อยากสอบถามเรื่องสมมุติและการปฎิบัติธรรมครับ

ในห้อง 'ฝากคำถามถึงหลวงพ่อเล็ก' ตั้งกระทู้โดย strom9, 15 ธันวาคม 2011.

  1. strom9

    strom9 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +63
    อยากสอบถามเรื่องสมมุติและการปฎิบัติธรรมครับ
    คือเวลาที่เราปฏิบัติธรรม หรือปรกติสุข เนี่ยใจของเรามันมั่นใจอยู่ในพระรัตนตรัย ในศีลและพระนิพพาน มากๆ แต่ว่าบางครั้งในเวลาที่ปฎิบัติมันจะไปรู้ไปเห็นแปลกๆในสมาธิ เช่นมีอยู่หนนึงนั่งสมาธิแล้วในอารมณ์ของสมาธิมันจะเห็นชัดว่า เอ้อ ชาตินี้เราเคยทำกรรมอะไรมามันก็จะย้อนกลับไปดู จนหมดแล้วในอารมณ์ของสมาธิ ก็ทำให้เราเห็นอีกว่า พอหลุดจากชาตินี้ปุ๊บ ชาติที่แล้วเราเคยเกิดเป็นใคร ทำกรรมดีและกรรมชั่วอะไรมาบ้าง มันก็จะย้อนไป ย้อนไป จนนับได้ 37 ชาติ พอถึงชาติที่ 37 มันก็หยุด แล้วมันก็ย้อนกลับไปทำให้เห็นว่าในอนาคต เมื่อเราตายจากชาตินี้เราจะไปเกิดเป็นใคร อยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งเกิดขึ้นเร็วมากแค่ชั่ววินาทีเดียว เราก็เห็นเป็น 20-30 ชาติ พอถึงจุดๆหนึ่งมันก็หยุด แล้วมันก็ย้อนกลับมาหา ดูตัวเอง ในอารมณ์ของสมาธิตอนนั้นบอกกับเราว่า " ชาติภพของเราสั้นลงแล้ว "มันก้องอยู่ในสมาธิมากครับ

    บางครั้งเวลาเราจะจับร่างกาย หรือถูกตัวใคร มันจะมีอารมณ์ขึ้นมาให้รู้สึกอยู่ก่อนหรือพร้อมๆกับที่จะสัมผัส ร่างกายก็คือ เค้าเป็นแค่ ธาตุ 4 เป็นแค่สังขาร คือมันดับไปพร้อมๆกับสิ่งที่สัมผัส และ ครั้งล่าสุดเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว เรานั่งสมาธิไป แล้วมันก็รู้สึกเห็น ถึงคำว่าสมมุติอยู่ในหัวใจ คือมันเห็นว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเป็นสิ่งสมมุติ ไม่ว่าจะคน สัตว์ หรือสิ่งของ มันรู้สึกทะลุเข้าไปข้างในหมด มันรู้สึกว่า เอ้อ ไม่ว่าจะคน หรือสัตว์ หรือสิ่งของ ทั้งนาม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันล้วนต่างก็เป็นสมมุติทั้งนั้น มันรู้สึกว่ามันสว่าง มันโพล่ง มองอะไรมันก็สมมุติไปหมด
    ไมมีอะไรแตกต่าง กัน ทั้งโลกใบนี้ และทั้งโลกธาตุต่างๆทั้งหมด มันเหมือนกับหลอมรวมลงเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แบ่งแยก ว่าเป็นชาติหรือเป็นหญิง ไม่ว่าจะเป็นบ้านรถ สิ่งของมันก็คือกองเดียวกันเหมือนๆกันหมด
    มันรู้แล้วก็น้ำตาไหล น้ำตาซึม แต่อาการนี้มันเกิดขึ้น 1 วันเต็มๆครับ

    แต่หลังจากนั้น พอใครทำให้โกรธมันก็โกรธอยู่น๊ะครับ แต่มันรู้สึกเบา จนบางทีรู้สึกเหมือนกับว่าเราแกล้งโกรธ แต่มันก็บอกไม่ถูก น่ะครับ บางครั้งเราก็จะเห็นแสงสีฟ้า สีประกายฟรึก สว่างวาบขึ้นมา แล้วก็พูดกับเรา คือมันจะส่งตรงมาที่ใจ บางทีก็จะเป็นพระพุทธรูปบ้าง เช่นมีอยู่หนนึง ผมนอนอยู่หน้าหิ้งพระ พระพุทธรูป พระแก้วมรกตจำลอง ท่านก็พูดกับผมว่า ลูกเอ๊ยอยู่ที่ไหนก็สำเร็จได้

    บางทีสวดๆมนต์อยู่ มองดูไปที่พระพุทธรูป อยู่ๆมันก็เห็นแสงสว่างจ้ามากเต็มไปทั่วห้องเลย ผมก็สงสัยว่าเอ๊ะ แสงอันนี้มันมาจากไหน ผมก็มองตามดูแสงไป หาต้นกำเนิดของแสงสว่าง ทีนี้พอตามดูไปเรื่อยๆ มันก็เห็นว่า อ้าวแสงมันออกมาจากตัวของเรานี่ พอเห็นต้นแสง มันก็มองเห็นว่าอ้อไอ้ที่แสงมันเกิดขึ้นมันออกมาจากกายข้างในของเรานั่นเอง แต่มันก็จะเห็นทะลุลงไปว่า กายข้างในมันเป็นยังไง รูปร่างยังไง มีเครื่องทรงยังไง เห็นชัดว่าเราเป็นแค่ผู้มาอาศัยเค้าอยู่เท่านั้นเอง เมื่อตาย หมดลมหายใจก็จบกัน


    มีอยู่หนนึงอยู่ๆผมก็มองเห็นเข้าไปข้างในหัวใจ ว่า ไอ้อารมณ์ รักโลภ โกรธ หลง มันก็ล้วนต่างก็เป็นอวิชชา ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วน ตัวอวิชชานี่แหละที่มันทำให้เราต้องหลงภพ หลงชาติ
    พอเราได้รับรู้อารมณ์นี้จริงๆ ผมนี่น้ำตาซึมเลยครับ เพราะ จากไอ้ที่ใจ
    มันมืดอยู่ ใจมันก็เลยโล่งโปร่งไปหมดเลยครับ

    บางวันพอตื่นขึ้นมาก็จะมีข้อธรรมะที่หลวงพ่อฤาษีได้เคยเทศน์สอนเอาไว้ ผุดขึ้นมาในใจ โดยที่เราไม่ได้ไปกำหนดมันว่าเราจะคิดพิจารณาอันนี้ อันนั้น แต่มันเป็นอาการเหมือนกับมันผุดขึ้นมาน่ะครับ อย่างเช่นมีอยู่วันนึง ผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วตัวใจข้างในเนี่ย มันก็บอกกับผมว่า " ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ มันล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์" พอมันผุดขึ้นมาแล้วนั้น

    วันทั้งวัน เราก็จะมองทุกอย่าง ที่อยู่รอบๆตัวเรา ที่ผ่ัานเข้ามา ว่า อ้อเหมือนที่หลวงพ่อพูดเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น พอเรารู้ ใจเราก็วางน่ะครับ

    บางครั้งพิจารณาอาหารก่อนที่จะกิน คำพูดของหลวจพ่อก็ผุดขึ้นมาเลยว่า " อาหารที่เรากินนั้นไม่ได้กินเพื่อดับความหิว แต่เป็นการกินเพื่อเพิ่มความหิว" ไอ้ผมก็มานั่งพิจารณาที่หลวงพ่อท่านได้บอก พอเราพิจารณาไปเรื่อยๆเราก็ได้เข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอน เพราะเรากินเพื่อดับความหิว แต่การกินของเรา ยิ่งจะไปเพิ่มความอยากอยู่ร่ำไป เพราะในเมื่อเราอยากกินก็ยิ่งอยากกินอาหารอร่อย

    เราก็อยากกินเพิ่ม คราวหน้าก็อยากที่จะกินอาหารที่ดีๆ อร่อยๆกว่านี้ไปอีก
    เราก็ไปเพิ่มกิเลสมันอีก บางคนก็กินเพื่อสนองกิเลส ไปปรนเปรอร่างกาย ธาตุ 4 มันก็ไม่รู้จักพอซะที ผมเข้าใจเลยว่าทำไมพระท่านถึงให้กินอาหารให้คลุกอาหารรวมๆกันปนกัน เพื่อไม่ให้ไปติดรสชาติ ไปติดกิเลสมัน ผมทำถูกแล้วใช่มั้ยครับ เพราะผมนั้นถือแค่ศีล 5 ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทำลาย และไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นผิดศีล จิตมุ่งตรงตั้งมั่นต่อพระรัตนตรัยเพียงจุดเดียว ทุกวันๆใจมันจะคอยสำรวจศีล 5 อยู่ตลอดมันเป็นอัตโนมัติครับ

    กราบเรียนถามว่าอาการที่เกิดขึ้นกับผม เป็นเพราะเหตุอันใดครับ ที่ปฏิบัติแล้วมันจะไปรู้ไปเห็นเรื่องโน้น เรื่องนี้ตลอด
    เพราะอย่างถ้าเวลาที่เราเดินจิตไปดูเนี่ย ในอารมณ์ของสมาธิเราก็จะเข้าใจได้จริงๆ ใช่มั้ยครับ ?
    และ เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าเราพ้นเป็นบัวบ้างรึยังครับ?
    กราบรบกวนสอบถามหลวงพี่เล็กด้วยครับ เพราะผมอยากพ้นทุกข์ พ้นจากการเกิดจริงๆ กราบขอบพระคุณมากๆครับ


    และผมอยากที่จะปฎิบัติให้เกิดก้าวหน้าในดวงจิตมากกว่านี้ หลวงพี่พอจะมีข้อปฏิบัติวิสัย พอที่จะทำให้ได้ดียิ่งๆขึ้นไป บ้างรึเปล่าครับ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...