สำหรับผู้ไม่ต้องการเกิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย yo09(), 20 สิงหาคม 2016.

  1. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897
    [​IMG]


    * การปฏิบัติเพื่อเอามรรค เอาผล สำหรับผู้ไม่ต้องการเกิด *

    ธรรมเทศนา โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    22 มกราคม 2546


    1. ผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งนิพพาน จะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องจัดการ

    เรื่องนี้ให้ได้ก่อนเรื่องอื่นใดๆ คือใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรม ความดีงาม

    อะไรผิดศีล ห้ามทำโดยเด็ดขาด


    2. ให้คิดถึงพระนิพพานทุกขณะ เหมือนนิพพานอยู่ตรงหน้า คือ ระลึกไว้เสมอว่า

    เราจะไปนิพพานเท่านั้น จุดเดียว ที่เดียว อย่างอื่นไม่เอา ให้พุ่งตรง ตัดตรงไปเลย


    3. ทำสมาธิในชีวิตประจำวัน คือ ถ้าใครบริกรรมพุทโธ ก็ให้ทำไป ใครดูลมหายใจ

    ก็ให้ดูไป เรื่องนี้เน้นยำ้มาก ให้คุมกรรมฐานไว้ระหว่างวัน ส่วนจะใช้กรรมฐาน

    ชนิดใด ตรงนี้ใช้ได้หมด ขอให้อยู่ในหมวดกรรมฐาน 40 ไม่มีอะไรผิด จุดนี้ให้เน้น

    ไปที่การสมถะก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจวิปัสสนาในช่วงแรกๆ ต้องฝึกจิตให้มีความ

    ตั้งมั่นก่อน ให้จิตอยู่กับกรรมฐานของตน ตลอดเวลาทั้งวัน ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงาน

    เท่านั้น เน้นว่ามี่คือการปฏิบัติเบื้องต้น ไม่ควรทำสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ควรทำผิดไปจากนี้


    4. เมื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน ไปจนจิตเข้าสู่สมาธิได้แล้วให้สังเกตดู ช่วงนี้

    จิตจะปรุงกิเลสน้อยลง เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่งมากขึ้น ทำความ

    สงบง่ายขึ้น พูดง่ายๆว่าจิตของเราเริ่มมีกำลัง เกิดความตั้งมั่นได้ง่าย คือ ในชีวิต

    ประจำวันก็ทรงอารมณ์อยู่กับกรรมฐานได้ เมื่อทำสมาธิในรูปแบบ ก็มีอารมณ์

    เป็นหนึ่งได้ อย่างนี้ถือว่าเริ่มใช้ได้แล้ว ตรงนี้ให้เริ่มพัฒนาในขั้นตอนต่อไป อย่าหยุด

    แค่การทำสมาธิ


    5. พอจิตสงบตั้งมั่นแล้ว คราวนี้ท่านให้เริ่มเดินปัญญาต่อไปเลย เพียงแค่สมาธิ

    อย่าวเดียวนั้น จิตจะไม่มีความกว้างขวาง จะต้องเดินปัญญาต่อ จึงจะเกิดความ

    กว้างขวาง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำเอาไว้


    6. ให้เริ่มพิจารณาร่างกาย โดยให้แยกเป็นส่วนๆ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

    หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นตำรับแท้ๆของพระพุทธเจ้า ให้เอามาดูเป็นส่วนๆ

    ดูสิ เส้นผมของเราเป็นยังไง สะอาดหรือสกปรก เหมือนกันกับขนสัตว์ชนิดอื่น

    หรือเปล่า ถ้าไม่อาบนำ้ มันจะเป็นอย่างไร แล้วไล่พิจารณาเรียงไปเรื่อยๆจนครบ

    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐาน 5 นี้ เป็นพื้นฐานทางเดินทางด้านปัญญา ให้หัดดู

    ไปเรื่อยๆ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็ให้พิจารณาไปให้เห็นว่าที่ทำอยู่นี้ คือ

    หินลับปัญญา


    7. เมื่อทำจนชำนาญ ต่อไปก็ลองแยกให้เป็นธาตุ 4 คือ ดิน นำ้ ลม ไฟ

    พิจารณาให้เป็นอนิจจัง ( ไม่เที่ยง) ทุกข์ขัง ( เป็นทุกข์) อนัตตา ( ไม่ใข่ตัวตน)

    ทำเข่นนี้ สติปัญญาจะมากขึ้นเป็นลำดับ


    8
     
  2. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897
    8. เมื่อพิจารณาสักพัก ก็ให้ย้อนกลับมาทำสมาธิเอาความสงบ เอากำลังของจิตใหม่

    ต่อเมื่อจิตอยู่ในความสงบ เริ่มมีกำลังฟื้นตัว ก็กลับมาเดินปัญญาอีกครั้ง ให้ทำเช่นนี้สลับกันไป

    ห้ามทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ต้องมีการกระทำสมาธิและเดินปัญญาสลับกัน

    เรื่อยไป


    9. เมื่อถึงจุดหนี่ง คราวนี้ให้กำหนดเป็นอสุภะ อสุภะ คือ กรรมฐานกองหนี่ง ที่ทำให้เห็น

    ธรรมชาติของร่างกายคนเรา มีอยู่ 10 ระยะ คือ

    - ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด

    - ซากศพที่มีสีเขียวคลำ้คละด้วยสีต่างๆ

    - ซากศพที่มีนำ้เหลืองนำ้หนองไหลเยิ้ม( เน่าเฟะ)

    - ซากศพที่ขาดเป็น 2 ท่อน

    - ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว

    - ซากศพที่กระจุยกระจาย

    - ซากศพที่ถูกฟัน ถูกบั่นเป็นท่อนๆ

    - ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ ( จมกองเลือด)

    - ซากศพที่มีหนอนคลาคลำ่เต็มไปหมด

    - ซากศพที่เหลืออยู่แต่ร่างกระดูก ท่อนกระดูก

    ในการกำหนดอสุภะนี้ ให้กำหนดภาพเหล่านี้ขึ้นมาตรงหน้าเลย ทำให้ภาพนิ่งอยู่ตรงหน้า

    อย่างนั้น หมั่นเอาภาพอสุภะ มาตั้งไว้ตรงหน้าเสมอ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ให้จิตกำหนด

    ภาพเหล่านี้ให้ได้ก็พอ แล้วดูไปอย่่างเดียว เพ่งไปเลยอย่าให้คลาด เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ

    จิตมันจะรู้ของมันเอง


    10. เมื่อถึงจุดที่เพียงพอแก่ความต้องการของจิต คราวนี้ธรรมชาติจะหมุนไป หมุนไปสู่ความ

    จริง ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก จิตจะมีปัญญาในเรื่องกามราคะ ถึงตอนนั้น

    จิตมันจะสิ้นข้อสงสัยในเรื่องกามราคะไปเลย โดยไม่ต้องมีใครบอก ในขั้นนี้จะสำเร็จเป็น

    พระอนาคามีแล้ว


    11.
     
  3. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897
    11. เมื่อทำซำ้ๆ จนบรรลุอนาคามี จิตจะไม่กลับมาเกิดอีก เพราะกามราคะมันขาดสะบั้นไปสิ้น

    จิตจะหมุนขึ้นสูงอย่างเดียวไม่ลงตำ่ ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส เวลานั้นจิตจะรู้ความจริงไป

    ตามลำดับ


    12. ทบทวนและซำ้อีกรอบว่า เมื่อทำสมาธิ ( สมถะ) ให้พักเรื่องปัญญา ( วิปัสสนา) และเมื่อ

    เดินปัญญา ( วิปัสสนา) ก็ให้พักเรื่องสมาธิ ( สมถะ) ทั้งสองสิ่งนี้ จะต้องทำสลับกันไปตลอด

    ห้ามทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อทำสิ่งหนึ่งก็ไม่ต้องคิดถึงอีกสิ่งหนึ่ง คือ ทำความสงบ ก็ทำไป

    พิจารณาความจริงก็ทำไป ห้ามนำมาปนกัน ให้ทำสลับไปอย่างนี้เรื่อยๆตลอดการปฏิบัติ


    13. เมื่อก้าวถึงภูมิอนาคามีแล้ว จะมีภูมิอนาคามีที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ที่ 5 ระดับ

    ซึ่งส่วนใหญ่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นขั้นๆ พวกที่ก้าวข้ามไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาล

    เช่นนี้จะหายาก โดยมากแล้วจะไปทีละขั้น เพราะด่านกามราคะมันยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่าย


    14. ในขั้นนี้ปัญญาจะเดินอัตโนมัติตลอดเวลาแล้ว เห็นนิพพานอยู่ตรงหน้า ช่วงนี้ปัญญาจะ

    ฆ่ากิเลสตลอดเวลาทุกอิริยาบท ทั้งยืน เดิน นั่ง ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ยกเว้นเวลานอน ตอนนั้น

    ไม่มีคำว่าเผลอแล้ว เพราะปัญญาจะเกิดอย่างถี่ยิบ


    15. สติปัญญาเดินมาก ต้องย้อนสู่สมาธิ ห้ามเดินปัญญาแต่อย่างเดียวเด็ดขาด ต้องทำสลับ

    กันไป เข่นนี้


    16. ต่อไปจะก้าวเข้าสู่มหาสติปัญญา ถึงตรงนี้จะหมดนิมิตที่เกี่ยวกับจิต เหมือนฟ้าแลบตลอด

    ไม่ต้องบังคับให้จิตทำงาน กิเลสซ่อนอยู่ตรงไหน ปัญญาจะตามไปฆ่าเชื้อที่นั่น ส่วนใหญ่ถึง

    ตรงนี้ ทุกขเวทนาจะน้อยมากๆ เหลือเพียงสุขเวทนาเท่านั้น มันจะเห็นสุขเวทนาชัดเจนมาก

    จุดนี้เองที่มันจะเข้าไปในปราสาทราขวัง ไปเจอนายใหญ่ คือ อวิชชา ค้นพบอริยสัจ 4

    มันเห็นกษัตริย์แห่งวัฏฏะ คือ ตัวอวิชขา ถึงตรงนี้ทุกสรรพสิ่งจะว่างไปหมด ยกเว้นเพียง

    ตัวเองที่ยังไม่ว่าง


    17. เมื่อถึงจิตตะ คือ อวิชชา พอเปิดอันนี้ออก จิตมันก็จ้าขึ้น ตอนนี้ข้างนอกก็สว่าง ภายในก็

    สว่าง ว่างทั้งหมด ตัวเราก็ว่างเป็นวิมุติ คือ ธรรมชาติที่แท้จริง จิตเป็นธรรมธาตุ เป็นภาวะ

    นิพพาน จิตไม่เคยตาย ถึงธรรมชาติแล้ว หายสงสัยล้านเปอร์เซ็นต์


    18. แรกเริ่มธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ปฏิบัติไปถึงจุดหนี่ง ธาตุขันธ์จะเป็นเครื่องมือ

    ของธรรมทั้งหมด


    ******************************

    ธรรมเทศนาของหลวงตามหาบัวข้างต้น เปรียบได้ดังแผนที่เส้นทางปฏิบัติธรรมที่ชัดเจนที่สุด

    ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงปลายทางแห่งพระนิพพาน เป็นของขวัญอันลำ้ค่าที่ครูบาอาจารย์

    ได้มอบแก่เหล่าศิษย์นักปฏิบัติทั้งหลาย
     
  4. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงตามหาบัวครับ
     
  5. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ท่านใดติดข้อ13ปรึกษาผมได้นะคับ

    ปล.ผมเคยท้าเพื่อนคนนึงว่า ถ้าคิดว่าเจ๋งจริง
    ตัดกามราคะให้ได้สิ..ฮ๊ากสส์.
    (ถ้าไม่ได้ อย่ามาคุยกับผม หุหุ..):cool:
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อะไรคือ กามราคะ ที่คุณหมายถึงครับ..
    สำหรับผม กามราคะ คือ ความลุ่มหลง...ทุกความลุ่มหลง เป็นกามราคะ...ไม่ไช่เรื่องเพศเรื่องเดียวนะครับ....กามภพ คือภพที่ เสวยกาม คือ มีตัวเสวย มีสิ่งที่ถูกเสวย ...เช่น มีความอยาก มีความโลภ โกรธ หลง..ล้วนเป็นกามราคะ นะครับ

    ในกองขันธ์ การเสวยสัญญา ของจิตวิญญาณ ก็เป็นกามราคะ นะครับ..การหลง ความลุ่มหลง มันมีหลงเพราะ..หลายอย่างนะครับ...คือกามราคะ ด้วยกันทั้งนั้นครับ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ขอปรึกษา ในส่วน การกลับมา มีกามราคะ แบบเดิมๆ เหมือนตอนเป็นวัยรุ่น ได้มั้ยครับ เพราะ เอาไว้แค่ผสมพันธ์กับเมียเพื่อมีลูกเท่านั้น...ได้ป๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...