม่ถูกครับ เพราะจะทำให้สัทธรรมแท้เลอะเลือนเสื่อมสูญไปเร็วขึ้น

    ส่วนเรื่อง หลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต หลวงพ่อปาน นั้น ถ้าจะให้เรียกท่านเหล่านั้น ก็เรียกว่า พระโพธิสัตว์ไงครับ ในภพชาติ ที่ท่านเกิดเป็นพระที่มีชื่อที่เรารู้จักนั้น ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จริง แต่ไม่ใช่อริยบุคคลครับ แต่เป็นกัลยาณปุถุชนในชาตินั้นๆ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุธรรม อาจมีปัจจัยที่ทำให้ท่านเหล่านั้นทำบาปได้อยู่ในชาติถัดๆไป

    ขนาดพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรานะครับ บำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย 4 อสงไขยแสนมหากัป จวนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่พอมาเจอพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว (พระกัสสปพุทธเจ้า) ยังไม่เลื่อมใสในครั้งแรกพบด้วยซ้ำ เท่านั้นไม่พอยังไปพูดบริภาษพระกัสสปพุทธเจ้าด้วยว่า

    การตรัสรู้เป็นของยากท่านไปตรัสรู้มาจากใต้ต้นไม้ที่ไหนกัน

    กรรมนีี้ส่งผลให้ท่านไปอบายภูมิ และเศษกรรมนี้ทำให้ท่านต้องเสียเวลาในการลองผิดลองถูก อดอาหารทรมานตั้ง 6 ปีกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในขณะที่พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆในพระไตรปิฎกใช้เวลาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่เคยมีองค์ไหนใช้เวลาเป็นปีเลย

    คิดดูสิครับสังสารวัฏมันน่ากลัวขนาดไหน ถ้ายังไม่เป็นพระอริยะ (ตั้งแต่โสดาฯขึ้นไป) ไม่มีใครที่จะเป็นคนดีได้ตลอดไปหรอกครับ ก็ต้องพลาดพลั้งบ้างไม่คราใดก็คราหนึ่ง และจนถึงซึ่งอนุปาทิเสสนิพพานนั่นแหละครับ จึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวงไม่ต้องกลับมาเกิดให้ผิดพลาดอีก


    อย่างไรก็ตาม แม้พระโพธิสัตว์จะไม่ใช่อริยะ แต่ในชาติที่บวชเป็นพระแล้วปฏิบัิดีปฏิบัติชอบ ไม่ผิดธรรมวินัย ก็นับได้ว่าควรแก่การกราบไหว้เช่นกันครับ และควรนับถือในความเสียสละยอมลำบากบำเพ็ญบารมียอมลงนรกนับครั้งไม่ถ้วน ของท่านมากกว่า

    นี่ว่ากันตามหลักแห่งธรรมนะครับ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่อริยะแล้วจะนับถือไม่ได้ ถ้าปฏิบัติดีแม้ไม่ใช่อริยะ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ก็ควรแก่การเคารพนับถือทั้งนั้นแหละครับ

    แต่ต้องแยกให้ออกว่า อย่าไปบัญญัติ สิ่งที่ผิด ว่าเป็นสิ่งที่ถูก เช่น บัญญัติว่าพระอนาคามี บางส่วนที่เป็นพระโพธิสัตว์ยังกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก เป็นต้น ถ้าทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างกับการเรียกโต๊ะว่าเก้าอี้ ทำให้สับสนเปล่าๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2013
  14. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เล่าเรื่อง ครูบาอาจารย์ร่วมสมัยบ้าง

    อย่างหลวงปู่มั่น เป็นต้น

    แต่ก่อนหลวงปู่มั่นท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ แต่พอปฏิบัติธรรมไปถึงขั้นหนึ่งจนจิตเป็นกลางต่อสังขารทั้งปวง ความปรารถนา ที่ท่านเคยปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อหลายพันปีก่อน ก็แสดงตัวขึ้นมา ทำให้ท่านไม่สามารถดำเนินจิตให้ก้าวหน้าต่อไปถึงขั้นอริยมรรคได้

    แต่ท่านพึ่งจะปรารถนาพุทธภูมิ เป็นครั้งแรกเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เอง และยังไม่ได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานขอลาพุทธภูมิ จนได้บรรลุธรรมในการต่อมา

    แต่บารมีที่ท่านเคยบำเพ็ญมาก็ไม่หายไปไหน ก็กลายมาเป็นความสามารถพิเศษทางจิตต่างๆของท่าน เช่น เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตของสัตว์ต่างๆได้ และมีบารมีเชี่ยวชาญใน อรรถ ธรรม ภาษา และ ปฏิภาณไหวพริบต่างๆ และสั่งสอนศิษย์หลายองค์จนเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ให้เราได้กราบไหว้บูชา เช่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่เทศน์ หลวงปู่สิม หลวงตามหาบัว หลวงปู่หล้า ฯลฯ
     
  15. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สาวกโลกอุดร และปฏิบัติตามที่หลวงปู่สั่งสอนซึ่งเป็นฌานสมาบัติ และหลวงปู่ก็ได้แสดงว่าพระอริยะบุคคลทุกระดับต้องผ่านฌานที่๙ ชื่อว่าสัญญาเวตยิตนิโรธ หรือญาณ๙ชื่อว่าสัจจานุโลมิกญาณ ทั้งหมด โดยหลวงปู่จะแสดงสภาวะที่มีชีวิตอยู่ของพระอริยบุคคลแต่ละชั้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่แสดงว่าเสียชีวิตแล้วไปเกิดที่ใด
    ซึ่งตามตำรากล่าวว่าหากใครตายในขณะทรงฌานก็ต้องไปเกิดเป็นพรหม ในขณะที่ผมปฏิบัตินี้ก็ยังไม่ถึงอริยะแต่อย่างใด ผมเองก็มีการทรงฌานได้วันละหลายชั่วโมง ไม่ใช่จะเป็นฌานเฉพาะปฏิบัตินะครับ เมื่อเทียบกับการปฏิบัติของผม ตามหลวงปู่สอนและกับตามตำรา ผมมีความเชื่อว่าพระอริยะบุคคลท่านน่าจะทรงฌานโดยปรกติ หากท่านไม่ได้เสียชีวิตชนิดฉับพลันท่านน่าทรงฌานในขณะเสียชีวิตแน่นอน
    ตรงนี้จึงเป็นความเห็นส่วนตัวของผมว่า ตั้งแต่ระดับโสดาบันขึ้นไปถึงระดับพระอนาคามี น่าจะเกิดในชั้นพรหมเกือบทั้งหมดแต่ต่างระดับกันครับ
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ ฐสิษฐ์

    พระอริยะ ทุกระดับ เคยเห็นนิพพาน
    แต่สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเข้าได้แต่พระอรหันต์ กับ พระอนาคามีที่ชำนาญในฌาน

    ส่วนพระโสดาฯ สกทาคามี นั้นกระจายไปตาม โลกมนุษย์ สวรรค์ชั้นกามาวจรภูมิ และพรหมโลกครับ
    ยกตัวอย่างพระโสดาฯเท่าที่จำได้
    เช่น พระเจ้าพิมพิสาร เกิดเป็นยักษ์ในสวรรค์ชั้นแรก (จาตุมฯ)
    อนาถบิณฑิกะเศรษฐี เกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นที่ 4 (ดุสิต)
    นางวิสาขา เกิดเป็น มเหสีของเทวดาที่ปกครองสวรรค์ชั้นที่ 5 (นิมมานรดี)

    คุณ asvel
    พระโพธิสัตว์ที่ดี นั้นจัดอยู่ใน ปุถุชนที่มีศีล หรือไม่ก็เป็นผู้สงัดจากกามเพราะทรงฌาน

    ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเทียบเท่าพระอนาคามี

    ในทักขินาวิภังคสูตรตรัสถึงผลแห่งทานไว้ดังนี้ครับ

    ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคล ภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า

    http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9161&Z=9310
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มิถุนายน 2013
  17. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ขอบคุณคุณรณจักรที่แสดงความเห็นมาข้างต้น
    หลวงปู่ท่านแสดงว่าตำราพระไตรปิฎกฉบับที่ทำสังคายนาที่ศรีลังกาและประเทศเราได้รับมานั้น มีข้อความขาดตกพกพร่องและต่อเติมจนผิดเพี้ยนไปจากธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ โดยแสดงว่าหลักปฏิบัติที่จะบรรลุพระอริยบุคคลมีวิธีเดียวเป็นลักษณะเพ่ง(ปัจจุบันเป็นพิจารณา) พระอริยบุคคลก็มีชนิดเดียว (ตำรามี 4 แบบ) และตำราธรรมมะของบ้านเราส่วนใหญ่ก็อิงพระไตรปิฎกทั้งสิ้น
    หลวงปู่แสดงไว้ว่าระดับพระอริยบุคคลตั้งโสดาบันถึงพระอรหันต์ต้องฌานสัญญาเวทยิตนิโรธทั้งหมด(สภาวะความคิด หรือจิต หรือวิญาณดับ จึงเป็นผู้เข้ากระแสพระนิพาน) แต่ทรงสภาวะได้ต่างกัน พระโสดาบันประมาน 2 นาที พระสักกิทาคาประมาณ 3 นาที พระอนาคามีประมาณ 5 นาที ส่วนพระอรหันต์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงขึ้นไป หลวงปู่แสดงส่วนตัวของท่านเข้าได้สูงสุด 4 ชั่งโมงเพราะท่านร่างกายเล็ก
    ในตำรากล่าวว่ามีพระอรหันต์กับพระอนาคามีที่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ แต่หลวงปู่แสดงว่าเข้าได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคามียังกิเลสเหลืออีก 5 ตัว ยังมีความหงุดหงิดในจิตใจอยู่ไม่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และหลวงปู่ได้แสดงด้วยว่าขณะเข้านิโรธสมาบัตินั้นก็เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สภาวะนิโรธสมาบัติกับพระนิพพานเป็นสภาวะเดียวกันโดยเรียกนิพพานนี้ว่าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติที่เดินตามวัดตามวาประคองธาตุประคองขันธ์เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ส่วนพระอรหันต์ที่ดับขันธ์เรียกว่านิพพาน หากว่าพระอนาคามีสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้พระอนาคามีก็จะกลายเป็นพระอรหันต์ไปในขณะนั้นเอง
    ส่วนในตำราที่ใครไปเกิดที่ใดนั้น ก็อาจจะเป็นตามนั้นก็ได้ เพราะตามรายชื่อที่แสดงมาล้วนเป็นพระโสดาบันซึ่งเป็นฝ่ายฆาราวาส ซึ่งหลวงปู่ก็แสดงไว้ว่าพระโสดาบันฝ่ายฆาราวาสนั้นคุณธรรมน้อยกว่าพระโสดาบันระดับสงฆ์
    แต่ความเห็นของผม ผมก็อ้างตำราบางส่วน จากการปฏิบัติบางส่วน และจากคำสอนที่หลวงปู่สอนอีกบางส่วนประกอบกัน ซึ่งก็เป็นเฉพาะความเห็นส่วนตัวครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระไตรปิฎกไทยนั้นไม่ได้ขาดตกและถูกต่อเติมเหมือนทางฝ่ายมหายาน เพราะ เวลาสังคายนาใช้วิธี มุขปาฐะ คือ ท่องจำแบบคำต่อคำและมาสาธยายพร้อมกัน ถ้ามีผู้จำผิด แม้แต่คำเดียวก็จะสวดขัดแย้งทันทีและทราบได้ว่าใครผิดใครถูก ถ้าจะผิดอย่างมากก็แค่เขียนผิดแค่ตัวอักษร เช่น เขียน "ด" เป็น "ค" หรือ บัว "3" เหล่า เป็น บัว "4" เหล่า เท่านั้นเอง

    ส่วนหลักปฏิบัติที่จะบรรลุพระอริยบุคคลมีวิธีเดียว คือ สติปัฏฐาน 4 ซึ่งไม่ใช่ลักษณะเพ่ง แต่เป็นการรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ตามความเป็นจริง(คือเป็นไตรลักษณ์)ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

    พระอริยบุคคล พระไตรปิฎกเถรวาท ไม่ได้บอกว่า มีประเภทเดียว แต่บอกว่ามี 4 ประเภทเท่านั้นคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์

    นิโรธสมาบัติ กับ สัญญาเวทยิตนิโรธคืออันเดียวกันหรือเปล่า แต่คุณฐสิษฐ์บอกในตอนแรกว่า เข้าได้ทุกชั้นตั้งแต่ พระโสดาฯถึงพระอรหันต์ไง ?

    ขณะเข้านิโรธสมาบัติ เป็น สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ครับเพราะยังมีไออุ่นอยู่ ยังไม่ดับขันธ์

    เจริญในธรรมครับ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    ผมจะขอกล่าวอธิบายอีกครั้ง ว่า

    สิ่งที่กระผมกล่าวมา ไม่ได้กล่าวผิดจากดำรัสหรือสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แม้วลีหรือวรรคเดียว หากผิดตรงไหนอย่างไรโปรดชี้แจงหรืออธิบายให้ทราบด้วยเหตุและผลด้วยครับ

    สิ่งที่กระผมกล่าวเรื่องความเป็นพระอนาคามีของพระโพธิสัตว์ อาศัยด้วยรู้ด้วยการศึกษาและการปฏิบัติทางจริง เจริญทางจิตเพื่อเข้าถึงสภาวะธรรมและสภาวะของจิต

    กระผมขอถามท่าน รณจักรว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงคิดว่าพระโพธิสัตว์ท่านไม่สามารถ
    บรรลุพระอนาคามีได้ หากท่านตอบกระผมได้อย่างมีเหตุผลและมีน้ำหนัก กระผมก็จะเชื่อฟังและยอมรับครับ สาธุ

    เมื่อคืนกระผมเจริญสมาธิตามปกติ ด้วยจิตที่ยังสงสัยในเรื่องนี้ แต่ก็ปล่อยวางเพราะเหตุแห่ง ความต้องการความสงบในสมาธิ
    และเมื่อผ่านไปได้ไม่นานัก ก็เกิดนิมิตในสมาธิมีรูปพระอริยะรูปหนึ่ง ไม่ขอกล่าวชื่อของท่าน ท่านกล่าวว่า

    ลูกเอ๋ย อันความเป็นพระอริยะ นั้นมีแปดจำพวก ประกอบด้วยสี่จำพวกแรกตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทา อนาคมี อรหันต์เป็นพระอริยะฝ่ายมรรควิธี
    ส่วนอีกสี่จำพวก เป็นพระโสดาบัน สกิทา อนาคมี อรหันต์เป็นพระอริยะฝ่ายปฏิเวธหรือผละวิธี
    อาตมาขอกล่าวว่า ความเป็นอริยะบุคคลนั้น มิได้เกี่ยวข้องกับความเป็นหรือจำกัดด้วยเงื่อนไขอะไรหรอก ความเป็นพระอริยะนั้นไม่เกี่ยวด้วยว่า มนุษย์ผู้นั้น จะเป็น ราชา ยาจก พราหม์ หรือนักบวช หรือโพธิสัตว์ แต่ความเป็นพระอริยะนั้น อาศัยเหตุที่เธอคือมนุษย์ผู้นั้น มีการสั่งสมบารมี ทานศีลภาวนามาดีแล้ว มีจิตดำรงอยู่ด้วยพระสัทธรรมเสมอแล้ว ยิ่งจิตพระอรหันต์แล้วนั้น ดูแค่เพียงว่า ท่านได้ตัดละสังโยชน์ได้หมดสิ้นบริสุทธิ์แล้ว ท่านมีดวงตาบรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้เจริญแล้วด้วยอริยะมรรคองค์8 เป็นผู้ห่างไกลกิเลสแล้ว นั้นแหละจึงกล่าวได้ว่าท่านจัดเป็นพระอริยะประเภทพระอรหันตอริยะบุคคล
    ฉนั้น ความเป็นพระอริยะจึงไม่ข้องเกี่ยวด้วยความเป็นอะไรใดๆทั้งสิ้น แต่ความเป็นพระอริยะนั้น อาศัยแค่การเจริญก้าวหน้าทางจิตที่บรรลุธรรมในแต่ละระดับชั้นเท่านั้นเองเป็นเครื่องชี้วัดหรือเป็นสิ่งบอกกล่าว เพราะผลแห่งการปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมเหล่านั้นแลจะเป็นเครื่องแสดงให้ทราบแห่งความเป็นพระอริยะบุคคล สิ่งที่ลูกเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แก่นแท้ใดๆแล้วล้วนพิจารณาได้ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมเท่านั้น สิ่งอื่นภายนอกที่เรียกกัน ที่ฉาบทาไว้นั้น คือเปลือกนอก จะสำคัญไปกว่า แก่นแท้คือจิตภายในได้อย่างไร ขอเจริญพร

    กระผมขอจบการแสดงความเห็นเพียงเท่านี้ครับ สาธุครับ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    ส่วนนี้จะขอพูดถึง การเข้านิโรธสมาบัติและการออกนิโรธสมาบัติว่า จะเกิดได้ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในการเข้าฌาณและวิปัสสนาญาณของพระอนาคามีผู้มีกิเลสหลงเหลืออยู่น้อยนิด ด้วยปณิธาณตั้งมั่น พร้อมด้วยวาสนาบารมีให้ผลจักสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    การเข้านิโรธสมาบัติจะเกิดเฉพาะพระอนาคามีเท่านั้น ที่กิเลสน้อยใกล้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้นเมื่อท่านเข้านิโรธสมาบัติแล้ว ด้วยกำลังของสติ สมาธิ ฌาณและวิปัสสนาญาณ ของท่านจนเกิดปัญญาญาณวิมุตติหลุดพ้น เป็นผู้ห่างไกลกิเลสได้โดยสมบูรณ์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในคราวเดียวนี้เท่านั้น ฉนั้นเมื่อท่านสามารถเลื่อนชั้นภูมิของจิตได้สำเร็จ เป็นพระอรหันต์แล้วนั้น จึงกล่าวได้ว่า ท่านได้เข้านิโรธสมาบัติ และเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์จบใหม่ เมื่ออกจากนิโรธสมาบัติ แล้ว แม้มนุษย์ผู้ใดได้มีโอกาสได้ทำบุญกับท่าน จึงกล่าวได้ว่าบุญกุศลนี้จะมีอานิสงค์มากมายยิ่งใหญ่นักเพราะด้วยเหตุนี้ที่ท่านสามารถปฏิบัติธรรมในคราวนี้จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้สำเร็จนั่นเอง

    เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่มีการเข้านิโรธสมาบัติใดๆอีกแล้ว เพราะสามารถดับกิเลสได้แล้วโดยสิ้นเชิงครับ
    หรือกรณีที่ยังไม่สามารถเข้าสมาธิฌาณวิปัสสนา ดับกิเลสได้โดยสิ้นเชิงนั้น อันนี้ก็ไม่เรียกว่านิโรธสมาบัติ เพราะยังดิบกิเลสไม่ได้โดยสิ้นเชิง อันนี้กรณีนี้เราจะกล่าวเรียกแค่ว่า เป็นการเข้าฌาณสมาบัติเท่านั้น

    คำว่านิโรธสมาบัตินี้ เป็นการเข้าไปเพื่อการดับทุกข์คือดับกิเลสโดยสิ้นเชิง จะเกิดได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตของมนุษย์คือพระอนาคามีเท่านั้น ที่เลื่อนภูมิจิตสู่อรหันตจิตครับ เมื่อเป็นอรหันต์บุคคลแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเข้านิโรธสมาบัติอีก เพราะหลุดพ้นแล้วเป็นผู้ห่างไกลกิเลสแล้ว อาศัยดำรงอยู่ด้วยสติปัญญารู้ทันในเครื่องปรุงแต่งทั้งหลายและละปล่อยวางลงก็แค่นั้น อาศัยกายธาตุไปอย่างนั้น โดยไม่ได้ยึดติดยึดมั่นใดๆอีกแล้ว คงรอเวลาแค่การหมดอายุไขเพื่อดับขันธ์นิพพานเท่านั้น ครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...