สมาธิรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 22 มิถุนายน 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]
    พระมหาสีไพร อาภาธโร



    จุดประสงค์ของการสอนสมาธิรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม

    เนื่องจากอาตมามีสุขภาพกายไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัวหลายเรื่องทานแต่ยาเข้าแต่โรงพยาบาล และได้ศึกษาเรื่องสมาธิเมื่อปีพ.ศ.2525เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บชอบทำสมาธิมากๆได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ บางครั้งจิตนิ่งสว่างและสงบมาก ช่วยระงับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมานได้มากที่เดียว แต่ไม่หายได้แค่บรรเทาเบาคลาย ปีพ.ศ.2529จึงบวชพระมุ่งมั่นในการทำสมาธิศึกษาเรื่องสมุนไพรและศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างเอาจริง หนังสืออะไรที่เป็นพระธรรมคำสอนเก็บเอามาอ่านจนหมด พระไตรปิฎก100เล่มก็อ่านจบหมดทั้งตู้ เรียนจบนักธรรมเอก เปรียญธรรม๓ประโยค มหาพระอภิธรรมบัณฑิตเอก ชอบธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐาน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะรักษาโรคที่ตัวเองทุกข์ทรมาน ได้เข้ากัมมัฏฐานเกือบทุกสายที่สอนอย่างเอาจริงก็ได้ผลตามสมควร จนเมื่อได้มาเข้าสมาธิจิตเหวี่ยงเข้าสู่วิถีจิต แล้วจิตหมุนไปตามอายตนะ คือตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เข้าสู่ขบวนการมหาสติปัฏฐาน คือกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไหลลื่น ไปตามเหตุและปัจจัยของเขาเอง ทุกข์กาย เจ็บป่วยตรงไหนพลังจิตที่ประกอบไปด้วยปัญญา เขาจะเข้าไปหมุนไปร่ายรำท่าทางต่างๆออกมาเป็นการบริหารเอ็นใหญ่ 900 เอ็นน้อย 9,000 กระดูก 300 ท่อน ธาตุทั้งสี่ ขันธ์ทั้งห้า อย่างบูรณาการ พร้อมทั้งขจัดสารพิษสารตกค้างเชื้อโรคออกจากร่างกายของเขาเอง เป็นที่น่าอัศจรรย์ ความทุกข์ใจที่เป็นความรู้สึกยึดที่ติดในอารมณ์จะถูกปลดปล่อยของเขาเองทุกๆเรื่อง ค่อยๆคลี่คายความยึดติดความผูกพันออกมา บางอย่างทุกข์ในปัจจุบัน แต่เหตุ และต้นเหตุอยู่ในอดีต จิตเขาจะสแกนหาเหตุแห่งทุกข์ของเขาเอง ใช้ปัญญาของจิตแก้ปัญหาปลดปล่อย ปล่อยวางของเขาเอง สติในปัจจุบันกำหนดรู้ตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเท่านั้นหรือที่เรียกว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นตามเหตุปัจจัย เหมือนคนไข้ดูหมอรักษาพยาบาลตัวเรา เราอย่าไปวุ่นวายกับหมอ ทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องง่าย ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของจุดประสงค์คือที่ทำการเผยแพร่

    1.) เพื่อเป็นแพทย์ทางเลือกใหม่ สำหรับผู้ที่เจ็บป่วยทุกข์ทรมานจากโรคร้าย โดยใช้สมาธิวิถีพุทธบำบัดสุขภาพกายและจิต โดยที่ไม่ต้องใช้ยาหรือสารเคมีบำบัด เพื่อช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติบ้านเมือง

    2.) เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความเครียดความทุกข์ทางอารมณ์ได้มีโอกาสปลดปล่อย ปล่อยวางความทุกข์ความรู้สึกทางด้านจิตใจ เนื่องจากความเครียดความและความทุกข์ทางอารมณ์นี้ เป็นต้นเหตุของความรุนแรงทางอารมณ์ อันเป็นปัญหาสังคมที่ให้อภัยกันไม่ได้ ถ้าทุกคนมีอารมณ์ดีใจดีสังคมก็หน้าอยู่

    3.) เป็นการรวมตัวของพุทธศาสนิกชนผู้ใฝ่ใจสนในการปฏิบัติธรรม ที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วยเหลือกันและกัน แบ่งปันสติปัญญาความรู้ความสามารถ เพื่อความสมัคสมานสามัคคีรักใคร่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใครรู้จักครูบาอาจารย์ที่ไหนดีสถานที่ไหนดี หนังสือเล่มไหนดี CD ,MP๓ ที่เป็นธรรมะดีๆ ก็นำมาบอกกล่าวแลกเปลี่ยนกัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมร่วมกัน

    4.) แนวทางการปฏิบัติเป็นธรรมชาติบำบัดกัมมัฏฐานประยุกต์ ไม่แยกสายไม่แยกแนว รวมเอาปัญญาทุกอย่างมาแก้ปัญหาสุขภาพกายและจิต เช่น สวดมนต์ไหว้พระ ฟังธรรม เจริญสติโดยใช้เสียงเพลง บริหารกายวิถีพุทธโดยใช้โยคะเข้ามาประกอบ มีการประเมินสุขภาพกาย จัดกระดูก อาหารขจัดสารพิษ แล้วแต่เหตุที่เหมาะสม การสอนตรงนี้เป็นการเปิดใจให้กว้างขวาง เพื่อนำไปสูจริตที่เหมาะสมของตัวเอง อันเป็นเส้นทางเข้าสู่ทางสายกลางของตัวเอง อันจะเป็นเหตุไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อนไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน พึงพาตัวเองได้

    พระมหาสีไพร อาภาธโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=794 align=center bgColor=#dddddd border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>พลังจากจักระแห่งชีวิต

    บุคคลใด สามารถกระตุ้นเปิดจักระได้ครบ
    มีความตื่นตัวเต็มประสิทธิภาพ
    จุดพินธุในสมอง จะหลั่งน้ำอมฤต ( Nectar )
    ออกมาชำระจักระทั้งหมดให้บริสุทธิ์

    ด้วยความตั้งใจแบ่งปันความรู้ ความเข้าใจ ด้านสุขภาวะกาย จิต สิ่งแวดล้อม และสังคม ให้ประชาชนรับทราบ เท่าที่โอกาสจะอำนวย กลุ่มคนผู้ร่วมกันถักทอความห่วงใยด้วยการแบ่งปัน ทำความดีเพื่อพ่อ จึงได้จัดกิจกรรม ชมรมคนรู้ใจนัดพิเศษ ขึ้น เมื่อวันพุธที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา โดยเชิญ Mr.Alexander & Carolin Toskar พร้อมด้วย นายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ เลขาธิการ ผู้เป็นกำลังสำคัญในการก่อตั้ง มูลนิธิเพื่อพัฒนาการแพทย์ทางเลือก (ประเทศไทย) มาสาธิตวิธีบำบัดกระดูกสันหลัง เพื่อปรับดุลยภาพชีวิต พร้อมฝากการบ้านให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปพัฒนาพลังในการล้างพิษและบำบัดตนเองกันต่อ โดยใช้ฝ่ามือแห่งความรักสัมผัสจักระทั้ง 7 ของร่างกายเป็นประจำทุกวัน คนที่ทำตามจริงๆ ก็จะเห็นผลหากรู้แต่ไม่ยอมทำ ก็จะหมดสิทธิ์โวย เมื่อล้มป่วย

    อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสแก้ตัวนะคะ คือ ในวันอังคารที่ 25 มีนาคม ศกนี้พระอาจารย์อารยะวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์ จังหวัดลำพูน จะมาให้ความรู้เรื่อง พลังบุญ พลังจิต พิชิตโรค ณ ที่เก่าเวลาเดิม คือ 18.30-20.30 น. ณ หอประชุมพุทธคยา ชั้น 22 อาคารอัมรินทร์พลาซ่า เพลินจิต กรุงเทพฯ ก่อนจะถึงวันนั้น เราควรมาทบทวนกันหน่อย ถึงเรื่องจักระทั้ง 7 ในร่างกายของเรา วันจริงที่ฟังพระท่านอธิบาย จะได้มีพื้นฐาน เสริมความเข้าใจกับเขาบ้าง
    ขอบคุณ คุณคเชนทร์ .... ผู้ประสานงานชมรมคนรู้ใจ นักค้นคว้าไฟแรง และผู้แต่งหนังสือนิยายเชิงวิทยาศาสตร์ ชื่อ Crisis of the Key ที่ได้คัดย่อข้อมูลบางส่วน สรุปความรู้เกี่ยวกับจักระสำคัญทั้งเจ็ด และความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับปราณ หรือออร่า และระบบกายทิพย์ มาให้เผยแพร่ ดังนี้

    *ในศาสตร์ของชาวตะวันออก จะมีการกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า ปราณ หรือ ชี่กง ที่ชาวตะวันตกจะเรียกกันว่า ออร่า (Aura) มีลักษณะเป็นรัศมีแผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือพืช

    ทางซึกโลกตะวันตก ดร.อเลกซานเดอร์ เกอร์วิช นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเป็นผู้ค้นพบ ให้ชื่อว่า รังสีไมโตเจนิก (Mitogenic Rays) หรือ ไบโอพลาสม่า(Bioplasma)
    ออร่า เป็นสนามพลังแผ่ตัวไปตามแนวอันชัดเจน ทำงานและเคลื่อนไหวเสมือนหน่วยหนึ่งๆ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เปลี่ยนสีสันไปตามอารมณ์ ความรู้สึก และสุขภาพ ระบบของปราณหรือออร่า โดยสรุปก็คือสิ่งที่เรียกว่า กายทิพย์ หรือ แอสตรัลบอดี้ (Astral Body) นั่นเอง

    ส่วนจักระทั้ง 7 ในแนวกระดูกสันหลังนั้น ที่ถือว่าเป็นแกนของระบบพลังงานนี้ เป็นศูนย์รวมของพลังงานที่หมุนวนและรักษาสมดุลของระบบ ที่เกี่ยวข้อง เปรียบไปก็เหมือนกับไดนาโม และหม้อแปลงไฟของระบบกายทิพย์ เป็นแหล่งดูดซับ รับและส่งระหว่างพลังงานภายในกับภายนอก รวมทั้งมีการเรียงตัวในลักษณะเดียวกับคฑาของเฮอร์เมส ที่มีชื่อว่า คาดูเซียส (Caduceus) อีกด้วย

    ตามตำราทางโยคะศาสตร์ กล่าวว่าในกระดูกสันหลังของเรานั้นมีท่อพลังอยู่สามเส้น ดังนี้
    1. สุษุมนะ (Sushumna-Nadi - นที) เป็นทางเดินหลักของพลังกุณฑาลินี ระหว่างทางจะมีจักรอื่นๆ ตั้งอยู่เป็นระยะจนไปสุดที่ จักรสหัสราร (Sahasrara Chakra) ตรงกลางกระหม่อมบนศีรษะ
    2. อิทะ (Ida-Nadi) ทำหน้าที่ควบคุมด้านจิตใจ
    3. ปิงคละ (Pingla-Nadi) ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน เส้นที่ 2 และ 3 นี้ จะวิ่งโค้งวนสลับซ้ายขวาขึ้นไปตามแนวท่อสุษุมนะ โดยในแต่ละจุดตัดของท่อทั้งสามก็คือตำแหน่งของจักรต่างๆ
    บุคคลใด สามารถกระตุ้นเปิดจักรได้ครบ และมีความตื่นตัวเต็มประสิทธิภาพ ปฏิกิริยาหนึ่งที่จะปรากฏตามมาก็คือ การหลั่งของน้ำอมฤต (Nectar) ออกมาจากจุดพินธุในสมอง ไหลลงไปชำระจักรทั้งหมดให้เกิดความบริสุทธิ์ ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง
    จักระสำคัญทั้ง 7 ในร่างกาย จะเกี่ยวพันกับต่อมไร้ท่อ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์กับกายเนื้อ ประกอบด้วย
    1. จักรมูลธาร (Muladhara Chakra) สำหรับผู้ชาย จะตั้งอยู่ ณ รอยฝีเย็บ หรือรอยตะเข็บระหว่างทวารหนักกับลูกอัณฑะ สำหรับเพศหญิง จะอยู่ที่ปากมดลูก จักรนี้มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสี่กลีบ มีสีแดง มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศและควบคุมกิจกรรมเกี่ยวกับเพศทุกชนิดธาตุประจำจักรคือธาตุดิน และมีพลังกุณฑาลินี หรือไฟศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ภายใน
    2. จักรสวาธิษฐาน(Svadhisthana Chakra) ตั้งอยู่ที่กระดูกสันหลังท่อนสุดท้าย มีลักษณะเป็นติ่งคล้ายหาง ตรงกระดูกก้นกบ(Cocyx) จักรนี้เกี่ยวข้องกับต่อมหมวกไตในเชิงกายวิภาค สัญลักษณ์ของจักรเป็นดอกบัวหกกลีบ เป็นแหล่งสะสมความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงตั้งแต่อดีตชาติ เปรียบไปก็เหมือนสมองที่สอง หรือจิตใต้สำนึกที่กดเก็บสิ่งต่างๆ เอาไว้ทั้งหมด โดยไม่มีการกลั่นกรอง สีของจักรนี้คือสีส้ม ส่วนธาตุของจักรคือธาตุน้ำ
    3. จักรมณีปุระ(Manipura Chakra) มีที่ตั้งอยู่ในแนวกระดูกสันหลังบริเวณสะดือพอดี (บางตำราว่าอยู่เหนือขึ้นไปสองนิ้วมือ บางตำราว่าอยู่ต่ำลงมา) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร ระบบการผลิตโลหิต และเป็นแหล่งสะสมปราณ ดังนั้น ธาตุของจักรจึงเป็นธาตุไฟ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสิบกลีบ มีสีเหลือง ในเชิงกายวิภาค จักรที่สามนี้ ยังเกี่ยวข้องกับต่อมหมวกไตและตับอ่อน ซึ่งผลิตอดีนาลีนกับอินซูลินตามลำดับอีกด้วย โดยธรรมชาตินั้น เมื่อบุคคลอยู่ในภาวะต้องต่อสู้หรือหลบหนี อดินาลีนจะถูกหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต(เป็นการควบคุมจากจิตใต้สำนึก ซึ่งเกี่ยวพันกับจักรที่สองด้วย) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวขึ้น เตรียมความพร้อมเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย ส่วนอินซูลิน มีหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแป้ง และเปลี่ยนกลับจากแป้งไปเป็นน้ำตาล ช่วยสร้างพลังงานที่ปกติร่างกายไม่สามารถกระทำได้
    4. จักรอนาหตะ(Anahata Chakra) มีที่ตั้งอยู่ ณ กระดูกสันหลังช่วงลิ้นปี่ ธาตุประจำจักร คือธาตุลม มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต และยังเกี่ยวพันกับต่อมไทมัส ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายอีกด้วย จักรนี้มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับความรัก ความเมตตา จักรนี้มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสิบสองกลีบ สีของจักรคือสีเขียว เปรียบเหมือนต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาจะทำให้สิ่งที่นึกหวังไว้เป็นจริงได้
    5. จักรวิสุทธิ (Vishuddhi Chakra) มีที่ตั้งอยู่บริเวณลำคอ ณ กระดูกสันหลังข้อที่ขนานกับหัวไหล่ ทำหน้าที่ควบคุมระบบลมหายใจ และอวัยวะที่เกี่ยวข้อง จักรนี้มีความสัมพันธ์กับต่อมไทรอยด์ ในทางกายวิภาค มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสิบหกกลีบ สีของจักรเป็นสีน้ำเงิน
    6. จักรอาชณะ(Ajna Chakra) มีตำแหน่งอยู่กลางหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง หรือตำแหน่งตาที่สาม สีของจักรคือสีคราม มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสองกลีบใหญ่และแยกย่อยเป็นหนึ่งร้อยกลี
    7. จักรสหัสราร(Sahasrara Chakra) มีที่ตั้งอยู่บริเวณกระหม่อม สีของจักรเป็นสีม่วง มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวหนึ่งพันกลีบ เมื่อพัฒนาไปในขั้นสูง ้รัศมีของจักร จะมีลักษณะคล้ายดอกบัวครอบคลุมอยู่รอบศีรษะ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า จักรมงกุฎ คุณสมบัติของจักรจะทำหน้าที่ควบคุมจิต สติ จิตใต้สำนึก ต่อมไร้ท่อในร่างกาย และระบบของกายทิพย์ทั้งหมด ทั้งยังเป็นดุจกรวยรับพลังงาน และความรู้จากห้วงสมุทรแห่งจักรวาล

    อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับจักรที่หกและเจ็ดนี้จะได้แก่ ต่อมไพนีล ต่อมพิทูอิทารี และสมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ในสมองทั้งสิ้น บางตำราจะกล่าวว่าจักรที่หกจะตั้งอยู่ ณ ต่อมไพนีล ส่วนจักรที่เจ็ดจะอยู่ที่ต่อมพิทูอิทารีและไฮโปทาลามัส

    ต่อมไพนีล เป็นต่อมหลักที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่ควบคุมต่อมอื่นๆ อีกทีหนึ่ง ตัวต่อมจะมีขนาดเพียงครึ่งนิ้ว น้ำหนักเพียง 0.2 กรัม ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน เช่นเดียวกับต่อมไร้ท่ออื่นๆ แต่ที่สำคัญได้แก่ เมลาโทนิน อันเกี่ยวข้องกับการพักผ่อนและฟื้นฟู ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับต่อมไทมัสที่ผลิตภูมิคุ้มกันเป็นพิเศษ และเรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่ตรงกันข้ามกับฮอร์โมนอดรินาลีนจากต่อมหมวกไตก็ว่าได้

    ต่อมพิทูอิทารี มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว น้ำหนักราวๆ 0.5 กรัม เป็นต่อมหลักอีกต่อมหนึ่งในร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอดฮอร์โมนต่างไปยังต่อมไร้ท่ออื่นๆ โดยต่อมนี้จะรับข้อมูลมาจากสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส อีกที โดยอวัยวะของสมองส่วนนี้ จะทำหน้าที่ประสานกับระบบประสาทและต่อมต่างๆ รวมทั้งควบคุมปฏิกิริยาของร่างกายที่เกี่ยวพันกับอารมณ์ทั้งหลายอีกด้วย

    ดังนั้น ไฮโปทาลามัสนี้ จึงน่าจะเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของสมอง และ น่าจะเป็น ที่ตั้งของจักรสหัสรารมากกว่า
    อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวในเชิงของธาตุแล้ว จักรทั้งเจ็ดจะมีการเรียงธาตุจากล่างขึ้นบน คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เสียง แสง และศูนย์ ตามลำดับ โดยในจักรที่เจ็ดนี้ จะหมายความได้ทั้งศูนย์กลาง ศูนย์รวม สุญญากาศ สุญญตา (ความว่าง) และ สูรย์ ที่แปลว่า สุริยะ หรือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งนี้สอดคล้องกับการเรียงสีของจักรจากล่างขึ้นบนเช่นกัน
    </TD><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left bgColor=#dddddd>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พลังหมุนหรือแรงเหวี่ยง
    จักรวาลมิได้คงที่ มีการหมุนและปลดปล่อยแรงเหวี่ยงออกมา การหมุนคือการปรับสมดุลในตัวมันเอง เพื่อลดแรงดึงดูด จากวัตถุภายนอก ในระบบสุริยะจักรวาล ดาวนพเคราะห์ มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์และหมุนรอบตัวเอง เราจะสังเกตได้ว่าการหมุนของดวงดาว ก็คือปรับวงโคจรมิให้ไปอยู่ในแรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูดของสิ่ง 2 สิ่ง เรานั่งอยู่ตรงนี้โลกก็หมุนรอบตัวเอง เราก็หมุนไปตามโลก ฉะนั้นในตัวเราเองทั้งหมดก็มีพลังอย่างหนึ่ง ที่หมุนวนอยู่ภายใน อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยที่ใจเป็นศูนย์กลาง
    ใจเหมือนดั่งพระอาทิตย์ อายตนะ ทั้ง 5 เป็นเหมือนดั่งดวงดาวที่โคจรรอบดวงใจ ตาเห็นรูปมารู้ที่ใจ หูได้ยินเสียงก็มารู้ที่ใจ จมูกได้กลิ่นก็มารู้ที่ใจ ลิ้นได้ชิมรสก็มารู้ที่ใจ สัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็งก็มารู้ที่ใจ ใจเป็นตัวตัดสินอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบ เอาหรือไม่เอา ดีหรือชั่ว ใจจึงเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ใจจึงเป็นพลังงานที่มีธาตุรู้อยู่ในตัวเอง ใจเป็นตัวคอยควบคุมพลังทั้งหมด ที่อยู่ในเซลล์ของร่างกาย เซลล์เป็นรูป ต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโต พลังงานเป็นนาม เป็นตัวควบคุมรูปทั้งหมด โดยสรุปชีวิตที่เราเป็นอยู่นี้ ก็คือ มีรูปกับนาม หรือ ที่เรียกว่า ร่างกายและจิตใจ ภาษาวิทยาศาสตร์ เรียกว่าสสารและพลังงานนั่นเอง
    พลังงานนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน พลังงานศักย์ และพลังงานจลน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ของธรรมชาติ รู้ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่พระองค์ทรงสอนนั้นเป็นภาษา ภาษามีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สัจจะคือความจริงไม่เปลี่ยนไป พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง “สสารและพลังงาน” หรือเรียกว่า “รูปนาม” แต่ที่พระองค์ทรงนำมาสอนเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว คือสอนให้พ้นทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องเรียนรู้เรื่องกายและจิตของตัวเองเท่านั้น
    พลังงาน ๒ ส่วน ก็คือ
    1. พลังงานศักย์ เป็นพลังงานเก็บกักไว้ เป็น พลังสะสม เป็นพลังงานคงที่ นักบวชในธิเบต ในจีน ในอินเดีย ในศาสนาคริสต์ ในศาสนาอิสลาม จะใช้ดนตรีในการประกอบการสวดมนต์ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ของไทยก็ใช้บทสวดมนต์เป็นทำนอง นักบวชของจีนใช้เสียงเคาะป๊อกๆในการทำสมาธิ เพื่อให้จิตนิ่งสงบ จนเกิดพลังสมาธิสว่างไสว เป็นการรวบรวมพลังมาเก็บไว้ เรียกว่า สมถะ สงบใจได้ ใจก็มีพลัง
    2. พลังงานจลน์ เป็นพลังที่ใช้จ่ายออกไปในระบบต่างๆของร่างกายคือจ่ายออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยที่ใจดวงนี้สามารถควบคุมได้ คนที่ควบคุมพลังงานจลน์ได้ จะสามารถใช้พลังออกมาทางสันติ ได้หลายทาง ในทางธรรมเรียกว่า วิปัสสนา วิปัสสนาก็คือการรู้แจ้งเห็นจริงในกายและจิตนี่เอง ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ จะเรียนรู้ และสามารถควบคุมการใช้พลังจิต ที่ฝึกฝนอบรมมาดีแล้วได้ดังนี้
    2.1 พลังทางเสียงพระพุทธเจ้าอธิษฐานจิต ให้ใครที่ได้ฟัง
    พระสุรเสียง(เสียงพรหม) ของพระองค์ จะบรรเทาเบาคลายความทุกข์ หายเจ็บหายป่วย สุขกายสบายใจ เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ผู้ฟังได้ผลเป็นที่อัศจรรย์ แม้ปัจจุบันเราได้ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ที่มีพลังทางเสียง ก็จะบรรเทาเบาคลายทุกข์ได้
    2.2 พลังทางคลื่น ก็คือกระแสจิตที่แผ่ออกมาเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ใครเข้าใกล้จะเย็นสบาย หลวงพ่อคูณ ครูบาอาจารย์ต่างๆ เป็นต้น ใครเข้าใกล้ก็จะรู้สึกสบายใจมีความสุขใจ เหมือนอยู่ที่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร นักบวชก็ใช้คลื่นในการแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน
    2.3 พลังทางแสง ผู้ที่ฝึกกสิณ ๑๐ จนเป็นฌานได้ หรือผู้ที่ฝึกสมาธิถึงระดับ ๕ จิตจะมีพลังแสงออกจากตัวเอง เป็นแสงสว่างเสมือนแสงนีออน หรือเป็นสีรุ้ง๗สี เป็นเกราะครอบคลุมตัวเอง บางท่านก็เป็นความใสสว่างเหมือนกลางวัน บางท่านจะมีความสว่างถึง ๒๐ วา ก็มี แล้วแต่บุญบารมี
    2.4 พลังทางรังสี เป็นความถี่สูงมาก เร็วกว่าคลื่นแสง ๑๕ เท่าขึ้นไป เป็นอภิญญาจิต สำเร็จด้วยความรู้สึกของใจ เป็นการปรับจูนคลื่นเข้าหากัน จะทำให้เรารู้จักอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และผู้อื่นได้จากเฉดสี ทางพุทธศาสนาระบุถึงน้ำเลี้ยงหัวใจ 6 อย่าง เราสามารถรู้สึกถึงจริตแต่ละคนได้ดั่งนี้
    - ราคะจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี แดง
    - โทสะจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี ดำ
    - โมหะจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี หม่นเหมือนน้ำล้างเนื้อ
    - วิตกจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี เหมือนน้ำเยื่อถั่วพู
    - ศรัทธาจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี เหลืองอ่อน คล้ายสีดอกกรรณิการ์
    - พุทธิจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี ขาว เหมือนสีแก้วเจียรนัย
    ทั้งนี้ยังสามารถใช้รังสีให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ รังสีที่เราฝึกได้จะมีสี ที่ใกล้เคียงกับฉัพพรรณรังสี อาจจะสีอ่อนกว่าลองเทียบเคียงตามนี้
    - นีละ สีเขียวเข้มเหมือนดอกอัญชัน
    - ปีตะ สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์
    - โลหิตะ สีแดงเหมือนแก้วประพาฬ
    - โอทาตะ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน
    - มัญเชฏฐะ สีหงส์บาทคือเหลืองแดงดังดอกหงอนไก่
    - ปภัสสระ สีเลื่อมประภัสสรเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
    ในการปฏิบัติทำสมาธิ ตอนแรกๆจะมีสีใดสีหนึ่ง ต่อจากนั้นไปจะมีหลายสีขึ้นอย่าสวยงาม พลังรังสีตรงนี้มีประโยชน์ในการบำบัดสุขภาพกาย และจิตเป็นอย่างมาก
    สติและปัญญาเป็นตัวควบคุมพลังทั้งหมดที่เกิดขึ้นถ้าขาดสติและปัญญาเสียแล้วพลังที่เกิดขึ้นอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติฉะนั้นผู้ปฏิบัติสมาธิจะต้องเป็นผู้มีศีลเป็นพื้นฐานสมาธิที่เกิดจึงจะเป็นสัมมาสมาธิปัญญาที่เกิดจากสมาธิก็จะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได้แน่นอน
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สมาธิรักษาโรคได้จริง
    ในบทที่ 1 ได้อธิบายเรื่องพลังหมุนหรือแรงเหวี่ยงไปบ้างแล้ว ในบทนี้จะให้ทุกท่านมาทำความเข้าใจเรื่องพลังงาน ที่จะสามารถนำมารักษาโรคที่เกิดขึ้น กับทุกๆคน ซึ่งเราทุกคนจะได้รู้จักในบทต่อไปนี้

    1. เมื่อเราเอาสติพาใจ กลับมารู้ความเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมกายกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเกิดพลังปราณ (พลังจิต+ออกซิเจน) ไหลเวียนไปตามร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท เป็นการเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย ขบวนการ Metabolism เกิดการเผาผลาญสารอาหาร เม็ดเลือดแดงนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ เซลล์ก็จะสมบูรณ์แข็งแรง ขบวนการผลิตเม็ดเลือดขาวก็เกิดขึ้น ในสัดส่วนที่พอดี มีปริมาณมากพอที่จะต่อสู้ป้องกันทำลายเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ร่างกายก็มีพลัง ในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องจะทำให้จิตมีสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหว ปัญญาที่เกิดจากจิต ทำให้เกิดการร่ายรำ เป็นการบริหารผ่อนคลายเอ็นใหญ่ 900 เอ็นน้อย 9,000 กระดูก 300 ท่อน ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 แบบบูรณาการทั้งร่างกายและจิตใจโดยองค์รวม
    2. แรงที่หมุนเหวี่ยงไปตามอวัยวะ เจ็บปวดตรงไหนมีปัญหาตรงไหน แรงนี้จะไปผ่อนคลาย ไปรักษาตรงนั้น ถ้าเราติดความคิด ความเคียดแค้น ชิงชัง น้อยอกน้อยใจ เราจะผ่อนคลายออกมา จะมีอาการร้องไห้ น้ำมูก-น้ำตาไหล เป็นการคลายตัวยึดมั่นถือมั่น สมองจะโล่งโปร่งเบาสบายในปัจจุบัน
    3. แรงเหวี่ยงจะเข้าไปปลดปล่อยความรู้สึก ในจิตใต้สำนึกออกมา ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยึดติด-นึกคิดในอดีตชาติ สมองไม่รู้ แต่จิตรู้ โรคบางอย่างเกิดจากจิตใต้สำนึก เช่น บางคนเป็นโรคลมชักพอเข้าไปในจิตใต้สำนึก ในอดีตเคยเอายาพิษให้เขากินตาย ตัวเองก็รับผลของกรรมในปัจจุบันชาติ โรคลมชักก็จะหายไป เป็นต้น
    4. จิตที่ได้ปลดปล่อยรหัสกรรมที่ตนเองมีความยึดติด (อุปปาทาน) ออกไป ทำให้สบายใจปลอดโปร่งโล่งใจ สมองหลั่งสารเมลาโทนีน (ปิติ) สารเอ็นโดรฟีน (สุข) ทำให้จิตมีความสุขมาก จิตจะเปล่งแสงสว่างออกมา ที่เรียกว่ารังสียูวี หรือรังสีอัลตราไวโอเลต เชื้อโรคที่ถูกแสงนี้จะตายละลายหายไปทันทีเรียกว่าตายด้วยพลังแสง ดูความเป็นจริงในที่ๆมีแสงสว่างเชื้อโรคจะไม่ค่อยมี จะตายไปโดยธรรมชาติ
    5. จิตที่ควบคุมรังสีได้ ตัวรังสีที่มีประโยชน์ มี 6 สี คือ สีเขียวเข้มเหมือนดอกอัญชัน สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์ สีแดงเหมือนแก้วประพาฬ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน สีหงส์บาทคือเหลืองแดงเหมือนดอกหงอนไก่ สีเลื่อมประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก (ฉัพพรรณรังสี)เป็นสีหลักแต่บางคนอาจจะมีเฉดสีที่แตกต่างออกไปตามบารมี
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สมาธิรักษาโรคได้จริง
    ในบทที่ 1 ได้อธิบายเรื่องพลังหมุนหรือแรงเหวี่ยงไปบ้างแล้ว ในบทนี้จะให้ทุกท่านมาทำความเข้าใจเรื่องพลังงาน ที่จะสามารถนำมารักษาโรคที่เกิดขึ้น กับทุกๆคน ซึ่งเราทุกคนจะได้รู้จักในบทต่อไปนี้

    1. เมื่อเราเอาสติพาใจ กลับมารู้ความเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมกายกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเกิดพลังปราณ (พลังจิต+ออกซิเจน) ไหลเวียนไปตามร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท เป็นการเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย ขบวนการ Metabolism เกิดการเผาผลาญสารอาหาร เม็ดเลือดแดงนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ เซลล์ก็จะสมบูรณ์แข็งแรง ขบวนการผลิตเม็ดเลือดขาวก็เกิดขึ้น ในสัดส่วนที่พอดี มีปริมาณมากพอที่จะต่อสู้ป้องกันทำลายเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ร่างกายก็มีพลัง ในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องจะทำให้จิตมีสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหว ปัญญาที่เกิดจากจิต ทำให้เกิดการร่ายรำ เป็นการบริหารผ่อนคลายเอ็นใหญ่ 900 เอ็นน้อย 9,000 กระดูก 300 ท่อน ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 แบบบูรณาการทั้งร่างกายและจิตใจโดยองค์รวม
    2. แรงที่หมุนเหวี่ยงไปตามอวัยวะ เจ็บปวดตรงไหนมีปัญหาตรงไหน แรงนี้จะไปผ่อนคลาย ไปรักษาตรงนั้น ถ้าเราติดความคิด ความเคียดแค้น ชิงชัง น้อยอกน้อยใจ เราจะผ่อนคลายออกมา จะมีอาการร้องไห้ น้ำมูก-น้ำตาไหล เป็นการคลายตัวยึดมั่นถือมั่น สมองจะโล่งโปร่งเบาสบายในปัจจุบัน
    3. แรงเหวี่ยงจะเข้าไปปลดปล่อยความรู้สึก ในจิตใต้สำนึกออกมา ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยึดติด-นึกคิดในอดีตชาติ สมองไม่รู้ แต่จิตรู้ โรคบางอย่างเกิดจากจิตใต้สำนึก เช่น บางคนเป็นโรคลมชักพอเข้าไปในจิตใต้สำนึก ในอดีตเคยเอายาพิษให้เขากินตาย ตัวเองก็รับผลของกรรมในปัจจุบันชาติ โรคลมชักก็จะหายไป เป็นต้น
    4. จิตที่ได้ปลดปล่อยรหัสกรรมที่ตนเองมีความยึดติด (อุปปาทาน) ออกไป ทำให้สบายใจปลอดโปร่งโล่งใจ สมองหลั่งสารเมลาโทนีน (ปิติ) สารเอ็นโดรฟีน (สุข) ทำให้จิตมีความสุขมาก จิตจะเปล่งแสงสว่างออกมา ที่เรียกว่ารังสียูวี หรือรังสีอัลตราไวโอเลต เชื้อโรคที่ถูกแสงนี้จะตายละลายหายไปทันทีเรียกว่าตายด้วยพลังแสง ดูความเป็นจริงในที่ๆมีแสงสว่างเชื้อโรคจะไม่ค่อยมี จะตายไปโดยธรรมชาติ
    5. จิตที่ควบคุมรังสีได้ ตัวรังสีที่มีประโยชน์ มี 6 สี คือ สีเขียวเข้มเหมือนดอกอัญชัน สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์ สีแดงเหมือนแก้วประพาฬ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน สีหงส์บาทคือเหลืองแดงเหมือนดอกหงอนไก่ สีเลื่อมประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก (ฉัพพรรณรังสี)เป็นสีหลักแต่บางคนอาจจะมีเฉดสีที่แตกต่างออกไปตามบารมี
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การใช้เสียงเพลงมีผลต่อการเรียงตัวของผลึกน้ำ
    ตอนที่มนุษย์ยังเป็นตัวอ่อนมีเซลล์เล็กๆ อยู่ในครรภ์มารดา มนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบ 99% เมื่อทารกคลอดออกมาดูโลก น้ำในร่างกายจะลดลงไปเหลือ 90% จนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่สัดส่วนของน้ำจะเหลือ 70% คนชราใกล้ตายน้ำในร่างกายเหลือเพียง 50%

    [​IMG]
    ดร. มาซารุ เอโมโตะ
    จากผลงานวิจัยของ ดร.มาซารุ เอโมโตะ พิสูจน์ว่า น้ำรับรู้และบันทึกผลของคลื่นจิตได้ จิตที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี พูดไม่เพราะ ผลึกน้ำจะเสียรูปร่างเกิดความน่าเกลียด มีหลุมดำกลางผลึกน้ำ น้ำที่ได้รับการฟังเพลงที่ไพเราะ น้ำที่ได้รับการแผ่เมตตา น้ำที่ได้รับการสวดมนต์ น้ำที่ได้รับความรู้สึกที่ดีๆ จะเป็นผลึกน้ำที่สวยงามมาก แม้แต่ภาษาที่สื่อออกมาก็เช่นเดียวกันภาษาที่ไพเราะสุภาพทำให้ผลึกน้ำสวยงาม ภาษาที่หยาบคายทำให้ผลึกน้ำเหมือนกับน้ำเน่าเสีย ภาษาบ่งบอกความรู้สึก ที่ออกมาจากใจ ความรู้สึกดี ก็จะทำให้สุขภาพรางกายดีไปด้วย

    ภาพถ่ายขยายผลึกน้ำผ่านกล้องจุลทัศน์
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD class=style43>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style43>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=style43>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วัตถุทุกชนิดทุกสรรพสิ่งมีการสั่นสะเทือนตลอดเวลา ในทางกลศาสตร์ควอนตัมจะเข้าใจดี ทุกสิ่งบนโลกล้วนมีการสั่นสะเทือนและมีการปลดปล่อยคลื่นความถี่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิตใจ
    การสั่นสะเทือนจะปลดปล่อยคลื่นความถี่ที่คงที่ นั้นเป็นเรื่องของวัตถุ อารมณ์ของเราก็มีการสั่นสะเทือนและปลดปล่อยคลื่นออกมาเช่นกัน ถ้าเรามีอารมณ์เป็นสุข คลื่นก็จะเป็นคลื่นของความสุข ถ้าเรามีความเศร้า คลื่นก็เป็นคลื่นของความเศร้า หูของเราจะได้ยินเสียงที่มีความถี่อยู่ในระดับ 15-20,000 เฮิรตซ์ (1เฮิรตซ์ คืออัตราการสั่นสะเทือน 1 รอบใน 1 วินาที) ถ้าเราได้ยินเสียงมากไปกว่านี้ก็จะเป็นคนบ้า

    ฉะนั้นดนตรีก็คือรูปแบบหนึ่งของการสั่นสะเทือน แม้แต่คำพูดคำสอนคำเจรจา ถ้าถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ก็เป็นคลื่น ที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ที่สามารถเยียวยาทางร่างกาย และจิตใจได้ ในทฤษฏีของออกเทฟ แบ่งเสียงของสรรพสิ่งบนโลกเป็น 8 เสียง คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ซี โด
    น้ำสามารถจำเรื่องราวได้ น้ำคือผลสะท้อนของจิต จากการใช้เครื่องมือวัดคลื่นที่ปล่อยออกมาหลายๆ คน พบว่า คนที่กำลังมีความรู้สึกในแง่ลบต่าง ๆ จะปล่อยคลื่นที่ตอบสนองต่อคลื่นที่ต่างกันออกไป เช่น

    คลื่นของความร้อนรน กระสับกระส่าย จะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุปรอท จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคปวดข้อและกระดูก

    คลื่นของความโกรธ จะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุตะกั่ว จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำเสื่อม

    คลื่นของความเศร้าจะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุอลูมิเนียม จะเป็นสาเหตุให้คลื่นไส้

    ลื่นของความวิตกกังวลจะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุแคทเมียม จะเป็นสาเหตุให้โรคมะเร็ง

    คลื่นของความสับสน งงงวย จะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุเหล็ก
    ตอนที่เราโกรธ ร้อนรน กระสับกระส่าย วิตกกังวล สับสน งงงวย ซึมเศร้า สารพิษบางชนิดจะถูกปล่อยเข้าไปในกระแสโลหิต ต่อมบางอย่างในร่างกายจะปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา การเผชิญหน้ากับความรู้สึกในแง่ลบ สามารถเยียวยาได้ด้วยความคิดในเชิงบวก นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นค้นพบว่าความรู้สึกในทางตรงกันข้ามสามารถปล่อยคลื่นมาลบล้างกันได้ ดังนี้

    ความเกลียด ตรงข้ามกับ ความขอบคุณ
    ความโกรธ ตรงข้ามกับ ความอ่อนโยน
    ความกลัว ตรงข้ามกับ ความกล้า
    ความไม่สบายใจ ตรงข้ามกับ ความนิ่งสงบ
    ความร้อนรน ตรงข้ามกับ ความสุขุม
    ความกดดัน ตรงข้ามกับ การปล่อยวาง

    คนที่เราต้องพบ มีความรู้สึกเป็นทุกข์ เราต้องเอาความรู้สึกที่ตรงกันข้ามมาลบล้างกัน เช่น คนที่มีความเกลียดอาฆาตแค้นจนตัวเองต้องล้มป่วยก็ต้องหาความขอบคุณมาเยี
    ยวยารักษาจิตใจ
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วิธีการปฏิบัติเพื่อการผ่อนคลายขั้นพื้นฐาน
    1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และสวมเสื้อผ้าที่สบายๆ
    2. นั่งขัดสมาธิเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย นั่งตัวตรงสบายๆมีความผ่อนคลาย ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า แบมือทั้งสองขึ้นวางลงบนหัวเข่า หลับตาเพียงแผ่วเบา ตามรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดความรู้สึก โดยเอาสมอง(ความคิด)ไว้บนฝ่ามือข้างขวา เอาหัวใจ(ความรู้สึก)ไว้บนฝ่ามือข้างซ้าย แล้วยกมือขวาขึ้น ซ้ายลง ซ้ายขึ้น ขวาลง เหมือนการชั่งน้ำหนัก สลับกันไปมา เราจะรู้สึกหน่วงบนฝ่ามือ หรือเกิดอาการหน่วงหนักบนฝ่ามือทั้งสอง (เมื่อความรู้สึกอยู่บนฝ่ามือ สมองจะไร้ความคิด ใจไร้การปรุงแต่ง) ความรู้สึกเราจะอยู่ที่กลาง ฝ่ามือทั้งสอง ยกขึ้น ยกลง สลับกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    [​IMG][​IMG]
    3. เมื่อหน่วงหนักบนฝ่ามือเต็มที่ ให้เราเหวี่ยงมือทั้งสองเป็นวงกลม หรือวงรีสลับกันไปสักพักใหญ่ จะเกิดแรงเหวี่ยงขึ้นมา ต่อจากนั้น ให้เอาความรู้สึกมารวมกัน โดยมือซ้ายอยู่ข้างล่าง มือขวาอยู่ข้างบน เหมือนเราปั้นลูกแก้ว ทำอย่างนี้เรื่อย ๆไป สักพักใหญ่ แล้วแรงเหวี่ยงจะเป็นไปเอง เป็นการสั่งงานของจิตใต้สำนึก เป็นปัญญาของจิต


    [​IMG][​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    4. มีสติระลึกรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ผนึกรวมกายกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จะเกิดพลังปราณไหลเวียนไปตามอวัยวะร่างกาย (พลังปราณ คือพลังจิตที่ขับเคลื่อนไปกับออกซิเจน ) บางท่านจะร้อนมีเหงื่อออก

    5. เมื่อกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาทจะผ่อนคลาย ร่างกายจะทำงานโดยอิสระ ทำให้ออกซิเจนถูกเติมเข้าสู่ระบบร่างกายโดยธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ ผลที่ตามมา เซลล์จะได้รับออกซิเจนเต็มที่ เซลล์จะแข็งแรง ขบวนการ Metabolism จะทำงานอย่างสมบูรณ์ เม็ดเลือดแดงก็จะนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้น ภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นเอง ตัวเม็ดเลือดแดงเป็นตัวนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ เม็ดเลือดขาวเป็นตัวกำจัดเชื้อโรค เมื่อเม็ดเลือดขาวกินเชื้อโรค ร่างกายก็จะได้วิตามินบี 12 ไปบำรุงสมองและประสาทต่างๆ

    6. กระบวนการต่อจากนี้เป็นการคืนชีวิตให้กับจิต คืนสติปัญญาให้กับใจ ความรู้ทั้งหมดจะเกิดจากจิตที่เรียกว่า In-Side Out ตรงนี้ต้องรู้ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง ยากที่จะเข้าใจด้วยคำอธิบาย เราลงมือปฏิบัติด้วยการสร้างเหตุให้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วผลจะตามมาเอง ความเข้าใจ เป็นปัญญาที่มีประสบการณ์ คือท่านสามารถเข้าใจ รู้ถึงความแปรผัน ไม่แน่นอนของเหตุปัจจัยได้ ความรู้ที่ควบคู่กับการปฏิบัติ จะเป็นปัญญาที่มีประสบการณ์ สามารถรู้ซึ้งถึงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ดี
    การที่เราวิจารณ์ผลโดยที่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติถือได้ว่าเป็นความเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล เป็นปัญญา Copy ลอกเลียนแบบ เป็นความรู้ที่ขาดประสบการณ์ตรง ไม่สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ หรือรู้ไม่จริง ที่เขาเรียกว่า มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
    คำว่า ปัญญา หมายถึงประสบการณ์จริงและตรง เพื่อการพ้นทุกข์ หรือดับปัญหาของตนเองได้ ทั้งร่างกาย และจิตใจ

    เมื่อท่านลงมือปฏิบัติ ท่านจะรู้จักตัวท่านเองจากประสบการณ์จริง และสามารถที่จะแก้ปัญหาทั้งร่างกาย และจิตใจได้อย่างแน่นอน เมื่อเราแก้ปัญหาได้ ก็จะเป็นประสบการณ์จริง จะเข้าใจในกระบวนการที่เกิดขึ้นทุกแง่มุม สามารถรวบรวมข้อดีข้อเสีย ข้อเด่นข้อด้อย เหตุปัจจัยที่แปรผันได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นวิชาที่นำมาถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้
    ฉะนั้น ที่เราเรียนมาทั้งหมดจึงเป็นวิชา ไม่ใช่ปัญญา สรุปปัญญาเกิดจากผลของการปฏิบัติ เป็นประสบการณ์ตรง ของผู้ปฏิบัติ วิชาคือการรวบรวมข้อมูล คิดไตร่ตรองให้รอบคอบแล้วจึงนำมาเผยแพร่

    ที่มา http://www.sripai.com/
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=794 align=center bgColor=#dddddd border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=819></TD><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff>ชีวประวัติผู้เขียน
    [​IMG]
    พระมหาสีไพร อาภาธโร

    เกียรติประวัติ
    - เปรียญธรรม 3 ประโยค
    - อภิธรรมบัณฑิตเอก
    - นักธรรมเอก
    - อ าจารย์สอนวิปัสสนากัมมัฏ
    เป็นคนมีโรคมาก เจ็บป่วยมาตั้งแต่เด็ก เข้าโรงพยาบาล ฉีดยา ทานยาตลอด 3 วันดี 4 วันไข้ สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อย่างรุนแรง เลือดกำเดาไหลบ่อยมาก ปวดหัว มีน้ำมูก เป็นหวัดบ่อย เจ็บคอ ท้องอืด ตอนหลังมาเป็นไซนัส มีเนื้องอกปิดรูจมูกทั้ง 2 ข้าง หายใจไม่ออก มีน้ำหนองเน่าที่หัวข้างขวา ไหลออกทางจมูกเหม็นมาก เขย่าหัวครอกแครก เหมือนมะพร้าวแก่ เคยป่วยเป็นโรคบิด โรคไทฟอยด์ขึ้นสมอง เคยเป็นโรคกินอาหารแล้วไม่ย่อย ท้องอืด สำรอกออกมาเป็นฟอง ปวดท้องทรมานมาก เคยเป็นโรคปวดข้อปวดกระดูกอย่างรุนแรง ปวดสุดที่จะบรรยายมาหลายปี เคยอยู่ในถ้ำ ติดเชื้อโรคไรค้างคาว ปวดหัวรุนแรงมากกว่าโรคมาเลเรียหลายเท่า เคยติดเชื้อไข้ป่าตอนเดินธุดงค์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร เข้าออกโรงพยาบาลเกือบทุกอาทิตย์ นับรวมโรงพยาบาลแล้วได้ ๑๔ โรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลศิริราช สนามบินกำแพงแสน คริสต์เตียน บางเลน ชัยนาท อินทร์บุรี ค่ายจิระประวัติ ฯลฯ วิภาวดี สมเด็จศรีราชา คลินิกไม่นับ ทางสมุนไพรสารพัดตำรา กัมมัฏฐานวิปัสสนาทำเกือบทุกอย่าง ทำได้เพียงจิตนิ่ง จิตสว่าง จิตสงบ แต่โรคที่เป็นอยู่ไม่หาย รวมเวลาในการรักษา 40 ปี พอดี ที่ทุกข์ทรมาน

    จนต้นปี 2549 ได้เข้ารับการปฏิบัติสมาธิที่ศูนย์พลาญข่อย จ.อุบลราชธานี ปฏิบัติเข้าไปใน จิตในจิต หมุนเป็นพายุทอร์นาโดแรงมาก เหวี่ยงแขน เหวี่ยงขา กลิ้ง อาเจียน น้ำมูกน้ำตาไหลออกมา จิตมันเหวี่ยงเข้าไปในอดีตแสดงผลของกรรมเก่าและกรรมใหม่ออกมา เจ็บป่วยตรงไหนไม่สบายตรงไหนแรงเหวี่ยงเข้าไปหมุนตรงนั้น เหวี่ยงตรงนั้นพร้อมทั้งรู้ต้นเหตุที่สร้างกรรมด้วย เหวี่ยงแขนข้างขวาหมุนอย่างแรงจึงไปรู้ต้นเหตุว่า ต้นเหตุที่แขนข้างขวาชา เป็นเพราะอัมพฤกษ์ เพราะกรรมในปัจจุบันชาติ หักก้ามปูเผาปิ้งกิน ต้นเหตุที่อาเจียนเป็นเลือด ท้องอืดสำรอกออกมาเป็นฟอง เพราะกรรมเบื่อยาหนู ต้นเหตุที่ปวดหัวอย่างรุนแรง เพราะว่ากรรมที่ตีหัวหนูตายเป็นพันตัว,ต้นเหตุที่เจ็บคอเดือนละสองสามครั้ง เพราะกรรมตกปลา ปักเบ็ด ต้นเหตุที่เป็นไซนัส เพราะกรรมที่เคยเป็นพระสมัยทวาราวดี ไปทำผิดต่อสีกา ต้นเหตุที่เป็นคนมีโรคมาก เพราะกรรมที่ชอบรังแกเบียดเบียนสัตว์ เกิดมาไม่เคยกลัวบาป คำว่าบาปไม่มีในหัวใจ มีแต่ต้องทำต้องได้

    ปฏิบัติอยู่ 22 วัน โรคที่เป็นมา40 ปีหายหมดเลย ไม่ต้องไปโรงพยาบาล จึงมารู้ว่าจิตของเรานี้เป็นหมอที่วิเศษ รักษากายได้ เมื่อหายแล้วก็มาพิจารณาว่า สิ่งที่เราปฏิบัติในครั้งนี้เป็นอะไร จากการพิจารณาแล้วจึงรู้ว่า เป็นวิปัสสนา บูรณาการ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยองค์รวมที่เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน การปฏิบัติตรงนี้ไม่มีการแยก กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เราสอนกัน ส่วนมากเป็นการสอนแบบแยกส่วน ที่เรียกว่าสติปัฏฐานแยก กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนเราเรียนรู้เครื่องจักรกล แยกชิ้นส่วน เราก็เลยเป็นหุ่นยนต์ไปเลย คนเราไม่ใช่กลไกแต่เป็นองค์รวม สองอย่างนี้ แตกต่างกันค่อนข้างมาก กลไกประกอบไปด้วยชิ้นส่วน แต่องค์รวมนั้นเกิดจากองค์ประกอบ ท่านสามารถแยกชิ้นส่วนออกจากกันได้ไม่มีอะไรตาย ท่านสามารถนำชิ้นส่วนมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่แล้วกลไกลก็เริ่มทำงาน แต่สำหรับองค์รวมนั้น ถ้าท่านเอาองค์ประกอบออกไปมันก็จะตาย ถึงท่านนำมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ แต่องค์ประกอบนั้นก็ไม่มีชีวิต องค์รวมเป็นหน่วยของชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน

    ท่านไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายก็ไม่ใช่ท่าน ท่านเป็นทั้งร่างกายและจิตใจที่ไปด้วยกัน เป็นสองอย่างที่ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำกับร่างกายก็มีผลต่อจิตใจท่านด้วย และอะไรก็ตามที่ทำกับจิตใจท่านก็มีผลกับร่างกายของท่านด้วย ร่างกายและจิตใจจึงเป็นสองอย่างที่อยู่ด้วยกัน

    อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ในร่างกาย ในความคิด ในจิตวิญญาณ หรือในการรู้ตื่นของท่าน จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในองค์รวมนั้น ท่านจะถูกกระทบจากองค์ประกอบของหน่วยที่มีชีวิต เครื่องจักรเป็นเพียงการรวมตัวของชิ้นส่วน แต่องค์รวมเป็นอะไรบางอย่าง ที่มากไปกว่าผลรวมขององค์ประกอบทั้งหมดของมัน และสิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือจิตวิญญาณของท่านนั่นเอง มันจะแทรกซึมเข้าไปใน “อณูในตัวท่าน” ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นจะเข้าไปสั่นสะเทือนการดำรงอยู่ของท่านเสมอ การทำสมาธิเพื่อการผ่อนคลายจึงเป็นการเข้าไปเรียนรู้การทำงานของกายและจิตนั่นเอง ผลพลอยได้ก็คือสุขภาพกายและจิตที่ดี โรคภัยไข้เจ็บก็หาย เราปฏิบัติไม่ใช่ไปรักษาโรค แต่ผลที่ได้มันหายจริง ๆ
    โดย : สีไพรภิกขุ ​

    </TD><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left bgColor=#dddddd>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  10. Inner Smile

    Inner Smile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +451
    อนุโมทนาครับ มีรูป 5รูปมาช่วยเสริมให้นะครับ[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • samathi1.jpg
      samathi1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.7 KB
      เปิดดู:
      160
    • samathi2.jpg
      samathi2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.6 KB
      เปิดดู:
      184
    • samathi3.jpg
      samathi3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.9 KB
      เปิดดู:
      177
    • samathi4.jpg
      samathi4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.1 KB
      เปิดดู:
      121
    • samathi5.jpg
      samathi5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      144
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พระอาจารย์มหาสีไพร มาสอนที่สวนลุม วันอาทิตย์นี้


    ขอเชิญผู้สนใจ
    สมาธิเพื่อการผ่อนคลายรักษาสุขภาพกายและจิตโดยองค์รวม
    งานนี้ฟรี...ไม่เก็บค่าเรียน


    พระอาจารย์มหาสีไพร อาภาธโร ท่านได้รับนิมนต์ เป็นครั้งพิเศษ
    เพื่อมาสอนการปฏิบัติธรรมให้ผู้สนใจในกรุงเทพฯ
    ในวัน อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552 นี้

    ณ บริเวณ ศาลาแปดเหลี่ยม
    และบริเวณใกล้เคียง ภายในสวนลุมพินี
    (สถานที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่)
    เริ่มตั้งแต่เวลา 7:00
    (กำหนดการต่างๆ อาจปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้สนใจด้วย)

    รายละเอียด
    ติดต่อสอบถามโดยตรง
    พระมหาสีไพร อาภาธโร โทร.081-00605404
     

แชร์หน้านี้

Loading...