สุปปพุทธกุฏฐิเป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย thepkere, 17 กรกฎาคม 2012.

  1. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    ๓. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร
    [๑๑๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้
    พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีบุรุษเป็นโรคเรื้อนชื่อว่าสุปปพุทธะ
    เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้
    ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคแวดล้อมไปด้วยบริษัทหมู่ใหญ่
    ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่สุปปพุทธกุฏฐิได้เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแต่ที่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้
    มีความดำริว่าหมู่มหาชนจะแบ่งของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้แน่แท้
    ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหาหมู่มหาชน เราพึงได้ของควรเคี้ยวหรือควรบริโภคในหมู่มหาชนนี้เป็น
    แน่ ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิได้เข้าไปหาหมู่มหาชนนั้นแล้วได้เห็นพระผู้มีพระภาคแวดล้อม
    ด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนคงไม่แบ่ง
    ของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภคอะไรๆ ให้ในที่นี้ พระสมณะโคดมนี้ทรงแสดงธรรมอยู่ใน
    บริษัท ถ้ากระไร แม้เราก็พึงฟังธรรม เขานั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งในบริษัทนั้นเอง ด้วย
    คิดว่าแม้เราก็จักฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดใจของบริษัททุกหมู่เหล่าใด
    ด้วยพระทัยแล้ว ได้ทรงกระทำไว้ในพระทัยว่า ในบริษัทนี้ ใครหนอแลควรจะรู้แจ้งธรรม
    พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นสุปปพุทธกุฏฐินั่งอยู่ในบริษัทนั้นครั้นแล้วได้ทรงพระดำริว่า ในบริษัท
    นี้ บุรุษนี้แลควรจะรู้แจ้งธรรม พระองค์ทรงปรารภสุปปพุทธกุฏฐิตรัสอนุปุพพิกถาคือ ทานกถา
    ศีลกถา สัคคกถาโทษแห่งกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ
    เมื่อใดพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่าสุปปพุทธกุฏฐิมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์เฟื่องฟู ผ่องใส
    เมื่อนั้น พระองค์ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์
    เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่
    สุปปพุทธกุฏฐิในที่นั่งนั้นแลว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมี
    ความดับเป็นธรรมดา
    เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ฯ

    [๑๑๓] ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิมีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุแล้ว มีธรรม
    อันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งถึงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้วปราศจากความเคลือบแคลง
    บรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา ลุกจากอาสนะ เข้าไป
    เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบ
    ทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศโดยอเนกปริยายเปรียบเหมือนหงาย
    ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มี
    จักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรม
    และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึง
    สรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

    ลำดับนั้นแล สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งให้สมาทาน
    อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะถวาย
    บังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไปครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อนชนสุปปพุทธกุฏฐิ
    ผู้หลีกไปไม่นานให้ล้มลง ปลงเสียจากชีวิต ลำดับนั้นแล
    ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
    พระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค
    ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุปปพุทธกุฏฐิอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
    อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว กระทำกาละ คติของเขาเป็นอย่างไร ภพหน้าของเขาเป็น
    อย่างไร พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็น
    บัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะธรรมเป็นเหตุ ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งสาม มีความ
    ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ฯ

    [๑๑๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สุปปพุทธกุฏฐิเป็นมนุษย์ขัดสน
    กำพร้า ยากไร้
    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว สุปปพุทธ
    กุฏฐิเป็นเศรษฐีบุตรอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาออกไปยังภูมิเป็นที่เล่นในสวน ได้เห็น
    พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าตครสิขีกำลังเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขาดำริว่า ใครนี่
    เป็นโรคเรื้อนเที่ยวไปอยู่ เขาถ่มน้ำลายแล้วหลีกไปข้างเบื้องซ้าย
    เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปีเป็น
    อันมาก สิ้นร้อยปี สิ้นพันปี สิ้นแสนปีเป็นอันมาก เพราะผลแห่งกรรมนั้นยังเหลืออยู่ เขาจึง
    ได้เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคต
    ประกาศแล้ว สมาทานศรัทธาศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ครั้นอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคต
    ประกาศแล้วสมาทานศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    เป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดาเหล่าอื่นในชั้น
    ดาวดึงส์นั้นด้วยวรรณะและด้วยยศ ฯ
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
    บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือนบุรุษผู้มี
    จักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ

    จบสูตรที่ ๓
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    หน้าที่ ๑๐๔/๔๑๘
     
  2. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เดอะ ปา เคีย(ถูกไหม)
    ผมอ่านแล้ว ตีความได้อย่างนี้
    ใครผู้ใดก็ตาม ที่ดันไปดูหมิ่น อริยะบุคคลหรือ อริยะสงฆ์ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวหลงผิด...โดนกรรมขัดสนนี้แน่นอน..(ก่อนหน้าก็ลงนรกยาว)เกิดเป็นคนก็เลยจนจ๊นจน....
    ส่วนที่สองคือ คนขัดสนนี้ เพียงฟังเทศน์ก็บรรลุโสดาบันได้...ตัวนี้ผมแน่ใจว่า ในยุคนั้น ฮินดูพราหมณ์กำลังเฟื่อง ผู้คนล้วนรู้จักการภาวนา เมื่อมาฟังเทศน์ จึงมิใช่นั่งฟังเทศน์เหมือนในปัจจุบันนี้ แต่เป็นการนั่งภาวนาฟังเทศน์ จิตเมื่อได้ฌาน1234แล้ว เกิดญานที่พิจารณาตามคำสอน(คือใช้วิปัสสนาญาน)ปัญญาจากการภาวนาทำให้สามารถตัดกิเลศได้จนบรรลุเป็นโสดาบันได้ทันที....มิใช่นั่งฟังเทศน์แล้วใช้สมองคิดตามแล้วสามารถบรรลุได้...นี่คือความเห็น...เพราะผู้ที่จะหลุดเป็นอริยะได้ ต้องภาวนาเท่านั้น...ยิ่งญานที่พระพุทธองค์ใช้แทรกเข้าไปในสมาธิภาวนานั้น....พร้อมการเทศน์ไปด้วย....จะทำให้ผู้ฟังที่มีวาสนาบรรลุเป็นอริยะได้ทันทีทันใดเลยเจียว...ฮา
     
  4. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    (เทพคีรี )คุณเข้าใจถูกแล้ว คนสมัยก่อนจิตตั้งมั่นมากกว่ายุคนี้เพราะยุคนี้มีสิ่งยั่วกิเลสเยอะ ผมว่ายุคนี้ยังมีคนฟังแล้วบรรลุอริยะ ยังมีอยู่ครับ แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง สมาธิแค่ยุคหลวงปู่มั่นก็ต่างกับยุคนี้เยอะ แล้วยุคพุทธกาลจะขนาดไหน(แต่ละคนสะสมมา แต่อดีตชาติ มากน้อยไม่เท่ากัน รู้ธรรมะ ช้า เร็ว จึงไม่เท่ากัน)
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นพระอรหันต์ เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็มบริบูรณ์
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เปรียบให้ฟังครับ
    คนสมัยพุทธกาลเรื่องสมาธิเป็นเรื่องปกติอยู่ในหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานของทุกคนเรียกว่าก่อนเริ่มเรียนวิชาใดๆอย่างแรกที่ต้องเรียนคือสมาธิดงนั้นในพระไตรปิฎกจึงสอนเรื่องสมาธิน้อยเพราะรู้กันดีพอสมควรแล้วจนถึงยุคหลังมาสมาธิเริ่มเสื่อมจึงต้องมีตำรามาสอนกันแล้วก็ยากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่เป็นของง่ายๆ
    เหมือนอะไรเปรียบกับยุคปัจจุบันนี้แต่ก่อนเราเข้าโรงเรียนต้องหัดคัดลายมือก่อนเลยแต่เด็กสมัยนี้เริ่มเขียนหนังสือไม่เป็นแล้วเพราะคอมพิวเตอร์เข้ามาแทนที่,คอยดูเถอะต่อไปการคัดลายมือแบบที่พวกเราเป็นกันนี่จะกลายเป็นเรื่องยากเป็นศิลปะชั้นสูงไปคนทั่วไปทำไม่ได้เหมือนอย่างที่พวกเราส่วนใหญ่ทำสมาธิไม่ได้.ต้องมาฝึกกันแทบตาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...