เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพยังคงพักอยู่ที่โรงแรมเดอะ เมเปิล เรสิเดนซี่ วันนี้จะต้องเดินทางไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ซอมโก ซึ่งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ๓,๗๕๓ เมตร ถึงแม้ว่าทางด้านล่างนี้ อากาศจะอยู่ที่ ๑๙ องศาเซลเซียส แต่ว่าทางด้านบนทะเลสาบ น่าจะมีอากาศที่ลดต่ำลงไปอีกหลายองศา

    ทางด้านคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) หัวหน้าคณะทัวร์ของเรา ได้เตือนให้ทุกคนใส่เสื้อกันหนาวไปด้วย และขณะเดียวกันอากาศด้านบนนั้นค่อนข้างที่จะเบาบาง อย่าได้เคลื่อนไหวอะไรเร็ว ๆ ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดเป็นโรคแพ้พื้นที่สูงขึ้นมาก็จะลำบากกันทั้งคณะ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ ซึ่งได้ไปไหว้พระตามสถานที่ต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง เพียงแต่ว่าอยู่ภายในเมืองกังต็อกนี้ทั้งหมด บางแห่งก็ได้รับการแถมเพิ่มเติมขึ้นมาจากทางด้านเอ็นซีทัวร์ ซึ่งต้องขอเจริญพรขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้

    ช่วงเช้าพวกเราเข้าไปฉันเช้าที่ห้องอาหารของทางโรงแรม แล้วก็เห็นว่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั้น ก็คือมีพระพุทธรูปตั้งอยู่กับพื้นในลักษณะเครื่องประดับ แม้ว่าโรงแรมนี้จะมีการตั้งพระพุทธรูป ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเอาไว้มากมายหลายองค์ก็ตาม แต่ว่าเป็นการทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งโรงแรมเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ถ้าหากว่าไม่มีการกราบขอขมาด้วยความที่รู้สึกผิดอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะเป็นโทษในการปรามาสพระรัตนตรัย ทำให้ปิดมรรคปิดผลไปเลย..!

    เนื่องเพราะว่ากฏเกณฑ์กติกาการเข้าถึงมรรคผลข้อแรกนั้น ก็คือการเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง ๆ เคารพในพระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงได้แต่หวังว่าท่านเจ้าของโรงแรมคงจะรู้ตัวภายในเร็ววัน เพื่อที่จะได้แก้ไขทันในชาติปัจจุบันนี้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    เมื่อฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว รอจนกระทั่งรถมารับ พวกเราก็เดินทางไปยังวัดรุมเต็กธัมมจักรา ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในนครรัฐสิกขิมนี้ และขณะเดียวกันก็เป็นวัดที่เก่าแก่มาก สร้างมาหลายร้อยปีแล้ว

    แต่คราวนี้ทางด้านคุณสุเรศวร์ ผู้เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นกับคุณเอ (ฉัตริน เพียรธรรม) ต่างคนต่างก็ให้ข้อมูลตรงกันว่า วัดที่พวกเราหรือนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางไปชมนั้น เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาใหม่ วัดรุมเต็กธัมมจักราที่เก่าอย่างแท้จริงนั้นอยู่อีกแห่งหนึ่ง เมื่อชมสถานที่วัดใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมของทุกคนแล้ว ก็จะพาไปพวกเราไปชมที่วัดเก่าเป็นการแถมให้อีกด้วย

    เมื่อเราเดินทางมาถึงยังวัดรุมเต็กธัมมจักรา ปรากฏว่าเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ คาดว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจหลายนายเฝ้าอยู่ที่ทางหน้าประตู โดยที่แจ้งว่าทางด้านวัดรุมเต็กธัมมจักรานี้ เป็นวัดของนิกายหมวกดำ หรือถ้าหากเรียกเป็นภาษาทิเบตก็คือนิกายกากิวปะ (Kagyupa)

    นิกายหมวกดำนี้มีวัตรปฏิบัติต่างไปจากนิกายอื่นอยู่บ้าง จึงทำให้กลายเป็นเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างนิกายขึ้นมา จนถึงขนาดมีการลงไม้ลงมือกัน ทางด้านเจ้าหน้าที่จึงต้องจัดกำลังมาเฝ้าวัดทั้งช่วงบนและช่วงล่างเอาไว้มากมายหลายนาย และขอตรวจกันอย่างเข้มงวดสักหน่อย

    คุณสุเรศวร์จึงต้องไปทำหน้าที่ในการชี้แจง และมอบพาสปอร์ตของทุกคนให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยที่เจ้าหน้าที่ชี้ให้พวกเราเข้าไปยังร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ระลึก บอกว่าในระหว่างรอการตรวจสอบก็ให้ซื้อของไปพลาง ๆ ก่อน..!

    เมื่อพวกเราผ่านการตรวจสอบแล้ว ยังไม่สามารถที่จะนำรถวิ่งตรงขึ้นไปที่ตัววัดได้ เพื่อความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวงของฝ่ายเขาและฝ่ายเรา จึงขอให้พวกเราเดินเท้ากันขึ้นไป พวกเราจึงต้องออกกำลังกายเดินขึ้นเนินไปเป็นระยะทางที่ยาวนับกิโลเมตรทีเดียว..!

    เมื่อไปถึงตัววัดทางด้านบนแล้ว ผ่านเจ้าหน้าที่เข้าไปภายใน ซึ่งมีกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกันหมดก็คือห้ามถ่ายรูป..! แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า คณะของเรานั้นมากับเจ้าแม่หลักเมืองนภิสราเทวี ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกด้วยความหมั่นไส้ว่า "เจ้าแม่น้ำพริกสละ"..!

    เมื่อ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ"ของเราจัดการให้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นสะดวกและง่ายดายไปหมด สามารถที่จะตั้งขบวนหรือว่ายืนถ่ายรูปกันอย่างเปิดเผยได้ โดยที่ทางเจ้าหน้าที่ของเขานั้นทำเหมือนกับไม่รู้ไม่ชี้ หรือว่าไม่เห็นเสียอย่างนั้นแหละ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    เมื่อถ่ายรูปในวิหารใหญ่จนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว พวกเราก็ไปกราบไหว้พระสถูปทองคำ ซึ่งคำว่าสถูปทองคำในที่นี้ก็คือ สถูปที่หล่อด้วยโลหะแล้วปิดทอง ซึ่งบรรจุรูปหล่อของท่านกรรมาปะองค์ที่ ๑๖ เอาไว้ ซึ่งคำว่า กรรมาปะ นี้เป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงของนิกายวัชรยานสายทิเบต รองลงมาจากดาไลลามะและปันเชนลามะเท่านั้น ถือว่าเป็นมหาเถระที่มีความสำคัญอย่างยิ่งรูปหนึ่ง

    เมื่อพวกเราเข้าไปในสถานที่นั้น พระสถูปทองคำประดิษฐานอยู่ในห้องกระจกแคบ ๆ มีพระท่านยืนเฝ้าประตูอยู่ และเมื่อเข้าไปข้างในองค์สถูป พวกเราก็ได้เดินประทักษิณ แล้วก็ทำการบริจาค กระผม/อาตมภาพก็ถ่ายรูปตามจังหวะที่ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" แกบอก ซึ่งจังหวะที่บอกให้นั้น จะเป็นจังหวะที่ว่างจากสายตาเจ้าหน้าที่ด้วยประการทั้งปวง

    เมื่อถ่ายรูปเสร็จ พวกเราหมดธุระแล้ว ก็ออกจากวัดนั้น เดินกลับลงไปเพื่อที่จะขึ้นรถในทางด้านล่าง แต่ว่าทันทีที่พวกเราออกจากตัววัด มวลหมู่เมฆหมอกทั้งหลายก็วิ่งมาชนิดที่ฟ้ามืดไปหมด..!

    พวกกระผม/อาตมภาพ ๓-๔ คนเดินลงไปก่อน คุณสุเรศวร์มัคคุเทศก์ท้องถิ่นก็พาเข้าไปที่ร้านขายยา ซึ่งเขียนป้ายอย่างชัด ๆ ว่า Medical Store แต่ปรากฏว่าเป็นร้านขายอาหารและพวกน้ำดื่มต่าง ๆ ด้วย พวกเรานั่งรอจนคณะทั้งหมดมาพร้อมกันแล้ว จึงได้สั่งอาหารกลางวันมารับประทานกันก่อนเวลาถึงครึ่งค่อนชั่วโมงทีเดียว

    อาหารที่สั่งมานั้น ตอนแรกก็มีโมโม่ใส่ไส้ ซึ่งมีจำนวนให้แต่ละคนก็มากถึงขนาด ๘ ลูกด้วยกัน ขนาดประมาณซาลาเปาลูกเล็ก แล้วก็ยังมีข้าวสวย ผัดผัก พร้อมกับอาหารอื่นที่ตามมาอีก ซึ่งน่าจะเป็นหมี่น้ำแบบทิเบต และอาหารอีกอย่างหนึ่งซึ่งรสชาติค่อนข้างเผ็ด อยู่ในลักษณะคล้าย ๆ กับน้ำพริก แต่ก็ไม่ใช่

    แต่ละอย่างที่จัดมานั้น ความกว้างของจานเป็นฟุตทีเดียว..! ทำเอากระผม/อาตมภาพได้แต่ทำตาปริบ ๆ แต่ว่ายังโชคดีที่ว่ามีผู้ช่วย ก็คือสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งมาสะกิดสะเกาผูกมิตรตั้งแต่แรกแล้ว จึงให้ช่วยรับประทานในส่วนของอาหารที่มีลักษณะเหมือนอย่างกับหมูรวนเค็ม แต่ว่าเป็นหมูสามชั้นที่มีเนื้อนิดเดียว นอกนั้นเป็นไขมันล้วน ๆ เหมาะกับบุคคลทางด้านนี้ที่ต้องต่อสู้กับความหนาว แต่ว่าไม่ใช่กระผม/อาตมภาพแน่..!

    เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นมาลาเรียเรื้อรังมาเกินสี่สิบปี ตับพังหมดแล้ว..! ไม่สามารถที่จะย่อยไขมันได้ เมื่อมีสุนัขเป็นผู้ช่วย จึงมอบให้เขากินไปหมดทั้งถ้วยเลย ส่วนโมโม่นั้นได้ฉันไปแค่ลูกเดียว แล้วมอบให้คุณสุเรศวร์ไปช่วยจัดการให้แทน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    เมื่ออิ่มแล้วพวกเราก็นั่งรถยนต์ตรงไปยังวัดรุมเต็กธัมมจักราเก่า มีกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกันทุกประการก็คือห้ามถ่ายรูป พวกเราก็เชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง คือถ่ายรูปตามที่ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ท่านบอกให้ถ่ายได้เเท่านั้น..!

    เมื่อชมสถานที่และบริจาคทำบุญกันจนครบถ้วนแล้ว ในส่วนนี้ที่ต้องกล่าวถึงก็คือ เขามีสถานที่หนึ่ง เป็นตัวอาคารที่สร้างขึ้นมา ๓๐๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่แรกเริ่มสร้างวัด โครงอาคารเป็นไม้ แต่ว่าข้างฝานั้นเป็นไม้ไผ่สาน แล้วพอกด้วยดินเหนียว เป็นการสร้างอาคารในแบบเก่าแก่โบร่ำโราณ ช่วยป้องกันความหนาวได้อย่างดียิ่ง

    เพียงแต่ว่ารอบบริเวณนั้น มีแต่ต้นหานช้างร้อง หรือบางคนก็เรียกว่า ต้นตะรังตังไก่เต็มไปหมด แล้วก็ยังมีต้นไม้ประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ต้นดอกงูเห่า เมื่อออกดอกแล้ว มีลักษณะเหมือนกับงูที่ชูหัวขึ้นมา ซึ่งกระผม/อาตมภาพยังไม่เคยเห็นว่าในเมืองไทยจะมีอยู่

    เมื่อพวกเราชมสถานที่เสร็จแล้ว ก็ได้ข้ามถนนไปยังพื้นที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นวัดเดียวกัน ตรงส่วนนั้นมีเอาไว้สำหรับสวดมนต์ไหว้พระในวันพระใหญ่เท่านั้น มีสิ่งสำคัญก็คือกงล้อมนต์ที่นี่เย็บหุ้มไว้ด้วยหนังจามรีแล้วถึงได้จารึกอักษร เป็นของที่เก่าแก่มาก และกุฏิเก่าอีกหลังหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้ทำเป็นห้องเก็บของ เป็นกุฏิเก่าที่เป็นฝาไม้ไผ่สาน พอกด้วยดินเหนียวเช่นกัน

    ออกจากวัดวัดรุมเต็กธัมมจักราเก่านี้แล้ว พลขับก็พาพวกเราวิ่งเลี้ยวซ้ายมือไปแค่ ๒ นาที ก็มาถึงที่หน้าผาแห่งหนึ่ง ซึ่งประดิษฐานรูปหล่อของท่านกรรมาปะองค์ที่ ๑ และรูปหล่อของท่านมิลาเรปะ ซึ่งเป็นนักบวชที่มีชื่อเสียงมากของทางด้านทิเบต โดยเฉพาะนิกายกากิวปะนี้ พวกเราได้ถวายสักการะกันถ้วนหน้าแล้ว ก็พากันเดินทางกลับมาเพื่อที่จะเข้าชมสำนักแม่ชีที่ชื่อว่า กรรมา โชเกล

    เมื่อเดินเข้าไปปรากฏว่ามีแต่หมาวิ่งมารับ..! บรรดาแม่ชีต่างง่วนอยู่กับการงานของตน ดูแล้วน่าอันตรายมาก เพราะว่าประตูก็เปิดไว้ แล้วหมานั้นก็ไม่ได้ดุเลยแม้แต่ตัวเดียว ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าอีกด้วย อาจจะมีมิจฉาชีพเข้ามาทำอันตรายได้ เพราะว่าสำนักนี้มีแต่บรรดาแม่ชีสาว ๆ แทบทั้งสิ้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงกำหนดเอาไว้ว่า ภิกษุณีนั้นต้องจำพรรษาอยู่ในวัดที่มีภิกษุ แต่ห้ามอยู่เขตเดียวกันกับภิกษุ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันอันตรายจากบุคคลที่จะมารังแก เพราะเห็นว่าเป็นแต่ผู้หญิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ที่สำนักนี้จึงอาจจะมีอันตรายขึ้นมาได้ เหตุเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่อยู่กันตามสบาย ก็คือไม่ได้มีการป้องกันอันตรายใด ๆ เลย

    หลังจากที่ชมสำนักแม่ชีและถ่ายรูปจนหมด ไม่ว่าจะห้ามหรือไม่ห้ามก็ตาม พวกเราก็เดินทางย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองกังต็อก ตรงไปยังสถาบันชาติพันธุ์ทิเบตศึกษา ภายในนั้นมีพิพิธภัณฑ์แสดงสิ่งของต่าง ๆ ของชนชาติทิเบต ที่เป็นของเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก พวกเราซื้อตั๋วแล้ว เมื่อฟังบรรยายจบก็ได้เข้าไปชมสิ่งของยังด้านใน

    กระผม/อาตมภาพก็ฟังผู้กำกับ คือ
    "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ที่คอยบอกว่าสามารถที่จะถ่ายรูปตรงจุดไหน และเวลาไหนได้บ้าง เมื่อแม่เจ้าประคุณให้สัญญาณนั้น ต่อให้มีคนเดินเข้าออกกันพลุกพล่านขนาดไหนก็ตาม ก็จะเป็นจังหวะที่ปลอดคนและปลอดสายตาพอดีทุกครั้ง ต้องบอกว่าแม่เจ้าประคุณนั้นสามารถที่จะจัดการได้สุดยอดมาก อยากจะชมเชยต่อหน้าก็เกรงว่าจะเหลิงและเกรงใจ..!

    เมื่อพวกเราชมสถานที่ภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพเห็นร้านขายของที่ระลึก จึงเดินเข้าไปดูแล้วก็ติดใจวัชระอยู่ ๒ ชิ้น ซึ่งชิ้นแรกนั้นเป็นวัชระที่หัวท้ายเป็นตัววัชระจริง ๆ อีกชิ้นหนึ่งนั้น เป็นวัชระที่ต่อลงมาเป็นลักษณะของกริช ทั้ง ๒ ชิ้นแกะสลักมาจากแก้ว (หินเขี้ยวหนุมาน) ล้วน ๆ ซึ่งดูแล้วอันตรายมาก เพราะว่ามีโอกาสที่จะแตกหักได้ แต่ว่าแก้วชนิดนี้นั้นสามารถบรรจุพลังมนตราอาคมต่าง ๆ ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อได้จับ ๆ คลำ ๆ แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ตัดสินใจซื้อชิ้นที่สั้นกว่า ในราคา ๑๕,๐๐๐ รูปี อีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ซื้อนั้น ยาวประมาณคืบเศษ ๆ นั้น ราคา ๒๑,๐๐๐ รูปี แต่อาจจะมีการกระทบกระทั่งระหว่างเดินทาง และทำให้แตกหักได้ง่ายกว่า
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,388
    ค่าพลัง:
    +26,203
    เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยและรับของที่ห่อเป็นอย่างดีมาแล้ว มัคคุเทศก์ของเราก็พาไปตรงมุมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีอิฐก้อนหนึ่งทาสีทองเอาไว้โดดเด่นมาก บอกว่าเป็นอิฐปฐมฤกษ์ที่องค์ดาไลลามะองค์ที่ ๑๔ เสด็จมาวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

    เมื่อเดินย้อนออกมาทางด้านประตูหน้าของสถาบันทิเบตศึกษา แล้วเลี้ยวซ้ายเดินขึ้นเนินไปประมาณ ๕-๖ นาที เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์แห่งสันติภาพ (Peace Pagoda) กระผม/อาตมภาพฉวยโอกาส-Itmujเดินจงกรมภาวนารอบองค์พระเจดีย์ อธิษฐานจิตเสกวัชระที่เพิ่งซื้อมาไปด้วย แล้วก็ได้เข้าไปดูการสวดมนต์ทำวัตรของพระภิกษุสงฆ์ทิเบต ซึ่งประกอบด้วยกลอง ดนตรี และแตรต่าง ๆ ซึ่งเขาอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ด้วย

    เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็มีการถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก แล้วเดินย้อนกลับมาขึ้นรถ ซึ่งก็เป็นไปตามปกติที่ "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" จัดให้ ก็คือขึ้นรถเมื่อไรก็แปลว่าฝนตกทันที..!

    คุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) หัวหน้าคณะจากเอ็นซีทัวร์ได้บอกว่า พรุ่งนี้พวกเราจะต้องไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่สูง อากาศจางมาก วันนี้จึงให้พวกเราพักผ่อนกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งคำว่าตั้งแต่เนิ่น ๆ นั้นก็คือ พวกเราเดินทางกลับถึงที่พักประมาณบ่าย ๓ โมงเท่านั้นเอง

    กระผม/อาตมภาพได้ส่งงานต่าง ๆ ให้กับทางเว็บไซต์วัดท่าขนุน และทางด้านเฟซบุ๊กวัดท่าขนุนเรียบร้อยแล้ว ก็ได้สรงน้ำ เปลี่ยนผ้า เตรียมตัวที่จะพักผ่อน รอเวลาการเดินทางไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรดาคนทิเบตและพุทธศาสนิกชนสายมหายานทั้งหลาย ต่างพากันไปเดินจงกรมรอบทะเลสาบกันเป็นว่าเล่น

    ทะเลสาบนี้จะมีลักษณะเป็นอย่างไร จะได้นำมาเล่าถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายที่รอฟังอยู่ในวันต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอจบเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...