เมื่อตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมแล้ว เมื่อทำบาปจะเห็นผลทันที เป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 11 มกราคม 2015.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่เล่าสู่กันฟังมา
    ในแวดวงของผู้ที่อยากจะทวนกระแส ให้เป็นไปในทางสวรรค์ เป็นไปในทางนิพพาน
    ทวนกระแสโลกจากเดิมที่เขาจะซัดเราลงต่ำ พยายามขึ้นที่สูง
    แล้วก็มีความมุมานะ มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยอมตาย ดีกว่าศีลขาดไปแม้แต่ข้อเดียว
    นอกจากนั้นก็มีการพยายามเจริญสติ
    มีการพยายามที่จะได้เผื่อแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้กับคนทั่วๆ ไปได้รับรู้ตามนะครับ
    ตามหน้าที่อันพึงมีพึงชอบของศาสนิกชนที่ได้ประโยชน์จากพระพุทธเจ้า
    ก็อยากจะช่วยกันสืบสานธรรมะของพระพุทธเจ้าให้กระจายกว้างออกไป ยืดยาวออกไป


    อันนี้ผลที่ได้รับก็นอกจากจะเป็นความสุขความเย็นที่เกิดขึ้นกับจิตใจแล้ว
    ก็ยังมีเรื่องของกรอบนะ อันนี้เจอกันเยอะจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแรกๆ นะ
    ถ้าขืนทำผิดทั้งรู้ว่านั่นเป็นเรื่องไม่ดีนะ นั่นเป็นเรื่องไม่ควร
    แม้แต่อะไรที่มันเป็นการผิดกฎจราจรเล็กๆ น้อยๆ
    ทำไปแล้ว คนอื่นเขาไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น
    แต่คนที่พยายามจะทวนกระแสกัน
    มันเหมือนเห็นผลทันตา กรรมติดจรวด
    บางคนไม่ใช่แค่ข้ามวันข้ามคืนนะ เห็นเลยภายในห้านาทีนั้น
    เพราะว่าถ้าไม่เห็นเลย บางทีไม่เชื่อ ว่าผลกรรมมันมีจริง


    คนทั่วไปเขาไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล เขาปล่อย
    ธรรมชาติก็ปล่อยตามอิสระเลยนะ คือจะมีล็อกของคิวกรรมที่ค่อนข้างจะชัดเจนว่า
    เออ กรรมเก่าวางแผนเอาไว้ให้เจออะไรบ้าง อย่างไรบ้าง
    แล้วจะตอบโต้อย่างไรกับกรรมนั้นก็สุดแท้แต่ ตามใจชอบเลย
    แล้วผลนี่ก็จะมาช้านะ เหมือนกับธรรมชาติเขาใจร้ายนะ
    เขาปิดบังอยู่ เขาไม่ได้อยากจะให้เราเชื่อเรื่องผลของกรรมนะ
    ตรงข้ามเลยนะ เขาพยายามปิดเต็มที่เลย
    บางทีกว่าผลของกรรมอย่างหนึ่งๆ จะออกมา
    กว่าจะโดนเช็คบิลต้องข้ามชาติกันไปเสียก่อน ลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรมา
    หรือไม่ก็นานกันเป็นสิบๆ ปี ถ้าเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนะ
    บางทีก็รอกันเป็นสิบปี กว่าจะเห็นภายในชาตินี้ว่าที่ทำไปนี่มันได้ผลอย่างไรนะ


    แต่สำหรับคนที่ทวนกระแสแล้วมีความตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแล้ว
    ธรรมชาติจะใจดีเป็นพิเศษ คือให้บทลงโทษมาทันตาเห็น
    แสดงให้เห็นชัดๆ เลยว่าผลของกรรมมีจริงนะ
    มันจะมาในรูปของว่าทำอะไรผิดไป มันเด้งกลับมาทันที
    นี่ต้องอยู่บนเส้นทางที่ค่อนข้างแน่วแน่แล้วพอสมควรนะ ถึงจะเกิดประสบการณ์ทำนองนี้
    แล้วก็เป็นเรื่องที่ คือเล่ากันมาช้านานแล้วละเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ ปีแล้วละ
    แต่ว่าเนื่องจากไม่ได้เล่ากันโดยทั่วๆ ไป นานๆ ทีถึงจะมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น
    ก็เลยไม่เป็นที่รับรู้ว่าผลของกรรม เขาก็มีแบบติดจรวดให้เห็นทันตาทันใจ
    เพื่อให้เกิดความเชื่อ เพื่อให้เกิดความสังวรระวังในครั้งต่อๆ ไป


    อันนี้ก็คือมองเป็นข้อดีไปก็แล้วกันว่า
    คนอื่นเขาไม่สามารถได้รับความกรุณาปรานีจากธรรมชาติ
    ธรรมชาติเขาปิด เขาซ่อนเต็มที่เลย
    ผ่านคิวกรรมต้องใช้เวลากันเป็นสิบๆ ปี หรือว่าใช้กันเป็นชาติๆ
    แต่ของเราแค่ไม่กี่นาทีหรือแค่ไม่กี่ชั่วโมงได้เห็นเลย ให้ดีใจเถอะ
    เพราะไม่เจอกับตัวเองจะไม่เชื่อ แล้วพอเชื่อแล้ว มันจะไม่คิดเป็นอื่น
    นอกจากว่า เออ ยอมตาย ไม่เป็นไรนะ ขอให้ได้รักษาศีลก็แล้วกัน
    เพราะถ้ารักษาศีล ยังไงๆ ได้ไปดีแน่ ได้ดีขึ้นกว่านี้แน่
    แล้วคนที่รักษาศีลได้สะอาดบริสุทธิ์นะ
    จะเจออุปสรรคน้อยลงเรื่อยๆ จะเจอเครื่องรบกวนน้อยลงเรื่อยๆ
    ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตหรือว่าการที่มาโดนใครเบียดเบียน โดนสัตว์ตัวไหนเบียดเบียน
    จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องเข้าไปคลุกคลีกับพวกสัตว์ร้ายๆ อะไร
    ที่มันมาทำให้เกิดความรำคาญ หรือเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย
    หรือว่าจะต้องมาให้เราต้องตัดสินใจ จะฆ่าดีหรือไม่ฆ่าดีนะ
    พวกยุง พวกมด พวกแมลงสาบอะไรทั้งหลาย
    เราจะรู้สึกว่าชีวิตของเราอยู่ในวงโคจรที่ห่างจากมันออกไปนะครับ

    ดังตฤณวิสัชนา
     
  2. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    หลวงพ่อสอนไว้ว่า...

    "คนที่เห็นว่าตนยังมีความชั่วอีกมากแล้วเพียรพยามทำลายซึ่งความชั่วทั้งหลายเหล่านั้นให้
    สิ้นไป อย่างไม่ย่อท้อ โดยไม่สนใจที่จะตำหนิติเตียนจริยาของผู้อื่น เรียกคนแบบนี้ว่า คนดี"

    "แต่คนที่คิดว่าตนดีแล้ว แล้วประมาทเลินเล่อ ไม่คิดทำดีทำประโยชน์อะไรต่อ คอยจ้องแต่
    จะติฉินนินทา ติติงจริยาของคนอื่นเขา เพราะสำคัญว่าตนดีกว่าเขา จนไม่ดูเงาหัวตัวเอง
    เรียกคนแบบนี้ว่า คนชั่ว"
     
  3. pukub

    pukub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2014
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +219
    เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
    ยิ่งรักษาศีลมาก ทำดีมาก เวลาทำผิดศีลมา ทำไม่ดีมา
    ผลก็สะท้อนมาอย่างรวดเร็ว
    แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งนะครับ
    แต่เอาเป็นว่า ความเห็นส่วนตัว คือว่ากว่า 90% จะเด้งทันที
    พอเด้งแล้วเราระลึกได้ ก็เกิดความกลัว พอกลัวก็ยิ่งทำดีเพิ่มขึ้น ๆ อีก

    เรียกว่ามีแต่ได้กำไร เพราะกรรมทำไปต้องย้อน ต้องแสดงผลอยู่แล้ว
    ไม่ว่าจะกรรมดำ กรรมขาว เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
    กรรมไม่ดีย้อนเร็ว เราก็โล่งสบาย เหมือนเวลาจะไปแข่งขันอะไรสักอย่าง
    ได้เป็นคนแรก ๆ ก็ไม่ต้องตื่นเต้นนาน ไม่ต้องทุกข์นาน พอทำกิจเสร็จก็โล่งสบาย
    มีความสุขสะยิ่งกว่ามีความสุข (เพราะไม่ต้องเป็นทุกข์จากการรอ เมื่อไรจะถึงคิวเราสะที)

    แบบนี้แหละดี ดีกว่าทำแล้วไม่เห็นผลอะไรเลย ก็เลยนึกว่าไม่มี เลยทำกรรมไม่ดีเข้าอีก
    สะสมไปเรื่อย ๆ กรรมดีก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง หรือไม่ทำเลย
    ที่นี้พอมันจะแสดงที มันก็แสดงรวดเดียว ตูม ๆๆๆ เราก็ช๊อคเลยทำไมดวงตกสุดขีด
    จับอะไรก็เป็นซวยไปหมด ก็เพราะกรรมไม่ดีมันแสดงพร้อมกัน
    ที่นี้กรรมดีก็แทบไม่เคยทำ หรือทำไว้น้อย มันก็เลยไม่มีแรงจะมาช่วย
    มันก็เลยซวยซ้ำ ซวยซ้อน
    และที่สำคัญคือ พอกรรมแสดงผลแล้วยังนึกไม่ได้อีกว่า เป็นเพราะกรรมไม่ดีที่ตัวเองทำไว้
    พอคิดไม่ได้ก็เลยไม่ทำกรรมดี พอกรรมไม่ดีใกล้จะหมด หรือหมด
    ก็กลับไปทำเหมือนเดิมอีก คือทำกรรมไม่ดีอีก
    เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องเสวยวิบากกรรมของตนเอง(ที่มีแต่ความไม่ดีเป็นส่วนใหญ่) ไปสุดห้วงวัฏสาระ
    โอ้.... มาย....

    ดังนั้น ที่พระพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า ถ้าใครปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างถูกต้องและไม่ผิดเพี้ยน
    ก็จะพบแต่ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น อยู่ฝ่ายเดียว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
    มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    เวลาเราเห็นคนไม่ดีกำลังเสวยวิบากกรรมที่ไม่ดีของเขาอยู่
    เราก็จะ โอ้... เราช่างโชคดีจริงหนอ เราไม่ต้องไปเสวยกรรมไม่ดีแบบนั้นแล้ว
    เพราะเราทำแต่กรรมดี กรรมขาว กรรมไม่ดี กรรมดำ เราได้หยุดทำไปนานแล้ว
    ผลของวิบากกรมที่ไม่ดี ที่จะมีต่อเราก็ไม่มีอีกต่อไป วันข้างหน้าเราจะเจอแต่สิ่งดี ๆ ยิ่งขึ้นไป
    เพราะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ช่วยเราเอาไว้แล้ว

    เรื่องแบบนี้ก็เคยมีมาแล้ว เหมือนที่พระโมคคลานะ คิดในใจและยิ้ม
    เมื่อได้เห็นเปรตตนหนึ่ง ในภูเขาแห่งหนึ่ง
    จนพระอีกท่านที่มาด้วยสงสัย แล้วพระโมคคลานะ ก็บอกว่า เด่วไปเฉลยกันต่อหน้าพระศาสดา

    เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ก็จะ เงินเป็นเรื่องรอง ศีลเป็นเรื่องใหญ่


     
  4. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    มีท่านผู้รู้กล่าวเอาไว้ว่า คนดี ทำบุญมาก จะได้รับผลแห่งวิบากน้อยกว่าคนที่ไม่เห็นโทษของความชั่ว
    ก็เพราะ วิบากที่รับบนโลกมนุษย์นี้ เป็นเพียงเศษกรรม ดังนั้น พึงยินดีที่ได้ชดใช้ในขณะมีชีวิต เพราะหากชดใช้ในนรกแล้ว ความทรมานเทียบกันไม่ติด ประมาณไม่ได้
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    แล้วบางทีเหมือนทำดีไม่ได้ดี เพราะกรรมชั่วกำลังจัดสรรให้ชดใช้ให้หมดๆไปในชาติปัจจุบัน เพื่อความดีจะได้แสดงผลเต็มที่ในโอกาสต่อไป

    หรือเหมือนเราเป็นหนี้ เมื่อทำความดีอันมีการรักษาศีลเป็นต้น เจ้ากรรมนายเวรเขาก็จะมาทวงคืนมาลงกับสังขารร่างกายเรา เดี๋ยวก็เจ็บป่วยบ้าง อุบัติเหตุบ้าง เลือดตกยางออกบ้าง สารพัด ฯลฯ

    แต่ผู้มีธรรมมั่นคงประจำจิตแล้วจะไม่หวั่นไหว ทำนองว่าธาตุขันธ์จะเป็นไรก็เรื่องของมันใจเราไม่ทุกข์ ใจเราเป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู จนเห็นความเปลี่ยนแปลงของไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง ย่อมเป็นผู้ไม่เดือดร้อนใจและจะไม่ท้อถอยในการสร้างคุณงามความดีให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
     
  6. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    จริงครับ ผมเคยคิดว่าทำไมบุญไม่ช่วย ที่แท้ต้องชดใช้ให้หมดแบบเร็วๆนี่เอง
     
  7. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    เราก็ว่าจริง เรามักชอบทำมโนกรรมกับผู้ทรงคุณ
    ผลน่ะเหรอ เห็นกันจะๆ ไม่ถึงสามชั่้วโมงก็เอาเลย
    ข้าวของเครื่องใช้พังกันต่อหน้า บางทีเกิดบาดแผล
    ให้เลือดออกซิบๆ ก็เคย
    แต่สมองก็ไม่หยุดคิดเรื่องแย่ๆกับผู้ทรงคุณเลยนะ
    คือ เราไม่สามารถสั่งจิตให้เลิกด่าเขาน่ะ
    ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไง ก็พยายามตัดกลับมาให้เร็ว
    ที่สุดค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2015
  8. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ไม่จริง ปฏิบัติธรรมบาปกรรมก็จะถอยห่างออกไป แต่ที่ประสบเคราะห์ก็เพราะกำลังของกรรมเก่ามันแรง มันก็เลยตามมาทัน ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็จะเจอเร็วกว่าและแรงกว่าที่เจอแน่นอน
     
  9. nao7310

    nao7310 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +931
    เห็นด้วยนะค่ะ เพราะเคยมีประสบการณ์เหมือนกัน
     
  10. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ตัวเจ้าของกระทู้เอง ก็เพิ่งมีประสบการณ์ไม่นานมานี้เอง
    คือช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ก็มีการกินเลี้ยงกันในครอบครัวนิดหน่อย
    ก็จะมีอาหารพวกเนื้อสัตว์บางอย่าง ที่ทานกับเครืองดื่มแอลกอฮอล์แล้วทำให้รสชาติอร่อยขึ้น
    เลยตบะแตก บอกกับตัวเองว่า วันนี้จะผิดศีลสักวันนึง ตั้งใจจะละเมิดศีลข้อห้า
    ก็รินเบียร์ผสมน้ำ น้ำแข็ง ปริมาณเบียร์ประมาณครึ่งแก้วได้มั๊งนะ
    ซึ่งปริมาณขนาดนั้นไม่น่าจำทำให้มีอาการอะไรกับร่างกายมาก
    แต่หลังจากดื่มเบียร์แก้วนั้นไป
    ก็มีอาการคล้ายๆ จิตมืด นั่งสมาธิสวดมนต์ไม่ได้ หนักศีรษะ อาการเวียนหัววูบๆ คล้ายคนเมา เบลอๆ มึนๆ
    มีอาการอย่างนี้ นานเป็นอาทิตย์ทีเดียวกว่าจะหาย
    ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า บางทีอาจเป็นจังหวะ เจ้าของกระทู้กำลังจะป่วยด้วยอาการนั้นอยู่แล้วก็เป็นได้

    ป.ล. คุณ nao7310 ไม่อยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้างเหรอคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2015
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องของบุญใหญ่ ถ้าบุญใหญ่มาถึง กรรมก็จะตามได้น้อย ถ้ารู้จักทำให้สม่ำเสมอกรรมก็จะตามไม่ทัน

    เคนะ
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เห็นผลทันที

    อยากจะบอกว่า หมดบุญเก่า หมดกรรม กุศลกรรมเก่า

    สร้างอกุศลกรรมใหม่ บุญไม่มี มีแต่ บาป ก็เป็นไปตามกรรม ครับ

    อาศัยกินบุญเก่า กรรมเก่าหมด สร้างแต่ อกุศลกรรม ก็เป็นไปตามกรรม


    แสดงว่านี่ อันตรายละ อาการแบบนี้
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ป็นหนี้ร้อยกว่าล้าน..! <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> วันก่อนมีโยมคนหนึ่ง ไปถึงวัดก็ไปตะโกนเรียก อาตมากำลังจารตะกรุดอยู่ ก็บอกว่า "เข้ามาสิ..ประตูไม่ได้ล็อก" พอโผล่หน้าขึ้นมา เขาบอกว่าเขาเครียดมาก เพราะว่าตอนนี้มีหนี้อยู่ร้อยกว่าล้าน ตอนแรกกู้ธนาคารมา แล้วไปทำกิจการอยู่แถวอมตะซิตี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่ปัญหาไปอยู่ที่ผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาก็ไม่จ่ายค่างวดให้ตรงเวลา ทีนี้เขากู้เงินมา ไม่มีเงินไปให้ธนาคาร เขาก็โดนเร่งรัด พอโดนเข้าบ่อย ๆ เขาก็ให้ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่แม้ว่าระยะเวลาจะยืดขึ้น แต่ว่าการจ่ายมักจะหนักกว่าเดิม เพราะต้องจ่ายดอกพร้อมต้นบางส่วนด้วย ก็เลยเครียด มาปรึกษาอาตมา

    จึงถามเขาว่า ก่อนที่คุณทำงานเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอย่างไร ?..เขาก็เงียบ ..ตอนที่คุณคิดจะทำงาน คุณเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากว่าเจ๊งขึ้นมา คุณจะแก้ไขอย่างไร ?..เขาก็เงียบ..ถามว่าคุณคิดอย่างเดียวว่า ทำงานชิ้นหนึ่งจะได้กำไรเท่าไร ถ้าทำเท่านี้จะได้แค่นี้ ถ้าทำแค่นั้นจะได้เท่านั้น อย่างนี้ใช่ไหม ?..เขาบอกว่าใช่ จึงบอกเขาไปว่า ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุณขาดธรรมะมาก ถ้าหากคุณทำแล้วได้ผลดี แปลว่าบุญเก่าของคุณดีจริง ๆ แต่ถ้าทำแล้วเจ๊งอย่างปัจจุบันถือว่าปกติ

    เพราะว่าคุณไม่ได้เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาจับในเรื่องการงานเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เราจะไปกำหนดว่าทำหนึ่งต้องได้ห้า ทำสองต้องได้สิบ ทำยี่สิบต้องได้ร้อย นั่นไม่ใช่แล้ว..การทำงานเราต้องคิดในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน อย่างเช่นว่ากิจการเจ๊งเราจะมีทางแก้ไขอย่างไร เราจะเอาตรงไหนมาสนับสนุน แล้วขณะเดียวกันเราจะมีเงินส่วนไหนมาค้ำจุน หรือจะถอยไปยืนอยู่ตรงจุดไหนเพื่อที่จะแก้ไขเหตุการณ์นี้ ถ้าสามารถคิดตรงนี้เอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน คุณจะทำงานอะไรก็ได้ แต่ถ้าคิดตรงจุดนี้ไม่เป็น ไปคิดว่าหนึ่งบวกหนึ่งต้องได้สอง สองบวกสองต้องได้สี่ อย่างนั้นถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ ทำอะไรก็เจ๊ง

    โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ทำงานก็เริ่มต้นผิด ให้สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา ปู่ย่าตาทวดส่วนใหญ่มาจากเมืองจีน มาลักษณะเสื่อผืนหมอนใบ ค่อย ๆ ทำงาน ค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบ พอมีเงินสักส่วนหนึ่งทำกิจการได้ อย่างสมัยนั้นก็อาจจะ ๒๐๐ บาทหรือ ๓๐๐ บาท ก็จะเปิดการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวเอง ถ้าเขาผิดพลาดก็จะหมดแค่นั้น หนี้สินไม่มี แต่ถ้าสมัยนี้ผิดพลาดขึ้นมา เราไม่หมดแค่นั้น เรายังมีหนี้กองโตรออยู่ เพราะว่าเราเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้เสียแล้ว แปลว่าเราบริหารผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราดันไปเชื่อทฤษฎีตะวันตกที่ว่า คนที่มีหนี้สินคือคนที่มีเครดิตดี แต่ถ้าหากว่าเราทำตามแบบของปู่ย่าตาทวดที่ท่านทำมา อาจจะดูไม่เหมือนหวังความก้าวหน้า อาจจะเป็นกิจการเล็ก ๆ ก่อน แต่ความมั่นคงจะมีมากกว่า เพราะค่อยเป็นค่อยไป

    ตัวอย่างที่ชัดที่สุดต้องบริษัทสหพัฒนพิบูล อันนั้นของเขาค่อย ๆ ก้าว ค่อย ๆ ขยับขยายขึ้นมา พอโตก็แตกสายกระจายกว้างออกไป ๆ เป็นการประกันความเสี่ยง ประกอบธุรกิจหลายด้าน ขณะที่เศรษฐกิจตก เกิดการล้มละลายทางการเงินขึ้น บริษัทนี้เขาไม่สะเทือนเลย เพราะเขาไม่มีหนี้ต่างประเทศ คนอื่นจะลำบาก จะดิ้นรนก็ดิ้นไป เขาอาจจะลำบากหน่อยตรงที่กิจการไปได้ยากเพราะว่าบรรดาคู่ค้าต่าง ๆ ล้วนแต่ประสบปัญหาทางการเงินทั้งนั้น แต่ในเมื่อตัดปัญหาเรื่องหนี้สินออกไปเสีย อย่างไรก็พอที่จะประคับประคองกันไปได้

    ดังนั้น..พวกเราทุกคนควรมีธรรมะในส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านว่าดำรงอยู่ในความไม่ประมาท จะต้องคิดเป็น ทำเป็น โดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ถ้าเรารู้จักพิจารณาแยกแยะ จะเห็นความก่อนหลังเร็วช้าของแต่ละปัญหา ปัญหา ไหนที่มาถึงก่อน เราแก้ไขก่อน ถ้าอย่างนั้นเราจะมีปัญหาเดียวอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ซึ่งจะไม่หนักเกินกำลัง แต่ถ้าหากว่าเราไปเอาหลาย ๆ ปัญหามาสุมรวมกัน ถึงเวลาก็จะรู้สึกว่าปัญหานั้นใหญ่จนแก้ไม่ไหว

    ดังนั้นถ้าหากมีการปฏิบัติภาวนาสมาธิเสียหน่อย จะช่วยในเรื่องพวกนี้ได้มาก แล้วก็ยกตัวอย่างให้เขาดูว่า อาตมานั่งจารตะกรุดอยู่นี่ เพราะว่าติดหนี้เขาอยู่ ๓๐ กว่าดอก งานอื่นก็มีท่วมหัว แต่พรุ่งนี้ต้องรับสังฆทาน ก็แปลว่าตะกรุดนี่ต้องจารเสร็จ ถ้าไม่เสร็จเราไม่มีให้เขา ก็คือเรื่องนี้ด่วนกว่า ส่วนการส่งประวัติอุปัชฌาย์ ต้องส่งวันที่ ๑๕ เรากลับไปวันที่ ๑๒ มีเวลาอีก ๓ วัน อย่างไรก็ทำทัน ตรงนี้จึงวางไว้ก่อน มานั่งจารตะกรุดก่อน เพราะฉะนั้นปัญหาต่าง ๆ ถ้าเรารู้จักแยกแยะจะเห็นความก่อนหลังเร็วช้าของปัญหา อันไหนมาก่อนแก้ไขก่อน เราจะมีปัญหาเดียวอยู่ตรงหน้าตลอด แล้วก็จะไม่เครียดมาก

    เขานั่งฟังไปพักหนึ่ง เราไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรให้เขาเลย แต่พอเล่าให้เขาฟังเสร็จ เขาบอกว่าสบายใจแล้วครับ ตอนก่อนที่จะมามีปัญหามาเป็น ๑๐๘ คำถามเลย นั่งฟังไปฟังมา ไม่รู้จะถามอะไร กลับได้แล้ว ก็เลยบอกเขาไปว่า วิธีแก้ไข อันดับแรกคือการประนอมหนี้ ถ้าเป็นสถาบันการเงินนี่มักจะกำหนดตายตัว เพราะว่าถ้ามีปัญหาขึ้นมา เขาเองก็เดือดร้อนด้วย เราก็แก้ไขตรงจุดนั้นก่อน อย่างเช่นว่ามีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเปลี่ยนเป็นตัวเงินได้ โดยที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอื่นเพิ่มเติมขึ้นมา เราก็จำหน่ายเอาส่วนนั้นคืนเขาก่อน ส่วนที่เหลือก็พอจะเจรจากันได้ เพราะว่างานเราก็ยังทำอยู่ เพียงแต่ว่าเราสะดุดเรื่องเงินที่ลูกค้าเขาจ่ายไม่ตรงงวดเท่านั้น ถ้าหากว่าเขาจ่ายตรงงวดขึ้นมา เราก็รีบไปคืนให้เขา คู่ค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุก็ดี อะไรก็ดี ก็จะไม่มีปัญหาตรงจุดนี้ เพราะเขาเห็นว่าเราตรงไปตรงมา และท้ายที่สุดให้หันเข้ามาหาการภาวนา โดยเฉพาะถ้าภาวนาคาถาเงินล้านอย่างสม่ำเสมอได้ จะช่วยได้เยอะมากเลย

    ปัญหาพวกนี้มักจะมีเป็นปกติทั่ว ๆ ไป มีคำถามหนึ่งที่เขาถามว่า เขาจะอยู่ในลักษณะนี้อีกนานไหม บอกเขาไปว่า ถ้าตอบว่าสี่ปีแล้วอย่าช็อกนะ..! เขาบอกว่าถ้าพอหมุนได้ สี่ปีก็ไม่นานหรอก แต่ถ้าไม่ขยับเลย สี่ปีก็นานโคตร..!

    สังเกตได้ว่าในเรื่องทำมาหากิน ในลักษณะที่จะต้องข้องเกี่ยวกับผู้อื่น คน ที่อยู่ในศีลในธรรมจะเสียเปรียบเขา เพราะหน้าด้านใจดำไม่พอ เรื่องของการค้าถ้าหากไม่มีคุณธรรมกำกับไว้ ก็จะเป็นเรื่องของคนกินคนเลย..!

    เราจะสังเกตว่าปัจจุบัน ร้านค้าเล็ก ๆ เจ๊งหมด ก็เพราะขาใหญ่เอากินเสียเกลี้ยง จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าไม่ได้กู้เงินเขามา พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเงินเย็น เปิดร้านสะดวกซื้อแข่งกับพวกห้างยักษ์ เขาได้ เพียงแต่ว่าเราต้องใช้การค้าขายแบบโบราณ ปัจจุบันนี้พวกบรรดาร้านสะดวกซื้อเขาฝึกพนักงานให้เป็นหุ่นยนต์ พอเสียงประตูเปิดดังติ๊ง ก็สวัสดีค่ะ แต่ที่เดินเข้ามาคือหมา เขาไม่ได้ดูเลย ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานแต่ก็สวัสดีไว้ก่อน เราไปซื้อของตอนบ่ายสองเขาถามว่า รับซาลาเปาเพิ่มไหมคะ ? บอกว่านี่อีหนูดูบ้างสิว่าใคร ไม่ใช่ถึงเวลาก็ถามส่งเดช อย่างไรเจ้านายของแกก็ไม่ลงทุนปลอมเป็นพระมาตรวจงานหรอก

    ขณะเดียวกันถ้าเราเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ด ถ้าเราใช้ จิตวิญญาณของคนโบราณ ก็จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า มีการตอบโต้ มีการสอบถามกัน บางทีเจอหน้าก็ทักทายกัน แถมให้นิด ลดให้หน่อย แล้วแต่สภาพ นั่นเป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีในการค้าสมัยใหม่ตามห้าง สมัยก่อนเขาจึงได้บอกว่า มีอะไรเกิดขึ้นเขารู้ทั้งหมู่บ้าน โดยเฉพาะบรรดาร้านค้าต่าง ๆ จะเป็นศูนย์รวมข่าว มาถึงก็ "เอ้อ...ลูกชายเป็นอย่างไรบ้าง ?" "วันก่อนลูกแกสอบได้หรือไม่ได้ ?" "ลูกสาวได้ข่าวไปสอบโรงเรียนในกรุงเทพฯ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?" พนักงานสมัยนี้มีหรือที่จะถาม ไม่มีหรอก อันนั้นเป็นการรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคนและระหว่างบุคคลในชุมชนเอาไว้ ด้วย

    จริง ๆ แล้วร้านขายของเบ็ดเตล็ดถ้าบริหารดี ๆ มีการจัดหมวดสินค้าให้น่าหยิบน่าใช้ เห็นง่าย หาง่าย สู้เขาได้สบายมาก เพียงแต่ว่าบางทีวิสัย ทัศน์ของคนเราไม่พอ แล้วก็ความเพียรพยายามไม่พอ ขาดอิทธิบาท ๔ ยังไม่ทันที่จะสู้เลย คิดอย่างเดียวว่าแพ้แน่ ถ้าอย่างนั้นก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว


    ไม่ใช่ฟังเสร็จ แล้วไปเปิดร้านขายของกันหมดนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นแย่งลูกค้ากันอีก จริง ๆ ถ้าบริหารเป็นแล้ว โดยความเคยชินของคน โดยเฉพาะร้านหรู ๆ เขาไม่กล้าเข้าหรอก เพราะเขากลัวของแพง จะว่าไปแล้วร้านขายของเบ็ดเตล็ดเป็นทางเลือกที่ดี แล้วร้านหรู ๆ เขาคงไม่มาถามหรอกว่า "อีแก่ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง ? ได้ยินว่าป่วย หายดีหรือยัง ?"


    เทศน์ช่วงเช้า ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๒
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1184
     
  14. รมิดา ช้างประสิทธิ์

    รมิดา ช้างประสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +208
    เป็นเหมือนกันค่ะแบบพูดเองลอยๆเวลาเห็นคนทำไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ทั้งที่มันผิดมันไม่ดีจริงๆตามที่เราเห็นบางทีแค่นึกในใจแบบจงใจไม่นานทันตาเลยค่ะก็ทำคล้ายๆแบบที่เขาทำ โดนในแบบที่เขาโดนเลยก็มี มันเลยทำให้เรารู้จักระวังความคิดการพูดเวลาเจออะไรต่างๆมันทำให้เรากลัวความคิดการกระทำมากขึ้นค่ะ

    เห็นแล้วปล่อยวางดูตัวเองระลึกไว้เสมอเราก็ไม่ต่างกับเขาเราเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก....
     
  15. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947

    โดนใจค่ะ ประสบการณ์แบบนี้บ่อยเช่นกัน จนวันหนึ่งทำให้ได้คิดว่า
    การที่ไปตัดสินตีกรอบคนอื่น ก็เป็นการสร้างกรอบขังตัวเองเช่นกัน
    เราเคยมองคนอื่นด้วยความคับแคบเช่นไร วิธีคิดแบบนั้นก็จะสร้างโลกแคบๆ ให้เราเดินเช่นกัน
     
  16. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    เป็นการเตือนว่าอย่าทำอีก
     
  17. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    อยู่ๆก็คิดว่า ท่านที่ปฎิบัติตามอริยมรรค โอกาศที่ท่านจะตกนรกแทบจะไม่มีแล้ว

    แล้วท่านเหล่านี้ ท่านไปใช้กรรมกันที่ไหนนะ โลกมนุษย์หรือปล่าว น่าสงสัยๆ

    แต่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ใครเจอแบบนี้ให้เร่งความเพียร ใกล้แล้วๆ
     
  18. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    กระทู้นี้กำลังโดนใจเราอย่างแรง ตอนนี้กำลังระหองระแหงกับเพื่อนร่วมบ้านเพราะมาแจ้งขอย้ายออกแบบกระชั้นชิด ไอ้เราก็ไม่ได้มีเงินเก็บสำรองไว้เพราะมีรายจ่ายรายรับพอดิบพอดี กำลังทำใจให้อภัยเค้า รู้สึกว่ายิ่งมาสนใจปฏิบัติธรรมมากเท่าไหร่ยิ่งเจอบททดสอบมากขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามจะไม่ท้อค่ะ ไหนๆจันทร์นี้เค้าจะไปแล้ว เราก็เลยไปเอาน้ำมนต์มาจากวัดไทย ว่าจะทำความสะอาดบ้านหลังเค้าย้ายและประพรมน้ำม้นต์เพื่อสิริมงคลแก่ครอบครัวเรา
     
  19. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว ศีลคือการไม่เบียดเบียน เมื่อมีศีล เป็นกุญแจปิดล๊อกประตูอบายภูมิอันมีสัตว์เดรัญฉานเป็นต้นไป เพราะฉะนั้น เมื่อพบเจออะไร ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องประสพตามโลกธรรมอยู่แล้ว คือสุข ทุกข์ สลับหมุนเวียนไปตามธรรม ตามกรรมที่ก่อ. อย่าท้อนะครับเมื่อพบประสพทุกข์ ตั้งมั่นรักษาศีลให้มั่นคง ท่องใว้อย่างเดียวเรามีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไปแน่นอน เธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ความทุกข์เอ่ยฉันดีใจที่ได้ใช้หนี้ผลกรรมที่ทำแล้วหมดกรรมไปอย่างหนึ่งไม่ต้องตามใช้ในภพหน้า. ถ้าคิดแบบนี้กำลังใจจะมาเอง สู้ๆแล้วอย่าผิดศีลกันนะครับ ผลกรรมมีจริง อย่าประมาทครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...