เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    0001 (46)a.jpg

    อาราธนารับพิธีสะเดาะเคราะห์ที่บ้าน

    อาจารย์ยกทรง : กราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง งานสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง 4 เมษายน ศกนี้

    หากลูกหลานบางคนจำเป็นไปไม่ได้ หรือไม่ได้ไป สมมติ ติ๊ต่างว่าถึงเวลา 4 โมงเช้า

    หลวงพ่อ : ติ๊ต่างๆๆๆ

    อาจารย์ยกทรง : ไอ้ติ๊งต่าง ตุ๊ง มันตัวเดียวกันหรือเปล่าพ่อ

    หลวงพ่อ : ติ๊งต่อง (หัวเราะ)

    อาจารย์ยกทรง : เอานะ ถึงเวลา 4 โมงเช้าก็ดี บ่าย 2 โมงก็ดี ในขณะนั้นลูกควรจะปฏิบัติแบบไหน เผื่อจะได้มีโอกาสได้รับสิริมงคล

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้แล้วกัน ตั้งใจรับแล้วภาวนาว่า พุทโธ

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ..ใช้พุทโธหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช้เวลาประมาณสัก 15 นาที เวลาที่นั่นเขาจะทำเขาแนะนำกันก่อน เวลามีมากไป เวลาไม่น้อยก็ 15 นาทีก็แล้วกัน

    ขอรับด้วยใช้ได้ เหมือนยันต์เกราะเพชรก็เหมือนกัน

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ..สะเดาะเคราะห์กับเป่ายันต์นี่คล้ายๆกัน

    หลวงพ่อ : คล้ายๆกัน เพราะว่าทำพิธีเดียวกัน แต่บทต่างกัน

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 374-375)



    ******ท่านที่ไม่สามารถไปร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดได้ เราอยู่บ้านสามารถอาราธนารับได้เหมือนการเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าสามารถฝากเงินไปร่วมทำบุญและฝากชื่อไปใส่โลงในงานให้เผาไปด้วยจะดีมากครับ



     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    (103143.jpg

    สร้างพระทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน

    "หลวงพ่อเจ้าคะ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน อย่างไหนจะดีกว่ากันเจ้าคะ?"

    ถ้าเป็นเจตนาของฉันนะ ชอบให้ทำด้วยปูนมากกว่า ปั้นด้วยปูนแล้วก็ปิดทอง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระปูนไม่มีใครขโมย พระโลหะเผลอหน่อยเดียวคนตัดเศียรแล้ว ดีไม่ดีเอาไปทั้งองค์

    ฉะนั้น ปูนดีกว่า มีอานิสงส์เท่ากัน ราคาถูกกว่า ทนทาน และรักษาง่ายกว่า

    การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็น พุทธบูชาเป็น พุทธานุสสติ ในกรรมฐาน 40 กอง

    ท่านบอกว่า "กำลังพุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่น"

    ก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ใช่ไหม

    ทีนี้ถ้าเราต้องการสร้างให้สวยตามที่เราชอบ เห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ

    ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอ ก็จัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น

    ฉะนั้น ถ้าหากโยมเห็นว่าพระที่ทำด้วยโลหะสวยกว่า ชอบมากกว่า โยมก็สร้างแบบนั้น

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 472 เดือนกรกฏาคม 2563 หน้า 77)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    (((((((27_700_n.jpg

    วิธีเสริมการสะเดาะเคราะห์

    ก็คือ

    1. ทำบุญกับนักเรียน ถามพญายมว่า ทำบุญกับนักเรียนมีอานิสงส์อะไร ท่านบอกว่า นักเรียนเป็นผู้ทรงฌาน ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าคนปกติ

    เด็กที่จะเข้าเรียนทั้งหมดที่นี่ ต้องได้มโนมยิทธิ ต้องได้ฌานสมาบัติ เป็นฌานขั้นต้น และทุกอาทิตย์เขาจะซักซ้อมกันทุกอาทิตย์ เด็กบ้านจะซ้อมกันเดือนละ 2 ครั้ง ถ้าเด็กหอพักซ้อมทุกอาทิตย์

    วิธีเสริมสะเดาะเคราะห์ประการที่ 2 กลับไปบ้านให้เอาดอกมะลิ ใส่ขันน้ำใสๆ แล้วก็ตั้งไว้ที่หน้าบูชาพระแล้วก็บูชาพระ

    เมื่อบูชาพระเสร็จ ท่านบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร แล้วก็เอาน้ำนั้นไปรดที่โคนต้นโพธิ์ ถ้าใกล้บ้านมีต้นโพธิ์ หรือใกล้วัดมีต้นโพธิ์ หรือถ้าไม่มีต้นโพธิ์ ให้เอาไปเทที่กลางแม่น้ำ

    ท่านบอกว่า ถ้าบังเอิญบ้านดอน ตันโพธิ์ก็ไม่มีแม่น้ำก็ไม่มี ให้ไปเทที่โคนต้นไม้ใหญ่ คือว่า ต้นไม้ใหญ่มีแก่นก็แล้วกัน เพราะต้นไม้ใหญ่มีแก่นทุกต้นมีรุกขเทวดา

    ท่านบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้เคราะห์ของท่านจะบรรเทาลงมาก คำว่าเคราะห์จะให้หมดน่ะไม่ได้ มันเป็นบาป บาปเก่าสิ้นไป บาปใหม่ก็มา

    เมื่อเสร็จพิธีเป่ายันต์เกราะเพขร หลวงพ่อนำอุทิศส่วนกุศล จบแล้วหลวงพ่อบอกว่าตอนที่อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ที่บอกให้เอาดอกมะลิใส่น้ำใสบูชาพระพุทธรูป

    ตอนนี้แหละบรรดาเจ้ากรรมนายเวรบอกว่า "สดชื่นเหลือเกินครับ ผมเยือกเย็นและสดชื่นมาก"

    อย่างนี้สลัดง่าย หมายความว่าเขาไม่เกาะง่ายนะและทุกคนอย่าลืมนะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 89 กรกฏาคม 2531 หน้า 71-72)

    *******************************************************************************

    คือว่าเมื่อกี้นี้ขณะที่ภาวนากันอยู่ ลุงทั้งสองท่านยืนอยู่ข้างหน้านี่ ท่านบอกว่าคนที่ตั้งครรภ์มาวันนี้ทั้งหมด ลูกมีนิสัยเป็นผู้หญิงทั้งหมดให้ชื่อใช้อักษร "อ" ออกหน้านะทุกคนนะ

    ท่านบอกคนที่ตั้งครรภ์มาวันนี้ทั้งหมด ไม่เป็นไรคลอดบุตรไม่ตายรับรอง รับรองว่าไม่มีภัยอย่าลืมเอาน้ำมนต์ไปนะ แล้วก็เด็กที่มาวันนี้ หมายถึงว่าเด็กอยู่ในท้องนะ มีนิสัยคลัายผู้หญิงหมดทุกคน

    และก็คนเกิดอีกสองวันคือ วันจันทร์กับวันศุกร์ วันนี้ไม่ทวงกรรมไม่ทวงหนี้ เป็นแต่เพียงบอกว่าคนที่เกิดวันจันทร์กับวันศุกร์ กลับไปบ้านให้เอาไก่หนึ่งชิ้น แต่ห้ามฆ่าไก่ที่บ้านนะ ไก่บ้านอื่นก็ห้ามสั่งเขาฆ่า ไปซื้อเขาที่ตลาดจะเป็นไก่ตัมก็ได้ ไก่ย่างก็ได้ชิ้นเล็กๆก็ได้ ท่านไม่ห้ามไม่จำเป็น

    ให้บูชาทำด้วยสองอย่าง คือคนที่คิดว่าไม่สมควรจะถวายพระ ก็ให้ตั้งโต๊ะปูผ้าขาวกลางแจ้ง บูชาครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร หรือท่านผู้มีคุณ

    แต่ถ้าหากว่าท่านผู้เป็นนักบุญให้เอาไก่ชิ้นนั้นใส่บาตรไปกับพระ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร

    ท่านบอกว่าอย่างนี้ คนเกิดวันจันทร์กับวันศุกร์จะมีโชคดี หมายความว่ามีการคล่องตัว

    ฉันก็เลยถามท่านว่าคนอื่นวันอื่นอยากจะทำบ้างจะว่าอย่างไงมันไม่แพง เพราะราคาไม่
    แพงใช่ไหมไก่ชิ้นเล็กๆก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องชิ้นใหญ่

    ท่านบอกวันอื่นจะทำบ้างก็ได้ แต่ว่าการคล่องตัวมีโชคได้ผลน้อยกว่าเขานิดหนึ่ง ฉันว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยนะ ใช่ไหม ผลน้อยนิดหนึ่งก็หมายดวามว่าเขาได้บาทเราได้ 99 สตางค์ ก็พอไปได้นะ อาศัยเขาซินะ อย่าลืมว่าไก่ชิ้นหนึ่งชิ้นย่อยๆ

    ถ้าขี้เกียจไปทำบุญที่วัด ก็เอาผ้าขาวปูบนโต๊ะกลางแจ้ง ตั้งเครื่องบูชาตั้งใจบูชาครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ ถ้าบังเอิญเป็นนักบุญก็เอาใส่บาตรไปพร้อมกับข้าว แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณ คราวนี้ไม่ทวงกรรมกัน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 99 พฤษภาคม 2532 หน้า 56-57)

    158303_0.jpg
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    ลพ.รดน้ำอบผ่านแก้วจักรพรรดิ์.jpg

    พระโสดาบันมีกำลัง 7 ช้างสาร



    ท่านเจ้าคุณฯ : ด็อกเตอร์ สมัยนี้พระอริยเจ้าที่เป็นพระโสดาบันนี่จะมีแรงอย่างสมัยพุทธกาลหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะให้ไปเขาใหญ่ดูสักหน่อย เพราะไอ้งาเกมันเก่งเหลือเกิน (หัวเราะ)

    ดร.ปริญญา : เขาว่าหายไปแล้วนี่ครับตัวนั้น หายไป 2-3 ปีแล้ว หายสาบสูญไปไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

    ท่านเจ้าคุณฯ : เขาเอางาออกไปแล้วมั้ง

    ดร.ปริญญา : เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อนะครับเรื่องนี้ว่าองค์อื่นๆนี่ก็มีแรงเยอะกันทั้งนั้นนี่ พระเจ้าปเสนทิโกศลมีแรงเยอะกับเขาด้วยหรือเปล่า

    ท่านเจ้าคุณฯ : ตอนนั้นยังไม่เป็นพระโสดาบันนี่

    ดร. ปริญญา : ไม่จำเป็นต้องเป็นครับหลวงพี่

    ท่านเจ้าคุณฯ : อ้อ เหรอ

    ดร.ปริญญา : ครับ เป็นบุคคลพิเศษที่เกิดมาก็มีกำลัง 7 ช้างสาร

    ท่านเจ้าคุณฯ : คือสมัยที่พระอานนท์ใช่ไหมที่ว่ายืนขวางช้างอะไรน่ะ

    ดร. ปริญญา : ช้างนาฬาคีรี ยกมือทิ่มช้างตูดกระแทกเลย

    ท่านเจ้าคุณฯ : อยากจะทดลอง ใครเป็นพระโสดาบันหรือไม่ จะให้ลองไปเขาใหญ่ดู (หัวเราะ)

    ดร.ปริญญา : มีพระอานนท์ มีท่านวิสาขาและก็มีนายบุญทาสีที่เป็นคนใช้ของท่านวิสาขา

    ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อท่าน ท่านบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลก็แรงเยอะ (กำลัง) 7 ช้างสารเหมือนกัน ท่านพันธุลเสนาบดีก็แรงเยอะ ที่ฟันไผ่ 500 ลำไม่ให้ได้ยินเสียง

    อย่างเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ที่ท่านวิสาขาไปลืมทิ้งไว้ที่พระเชตวันนั่น พระองค์อื่นยกไม่ขึ้นต้องให้ท่านพระอานนท์ยกไปเก็บ

    ท่านเจ้าคุณฯ : อ๋อ มีแรงช้างสารนี่

    ดร.ปริญญา : ใช่ครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : นางวิสาขาก็มีด้วยสิ อย่างนี้

    ดร.ปริญญา : ใช่ครับ เสร็จแล้ว พอ(ท่านวิสาขา)ลืม อ้าวนึกขึ้นมาได้ก็ให้นายบุญทาสีไปเอากลับ เพราะว่าคนอื่นไปเอากลับก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

    ท่านเจ้าคุณฯ : แรงไม่พอ

    ดร.ปริญญา : แรงไม่พอ แต่บอกว่าถ้าพระจับแล้วก็ถวายพระเลยนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : (ขอแถมหน่อยนะ) สมัยก่อนนั่นเคยมีเล่าในหนังสืออะไรไม่รู้ พระเจ้าปเสนทิโกศลไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า พวกบริวารไปฟังก็สำเร็จพระโสดาบัน พระสกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์กันหมด แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไปฟังเหมือนกัน ครอก หลับ ฟังไม่รู้เรื่อง หลับ แต่ไปทุกวันนะ เพราะเชื้อปรารถนาพุทธภูมินี่แหละ

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 481 เดือนเมษายน 2564 หน้า 20-21)
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    (((((41944373404_n.jpg

    เสริมการสะเดาะเคราะห์
    (ตามวิธีหลวงพ่อแนะนำในคลิปเปิดในพิธีสะเดาะเคราะห์ 13 เม.ย. 67)


    ผลของทาน ผลของศีล ผลของการเจริญภาวนา ผลของการสงเคราะห์นักเรียน ผลของการบวชเณร ผลของการบวชชี

    ซึ่งผลของทานจะเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขมีทรัพย์มาก

    ผลของศีลจะเกิดให้มีความสุขความเยือกเย็นใจ

    ผลของการเจริญภาวนาจะทำให้สุขใจมากมีปัญญา

    และผลของการสงเคราะห์นักเรียนนักศึกษาจะได้ปัญญาบารมี

    ผลของการบวชเณรองค์หนึ่ง เราได้สวรรค์กัปหนึ่ง ถ้าบวช 100 องค์เราก็ได้สวรรค์ 100 กัป ผลของบวชเณรจะมีอายุบนสวรรค์หรือพรหมโลกยืนนาน

    ผลของการบวชชีกรรมบถ 10 นี่มีผล 3 อย่าง คือ ต้องปฏิบัติ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไม่เหมือนศีล 8 หรือศีล 5 ละเอียดกว่า

    ด้านกายกรรมของเขาจะเป็นปัจจัยให้เรามีร่างกายมีความสุข ในชาติหน้าสวยสดงดงาม ด้านวจีกรรมจะเป็นเหตุให้มีวาจาเป็นทิพย์พูดอะไรมีคนชอบฟัง
    ด้านมโนกรรม จะทำให้จิตใจบุคคลทั้งหลายมีกำลังใจเยือกเย็น

    ฉะนั้นการบวชเณร บวชชีมีผลร่วมกัน 4 ประการ คือ

    1. มีอายุยืนนานบนสวรรค์
    2. รูปร่างหน้าตาสวย
    3. วาจาเป็นทิพย์
    4. ใจเป็นสุข

    ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนสมาทานศีล

    หลังจากสมาทานศีลแล้วหลวงพ่อได้นำญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายสมาทานพระกรรมฐานและเจริญสมาธิประมาณสัก 10 นาที เมื่อหมดเวลาเจริญสมาธิหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายฟังว่า

    "ขณะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนั่งหลับตาภาวนาอยู่ ตอนนั้นก็มีเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่งตัวชุดสีแดงๆ ชุดสีแดงๆนี่คุมเคราะห์กรรม เคราะห์กรรมต่างๆที่พึงมีเทวดาชุดนี้คุม ท่านมาบอกว่าที่นั่งอยู่ที่นี้มีอยู่ 8 คนที่ทำเฉพาะเท่านี้นะช่วยกันไม่ได้ นอกนั้นช่วยได้หมด

    อีก 8 คนขอให้ทำแบบนี้คือ หนึ่งใช้ไก่หนึ่งชิ้นแต่ห้ามไปฆ่าไก่ที่บ้านหรือที่วัดนะ ห้ามฆ่าไก่นะโยมนะ เอาไก่หนึ่งชิ้นจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นโตไม่สำคัญ เอาขาสักขาหนึ่งไปซื้อเขามาที่สุกแล้ว แล้วก็มาใช้ธูป 3 ดอกแล้วก็เทียน 3 เล่ม บูชาพระ

    บูชาพระเสร็จถือว่าเคราะห์กรรมใดๆ ที่พึงมีขอทำบุญถวายทานกับบรรดาพระสงฆ์ด้วยไก่ชิ้นนี้ และขอให้เจ้ากรรมนายเวรขอให้อโหสิกรรมด้วย

    ก็ถามท่านว่า คน 8 คนคือใคร ท่านบอกเหมือนกันโยม


    อาตมาก็ไม่ขอบอก ขอปิดไว้ก่อน ถามว่าบังเอิญคนอื่นที่ไม่มีเคราะห์กรรมแบบนั้นจะทำบ้างจะมีผลอย่างไรบ้าง เพราะของราคาไม่แพง

    ท่านบอกคนอื่นที่ไม่มีเคราะห์กรรมอย่างนั้นถ้าทำบ้าง จะมีการคล่องตัวยิ่งขึ้นหมายความว่าโชดดีมากขึ้น

    ทุกคนทำได้นะ คือทำเผื่อไก่ ชิ้นไม่โตนักจะเป็นไก่ย่างก็ได้ เป็นขาก็ได้ แล้วก็เทียนเล่มเล็กๆ 3 เล่ม ธูป 3 ดอก จุดบูชาพระเสียก่อน แล้วก็บอกว่าขอทำไก่นี้หนึ่งชิ้น ถวายแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอเจ้ากรรมนายเวรโปรดโมทนาด้วยแล้วก็อภัยให้ด้วย อโหสิกรรมให้ด้วย

    หลังจากนั้นก็เอาไก่ไปถวายที่วัด หรือว่าจะทำตอนเช้ามืดเวลาเช้าพระบิณฑบาตก็ใส่บาตรพร้อมกับพระมาก็ได้นะ

    ตอนที่จะเลิกพอดีท่านผกาพรหมมาองค์นี้ใหญ่มาก แต่งตัวขาวแพรวพราวเป็นระยับ ท่านผกาพรหมท่านมา ท่านบอกว่า รอก่อนครับ เพียงเท่านั้นยังไม่พอ มีเรื่องหนึ่งที่ผมหนักใจ เพราะงานนี้ผมก็ต้องรับรองด้วย ท่านบอกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยเอาของสงฆ์ไป มีไหมของในวัดมันก็มีสองอย่าง ถ้าเป็นตันไม้ดอก ต้นไม้ผล หรือต้นไม้ผักหญ้ากิน

    ถ้าคนปลูกยังอยู่ ขอกับคนปลูกนี่ไม่ถือว่าเป็นของสงฆ์ แต่ว่าพระที่ปลูกสึกไปแล้วก็ดี ตายไปแล้วก็ตาม ตกเป็นของสงฆ์ เป็นอย่างนี้จะขัดข้องต่อการสะเดาะเคราะห์


    ท่านบอกว่าคนที่เคยเอาของสงฆ์ไป หรือเคยบุกรุกในที่ของสงฆ์ก็ตาม ชำระหนี้สงฆ์เสีย ก็ถามท่านว่าจะชำระหนี้สงฆ์ยังไง

    ท่านบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์กันเดือนละบาทจะไปให้วัดไหนก็ได้ จะเก็บไว้ก่อนก็ได้ เดือนหนึ่งใส่กระป๋องไว้หนึ่งบาทตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ หลายๆเดือนจนครบหนึ่งปีเข้าไปถวายวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ แล้วบอกพระว่าเงินจำนวนนี้ผมขอชำระหนี้สงฆ์ เอาเท่านี้นะ ถ้าเพียงเท่านี้ท่านช่วยสะเดาะเคราะห์ได้"

    แล้วหลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่า

    "การสะเดาะเคราะห์คราวนี้มีท่านผกาพรหมเป็นเจ้าภาพ ท่านคุมงานนะเมื่อกี้ขณะที่พระให้พร อาตมาก็บอกว่าในฐานะที่ท่านผกาพรหมเป็นเจ้าภาพใหญ่คุมงาน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีอารมณ์ขัดข้องใดๆให้บอกท่านผกาพรหมช่วยเหลือได้ไหม

    ท่านบอกว่าได้เหมือนกันแต่ต้องบอกท่านท้าวเวสสุวัณด้วย

    ท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ได้ครับ

    ก็เป็นอันว่าถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขัดข้องใดๆเกิดขึ้น และต้องการการคล่องตัว ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เสร็จ แล้วก็บอกท่านท้าวผกาพรหมและท่านท้าวเวสสุวัณ ช่วยแล้วกันนะ"


    (คัดลอกบางส่วนจาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 100 เดือนมิถุนายน 2532 หน้า 66-68)


    ((((56032_n.jpg
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    273708647_484642326631895_2436281504599011309_n.jpg

    ขอนำเรื่องด้วยคำกลอนว่า

    เมื่อชาติที่แล้วพี่นั่งอยู่ข้างขวา
    ส่วนน้องยาก็นั่งอยู่ข้างซ้าย
    ปรนนิบัติพระพุทธองค์ให้เย็นสบาย
    ชาตินี้ก็จึงได้มาพบกัน (อีก)


    ขออธิบายเพิ่มเติมว่า

    พี่ชาย คือ พระอนันต์ พทธญาโณ (ชื่อในสมัยบวชใหม่ๆ)

    น้องชาย คือข้าพเจ้า พระอาจินต์ ธมมจิตโต (ชื่อข้าพเจ้าในสมัยบวชใหม่ๆ)

    พี่นั่งอยู่ข้างขวา คือ แม่สุ (ชื่อในสมัยนั้น)

    ส่วนน้องยาก็นั่งอยู่ข้างช้าย คือ หนูต้อย (ชื่อในสมัยนั้น)

    แล้วสมัยนั้นคือสมัยไหน ก็สมัยที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกับท่านแม่มัลลิกาเทวี ถวายอสทิสทานแด่พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ 500 องค์ ด้วยโภชนาหารอันประณีต ได้ทำทานแข่งกับชาวบ้าน ตอนแรกๆ ชาวบ้านทำทานมากกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์รู้สึกไม่สบายพระทัย ทรงครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำทานให้มากกว่าพวกชาวบ้าน คิดไม่ตก พระพักตร์เศร้าหมอง

    ท่านแม่มัลลิกาเทวีก็ทูลถาม เมื่อทราบสาเหตุแล้วจึงแนะนำว่า ให้มีเจ้าหญิงคอยปรนนิบัติพระพุทธเจ้าและพระสาวก 500 องค์ องค์ละ 2 คน และมีช้างคอยถือฉัตรกางกั้นองค์ละ 1 เชือก เพราะทั้งสองอย่างนี้ชาวบ้านไม่มี พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงพอพระทัย เห็นชอบกับความคิดนี้

    ฉะนั้น พวกเจ้าหญิงทั้งหลาย จึงต้องทำหน้าที่ดังกล่าว ก็มีเจ้าหญิงที่ชื่อเล่นว่า แม่สุ และ หนูต้อยนี่แหละ ที่ได้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้า จะถือว่าบุญพาวาสนาส่งก็ใด้ ได้รับหน้าที่ตรงนี้

    ชาตินี้จึงได้มาพบกัน (อีก) ที่วัดท่าซุง แต่กว่าจะพบกันได้ ก็หลังจากที่ได้ลงมาจากสวรรค์ผ่านไปแล้ว ของท่านเจ้าคุณฯ 25 ปี ของข้าพเจ้า 29 ปี (เพราะบวชเมื่อปี พ.ศ. 2529)

    มีเรื่องตลกที่ท่านเจ้าคุณฯ เล่าให้ฟังว่า เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อลงมาแล้ว เราก็เลยรีบลงบ้างมองดูข้างล่างว่าจะลงไปเกิดที่ไหนดี ก็แลเห็นยอดแหลมๆ เยอะแยะ ก็คิดกว่าเป็นปราสาทราชวัง ก็จึงตัดสินใจลงที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แต่ลงมาแล้ว ได้ลืมตมาดูโลกแล้วจึงเห็นว่าที่ยอดแหลมนั้นเป็นกองฟางนั่นเอง เลยต้องช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หลายปี จนกระทั่งบวชก็ได้มาอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่วัดท่าซุง


    ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วท่านก็ขำตัวเอง แต่ไม่รู้ว่า ท่านเจ้าคุณฯ ทราบหรือยัง ว่าที่เห็นเป็นยอดแหลมเหมือปราสาทราชวังน่ะเห็นถูกแล้ว เพราะที่วัดท่าชุง มีมณฑป และวิหารยอดแหลมตั้งหลายยอด

    ส่วนน้องชาย เห็นพี่ชายลงแล้ว หาที่ลงอยู่นาน ก็เลยต้องเกิดห่างกัน อยู่ที่คลองบ้านธาตุ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้มีอาชีพทำนา แต่ช่วยยายกับน้าทำอิฐมอญเผาส่งขาย อยู่จนกระทั่งโต และได้มาเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในกรุงเทพฯ ตอนนี้มีงานไม่ต่างกันเท่าไหร่ พี่ชายแบกไถ น้องชายแบกปืน มามีอาชีพเดียวกันก็ตอนมาบวชอยู่ที่วัดท่าซุงกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี่แหละ เคยใกล้กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกันอีก

    แต่ว่า อนิจจา

    ตอนนี้พี่ทิ้งร่างกายไปเสียแล้ว
    ส่วนน้องแก้วโดดเดี่ยวอาลัยหา
    ไม่มีวันที่จะเห็นพี่ได้กลับมา
    สู่ชีวิตชาวนาอีกต่อไป

    ขอโมทนาเป็นอย่างสูง พี่ไปสบายก่อนเถอะ

    พี่ไปแล้วก็อย่าได้ทิ้งพี่น้อง ประกับประคองไปนิพพานด้วยกันหนา

    ขอพี่จงส่งพลังมา เพื่อช่วยงานพระศาสนาทดแทนคุณ
    (คุณของพระพุทธเจ้าและหลวงพ่ออันหาประมาณมิได้)



    ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ จัดพิธีพระราชทานเพลิง พวกพี่ๆน้องๆ มีความตั้งใจจัดงานนี้เพื่อพี่ด้วยความตั้งใจพิธีพิถันและประณีตให้สมกับที่พี่ทำงานบูรณะ ปรับปรุง ก่อสร้าง อาคารสถานที่ที่วัดท่าซุงด้วยความประณีตสวยงาม สมัยที่มีชีวิตเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงอยู่


    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อย้ายที่อยู่ ไปพักที่ตึกกลางน้ำเมื่อปี 2526 ท่านเจ้าคุณฯ ก็ติดตามไปรับใช้หลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำตั้งแต่นั้น ฉะนั้นจึงได้ฟังเรื่องอะไรต่ออะไรมาเยอะมาก

    แต่ตอนท่านมารับสังฆทานที่บ้านสายลม เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสใหม่ๆ มีคำสนทนาตอนหนึ่งท่านบอกว่า

    ..เราเสียตั้งแต่ตันมาจุดหนึ่ง คือว่าเราผิดพลาดอยู่ตอนหนึ่ง ตอนอยู่กับท่านนี่ คือเราไม่ได้หวังจะมาคุยอะไรให้ใครฟังอย่างนี้ แต่ว่าเราเข้าใจว่าหลวงพ่ออยู่ 120 ปีนี่ ไม่ต้องไปคุยหรอก ฟังหลวงพ่อคุยแล้วไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอก คิดอยู่ของเราอย่างนี้แหละ เราตายก่อนหลวงพ่อไม่ต้องไปจดไปจำอะไรหรอก เราก็ทิ้งไปเลยเรื่องอย่างนี้ คือไม่คิดจริงๆหลวงพ่อจะเล่าอะไรเราก็ฟังแต่เราก็ไม่ได้จดไว้ มันก็ลืมไปเยอะ

    เพราะตอนเย็นๆ หลวงพ่อฉันยานี่ท่านจะเล่า จะหมาเห่าหมาหอนท่านก็เล่า ใครมาใครไป มาว่าอะไรต่ออะไร

    ส่วนมากจะคุยเรื่องอาหาร วันนี้จะสั่งอาหารอะไร พรุ่งนี้จะสั่งอาหารอะไร พอเล่าเรื่องอาหารเราก็กลืนน้ำลาย

    หลวงพ่อบอก ไอ้นี่มันน้ำลายไหลแล้วนี่

    ยกทรงถามว่า "หลวงพ่อฉันยาแล้วอารมณ์ดี คุยปกติไหมครับ"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า "หลวงพ่อฉันยาคุยกันได้ แต่เราอย่าคุยเรื่องหนักนะ เรื่องที่ต้องใช้ความคิดจะไม่คุย คุยเรื่องตลกอะไรต่ออะไร คนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนั้น ท่านก็คุยเรื่องตลกมาให้เรา เราไม่ได้จำจริงๆ แต่หัวเราะกัน องค์นี้หัวเราะกันอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็คุยแบบอยากให้ท่านคลายเครียด เพราะรับแขกมาแล้วนี่ ก็มีบีบมีนวดบ้าง"

    ยกทรงบอกว่า "แหม..เสียดายถ้ามีเทปบันทึกไว้ในสมัยนั้น"

    ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า "ความคิดเราผิดเอง ถ้าเรารู้เป็นอย่างนี้เราจะต้องมากกว่านี้ ต้องจดต้องอะไร ต้องอัดเทป ไม่ต้องคุยอะไรให้ใครฟังหรอก เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว"


    นี่คือคำปรารภของท่านเจ้าคุณฯ แต่ขนาดจำได้ไม่มาก หรือไม่ได้ตั้งใจจดจำ แต่ก็มีเรื่องที่ท่านเจ้าคุณฯ จำได้มาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง จึงได้รวบรวมมาบางเรื่อง ดังนี้




    หลวงพ่อโดนรุกรานจะฉันข้าวกลางแม่น้ำ

    เล่าถึงสมัยก่อนก่อนโน้น หลวงพ่อท่านจะทำอะไรพิเศษอย่างหนึ่ง คือสมัยก่อนอยู่วัดท่าซุงใหม่ๆมีศัตรูมาก คนเกเรก็เยอะ จ้องจับผิดท่านก็เยอะ เพราะ ประวัติหลวงพ่อปาน ออกมาพูดถึงทิพจักขุญาณมาก พูดคุยกับพระมาก (พระคือพระพุทธเจ้า) เขาก็หาว่าอวดอุตริ

    ทีนี้ก็มีคนย่ำยีท่านมาก หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้าเขามารุกถึงวัดเมื่อไหร่ จะประกาศตัวเป็นอิสระเมื่อนั้น เหมือนกับ หลวงพ่อดาบส

    "นันต์ ถ้าข้าประกาศตัวเป็นอิสระเมื่อไหร่ ข้าจะห่มผ้าสีตองอ่อน จะไปฉันอาหารบนแม่น้ำสะแกกรังสักวันเดียว ดูซิ สีเหลืองกับสีตองอ่อนจะเป็นอย่างไร"

    ตอนแรกท่านประกาศจะมรณภาพ พ.ศ.2514 หรือ 2515 พอมรณภาพจะลอยเข้าโลงไปเลย

    แต่ตอนหลังพระไม่ให้ไป จะให้อยู่ก่อน ช่วยกันเพราะคนหลังๆ ยังมาเกิดอีก

    การที่ท่านจะลงมาเกิดชาติสุดท้ายนี่ ท่านรู้มาแล้วลาท่านปู่มาแล้ว ลาตั้งแต่ข้างบน แต่เวลาลงมาลืม บอกมาแล้วว่าจะมาลาพุทธภูมิ พวกเราจึงตามลงมา

    ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิเราคงไม่ลงมาหรอก คงจะโต๋เต๊รออยู่ข้างบน เพราะไม่จำเป็นจะต้องลงมานี่ เพราะตามกันมาเยอะแล้ว 16 อสงไขย

    ส่วนมากลูกศิษย์หลวงพ่อจะหัวแข็ง ปราบยาก คือตามกันมา 16 อสงไขยก็จริง แต่ลงเกิดไม่เท่าพุทธภูมิหรอก พุทธภูมิลงมาถี่ พวกเราก็ตามกันมาห่างๆ ลงบ้างไม่ลงบ้าง สะสมความรู้ไว้มาก บางทีคนสอนอ่อนกว่าก็ปราบไม่ลง แต่หลวงพ่อพูดอะไรเชื่อหมด หัวหน้าพูดอะไรก็ไม่มีใครไม่เชื่อ เพราะตามกันมานี่

    งานบวชพระถือธุดงค์

    งานที่ท่านดำริคิดขึ้นมาเอง ก็คือ งานบวชพระถือธุดงค์ ปกติสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ก็จัดงานอุปสมบทหมู่กันบ้าง ในวาระสำคัญๆ แต่เมื่อท่านเจ้าคุณฯ เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านจัดงานบวชพระถือธุดงค์ทุกปี คือบวชพระแล้วปฏิบัติธุดงค์ด้วย

    เพราะมีพระบางองค์เสนอแนะให้ท่านเจ้าคุณฯจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร แต่ท่านเจ้าคุณฯ ไม่จัด ท่านบอกว่า ท่านไม่มีความสามารถอย่างหลวงพ่อ และไม่มีคุณสมบัติตามที่หลวงพ่อระบุไว้หลายข้อ เช่น ไม่มีทิพจักขุญาณสามารถรู้ใด้ว่า ผู้มาเป่ายันต์ได้รับยันต์ครบหมดทุกคน แต่ท่านก็อยากให้คนมาทำความดีร่วมกันปีละครั้ง ก็จึงจัดงานบวชพระถือธุดงค์ขึ้นมา เริ่มตั้งแต่ปี 2536

    ก็เผอิญไปตรงกับที่พระเดซพระคุณหลวงพ่อได้บันทึกเทปไว้ เรื่องธุดงค์ในวัด หมายความว่าไม่ต้องไปเดินดงแบบพระธุดงค์ในป่าในเขา ทำที่วัดก็ได้ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังแนะนำการอยู่ธุดงค์ในวัดโดยละเอียด ท่านเจ้าคุณฯ จึงได้ยึดแนวปฏิบัติมาทำ ในสมัยท่านเป็นเจ้าอาวาสได้จัดงานบวชพระถือธุดงค์มาเป็นเวลา 25 ปี

    และถึงแม้ว่าท่านเจ้าคุณฯละสังขารแล้ว ท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่ คือ พระครูปลัดสมนึก ก็ไม่ทิ้งปฏิปทาของท่าน ยังจัดงานบวชพระถือธุดงค์ต่อไป

    ผลงานและความดีของท่านเจ้าคุณฯ เขียนไปเขียนมาก็เกิน 10 หน้าแล้ว ก็ยังพรรณนาไม่หมด ขอแถมคำสอนของท่านสักหน่อย

    ปกติท่านเจ้าคุณฯจะไม่ค่อยจะอยากสอนธรมะเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าคำสอนหลวงพ่อมีมากแล้ว

    แต่ก็มีบางครั้งที่ท่านพูดออกมา ฟังแล้วมันเป็นธรรมะนี่ บันทึกกันไว้และคัดลอกมา

    "เราพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีการประพฤติปฏิบัติ ค่าของเราจะหลุดจากวัฏฏะได้มีค่าสูง ซึ่งวัดด้วยทรัพย์สินและเงินทองก็ไม่ได้สักอย่าง ทรัพย์สินนี้ใช้ไม่ถึง 100 ปีเราก็ไม่ได้ใช้ แต่อริยทรัพย์ที่เป็น ศีล สมาธิ ปัญญานั้น มีค่ายิ่ง ยิ่งกว่าทรัพย์สินในวัฏฏะทุกสิ่งทุกอย่าง"

    "ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว และก็จะจากไปในที่สุด โลกช่างไม่มีอะไรน่ายินดี เต็มไปด้วยสิ่งโสโครกและเป็นทุกข์"

    "เราทำได้เต็มที่และทำดีที่สุดแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือไปอยู่ที่พระนิพพานเท่านั้น"

    ท่านทำความดีเพื่อผู้อื่นมามากจริงๆ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เหนื่อยก็นอนพัก ไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกาย

    ฉะนั้น เมื่อมีโรคภัยมาก็ต้องอดทนทำงานและทำงาน ก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้มาก กลัวว่าจะตกใจ จะเสียกำลังใจ ผู้ที่รับใช้ใกลัชิดเท่านั้นที่ทราบ ท่านทำงานแบบมอบกายถวายชีวิตต่อหลวงพ่อ ต่อพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะอะไร อ่านคำพูดต่อไปนี้


    "สำหรับผมไม่มีคำว่าครั้งสุดท้าย การทำดีถวายเพื่อแทนคุณ ทำได้จนตาย"

    "ความดีที่หลวงพ่อได้สอนไว้นั้น ไม่เสียเปล่าไปในอากาศ ไม่เสียเวลาที่ท่านได้ทรมานร่างกายไว้ แม้จะเจ็บป่วยไข้ก็พยายามอบรมสั่งสอนลูกหลานของท่านให้มีความมั่นคง แม้ท่านจะจากร่างกายไปแล้ว ความดีของท่านก็ยังทรงตัว ตรึงใจ ฟังแล้วก็มีความสุข ยังตรึงตาตรึงใจให้เราได้เคารพท่านไม่มีวันเสื่อม"

    คำว่า ยังตรึงตาตรึงใจ คำพูดของท่านต่อไปนี้เป็นเครื่องยืนยัน

    "วันไหนไม่เคารพหลวงพ่อไม่มี ไม่คิดถึงก็ไม่มี ความดีของท่านนั้นก็หาประมาณมิได้ อย่างที่ว่า

    พุทโธ อัปปมาโณ
    ธัมโม อัปปมาโณ
    สังโฆ อัปปมาโณ

    เป็นจริงอย่างยิ่ง"

    บัดนี้ หลวงพ่อก็จากกายไปแล้ว ท่านเจ้าคุณฯ ได้พักผ่อนแล้ว ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจอีกแล้ว ท่านตัดสักกายทิฏฐิได้ดีก็สมควรไปอยู่สภาวะธรรมที่ดี สภาวะธรรมที่ดีที่สุด คือ พระนิพพาน ท่านเจ้าคุณฯ คงไปได้สมความปรารถนาแล้ว

    เมื่อพี่ไปไปแล้วอย่าไปลับ โปรดเมตตาหันกลับดูน้องๆ บ้าง

    พี่น้องทางนี้รักพี่ไม่จืดจาง จะขอเดินตามทางพี่ที่นำไป


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล บันทึกโดย พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์ หน้า 15-17 , 26-27)


    172198_0.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    10414505_719048948154022_5672348375046827690_n.jpg

    พิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล


    ในสมัยเป็นเด็กๆได้เคยสงสัยว่า ในพิธีพุทธาภิเษกตอนหลังที่หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศลท่านเป็นประธานในพิธีนั้น จะยังมีพรหมเทวดารักษาวัตถุมงคลเหมือนในสมัยหลวงพ่อพระราชพรหมยานหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ไม่คลายสงสัย จนมีปีหนึ่งท่านได้มีเมตตาเล่าเรื่องการทำพิธีพุทธาภิเษกให้ฟังก่อนที่จะเริ่มพิธี ดังนี้

    "สมัยก่อน ก่อนบางคนยังไม่เกิด พ.ศ. 2516,17,18 หลวงพ่อท่านจะนั่งกรรมฐานที่ตึกเสริมศรี เป็นที่รวมของพระตอนเย็นๆ หลวงพ่อท่านจะลงมาตอนทุ่มหนึ่ง จะนั่งกันทุกวันที่นั่น มีพระ 5 องค์ 10 องค์
    มีอยู่พรรษาหนึ่ง ท่านทำพิธีกรรมทั้งพรรษา เขาเรียกว่าปลุกเสกครบไตรมาส 3 เดือน ฉันก็จำไม่ได้มากว่ามีอะไรบ้าง ก็มีพระดินเผาอยู่เรียกว่าทุ่งเศรษฐี ที่เขียนว่าร้อยปีหลวงปู่ปาน นั่นท่านทำครบไตรมาส
    หลวงพ่อท่านก็จะบอกว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่มีเวลาทำครบไตรมาสอย่างนี้อีกแล้ว ต่อไปคนจะมาวัดมาก จะไม่มีเวลาทำครบไตรมาส 3 เดือน ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำ 3 เดือน พอทำพิธีกรรมหมาในวัดก็จะหอน พอจบกรรมฐานหมาก็จะหอนอีก

    ทุกคราวที่ท่านลงมา พอสอนกรรมฐานท่านก็คุยอะไรต่ออะไร เราก็พระบวชใหม่ ก็บอกว่า หลวงพ่อครับ ตอนปลุกเสกนี่ ตอนหลวงพ่อบวงสรวงหมามันหอนลึ่มเลย ตอนเลิกอีก

    หลวงพ่อบอกว่า แกได้ยินรึ บอก ได้ยินครับ ท่านก็เงียบ ท่านบอกว่า ไอ้หมานี่มันดีกว่าแกนะ (หัวเราะ)
    ก็ถามท่านว่า หลวงพ่อครับ ปลุกเสกนี่ทำอย่างไรครับ

    ท่านตอบว่า "พระที่อาราธนามานี่ ท่านจะมาทำ เมื่อเต็มแล้วพระอรหันต์มาอีกรอบ เมื่อเต็มแล้วจะฝากพรหมและเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้วให้ช่วย"
    ฉันก็จำอยู่แค่นั้นแหล่ะ อยู่ในใจตลอดว่า พระนี่ที่ดีนี่จะมีเทวดารักษาอยู่ ถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมจะช่วยได้"

    พอถึงตรงคำว่า "ฉันก็จำอยู่แค่นั้นแหล่ะ อยู่ในใจตลอด"

    ก็ได้ปลดเปลื้องลงแล้วซึ่งสิ่งที่สงสัยว่าท่านทำพิธีอย่างไร มีพรหมและเทวดารักษาหรือไม่ เพราะท่านบอกท่านก็จำวิธีที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานทำ และสอนท่านมาดังที่ท่านกล่าวมาแล้วนั้นแล
    หลังจากนั้นท่านก็เล่าประวัติบุคคลตัวอย่างคือคุณพัชรินทร์ ซึ่งมีประวัติในยูทูปแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามีเทวดารักษาวัตถุมงคลอยู่จริง เมื่อประสบเคราะห์ภัย ก็คุ้มครองตัวได้จริง ท่านสามารถหารับฟังกันได้ตามอัธยาศัยในยูทูปครับ

    และในช่วงท้ายก่อนเริ่มพิธีหลวงพ่อท่านกล่าวต่อว่า

    "บวงสรวงเป็นพิธีกรรมอันเชิญเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย มีดอกไม้บายศรี ธูปเทียน ใช้ลูกแก้วจักรพรรดิ์เป็นตัวสื่อ ก็จะมีการสวดเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 10 จบ จะนั่งสมาธิจนถึง 1 ทุ่มจนเสร็จพิธี ถือว่าเป็นพิธีใหญ่

    พระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นประธาน มีพระอรหันต์ทุกองค์เชิญมาร่วมพิธีกรรมทุกองค์เป็นผู้สนับสนุน มีเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลายถ้วนหน้าป็นสักขีพยาน และก็อำนวยอวยพรเป็นธุระให้แก่วัด ให้แก่พระพุทธเจ้าให้แก่พระธรรม ให้แก่พระสงฆ์ สืบเนื่องพระศาสนาให้มั่นคง ให้ของทั้งหลายเป็นอนุสสติ ยึดเหนี่ยวพระรัตนตรัย เมื่อนึกถึงเมื่อใดก็อบอุ่นชื่นใจ หากไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้วก็ขอเมตตาบารมีท่านทั้งหลายโปรดสงเคราะห์ ให้มีความปลอดภัย ประสงค์สิ่งใดถ้าไม่เกินวิสัยกฎของกรรมแล้ว ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายอาราธนาอันเชิญเพื่อเป็นกุศล"


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล โดยคุณวุฒิเมศร์-ริญญาภัสร์ ศิริโรจน์วรากร หน้า 169-170)



    439840635_794165778917.jpg
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    IMG_20190208_165948.jpg



    น้ำตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ เป็นพระธาตุ


    ข้าพเจ้าได้เข้าสู่แสงธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครั้งแรกปลายปี 2544 ทั้งที่เกิดและโตในจังหวัดอุทัยธานี

    ปีนั้นข้าพเจ้าได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมครั้งแรก เพราะเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ จึงได้มาทำบุญและช่วยงานที่บ้านสายลม แต่ก่อนที่จะเข้าวัดท่าซุงเต็มทั้งหัวใจข้าพเจ้าได้ยินคำปรามาสหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯจากการไปทำบุญที่อื่นว่า หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯไม่ได้อะไร ด้วยที่ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาพิจารณา ทำให้ประโยคที่ได้ยินมานั้นอยู่ในใจเรื่อยมา

    ในปี พ.ศ. 2545 เดือนธันวาคม ข้าพเจ้าได้มาบวชพระและปฏิบัติธุดงค์ปีแรก พร้อมกับความต้องการที่จะได้ "มโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง"

    ก่อนบวชท่านผู้รู้ท่านแนะนำว่า ...เวลาทำให้วางตัวสบายๆ ...ไม่ต้องนั่ง ...ให้นอนทำ เวลานอนร่างกายตรงไหนตึงก็ปล่อยให้หย่อน แล้วก็จับลมหายใจไปในแบบ 3 ฐาน ฐานที่ 1 ปลายจมูก ฐานที่ 2 ตรงอก ฐานที่ 3 ศูนย์เหนือสะดือ

    ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในขณิกสมาธิ ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 และฐานที่ 2 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในอุปจารสมาธิ ถ้าเรารู้ฐานที่ 1 ฐานที่ 2 และฐานที่ 3 แสดงว่าอารมณ์เราทรงในปฐมฌาน

    เมื่อละเอียดขึ้นมันจะเป็นสายทั้งเข้าและออก เมื่ออทิสสมานกายจะออกเต็มกำลังร่างกายจะแข็งจะชา ไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงคอ เหลือแต่หัวพอขยับได้ สักพักก็ไม่รู้สึกทั้งตัว จิตกับประสาทจะแยกกัน เมื่อออกได้จะไปไหนก็อธิษฐานตามแต่เรา พอบวชเข้าจริงๆทำอยู่ 2-3 วันก็ไม่ได้

    มาวันหนึ่งในระหว่างบวช ข้าพเจ้าพิจารณาในพระธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานน้อมนำมามาสอน ในเรื่องความเป็นจริงของร่างกาย หลังเจริญพระกรรมฐานที่มหาวิหาร 100 ปีฯ (ศาลา 12 ไร่เดิม) ก็เข้าป่าไปพักผ่อนที่กลด ก่อนจำวัดในป่าก็สมาทานพระกรรมฐาน พอนอนก็นึกจับลม 3 ฐาน

    แต่รู้ลม 3 ฐานมันยากจึงคิดว่ารู้ฐานเดียวก่อน เอาแค่ปลายจมูกและภาวนา นะมะ พะธะ แค่นี้มันก็ฟุ้งเป็นปกติ พอฟุ้งซ่านก็ดึงกลับมารู้ลมเข้าออกพร้อมภาวนาอีก มันก็ฟุ้งอีก สู้มันไปสักพัก ก็ด้วยไม่ยอมมันนี่เองในที่สุดมันก็ได้ถึง 3 ฐาน ครู่เดียว.... ร่างกายมันชาๆ ไม่มีความรู้สึกมาตั้งแต่ปลายเท้าถึงคอ หัวพอขยับได้... ทรงอารมณ์นี้ไม่นาน ก็ไม่รู้สึกอาการทางร่างกายเลย แต่รู้สึกว่าตัวเอง (อทิสสมานกาย) อยู่ในที่โล่งๆในท่านอน

    ก็เห็นพระรูปหนึ่งวรกายท่านเป็นสีทองอ่อนๆกระจายออก สว่างงดงามมาก พระท่านนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆตัวทางด้านซ้าย

    รู้ขึ้นมากับใจเลยว่าท่านคือ "หลวงพ่อนันต์"

    ท่านกล่าวประโยคหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม "เตรียมตัวตาย อย่าห่วงกายนะ"

    ตอนนั้นจิตรู้ขึ้นมาเลยว่า เป็นคำสอนมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง จึงรู้ว่าอาการก่อนๆที่เคยมีมา ที่คล้ายกับถูกผีอำแต่มองไม่เห็นตัวตั้งแต่เด็กนั้น ตามที่พระท่านสอนก็คืออารมณ์ฌานยังหยาบไป แค่สูงขึ้นอีกหน่อยก็ออกเต็มกำลังได้

    จะเห็นได้ว่าการที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯมาสอนในแบบนี้ ถ้าคนธรรมดา หรือสมมุติสงฆ์ หรือพระที่มีอันดับไม่สูงนักใน 4 อันดับ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรับรองว่าเป็นพระนั้น ท่านจะทำกันได้หรือไม่ จะขอนัอมเอาบันทึกของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากหนังสือสมบัติพ่อให้ (เล่มเก่า) ท่านบันทึกไว้ว่า

    "...นักเจริญสมาธิถึงอารมณ์ฌานและทรงฌานได้ มีประเพณีที่ทราบกันว่า จะต้อง เห็นและรับการศึกษาจากท่านที่เป็นอทิสสมานกายเสมอ จนมีระเบียบว่า เมื่อก่อนจะทำกรรมฐานต้องเตรียมกระดาษดินสอไว้ เมื่อท่านบอกอะไรต้องรีบจด อย่าให้ค้างคืนถึงสว่างจะลืมคาถาบางตอน ถ้านักทรงฌานไม่พบเรื่องนี้จะเป็นเรื่องทรงฌานที่แปลกมาก อาจจะเป็นฌานเก๊ก็ได้"

    ทั้งนี้ท่านผู้เป็นอทิสสมานกายที่มาสอนได้โดยขณะนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องมีคุณธรรมที่เป็นเลิศขนาดไหน

    ข้าพเจ้าได้อุปัฏฐาก และอำนวยความสะดวกกับพระผู้ดูแลหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ จนถึงวันสุดท้ายที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเท่าที่ข้าพเจ้าทำได้ เพื่อถวายความสะดวกกับพระผู้ดูแล

    ข้าพเจ้าคิดแค่ว่า "เราดูแลท่าน ท่านก็ดูแลหลวงพ่อของเราอีกที" ไม่ต้องการแสดงตัวให้หลวงพ่อเห็น ไม่ขอคำชมจากใคร ขอเพียงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหลวงพ่อได้บ้างก็พอ

    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านที่ห้องไอซียู ได้เข้าไปใกล้ ใกล้มากพอที่จะได้เห็นสายตาขององค์ท่านที่มีแต่ความเด็ดเดี่ยว ทราบว่าอาการของท่านหนักมากเวลานั้น แต่แววตาไม่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด หรือความเศร้าหมองใดๆ ท่านมิได้แสดงถึงความหวาดหวั่นต่อมรณภัยที่จะเข้ามาถึงแต่อย่างใดเลย

    วันที่ย้ายจากห้องไอซียูไปห้องพิเศษครั้งแรกข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าฟังคำสอน วันนั้นพระเดชพระคุณท่านเมตตาชี้มาที่ข้าพเจ้า พร้อมเน้นย้ำถึงอิริยาบถบรรพในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านพูดถึงพระธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานน้อมนำมาสอนพวกเรา ซึ่งจะทราบกันว่า เมื่อท่านปรารภถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยานคราใดจะปิติมีน้ำตาทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระผู้ดูแลต้องเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้ท่าน

    ตอนกำลังจะทิ้งกระดาษข้าพเจ้าเอามือไปรองรับและขออนุญาตเก็บไว้บูชา

    ข้าพเจ้าเก็บไว้นานจนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 รู้สึกอยากจะคลี่กระดาษเช็ดน้ำตาท่านดู พบว่าน้ำตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณเป็นเพชรใส และเป็นองค์พระธาตุที่สวยงามมาก

    ประจักษ์พยานอีกท่านคือคุณพรเทพ ลี้ไวโรจน์ (เพื่อนในคณะลูกพ่อสัมพเกษี) ได้เก็บกระดาษเช็ดน้ำตาหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯบูชาไว้ โดยได้รับมาคนละที่คนละเวลา ก็เป็นพระธาตุเช่นเดียวกัน

    ...คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ คุณของพระธรรมหาประมาณมิได้ คุณของพระสงฆ์หาประมาณมิได้..

    พระเมตตาของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นราวกับปาฏิหาริย์ ทุกเรื่องราวประทับอยู่ในหัวใจโดยยากจะแทนด้วยคำพูด หรือตัวหนังสือใดๆ ท่านคือพ่อ ท่านคือจอมทัพ ท่านเป็นทุกอย่างในด้านกำลังใจ เป็นพ่อ เป็นครูผู้สอน เป็นตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม เป็นทุกๆอย่างของ "ลูก" คนนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยในโลก ที่จะตอบแทนพระคุณท่านได้ และไม่มีอะไรเลยในโลก ที่หาควรข้องอยู่ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และสุขที่ยิ่งไปกว่าพระนิพพานนั้นไม่มี

    ข้าพเจ้าจึงขอตั้งสัจจะ สัญญา และอธิษฐานว่า นับแต่นี้ไปจะขอปฏิบัติความดีถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และบูชาตรงซึ่งพระคุณอันหาประมาณมิได้ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล พระผู้ประดุจดั่งบิดาทั้งสองพระองค์ตราบเท่าถึงพุทธภูมิพระโพธิญาณที่ปรารถนา

    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล โดย คุณภูเบศวร์ อุนจะนำ หน้า 179-181)





    IMG_20190208_170054.jpg IMG_20190210_111008.jpg IMG_20190210_110555.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2024
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    งานทำบุญประจำปี วัดท่าซุง 17 มีนาคม 2534





    มีพระพิเศษมาร่วมงานรวม 6 องค์ รวมถึงพระสหายของหลวงพ่อทั้ง 2 องค์ ท่านคุมจิตเณรมาร่วมในพิธีด้วย ท่านเป็นใครบ้างดูได้จากในคลิปครับ

    หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กล่าวสัมโมทนียกถา และให้พรแก่ญาติโยมในตอนท้าย รับพรจากหลวงปู่กันครับ

    messageImage_1714638129633.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2024 at 15:10
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    DSC_0025.JPG
    หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาให้พรญาติโยมในงานทำบุญประจำปีวัดท่าซุง มีนาคม 2534




    183867443_1900679846775212_4172647631175996285_n (1).jpg 151976385_1841490982694099_8485888883655362059_n.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    งานทำบุญวันเกิดหลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา 20 มีนาคม 2534

     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,752
    กระทู้เรื่องเด่น:
    62
    ค่าพลัง:
    +225,382
    ((((((((((714709690637.jpg


    หลวงปู่วัดสามพระยากล่าว สัมโมทนียกถา ในงานทำบุญประจำปี 17 มีนาคม 2534









    พระเถระและ "พระพิเศษ" ที่มาในงานทำบุญประปี 2534



    (((((((((((_1714709611962.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...