เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะว่าสามารถละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ประการ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,386
    ค่าพลัง:
    +26,202
    B8BE4635-1DB2-48C1-A18A-BC2147C371F6.jpeg

    การที่ท่านทั้งหลายสามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอะไร ? ก็เพราะว่าสามารถละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ประการ

    สังโยชน์ ๑๐ ประการก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ จำพวก ก็คือโอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการ

    ตั้งแต่ "สักกายทิฏฐิ" ก็คือ ตัวกูของกู

    "วิจิกิจฉา" ความลังเลสงสัยทั้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

    "สีลัพพตปรามาส" รักษาศีลไม่จริงจัง ทำเหมือนแค่ลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่จับให้มั่นคั้นให้ตาย

    "กามฉันทะ" ความที่ยังข้องอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์

    "ปฏิฆะ" ยังมีแรงกระทบที่ก่อให้เกิดโทสะได้

    สังโยชน์ ๕ ประการนี้เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ถ้าละได้ ๓ ประการแรก สามารถเป็นพระโสดาปัตติผลและพระสกทาคามิผล ถ้าหากว่าเลยมาพูดถึงผลแบบนี้ แปลว่ามรรคต้องได้ไปด้วยแล้ว

    คราวนี้ในตำราบอกไว้แค่ว่า พระสกทาคามีละสังโยชน์เบื้องต้น ๓ ข้อได้ พร้อมกับทำราคะและโทสะให้เบาบางลง ไม่มีคำอธิบายได้ชัดเจนไปกว่านี้

    แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนว่า ศีล ๕ เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน

    กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี ศีล ๘ เป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี ถ้าอย่างนี้จะชัดเจนมาก ก็คือเราจะรู้ว่าท่านต้องประพฤติวัตรปฏิบัติอะไรเป็นหลัก มีอะไรเป็นข้อยึดถือของตนเอง ?

    ส่วนอุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูงทั้ง ๕ อย่าง ผู้ที่ละได้จะเข้าถึงพระอรหัตผล ประกอบไปด้วย

    "รูปราคะ" ความยินดีในรูปทั้งปวง โดยเฉพาะส่วนละเอียด คือ รูปฌาน

    "อรูปราคะ" ความยินดีในความไม่มีรูปทั้งปวง โดยเฉพาะ อรูปฌาน

    "มานะ" ความถือตัวถือตน ไม่ว่าจะถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา หรือว่าเราเลวกว่าเขา จัดเป็นมานสังโยชน์ทั้งหมด

    "อุทธัจจะ" ความฟุ้งซ่าน จิตใจไม่มั่นคงเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็คืออย่างพระอนาคามีและพระอรหัตมรรคยังมีความฟุ้งซ่านในด้านที่เป็นกุศลอยู่ อย่างเช่นว่า ยังต้องการสร้างบุญสร้างกุศลอย่างนั้นอย่างนี้ ยังต้องการที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถือเป็นอุทธัจจสังโยชน์

    ข้อสุดท้ายคือ "อวิชชาสังโยชน์" ความเขลา ไม่รู้จริง ตำราเขาแปลอย่างนั้น คราวนี้ไม่รู้นี่ไม่รู้อะไร ? ก็คือไม่รู้เท่าทันความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้ ในเมื่อรู้ไม่เท่าทัน ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจจึงครุ่นคิด ถ้าหากว่ายินดีก็เป็นราคะ ถ้ายินร้ายก็เป็นโทสะ

    แต่คราวนี้ท่านมาถึงระดับพระอนาคามีแล้ว ราคะกับโทสะตัดได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ก็แปลว่าในส่วนของความยินดียินร้ายของท่านนั้น เป็นการยินดียินร้ายที่ละเอียดมาก อย่างเช่นว่า ยินดีในความเป็นพระอริยเจ้า เมื่อยินดีก็เลยเกิดราคะ อยากมี อยากได้ ต้องการเป็นพระอริยเจ้า ติดอยู่แค่นี้เอง วางได้หมดเมื่อไร ก็จบเมื่อนั้น

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9040

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...