เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระยะนี้ดินฟ้าอากาศก็ค่อนข้างวิปริต ก็คือถ้าจะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ก็ยังเป็นฤดูหนาวอยู่ แต่ก็มีฝนตกลงมาติดกันหลายวัน ซึ่งตรงส่วนนี้ก็มีความดีอยู่ที่ว่า ถ้าหากว่าจะมีคนเผาป่า ไฟก็ไม่สามารถที่จะลามไปได้มาก เพราะว่ามีความชื้นสูง

    การเผาป่านั้นต้องบอกว่าเป็นความมักง่ายที่ขาดจิตสำนึกเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าการเผาป่านั้น อันดับแรกก็คือ ทั้งสัตว์และต้นไม้จำนวนมากต้องตายลงไป ประการต่อไปก็คือ ดินที่ถูกความร้อนก็จะแข็งเป็นอิฐ ฝนตกลงมาไม่สามารถที่จะดูดซับน้ำได้ ก็จะเกิดน้ำหลากเป็นอุทกภัยได้ง่าย

    โดยเฉพาะบุคคลที่เผาป่านั้นมีหลายประเภทด้วยกัน ประเภทแรกก็คือ ต้องการที่จะหักล้างถางพง ทำความสะอาดไร่ของตนเอง แล้วไฟก็ลามเข้าพื้นที่ป่าไป

    ประเภทที่สองก็คือเผาป่าเพราะต้องการจะให้มีเห็ด เนื่องจากว่าเห็ดบางประเภท อย่างเช่นเห็ดเผาะ จะเกิดจากขี้เถ้า ถ้าไม่เผาป่า เห็ดก็ไม่เกิด

    ประการต่อไป พวกล่าสัตว์ เผาป่าแล้วก็ไปรออยู่ทางลำห้วยลำธาร พวกสัตว์ต่าง ๆ ต้องหนีลงไปลำห้วย ถึงจะรอดจากเปลวไฟได้ พวกพรานก็ล่าเอาตามสบาย โดยเฉพาะที่น่าสงสารที่สุดคือพวกเต่า พอถึงเวลาเดินหล่นตุ๊บลงไปในลำธาร คนก็เอากระสอบไปตามเก็บเอาเลย

    อีกพวกหนึ่งเผาป่าเพื่อให้เกิดหญ้าใหม่ ที่เรียกว่าระบัด ซึ่งเป็นอาหารของบรรดาสัตว์กินพืช ไม่ว่าจะเป็นเก้ง กวาง หรือกระทิง วัวแดง ถึงเวลาระบัดขึ้นใหม่ ๆ ถ้าไปซุ่มอยู่อย่างไรก็มีสัตว์มาให้ยิง
    ส่วนประเภทสุดท้าย สมควรโดนประหารชีวิตที่สุด เป็นสันดานที่เห็นต้นไม้ใบหญ้าแห้ง ๆ ไม่ได้ ต้องจุด ประมาณว่าไม่มีอะไรจะทำ เผาป่าเล่น..สนุกดี..!

    ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าความขาดจิตสำนึก อาจจะเป็นเพราะว่าในครอบครัวไม่มีการบ่มเพาะมาก่อน ไปถึงครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้เน้นในด้านนี้ กว่าที่จะไปบวชได้ก็แก่เกินแกง แก้ไขนิสัยอะไรไม่ได้แล้ว

    แบบเดียวกับวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพนั่งรับสังฆทานอยู่ มีแม่พาลูกชาย จะว่าวัยรุ่นก็ไม่ได้ ดูลักษณะหน้าตาก็เกิน ๒๐ ไปมากแล้ว มาแล้วก็กระโดกกระเดก อยู่นิ่งไม่ได้ แล้วแม่ก็สรุปว่าลูกยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ข้อแก้ตัว ถ้าหากว่าได้รับการอบรมมาดี ต่อให้เป็นเด็ก ก็จะมีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยกว่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    เรื่องพวกนี้ที่น่าเป็นห่วงเพราะว่าพื้นฐานของการอยู่ร่วมในสังคม นอกจากมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมแล้ว ยังต้องมีมารยาทในสังคมด้วย เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วขาดมารยาทในสังคมมาก ไม่ต้องไปคิดถึงรุ่นปู่ย่าตายาย เอาแค่รุ่นของพวกเราทั้งหลายนี่ก็พอ

    จะเห็นว่าเด็กสมัยนี้ พูดจาไม่มีหางเสียง จะ "ครับ" หรือ "คะ ขา" ไม่ค่อยเป็น ไหว้คนไม่ค่อยเป็น ทั้ง ๆ ที่การไหว้นั้นเป็นการแสดงออกในการทักทายที่ดีที่สุด เพราะว่าการไหว้ของเรานั้นมีหลายระดับ อย่างที่เวลาฝึกเด็กก็สอนว่า "อัญชลี วันทา อภิวาท" เป็นต้น แล้วเท่านั้นยังไม่พอ กิริยามารยาทต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับการขัดเกลามา

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้เด็กสมัยนี้อยู่ในอาการน่าเป็นห่วง เนื่องเพราะว่าไปสนใจ ใส่ใจกับสื่อโซเชียลมากไป จนกระทั่งขาดมารยาทในสังคม ขาดจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เด็กสมัยนี้จะไม่รู้สึกผิด ถ้าวิธีนั้นสามารถหาเงินได้..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ขาดการอบรมจากทางบ้านยังไม่พอ โรงเรียนก็ยังไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนี้ ซึ่งเป็นการทำลายความดีความงามตั้งแต่ฐานราก จนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต เพราะว่าเด็กรุ่นหลัง ๆ นี่จะระงับอารมณ์ไม่เป็น ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น จะมีอะไร จะได้อะไร ต้องเดี๋ยวนั้น ถ้าหากว่าโดนขัดขวาง ก็แสดงออกอย่างก้าวร้าวและรุนแรง

    สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น นอกจากขาดการขัดเกลาอบรมแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ พอรู้ตัวว่าท้องก็ประเดประดังสารพัดอาหารบำรุง จนกระทั่งกลายเป็นล้นเกิน เด็กที่เกิดมาก็อยู่ในลักษณะของบุคคลประเภท "ไฮเปอร์แอคทีฟ" อยู่นิ่งไม่ได้ เพราะว่าพลังงงานล้นเกิน แต่สติสมาธิก็คือเด็ก จึงเกิดอาการสมาธิสั้น พูดประโยคแรกไม่ทันจะจบ ไปสนใจเรื่องอื่นแล้ว

    ดังนั้น....ถ้าจะให้พ่อแม่สมัยนี้แก้ไข วิธีที่ดีที่สุดก็คือจับลูกฝึกนั่งสมาธิตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่า แม้แต่พ่อแม่ก็นั่งสมาธิไม่เป็น แล้วจะไปสอนลูกได้อย่างไร ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    อีกไม่กี่วันทางวัดท่าขนุนก็จะมีการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งเด็ก ๆ ที่เข้ามาบวชนั้น ไม่เกิน ๓ วันก็เรียบเป็นผ้าพับไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทางบ้านและทางโรงเรียนไม่สามารถที่จะต่อยอดได้ เด็ก ๆ อยู่ที่นี่กินอาหารเอง ล้างถ้วยจานเอง ซักผ้าเอง ถูศาลาเอง กวาดทำความสะอาดวัดเอง แต่พอกลับบ้านไป ด้วยความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไปทำแทนอีก ซึ่งโดยวิสัยคนเราก็คือรักความสบาย ในเมื่อมีคนทำให้ก็รับไว้ด้วยความยินดี ท้ายที่สุดก็กลับไปเหมือนเดิมทุกประการ

    ดังนั้น...บางท่านที่หวังว่าเอาลูกมาบวชเพื่อขัดเกลา ทางวัดช่วยเหลือขัดเกลาให้ได้ แต่ว่าทางบ้านต้องต่อยอดให้ได้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ทำไปก็เสียเปล่าปีแล้วปีเล่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าพ่อแม่ไม่กล้าลงโทษลูกตัวเอง บางทีสามเณรทะเลาะกัน กระผม/อาตมภาพตีเสียทั้งคู่ คนเป็นพ่อเป็นแม่ยืนน้ำตาไหล บอกว่า "ดีแล้วครับที่หลวงพ่อตี ถ้าให้ผมตี ผมก็ไม่กล้า" ตรงนี้จะออกไปในแนว "พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คือมีอะไรก็รักลูกจนเกินไป ให้ท้ายทุกเรื่อง จนกระทั่งท้ายสุด เด็กซึ่งชินกับการโดนพะเน้าพะนอมาตลอดชีวิต ใครก็ขัดใจไม่ได้

    จึงขอฝากเป็นการบ้านให้กับคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่า ถ้าจะแก้ไขลูก ๆ ของตนเองต้องแก้ตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะหัดให้สวดมนต์ ทำวัตร หัดให้นั่งสมาธิ ไม่เช่นนั้นแล้ว วิธีอื่นล้วนแล้วแต่แก้ไขลำบาก เพราะว่าเมื่อจิตใจไม่สงบ การแสดงออกทาง กาย วาจา ก็เป็นไปตามนั้นด้วย

    เราจะเห็นว่าเด็กสมาธิสั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่ารักลูกมากจนเกินไป เพราะว่าบรรดาสิ่งของต่าง ๆ ที่ขายมาเพื่อบำรุงคนเป็นแม่และเด็ก สมัยกระผม/อาตมภาพยังเล็ก ๆ อยู่ไม่มี แล้วก็ไม่ตาย แถมยังฉลาดเกินมนุษย์มนาด้วย แปลว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นขาดได้ แค่กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ก็พอ

    วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...