เทศนาสูตร-ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาท-จำแนกปฏิจจสมุปบาท

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Sirisuk, 1 ตุลาคม 2011.

  1. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ๑. เทศนาสูตร

    [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
    อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น
    พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธดำรัสนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท แก่พวกเธอ
    พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิดเราจักกล่าว
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

    [๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชรา และมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
    นี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ฯ

    [๓] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาสจึงดับ
    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว
    ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

    จบสูตรที่ ๑

    E-Tipitaka | Read

    ๑. เทศนาสูตร-พุทธวรรคที่ ๑-อภิสมัยสังยุตต์
    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8750.msg17271#msg17271

    001-๑.เทศนาสูตร -ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาท (พุทธวรรคที่ ๑)
    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8751.0

    :cool:

    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8540.0

    พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ (ภาษาไทย) ๔๕ เล่ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ขอบคุณที่ยกมาครับ เหตุจากอวิชชา นี่แหละครับที่ทำให้เกิด สังขาร ผมขอยกพระวจนะต่อเลยละกันนะครับ................................."ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกาย(กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) มีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะกายสัญเจตนา(ความจงใจที่เป็นไปทางกายเป็นเหตุ) ภิกษุทั้งหลาย หรือว่าเมื่อ วาจา(วจีทวารที่ทำหน้าที่ด้วยอวิชชา)มีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา(ความจงใจที่เป็นไปทางวาจา)เป็นเหตุ ภิกษุทั้งหลายหรือว่าเมื่อ มโน(มโนทวารที่ทำหน้าที่ด้วยอวิชชา) มีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา(ความจงใจที่เป็นไปทางใจ)เป็นเหตุ.........ภิกษุทั้งหลาย อนึ่งเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร (อำนาจที่ปรุงแต่งทางกาย) อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเองก็มี หรือว่า เหตุปัจจัยอะไรอื่นเป็นเหตุให้บุคคลปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้เกิดสุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี หรือว่าบุคคลไม่มีความรู้เรื่อง(เกี่ยวกับ บุญ บาป ดี ชั่ว) นั้นนั้นอยู่ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้ สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี..........................ภิกษุทั้งหลาย หรือเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย นั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่ง วจีสังขาร(อำนาจที่เป็นการปรุงแต่งทางวาจา)อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขาก็มี หรือว่าบุคคลรู้เรื่อง(เกี่ยวกับบุญบาปดีชั่ว)นั้นนั้นอยู่ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี หรือว่าบุคคลไม่มีความรู้เรื่อง(เกี่ยวกับบุญบาปดีชั่ว)นั้นนั้นอยู่ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี............................ภิกษุทั้งหลาย หรือเพราะว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย นั่นแหละบุคคลย่อมปรุงแต่ง มโนสังขาร(อำนาจที่ทำให้เกิดการปรุงแต่งทางใจ)อันเป็นปัจจัยให้เกิดสุขและทุกข์ ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเองก็มี หรือว่าเหตุปัจจัยอะไรอื่นเป็นเหตุให้บุคคลปรุงแต่งมโนสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขาก็มี หรือว่าบุคคลรู้เรื่อง(เกี่ยวกับบุญบาปดีชั่ว)นั้นนั้นอยู่ ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้ สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี หรือว่าบุคคลไม่มีความรู้เรื่อง(เกี่ยวกับบุญบาปดีชั่ว)นั้นนั้นอยู่ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยูก็มี................ภิกษุทั้งหลายอวิชชา เป็นตัวการที่แทรกแซงอยู่ในธรรมทั้งหลาย(ทั้ง12ประการ)เหล่านี้(คือหมวด กายสังขาร สี่ หมวดวจีสังขารสี่และหมวดมโนสังขารสี่ดังที่กล่าวมาแล้ว).............................................ภิกษุทั้งหลายเพราะความจางคลายดับไม่เหลือแห่งอวิชชานั้น นั่นเทียว กาย(กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้นก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา วาจา(วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้นก็ไม่มีเพื่อ ความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา มโน(มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้นก็ไม่มีเพื่อ ความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา เขตต์(กรรมที่เป็นเสมือนเนื้อนาสำหรับงอก)ก็ไม่มีเพื่อ ความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา วัตถุ(เพื่อการงอก)ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นปัจจัยเกิดขึ้นแก่เขา อายตนะ(การสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการงอก)ก็ไม่มีเพื่อ ความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา อธิกรณะ(กรรมที่เป็นการกระทำให้เกิดการงอก)ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา............................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)
     
  3. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    [​IMG]

    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ในธรรมกับทุกท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011
  4. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ๒. วิภังคสูตร

    ๒. วิภังคสูตร

    [๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
    *บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ
    พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

    [๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชรา และมรณะ โสกปริเทว ทุกข์โทมนัส และอุปายาส
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะ เป็นไฉน
    ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ
    ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
    ก็มรณะเป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความ
    อันตรธาน มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ
    ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ
    ชราและมรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

    [๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง<SUP>๑-</SUP> เกิด<SUP>๒-</SUP> เกิดจำเพาะ<SUP>๓-</SUP>
    ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
    นี้เรียกว่าชาติ ฯ

    [๘] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
    นี้เรียกว่าภพ ฯ

    [๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
    สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

    [๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา
    คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

    [๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา
    โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
    กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

    [๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส
    ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

    [๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ
    @๑. คือเป็นชลาพุชะหรืออัณฑชปฏิสนธิ ๒. คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ ๓. คือเป็น
    @อุปปาติกปฏิสนธิ ฯ

    [๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
    นี้เรียกว่านาม
    มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป
    นามและรูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

    [๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ
    โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
    นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ

    [๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร
    จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

    [๑๗] ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์
    ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์
    นี้เรียกว่าอวิชชา

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    [๑๘] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ
    สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...
    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    จบสูตรที่ ๒


    http://etipitaka.com/read?language=thai&number=2&volume=16

    ๒. วิภังคสูตร
    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8750.msg17272#msg17272

    002-๒.วิภังคสูตร -ทรงแสดง จำแนกปฏิจจสมุปบาท แก่ภิกษุ
    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8752.0

    :cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...