กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    พอเข้าใจครับ แต่ออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ได้มี
    ความชำนาญทางด้านกสิณแสงสว่างในส่วนเทคนิคที่จะเล่าให้ฟังอาจไม่ละเอียดครับ
    แต่พอจะเล่าให้ฟังได้บ้างครับ.คืออ่านทั่วๆไปก่อนนะครับ.เด่วเล่าให้ฟังจนถึงระดับ
    ที่สร้างกำลังจิตและเกือบๆใช้งานให้ฟังไปก่อนเลยล่วงหน้านะครับ..
    โดยส่วนตัวพอเข้าใจนะครับ
    กสิณกองนี้กิริยาทางจิตที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างคล้ายๆกิริยาทางจิตอาการอื่นๆ
    หากว่าเราไม่สังเกตุให้ดีๆเราจะหาตัวจับเพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้ค่อนข้างยากครับ.
    .เด่วอ่านดีๆนะครับ..เพราะว่ากิริยาทางจิตที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องแสงสว่างนะครับ
    กองนี้จะเริ่มตั้งแต่ระดับสมาธิของเราเริ่มเข้าฌาน ๑ ครับ..

    ให้เราสังเกตุลักษณะของแสงสว่างดีๆนะครับ..และระดับอุคนิมิตรของกสิณกองนี้ก็ยังคล้าย
    กับกสิณไฟ การมองแสง การมองพระอาทิตย์ การมองหลอดไฟ และกิริยาบางอย่างที่เกิด
    ขึ้นระหว่างทางในช่วงที่เลยอุคนิมิตรไปก็จะมีคล้ายคลึงกัน เช่น พวกควันที่เหมือนกับกสิณไฟครับ.
    ไม่ว่าเราจะเริ่มจับอะไรก็ตามเพื่อมาตั้งต้น.หลักการมองก็คล้ายกับที่แนะนำก่อนหน้านะครับ.
    พอจิตจะเริ่มเข้าฌาน ๑ จะเกิดแสงสว่างในระดับที่สว่างโล่ง ถ้าเราลืมตาจะเห็นแสงสว่างได้ชัด
    เจนแม้ว่าเราจะนั่งอยู่ในห้องมืดๆก็ตาม ถ้าเราลืมตา จะเกิดแสงสว่างในระดับที่สว่างมองเห็น
    และสว่างถึงท้องฟ้าครับ แต่หลักสังเกตุง่ายๆคือ แสงพวกนี้มันจะไม่เย็นครับ..พวกนี้ยังถือว่า
    เป็นระดับที่กำลังไต่เข้าฌาน ๑ นะครับ.เรียกว่าเป็นปิติตัวหนึ่งก็ได้ครับ.เรียกง่ายๆว่ายังไม่มี
    ประโยชน์ใดๆครับ...แต่หลักของเราก็คือการจับต้นกำเนิดของแสงให้ได้ครับ..ก็คือดวงกลมๆ
    สีขาวสีเดียวนะครับ อุคินิมิตรนี้ แรกๆมันจะมีหลายสีครับ มีสีที่ขอบเล็กสุด ตามด้วยขอบต่อมา
    และสีตรงกลางมากสุด แต่พอไต่เข้าระดับฌาน ๑ สีมันจะเหลือสีเดียวครับ..ให้เราจับตรงนี้ให้ได้
    มันจะแทรกอยู่ระหว่างความสว่างจร้าที่เกิดขึ้นครับ.และการปรากฏครั้งแรกของดวงนี้จะนิ่ง
    แต่เอกลักษณะก็คือ ในครั้งต่อไปจะสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้(เปลี่ยนต่ำแหน่งนะครับ) ไม่ใช่
    เคลื่อนที่ย้ายต่ำแหน่งได้ เหมือนการเห็นในระดับกำลังสมาธิเล็กน้อยนะครับ.เอาว่าบอกใบ้ได้
    แค่เพียงว่าจะปรากฏในต่ำแหน่งที่สูงกว่าศรีษะแน่นอนแล้วกันครับ..และก็อย่าลืมว่าปรากฏพร้อม
    กับแสงสว่างจร้าด้วยนะครับ...หน้าที่เราก็คือ ตามตัวนี้นี้หละครับ รักษาให้นิ่งๆให้ได้ครับ..

    ทีนี้ถ้าเราตามได้ อย่าแปลกใจนะครับ..ความสว่างของแสงจะค่อยๆลดลงตามลำดับครับ.
    และก็จะหายไปครับ.ให้เราไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้นครับ..ในขั้นนี้จิตมันกำลังจะไต่ระดับฌาน
    ของมันขึ้นไปสู่ระดับสูงอยู่ ถ้าสนใจแม้แต่เล็กน้อยมันจะล่วงมาระดับสมาธิเล็กน้อยทันทีครับ
    ภายในยิ่งกว่าเสี้ยววินาทีครับ..ที่นี้การกลับมาปรากฏของดวงกสินนี้ก็จะค่อยๆขึ้นมาและ
    ที่สำคัญคือจะมีขนาดเท่าเดิมกับตอนที่หายไปและที่สำคัญสีจะกลายเป็นสีใสๆครับ..
    ตรงนี้เราต้องมีกำลังสมาธิและสติพอสมควรนะครับ เพราะถ้าหากเข้าใกล้ไปเราจะโดนดูด
    เข้าไปในดวงกสินทันทีทำให้เราทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ก็จะโดนดูดข้ามมิติไปเลยครับทำให้
    เสียเวลาอีก..ตรงที่มันใสๆและนิ่งๆนี่หละครับ..ก็จะเกิดเป็นประกายขึ้นมา จนทำให้ดวงใสๆ
    มีความสว่างในตัวเอง ที่ตามตำราเรียกว่าปฏิภาคนิมิตรครับ.อย่าพึ่งด่วนรีบไปอฐิษฐาน
    จิตเพื่อให้เกิดผลทางด้านทิพยจักขุก่อนนะครับ ให้สร้างกำลังจิตให้ได้ก่อนเด่วทิพยจักขุ
    จะตามมาได้เองครับแบบลืมตาปกติด้วยครับไม่ต้องหลับตาให้ยุ่งยากครับ...

    ให้เรามองดวงกสิณนี้แล้วสั่งให้มันหมุนให้ได้ครับ..
    คือไม่อยากให้ย่อหรือขยายครับ เพราะถ้าขยายแล้ว
    มันจะขยายไปเลยครับ การจะดึงกลับมาเพื่อให้เล็กมันจะค่อนข้างยากครับ
    และจิตเรามีโอกาสที่จะถูกดึงเข้าไปอยู่ตรงกลางนิมิตรได้สูงครับ จะทำให้เราฝึก
    อะไรไม่ได้และเสียดายโอกาสในการที่สามารถเข้าถึงตรงนี้ได้ด้วยครับ..
    และเล็กในที่นี้คือเท่าหัวเข็มหมุดนะครับ...ให้เริ่มหมุนจากตรงกลางให้ได้ก่อนครับ.
    แต่มันจะหมุมรวมจากขอบนอกเข้าหาตรงกลางได้เองครับ หมุนซ้ายหรือขวาก็ได้
    แต่หมุนขวาง่ายกว่าเพราะเกี่ยวกับเรื่องของสนามแม่เหล็กเด่วค่อยว่ากัน
    และหลักสังเกตุคืออย่าสนใจว่าในขณะที่หมุนแสงสว่างที่มันขึ้นมาเองนั้น
    มันจะลดลงน้อยลงซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ.

    .ถ้าทำในระดับนี้ได้ แค่ไม่กี่วินาทีครับ จิตก็จะเกิดกำลังจิตได้ แต่ต้องผ่านขั้นแสง
    สว่างในระดับที่กำลังจะเข้าฌาน ๑ ให้ได้ก่อนโดยไม่เผลอไปติดกับแสงสว่างจร้า
    และจับต้นกำเนิดแสงให้ได้ก่อนและทำให้ได้อย่างที่ได้เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้นะครับ...
    ถ้าชอบกองนี้ทำถึงตรงนี้ได้ก่อนจริงๆ..กองอื่นๆมันจะขึ้นมาให้เราทำได้เองโดยไม่ต้องฝึก
    ในนิมิตรครับ.ส่วนจะใช้ได้จริงๆ
    ออกสู่ภายนอกได้หรือไม่ก็ตามที่เคยเล่าให้ฟังใน#Rep ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  2. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    ลองทำกสิณไฟแล้วเคลื่อนดวงกสิณมาไว้ระหว่างมือทั้งสองข้าง ปรากฏว่าเมื่อขยับนิ้วชี้ทั้งสองข้างเข้ามาใกล้กันถึงระยะหนึ่งรู้สึกเหมือนเป็นกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ระหว่างนิ้วชี้ทั้งสองข้าง ส่วนนิ้วชี้ทั้งสองรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช๊อตเบาๆ แปล๊บๆ อยากทราบว่าคืออะไรครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    แป๊บๆ แบบนั้นเป็นคลื่นกระแสไฟฟ้าครับ..โดยปกติร่างกายก็สามารถสร้างได้ครับ.
    เช่นเวลาเราไปโดนอะไรแล้วไฟซ๊อตอะไรพวกนี้..หรือว่าเอาปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง
    มาไว้ในแนวเดียวกันห่างกันเล็กน้อยก็เป็นได้ หรือ มือข้างเดียวกันแล้วให้นิ้วชี้กับ
    นิ้วโป้ห่างกันเล็กน้อยก็เกิดได้ครับ...หรือว่าเคยฝึกจักระมาบ้าง.ก็จะสัมผัสได้ครับ
    จะมีความรู้สึกตึงๆที่ผิวเล็กน้อยร่วมด้วยเวลาเกิดคลื่นกระแสไฟฟ้าพวกนี้ครับ..
    และพวกนี้ถ้าร่างกายมีมากไม่รู้จักการคลายออกเผลอๆอนาคตจะเป็นโรคร้าย
    แรงได้ด้วยครับ.ที่บอกว่าพวกนี้มันปกติก็เพราะว่า ในร่างกายเราด้านหลังขวา
    จะมีเส้นเลือดดำมากเป็นปกติซึ่งในเส้นเลือดดำนี้มันมีแร่เหล็กปนอยู่ในนั้นอยู่
    แล้วเป็นปกติครับ...

    ถ้าเป็นกรณีของพลังงานที่เกิดจากกสิณไฟนะครับ..ในอันดับแรกเบื้องต้น..
    มันจะต้องขึ้นมาเป็นก้อนกลมๆหมุนขึ้นอยู่บนฝ่ามือเราก่อนครับ..
    ไม่ว่าจะด้านซ้ายหรือด้านขวาก็จะทำได้..
    แต่จะยังไม่ใช่ตัวพลังงานกสิณไฟ แต่จะเป็นตัวพลังงานจากอากาศธาตุเป็นตัว
    ขึ้นมาก่อน..ซึ่งโดยปกติคนที่ฝึกจักระมาจะสามารถรับรู้และทำตรงนี้ได้
    แต่จะเป็นพลังงานในลักษณะร้อนและเย็นเท่านั้น..
    แต่ถ้าตัวจิตเรามันสามารถสร้างพลังงานกสิณไฟขึ้นมาได้จากตัวจิต
    ที่ผ่านการฝึก..ลักษณะการหมุนของพลังงานกสิณไฟ.มันจะมีเอกลักษณ์
    ที่ทำให้ผู้ที่ดึงมันขึ้นมาทราบได้ด้วยตัวเอง..ที่ไม่ใช่การแค่หมุนๆ ที่ออกร้อน
    หรือเย็นเท่านั้นครับ...ค่อยๆลองอ่านดูตามลำดับครับ..จะพอเข้าใจครับ..
    และให้ลองอ่านที่ได้เคยแนะนำมาก่อนหน้าให้ดีๆก่อนครับ..
    จับหลักสำคัญให้ได้..และกรุณาเชื่อไว้อีกอย่างนะครับว่า
    ยังๆไง ก็จะต้องสอบผ่านการใช้งานจากทางภพภูมิหลังจาก
    ที่เราสร้างจิตให้เกิดกำลังจิตให้ได้ก่อนครับ..

    ไม่งั้นความสามารถในการนำมาใช้งานได้จริงๆมันจะต่ำครับ..
    อย่างคุณจะรักษาโรคตัวร้อนสมมุตินะ.ถ้าไม่ผ่านตรงจุดนี้คุณอาจจะต้อง
    ทำเป็นชั่วโมง กว่าจะหายก็ปาเข้าไปเป็นวัน..ถ้าอ่านอย่างที่ทำได้
    ใช้เวลาอย่างมากไม่เกิด ๒ นาทีก็จะเรียบร้อยครับ..
    ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ.ถ้าไม่ผ่านอย่างที่ว่าโอกาสจะหลงตัวเอง
    จะสูงมากครับ.และสายตาการแยกแยะที่จะทำให้เราป้องกันตนได้
    และภูมิต้านทานพลังงานภายนอกที่ไม่ดีต่างๆของเรามันจะต่ำด้วยครับ..
    ที่ส่วนตัวรู้จักเนี่ย ประเภทเปิดบ้านรับดูดวง แก้กรรมเนี่ย
    .นอนโรงพยาบาลมาแล้วหลายรายนะครับ..
    ก็เพราะมั่นใจตนเองมากว่าทำได้จริง ด้วยเพราะมีอภิญญาจิตภายในสูง
    ประเภทรู้เองเห็นเอง คิดว่าทำได้ แต่ไม่มีกำลังจิตใช้งานเพียงพอ
    และยังไม่ถึงขั้นมีความสามารถรับรู้และดึงเป็นพลังงานออกมาเพื่อ
    การใช้งานได้จริงๆและให้บุคคลอื่นๆยังสัมผัสไม่ได้.มันอันตรายครับ.
    แต่ที่เล่าๆให้ฟังถือว่าเตือนๆกันครับ.
    .อ่านไว้ครับคิดว่ามีประโยชน์ จะได้รู้ด้วยครับ
    ว่าเราควรจะวางตัวอย่างไรครับ..
    .

    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  4. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    กระทู้นี้ สงสัยจะหายไปฝึกหนักกันอยู่ .^_^ " เลยขอรายงานตัว ว่าถอยหลังเข้าคลอง แต่ยังพยายามก้าวอยู่นะคะ (ก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าก้าวอยู่แต่ทำไมจึงรู้สึกว่าถอยหลัง) ...ว่าแล้วรอคุณนพ แชร์ประสบการณ์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจที่จะพยายามเปลี่ยนจากก้าวมาเป็นวิ่งค่ะ (555 หวังว่าถ้าวิ่ง ตัวเองจะไม่หกล้ม.จนต้องหยุดพักนะเนี่ย ช่วงนี้สังขารล้าเหลือเกิน อิอิ...)

    ขอบคุณค่ะ โมทนาสาธุค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2014
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮึย !!

    เขาไป กระทู้อื่น แสดงการ สำเร็จกสิณตามที่บรมครูมาสอนสั่ง

    สำเร็จกสิณปั๊ป เปิดประตูสีส้ม แล้ว " ตับ ตับ ตับ ......"

    สำเร็จวิชาตามที่บรมครู อุตสาห์มาสอนเสียจนล้นกระทู้เจ้าของ
     
  6. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    แรง ซะจนไปต่อไม่เป็นเลยนะท่านนะ
     
  7. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อ่านกระทู้ข้างๆไปตอบกับเขามาแล้ว เดี๋ยวนี้เขานับถือศาสนาพุทธกันแบบแปลกๆ แค่ศรัทธายังไม่มั่นคงเลย ฝึกโน่นนี่กันมันจะได้อะไร เอาข้อทานกับศีลให้ได้กันก่อนเหมือนท่านนิวรณ์ว่านั่นแหละ สมาธิมันถึงจะรวมได้ ไม่งั้นจิตกระเจิดกระเจิง ไม่เป็นไรคนเราลองผิดลองถูก ไปทดลองกันเอาเองตอนศีลครบกับศีลขาดน่ะต่างกันแน่
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ช่วงนี้ส่วนตัวไม่ว่างครับ ต้องช่วงปลายปีหรือต้นปีหน้าคับ
    . มีอะไรให้ใช้ช่องทาง pm. ทิ้งเบอร์โทรไว้.
    เด่วจะโทรไปเองคับ.

    ปล."ใครมาดีก็ยิ้มรับครับ. ใครมาไม่ดีก็ยิ้มรับครับ"
    (^_^)
     
  9. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อนุโมทนากับคุณนพและผู้ที่ตั้งใจมา ณ โอกาสนี้
     
  10. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    สวัสดีค่ะคุณนพ กลับมาได้หลายวันแล้วค่ะ ไปสูดอากาศบนป่าบนดอยอย่างเต็มปอดสดชื่นๆๆ ... แต่แหมม อย่าให้โม้เลยว่าเกือบไม่รอด :'(
    ตอนแรกว่าจะนำข้อมูลต่างๆไปไว้ในกระทู้ใต้ร่มฯ แต่พอไปเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านพูดขึ้นมาอย่างบังเอิญประมาณว่า "ทุกวันนี้มีแต่แขกอะไรก็ไม่รู้ แขกมีหนวดบ้าง แขกไม่มีหนวดบ้าง มากันให้วุ่น ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติ" ...
    อันนี้ทำเอาสิ่งที่คิดไว้ในใจก็ระงับไว้ก่อน เลยไม่ลงดีกว่า ไปมารอบนี้ได้ไปกราบหลายท่านเลยค่ะ เข้ามาเห็นคุณนพบอกไม่ค่อยว่าง เดี๋ยวถ้าติดขัดตรงไหนดิฉันขอรบกวนด้วยนะคะ แต่ถ้าไม่มีอะไรมาก ดิฉันจะพยายามลงในกระทู้ค่ะ เพราะอาจมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง
     
  11. toseal

    toseal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +618
    ผมเคยลองเพ่งกสินสีขาว เป็นรูปวงกลมสีขาว พอลองไปภาวนาหรือนั่งสมาธิดันกลายเป็นภาพพระพุทธรูปแก้วใสแววาวเลยครับ ผมมั่วรึเปล่าครับ 55
     
  12. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    เพราะความขี้เกียจนี่แหล่ะเลยทำไม่ได้สักที จริงแล้วชอบกสิณแสงสว่างชอบตั้งแต่เด็ก พวกลูกแก้วใส พระใสแบบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2014
  13. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่ ถามพี่ๆในบอร์ดนี้เลยดีกว่าครับ คือผมสงสัยเรื่อง การเปิดจักรกะ เปิดตาที่สาม เหมือนเคยได้ยินมาว่าให้ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่าเปิดให้นี้ทำได้ด้วยเหรอครับ...ส่วนตัวคิดว่าเราค่อย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เช่น อานา หรือกสิน ฯลฯ ตาในส่วนนี้จะเปิดขึ้นเอง...ที่เขาเรียกกันว่าตาในสมาธิ ...ใช้ใจมอง ฯลฯ (เอ๊ะหรือผมมั่วซั้วไปเองหรือป่าว)
    ....ได้โปรดอธิบายให้ผมเข้าใจทีครับ ^^

    ประเด็นที่ ๑ คือ ตาที่สามนี้ คนที่เปิดนี้ต้องเป็นพระเกจิดัง ๆ หรือ ผู้ทรงคุณธรรมขั้นสูง เปิดให้อย่างนี้เหรอครับ แล้วต่างจาก ตาที่สาม ที่เกิดจากสมาธิ หรือกสิน กันหรือไม่ครับอย่างไร

    ประเด็นที่ ๒ คือ ข้อดี ข้อเสีย มีโทษหรือผลร้ายอะไรตามมาหรือไม่
     
  14. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    http://palungjit.org/threads/ถามเรื่อง-ตาที่-3-ครับ.539917/

    ระหว่างรอท่านผู้มีความเข้าใจด้านนี้มาตอบ อ่านไปพลางๆก่อนนะคะ ^=^

    http://palungjit.org/threads/การเปิดตาที่สาม.144159/
    ปล.โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน หลายคนหลายความเห็น ผิดถูกไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าไม่พบเจอด้วยตนเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2014
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    น่าจะเคยโม้ไว้เยอะแล้วเรื่องการเห็นคล้ายตาทิยพ์อะไรเนี่ย...
    โดยความรวมแล้วถ้าเรายังเห็นเป็นภาพอยู่ยังไงๆก็ยังไม่พ้น
    การปรุงแต่ง..แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดี.เราใช้การเห็นสิ่งต่างเหล่านี้
    เพื่อไปยังปลายทางให้เราอยู่พ้นจากการปรุงแต่งต่างๆเหล่านั้นได้...
    แต่เราก็ต้องมีเครื่องมือที่จะนำพาเราไปสู่สภาวะการไร้การปรุงแต่งเหล่านั้นเช่นกัน..
    เครื่องมือที่ว่าก็คือ..กำลังสติทางธรรมที่จะเป็นตัวบอกให้เราทราบว่าสิ่งที่เห็นคือ
    อะไรให้เราเน้นในวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เราเห็นได้.ให้เน้นตรงนี้ไว้
    เพราะตัวสติทางธรรมเป็นธาตุรู้เป็นผู้รู้

    เพราะฉนั้นตรงนี้จึงเปรียบเสมือนหน้าที่หลักของกำลังสติทางธรรมโดยตรง..
    ถ้ากำลังสติทางธรรมเรามากพอ.เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เห็น เข้าใจในวัตถุประสงค์ตรงนั้นได้...
    โดยที่มีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่สำคัญก็คือ ปัญญาทางธรรมจากการที่ตัวจิตได้รู้
    ได้เห็น ได้ยอมรับในสิ่งที่เห็น..ที่เกิดจากตัวสติทางธรรมเช่นกัน ที่เป็นตัวคอยความคุม
    ตัวจิตที่เป็นธาตุรู้ของเรา..แรกๆควบคุมความคิดก่อน จนกระทั่งสติทางธรรมเค้าแยก
    ความคิดที่จากจิต แยกความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้..แล้วให้จิตเค้ารับรู้
    ตามความเป็นจริงในสภาวะที่จิตเป็นกลางโดยที่จิตไม่มีความคิดไม่มีขันธ์ ๕ นามธรรม
    มาปรุงร่วมตรงนี้ เพราะฉนั้นการเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้..ปัญญาทางธรรม
    ตัวนี้จะเป็นตัวที่จะคอยทำให้เราทราบ ให้เรารู้ว่า อะไรเป็นกิเลสลึกๆที่มันจะแอบแฝง
    แทรกเข้ามาปนอยู่ในจิตเรา ให้เราไม่เผลอไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เราเห็นต่างๆ

    .สติกับปัญญาตัวนี้ก็จะคอยเป็นเพื่อนเรา ทำหน้าที่แทนความคิดเรา
    ให้เรารู้ว่าเราควรจะต้องเดินทางต่ออย่างไร ปฏิบัติอย่างไรต่อ ตลอดจนโน้มน้าวให้เราทราบว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล
    อะไรควรละ อะไรไม่ควรยึด...ถ้าเรามีฐานแบบนี้..ไม่ว่าเราจะฝึกอะไรมันก็จะเป็นเรื่องง่าย
    ตลอดจนความเข้าใจในสิ่งที่เห็นต่างๆทางด้านนามธรรมของเราก็จะดีขึ้น ทำให้เราเข้าใจ
    ตลอดจนส่งผลถึงความก้าวหน้าในการฝึกของเราให้เร็วขึ้น
    ตลอดจนที่ให้สายตาในการเห็นของเราดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ..
    ปัญทางธรรมกับสติจะทำให้เราทราบในสิ่งที่เราเห็นเพราะจะคอย
    กันตัวกิเลสต่างๆของเราเข้าไปปรุงแต่งร่วมได้..และจะช่วย
    ทำให้เราเข้าถึงผลสำเร็จ
    ในแนวทางการปฏิบัติต่างๆที่เราตั้งเป้าไว้ได้เร็วขึ้น และจะทำให้เราทราบว่าเราฝึกไปเพื่ออะไร
    ทำไปเพื่ออะไร..ตลอดจนทำให้เรารู้จักในการปรับตัวและอยู่กับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม
    ได้อย่างแยบยล...เราฝึกความสามารถในการเห็นคล้ายตาทิพย์แบบนี้ ถึงจะปลอดภัย..
    ไอ้เรื่องเห็นวิญญานเห็นผีอะไร บางคนเค้าไม่ต้องฝึกก็เห็นได้.
    เปิดนั่นเปิดนี้ก็สามารถทำได้ง่ายๆไม่ใช่เรื่องยาก ที่ทำแล้ว
    เราต้องตอบได้ว่า มันช่วยส่งเสริมเรื่องสติทางธรรมเรื่องปัญญา
    ทางธรรมของเราหรือไม่ครับ..และสำคัญที่ว่าเราจะตีวัตถุประสงค์
    ในการเห็นพวกนั้นอย่างไร เพื่ออะไร
    เพื่อให้ใจเราน้อมไปในการสร้างปัญญาเพื่อลด ละ ลิเกสหรือไม่ ประเด็นนี้สำคัญกว่า..
    ไอ้เรื่องทำให้คนอื่นๆเห็นได้นั้น มันเป็นเรื่องแบบการตลาดทั่วไป.
    .ใครๆที่พอมีกำลังจิต
    เค้าก็ทำได้หมดครับ..เราต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่า.
    .เราควรจะเน้นทุกเรื่อง ทุกๆกรรมฐานไป
    เพื่อการส่งเสริมเรื่องอะไรเป็นหลักครับ.และขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีกำลังสติทางธรรมปัญญาทางธรรม
    มากพอที่จะมองเห็น..สิ่งที่มันซ่อนอยู่ในกรรมฐานแต่ละกองที่จะคอยหนุนเรื่องปัญญาได้มาก
    เพียงใด.ถ้ามันยังไม่เป็นไปเพื่อลด ละกิเลส เราก็ควรจะต้อง
    เดินปัญญาความคู่กันไป ส่วนใครจะมองเห็นอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคลครับ
    .
    ปล.ตาเห็นได้เท่าที่ใจเห็นครับ....
     
  16. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    ช่วงหลังในขณะทำสมาธิจะรู้สึกว่ามีอะไรมาช๊อตที่หัวใจแล้วร่างกายก็จะกระตุกด้วยในขณะเดียวกัน เป็นบ่อยมาก เกือบทุกครั้งที่ทำสมาธิ และทำสมาธิแต่บะครั้งก็จะเป็นแบบนี้หลายๆรอบ ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใดครับ รบกวนด้วยครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    พอกระตุกแล้วคล้ายๆว่าสัปหงกและก็เผลอลืมตาทุกครั้งไป และพอนั่งใหม่ก็กลับเข้า
    สมาธิแบบเดิมได้ยากร่วมด้วย...เป็นเหตุให้เลิกนั่งไปเลยเพราะจิตจะไม่สงบ
    หรือนั่งต่อไม่ได้.พวกนี้เป็นกิริยาช่วงหนึ่งที่จะเกิดก่อนที่จิตจะพัฒนา
    ยกระดับขึ้นไต่ระดับฌานได้.แต่ด้วยกำลังสมาธิสะสมไม่เพียงพอ
    เพราะมันหายไปในช่วงระหว่างวัน..จิตจึงไม่มีกำลังพอ
    ในการยกไต่ระดับฌานหรือพูดง่ายๆว่า ไม่มีกำลังพอในการลดคลื่นความถี่ของจิต
    ให้ต่ำลงได้อีก..อาการที่เกิดกับหัวใจและทางกายเนื่องจากว่า มีกำลังในการดึงคลื่นความ
    ถี่ในขณะที่กำลังไต่ระดับฌานตรงนี้สะสมอยู่ในภายกระโหลก ซึ่งเกิดจากการที่เรา
    ไปเผลอคิด ไปเผลอวิตกังวลกับตรงจุดนี้มาก่อนหน้านี้โดยที่เราคาดไม่ถึงครับ...
    วิธีแก้ก็คือไม่ต้องไปคิดว่ามันคืออะไรและให้มาเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง
    อย่าไปเน้นตรงต้องนั่งเป็นพิธีการอย่างเดียว
    เวลาทำงานให้ทำงานเต็มที่ ถ้าว่างๆจากงานแล้วอยู่นิ่งๆเมื่อไรให้ตามลมหายใจทันที
    เวลาเดินไม่ว่าระยะใกล้หรือไกลให้นับก้าวการเดินไปด้วยทุกๆครั้ง.
    จะทำให้จิตตัดการสร้างกำลังให้ความคิดที่มาดึงจิตแล้วส่งผลทางกายแบบที่ผ่านมา
    และจะทำให้ได้กำลังสมาธิสะสมเล็กๆน้อยๆตรงนี้มาช่วยหนุน.ในการไต่ระดับฌาน
    หรือลดคลื่นความถี่ของจิต.และก็จะมีกำลังสติเพียงพอที่จะควบคุม
    ร่างกายไม่ให้ลืมตา เพื่อป้องกันการหลุดจากอารมย์ช่วงนั้น.
    และก็จะก้าวผ่านปัญหาที่ถามมาได้อย่างไม่ยากและจะพัฒนาขึ้นไปตามลำดับได้เองครับ..
    ทำให้ได้ต่อเนื่องไม่เกิน ๓ วันจะเริ่มเห็นผลได้ครับ..
     
  18. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    อาการที่ท่านกล่าวพอเข้าใจครับ เคยเป็นครับ แต่รู้สึกว่าอาการขณะนี้ไม่เหมือนกันครับ คือรู้สึกว่าไม่ได้สัปงกแล้วหลุดออกจากสมาธิครับ แต่สมาธิยังคงเหมือนเดิม อารมณ์เดิม ไม่ได้ถอยออกมาเลยหรือลืมตา เพียงแต่จะรู้สึกว่ามีอาการช๊อตให้ร่างกายกระตุกเป็นระยะๆครับ หรือผมอาจจะเข้าใจไปเองว่ามันไม่เหมือนกับที่ท่านกล่าวไว้ อย่างไรช่วยแนะนำด้วยครับ
     
  19. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    เพิ่มติมครับก่อนที่อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นจะรู้สึกชัดว่ามีกระแสบางอย่างวิ่งเข้ามาที่หัวใจแล้วจังหวะนั้นหัวใจจะแปล๊บแล้วร่างกายก็กระตุกทันทีเลยครับผมเลยบอกว่าเหมือนถูกช๊อตครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เปลี่ยนจากสมาธิไม่พอมาเป็นธาตุไม่แข็งแรงพอ ต่างตรงที่ไม่พอต่อคลื่นภายนอกคับ
    ในหลักการถ้าจะแก้ก็เหมือนกันครับ ตามระดับสมาธิสะสมเช่นกันคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...