ขอความรู้เกี่ยวกับ ณาน 16 ขั้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Rupanama, 25 สิงหาคม 2009.

  1. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25


    อนุโมทนาบุญ สำหรับธรรมทานจากคุณนิวรณ์ น่ะครับ มีประโยชน์มากๆ

    การดูกายจากที่แนะนำมา ผมเคยปฏิบัติ แล้วได้ผลดังนี้ครับ เช่นการตื่น
    การตื่นอย่างมีสติ จะเกิดจากการหลับอย่างมีสติ เช่นตอนจะนอน จะกำหนดว่าอยากนอน และ นอน พอสิ้นกำหนดนอน ผมจะหลับทันทีพร้อมกับ คำภวนา ในกรณีที่ทำได้อย่างนี้ พบเลยว่า ในระหว่างนอน ถ้าจะพลิกตัว ก็จะมีสติ รับรู้ตลอดเวลา พอตื่น เมื่อกำหนดว่าตื่น พบว่าเราจะเห็นจิต ที่มีอยู่ จากนั้นมันจะมีการเห็นร่างกายตามมา พร้อมกับเริ่มรับรู้เช่น เย็น ที่นอนนิ่ม หรือ เมื่อย หลังจากนั้น ก็จะตื่นแบบเต็มรูปแบบ กระบวนการนี้เร็วมาก กำหนดไม่ทัน ได้แต่ดู ซึ่งจะต่างจากที่เห็นตอนใช้ชีวิตประจำวันปกติ เช่น เมื่อสามารถแยก ร่างกาย กับ อาการออกจากกันได้ พบว่า ยังไงจิตก็ต้องอยู่กับ ร่างกาย หรือ อาการ หรือ ทั้งร่างกาย และอาการ ไม่สามารถอยู่เดียวๆ เช่น การเดิน ถ้ารู้/เห็น ร่างการกับการเคลื่อนเท้า ออกจากกันได้ ก็จะเห็นจิต กับ อาการมันอยู่ด้วยกัน หรือเมื่อเท้าเหยีบลง จะเห็น/รู้อาการเหยียบ เมื่อเท้าถึงพื้น จะเห็นจิตสั่งให้อาการเหยียบหยุด/ดับ พออาการเหยียบดับไป ก็จะพบว่ามีรูปเท้าเกิดขึ้นมา ซึ่งตอนตื่นเป็นอย่งเดียวที่เห็นว่า จิตมันอยู่ของมันโดดๆ ได้ แปลกดี

    ส่วนธาตุเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ ในการเดิน ถ้าสติกับสมาธิดีมากๆ พบว่า การยกเท้านั้น จะมีอาการเบามาก หรือ ลอยขึ้นมาได้เอง มีความเย็นห่อรอบๆ เท้านั้น พอก้าวเดิน มีแรงผลักให้ไปข้างหน้า ไม่ใช่ดึงน่ะครับ และ เมื่อเหยีบลง จะมีแรงต้าานหรือหนักขึ้น และเหมือนฝ่าเท้ามันถูกทาด้วยกาว เดินไปแล้วมันเหนียวๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหงื่อ บางครั้งเท้าหรือฝ่าเท้าก็ไม่มีความรู้สึก แข็งเหมือนไม้ เป็นบางครับ

    ส่วนข้อหนึ่งกับ สาม พบ/เห็น/รู้ แต่เหตุให้เกิดยังรู้แค่มีการรับรู้จากทาง ตา/หู/จมูก/ปาก/ลิ้น/ใจ แต่เหตุต้นทางไม่เคยเห็นเลย จะเพียรต่อไปครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ
     
  2. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    ขออนุญาติคุยด้วยนะคะ

    การนอน เป็นการนอนแบบมีสติ อย่างที่หลวงพ่อจรัญฯ ท่านเคยกล่าวไว้คะ น่ายินดีมาก ๆ น้อยคนที่จะทำได้ แสดงว่าสติดีมาก ๆ

    อาการเดินตัวสีแดง ขออนุญาติยกคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญฯ ท่านกล่าวไว้ดังนี้ (ในแง่ของการปฏิบัติ)

    ในญาณนี้โยคีจะพบแต่การดับของรูปนามที่กำหนดอยู่แต่อย่างเดียว เนื่องจากโยคีได้เข้าอยู่ในวิปัสสนาญาณที่บริสุทธิ์ อันเป็นทางนำไปสู่พระนิพพานอันแน่นอนแล้ว อินทรีย์ทั้ง ๕ ของโยคีกำลังเพียบพร้อมสม่ำเสมออยู่ การกำหนดรูปนามจึงละเอียดรวดเร็ว ช่ำชอง ว่องไว จนกระทั่งเห็นแต่การดับของรูปนามแต่อย่างเดียว

    อาการ จะมีอาการวูบวาบที่เท้า หรือพร่า ๆ ซ่า ๆ ที่เท้าเวลาลงหนอ เนื่องจากการขาดหายไปบ่อยๆ เช่นนี้ จะทำให้โยคีมีอาการตัวโคลง ขาสั่น ก้าวไม่ค่อยออก บางครั้งคล้ายกับมองเห็นพื้นสูง ๆ ต่ำ ๆ เท้าหวิวเบาแกว่ง เดินตัวลอย เบา ๆ

    ขออนุโมทนาในการปฏิบัติด้วยค่ะ อย่าท้อนะคะ เพียรไปเรื่อย ๆ ค่ะ ยังมีอาการมากกว่านี้ แต่ผู้ปฏิบัติควรจะทราบได้ด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2009
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดีครับ นี่แปลว่า พอรู้แล้วว่าการภาวนาคืออะไร ต้องทำ หรือว่าแค่ดู พอจิตมัน
    รู้ว่าแค่ดู ไม่ต้องทำ ก็จะไม่เสียเวลาไปกำหนด (ไม่ต้องลุกมานั่นตามรูปแบบให้
    เทห์ๆแต่กายเป็นอย่างไร ก็ดูเข้าไปทันที ไม่ต้องวางฟอร์ม ไปยึดมั่นศีลพรตให้เสีย
    เวลา ให้เกิดอัตตาว่ากูเก่ง กูทำสมาธิ) รู้เท่าที่รู้ รู้อะไรก็รู้ไปตามนั้น
    แล้วไม่เติมรู้.....การรู้การนอนแบบนี้ก็จะเป็นสักพักหนึ่ง แล้วจะค่อยๆหมดความสะใจ
    ในการเห็น แต่ต้องคอยสังเกตไว้นะครับว่า จิตมันยังดูของมันอยู่
    เพราะถ้าทำตรงนี้ต่อ ในกรณีที่คุณไม่ได้ทำสมาธิแบบได้ฌาณ มันจะพอมีทาง
    ลัดในการดูการทำงานของภพชาติ....เราจะอาศัยการดูจิตเข้าเสพภพชาติใน
    แบบที่นักทำสมาธิที่ชำนาญฌาณเขาดูกัน....หากเราฝึกให้จิตตามรู้ตามดูไม่
    ว่างเว้นแม่แต่ตอนนอน ตื่นระหว่างนอน หรือ ตื่นนอนตอนเช้า เราจะค่อยๆเห็น
    จิตแสดง อาการไหลเข้าไปตามช่องของภพ ของทิฏฐิ ก็จะช่วยให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ภพ ชาติ ชรา ได้นิหน่อย...

    การเห็นตรงนี้ จะมีจุดตรวจสอบลักษณะของสมาธิ ที่มีเป็นบาทฐาณอยู่ใน
    ขณะที่เห็นได้ โดยผมจะแยกไว้สองตัวคือ สมถะสมาธิ และ สัมมาสมาธิ

    หากตอนที่เห็น กำลังสมาธิที่พาไปเห็นเป็น สมถะสมาธิ เป็นสมาธินอกศาสนา
    จะทำให้เห็นจิตโดดๆ แต่ทว่า มีเรา มันจะมีความรู้สึกว่า เราเป็นผู้เห็น คล้าย
    เรายังนั่งดูทีวีอยู่ มีเรารองรับการเห็น มีเราผู้เป็นก้อนธาตุ และอาจจะแยกเราออก
    เป็นสองร่างได้ด้วย ในกรณีที่ชำนาญในฌาณและปฐวีกสิณ(ธาตุดิน)

    แต่ถ้าการเห็นนั้น กำลังของสมาธิเกิดจากความตั้งมั่นในการรู้ เป็นสัมมาสมาธิ
    ขณะที่เห็นนั้น จะไม่มีเรา ไม่มีองค์ประกอบของสักกายทิฏฐิ(อกุศลจิต)
    ปรากฏ เพราะสัมมาสมาธิเป็นมหากุศลจิต ย่อมไม่เกิดกับอกุศลจิต(สักกาย
    ทิฏฐิ) ดังนั้น ตอนไปเห็นกายเดิน มันจะเห็นเป็นวัตถุก้อนหนึ่งกำลังเดิน กำลังย่ำ
    กำลังเคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช่เพราะมีเราเดิน และที่สำคัญ
    จะไม่ปรากฏ เราเป็นผู้เห็นสภาวะธรรมเหล่านั้นด้วย ....ซึ่งจะเป็นแค่ช่วงๆไม่กี่
    ขณะจิต ...จะเห็นได้ตลอดก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์


    จากที่กล่าวไปแล้ว การเห็นธาตุนั้น ในที่นี่ผมจะกล่าวเฉพาะที่เห็นแบบพุทธ
    ไม่ใช่เห็นแบบโยคี การเห็นจริงจะวัดตรงที่ มันมีความรู้สึกว่าทีเราเห็น มี
    ปรากฏไหม หากมีก็แปลว่า จิตไม่ประกอบกุศล มีสักกายทิฏฐิ อันเป็นอกุศล
    จิตเจือปนอยู่ ใช้ไม่ได้

    ตรงนี้จะยากครับ มีครั้งหนึ่ง พระอานนท์ที่แม้ตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันแล้ว
    ได้อุทานออกมาว่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นปฏิจสมุปบาทนั้นเป็นของง่าย ซึ่ง
    หมายถึงเห็นเหตุปัจจัยการเกิดได้ง่าย

    พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า อย่าได้เห็นอย่างนั้น ปฏิจสมุปบาทนั้นไม่ใช่ของ
    เห็นได้ง่าย มีพระพุทธองค์เท่านั้นที่เห็นได้ง่าย พระอรหันต์บางองค์เท่า
    นั้นที่พอเห็นได้

    ดังนั้น การที่เรารีบร้อน หรือ มีใครรีบร้อนกล่าวว่า เห็นเหตุปัจจัยการเกิดได้
    ก็แปลว่า เขาหลงกับนิมิตบางอย่างแล้วไปสำคัญว่าเห็นแจ้งเข้า เกิดอาการ
    ปัญญามันล้ำหน้าการเห็น เราก็ไม่ต้องไปโต้เถียงอะไร .....เราวางใจเอาไว้
    แค่ว่า เห็นได้บางส่วน ก็เพียงพอแล้ว ....แต่ที่กล่าวชักชวนให้เห็น เพราะ
    เป็นการกระตุ้นใจให้คุ้นกับการโน้มไปเห็น หากไม่กระตุ้นเอาไว้ จิตจะไม่ได้
    รับการอบรมให้น้อมมาดู ทำให้พลาดโอกาส

    เพราะโอกาสตรงนี้ คนที่เป็นสาวกไม่ต้องไปดูมากๆ เพียงแต่เห็นได้แค่
    ไม่กี่ครั้ง ก็อาจจะทำให้เข้าถึงความเป็น สงฆ์ได้เลย และเป็นการเห็นเพื่อ
    ให้รอดพ้นไปเท่านั้น ไม่ใช่เห็นเพื่อนำมาสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2009
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ ไหนคุณลอง พูดมาซิว่า คุณเอาความที่ขีดเส้นใต้สรุปมาจากอะไร

    หรือว่า เป็นความเห็นของคุณเท่านั้น
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ลองพิจารณาดูซิว่า ธรรมนี้มีแต่พระศาสดาหรือพระอรหันต์บางองค์หรือไม่
     
  6. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    การมองเป็นปฏิจมสุปบาท ทั้งวงจรนี้ ผมก็ไม่เคยเห็นเลยครับ แต่ถ้าเอาแค่ รับรู้ ---> ชอบ/ไม่ชอบ/เฉยๆ ---> ตัณหา พอเห็นบ้าง กำหนดรู้ได้บ้างครับ

    ปฏิจสมุปบาท เนี้ยต้องเห็นทั้งวงจรใช่ไหมครับ ถึงเรียกว่าเห็น ถ้า 3 ขั้นตอนนี้ยังเรียกว่าเห็นไม่สมบูรณ์ใช่ไหมครับ

    อนุโมทนาบุญน่ะครับ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ใช่ครับ เรียกว่า เห็นตอนปลายๆ ช่วง ชาติ ชรา มรณะ

    การเห็น ตัณหา นั้น จะทำให้เริ่มเห็น ภพ ชาติ ชรา และ มรณะ

    พระสูตรจำนวนมาก มีเทศนาเพียงแค่ส่วนนี้ ภิกษุที่ฟังธรรมอยู่ก็แจ้งธรรมได้

    นอกจากนี้ ผมยังเคยสดับธรรมมาว่า

    ในสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสสี พระพุทธเจ้าเวสภู สมัยนั้นก็ไม่ได้สอนปฏิจสมุปบาท
    ที่เริ่มตั้งแต่ อวิชชาปัจจยสังขารา พระพุทธองค์ในสมัยนั้นก็สอนแค่ช่วง ตัณหา
    แล้วไปเห็น ชาติ ชรา มรณะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วต่อการสอนสาวก

    พระพุทธเจ้าในสมัยปัจจุบัน พระพุทธองค์เป็นปัญญาธิกะ ไม่ใช่จริตแบบสาวกที่
    เป็นศรัทธานุสารี ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสธรรมได้ลึกซึ่งถึงขั้นของอวิชชาที่
    เป็นปัจจัยในสังขาร
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เฮ้ย เก่งเกินแล้วพี่ ถ้ากล่าวอย่างนี้อย่าเป็นเลยพุทธภูมิ(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล) พี่น่าจะหาอะไรมาอ้างอิงแล้วดูน่าเชื่อถือกว่าความคิดพี่แบบนี้หน่อยนะครับ ธรรมที่พระศาสดาตรัสรู้เป็นธรรมอันเดียวกันทุกพระองค์และ ทศญาณของพระศาสดาก็เหมือนกันทุกพระองค์ เพียงแต่ช่วงเวลาห่างกันเหลือเกิน พี่นั่งสมาธิมากจนเห็นข้อความนี้เหรอครับ หรือว่าฟังใครมาอีกแล้ว หรือไปเอาข้อมูลจากในสวรรค์ชั้นดุสิต หรืออาภัสราพรหม อีกละ ชี้ให้กระจ่างด้วยครับ (หรือจะบอกว่าพระอรหันต์มาสอนธรรมก็ได้นะครับ) จะได้จบไป
    ปล.หวังว่าพี่คงไม่เกิดอกุศลจิตอีกนะครับเมื่อได้คำติ ไป เพราะหากพี่แน่ใจจริงว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไม่ได้สอนเรื่องปฏิจจสมุทปบาท ก็เอาอะไรมายืนยัน ผมมองว่ามันดูไม่งาม และหวังว่าคงไม่ต้องถึงกับให้ใครแปลงร่างมากล่าวคำอันไม่พึงมีพึงเกิดกับผู้มีปัญญาเช่นพี่นะครับ เพราะผมยังเชื่อว่าพี่ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น(พักหลังนี้ ผมว่าพี่ดูแปลกๆไปนะครับ)
    ด้วยความนับถือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  9. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    กระแสอะไรหรือครับ ที่นำไปสู่พระนิพพานได้ รบกวนแนะนำเพิ่มเติมน่ะครับ ผมเองเป็นผู้ด้อยปัญญา ยังต้องเรียนรู้ และศึกษาอีกมาก เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ครับ
    ผมจะลองไปหา เวปของหลวงพ่อจรัญแล้วลองอ่านดูเพื่อเพิ่มพูนความรุ้ ด้วยครับ

    อนุโมทนาบุญน่ะครับ ที่ชี้แหล่งความรู้ให้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  10. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25

    ในสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสสี พระพุทธเจ้าเวสภู สมัยนั้นก็ไม่ได้สอนปฏิจสมุปบาทที่เริ่มตั้งแต่ อวิชชาปัจจยสังขารา พระพุทธองค์ในสมัยนั้นก็สอนแค่ช่วง ตัณหา แล้วไปเห็น ชาติ ชรา มรณะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วต่อการสอนสาวก

    ผมเห็นคุณนิวรณ์ เขียนอย่างนี้น่ะครับ ไม่ได้บอกว่าไม่สอน แต่สอนไม่เต็มวงจร ผมเองก็ไม่รู้ว่าถูกผิดอย่างไร หรือจะหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ไหนเหมือนกัน

    แต่สิ่งหนึ่งที่พบน่ะครับ หลังจากอ่านบอร์ดพลังจิต มาได้สักระยะหนึ่ง ความเห็นส่วนตัว มีอยู่ประมาณสามท่านที่มีความรู้ในทางปริยัติ และ ปฏิบัติที่ดีมากเลย สามท่านนี้จะมีเห็นต่างกันบ้างในส่วนที่ท่านเหล่านี้ยังไม่ได้ปฏิบัติถึง ส่วนในแง่ปริยัติมีการตีความต่างกันบ้าง แต่หัวใจของเรื่องราวยังคล้ายกันอยู่ สามท่านนั้นก็คือ คุณนิวรณ์ คุณขันธ์ คุณsiratsapon (ผมไม่ได้เรียงตามความเก่งน่ะครับ นึกได้ก็พิมษ์เอา เดียวจะเข้าใจผิด)
    เดียวรอคุณนิวรณ์ มาตอบคำถามของคุณเก่งแล้วกันน่ะครับ เออแต่ว่าเราสามารถไปสวรรค์ชั้น ดุสิต หรือ พรหมได้ด้วยหรือครับ ตอนยังเป็นๆอยู่่เนี้ย แล้วไปยังไงครับ สติปัฏฐาน4 พาไปได้ไหมครับ ถ้าไปได้จริง อยากไปชั้นพรหม ถาม/พูด/คุย กับพระอนาคามี ที่เคยอยู่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บ้างเหมือนกันครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขอโทษนะครับ อย่ากระทบผมครับ
     
  12. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25


    ผมลองทำตามคำแนะนำนี้แล้วครับ มันทำให้มีแนวทางในการดู/รู้ เห็น/รู้ว่ามันมีองค์ประกอบด้วย และทำหน้าที่อย่างไร ผมได้ลงทะเบียนเรียนพระอภิธรรม ออนไลน์ ไว้ พบว่ามันคล้ายกับ จิต เจตสิค ครับ แต่ผมไม่สามารถ เห็น/รุ้ ได้ละเอียดและครบเท่าที่เขียนในพระอภิธรรมน่ะครับ ยังหยาบสำหรับผมในการดู/รู้
    จะเพียรต่อไปครับ อนุโมทนาบุญครับ สำหรับธรรมทาน
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับเข้าใจครับ แต่อ่านแล้วถ้าตกภาษาไทยก็อย่าอ่านเลยครับ เพราะผมกล่าวว่า ธรรมที่พระศาสดาตรัสรู้เป็นธรรมอันเดียวกันทุกพระองค์และ ทศญาณของพระศาสดาก็เหมือนกันทุกพระองค์ ส่วนท่านปฏิบัติมากๆดีกว่าครับ ถามมากมันไม่ได้อะไรมาหรอกครับ เพราะถ้ายิ่งอ่านมากจะยิ่งฟุ้งเดี้ยวผมจะรอคำตอบจากพี่นิวรณ์ครับ
    ปล. ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะเก่งกาจสักปานใดครับเรื่องความรู้ธรรมนั้น แต่ที่ผมพิจารณาคือธรรมก็คือธรรมไม่ใช่ของปั้นแต่งกันขึ้นมาลอยๆได้ด้วยเนื้อหาสาระการปรุงแต่งของตน หากปรุงก็ได้ แต่ต้องรู้ต้องเห็นธรรมนั้นก่อน และเมื่อผู้เห็นธรรมนั้นแล้วมักเกิดมีสิ่งที่เรียกว่า หิริโอตัปปะ เกิดขึ้นแก่จิตโดยอัตโนมัติ จึงพิจารณารู้ว่าสิ่งใดควรกล่าวสิ่งใดไม่ควรกล่าว ครับ
    ไม่มีอะไรครับลุงขันธ์ ผมไม่ได้พาดพิงครับ ขออภัยครับ เป็นแค่การตั้งฉ้อยครับ
    อนุโมทนาเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  14. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    การเห็น ตัณหา นั้น จะทำให้เริ่มเห็น ภพ ชาติ ชรา และ มรณะ

    ชาติ ชรา และ มรณะนั้น การเห็นหยาบๆ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนี้อ แต่ถ้ามองเห็นด้วยการดู/รู้ รบกวนแนะนำวิธีปฏิบัติ น่ะครับ (ในกรณีที่ไม่เป็นอันตรายน่ะครับ เพราะทำเองที่บ้านครับ)

    อนุโมทนาบุญครับ
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ปฏิจสมุบาทธรรม ถ้าไปเห็นถึงอวิชชาไม่ได้ ก็ยังไม่เกิดผล

    พระอรหันต์ จะแจ้งใน อวิชชามากที่สุด จนทำลาย อวิชชาขาดสะบั้น

    ดังหลวงปู่มั่นว่า พ่อแม่ของอวิชชานี้มีอยู่ นั่นแหละ ท่านทำลายอวิชชาได้แล้ว

    พ่อแม่ของ อวิชชา คือ ฐีติภูตังนั่นแหละ

    จะทำลายสังโยชน์อย่างไร ถ้าไม่เห็น อวิชชา ปัจจยาสังขารา

    นายนิวรณ์ นี่ พิลึก
     
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    คุนขันว่างๆก้แสดงธรรมให้คุนนิวรเห็นในส่วนของปัญญาบ้างก้ดีครับ
     
  17. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    ขอโทษน่ะครับที่ทำให้เคืองใจ แค่ไม่อยากให้ผู้มีความรู้ทั้งสอง มีความคิดแตกแยกเท่านั้นเองครับ ผมเองเป็นผู้ด้อยด้วยปัญญา ทำแล้วเห็นผลอย่างไร ไม่เข้าใจตรงไหนผมก็จะถามครับ เพราะใหม่จริงๆ กลัวทำผิด

    เบาๆหน่อยก็ดีน่ะครับ เวปธรรมมะ

    อนุโมทนาบุญครับ สำหรับคำแนะนำให้เพียรเพิ่มจะปฏิบัติตามครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เพราะว่าเป็นเวปธรรมะนั่นแหละครับ ถึงต้องกล่าวให้เห็นเหตุผลแบบนี้ คุณเองก็สนใจใฝ่ธรรมอย่ามามัวสนใจใฝ่หนังสือมากครับ บางอย่างหากผิดแล้วก็แก้ไม่ได้แต่บางอย่างหากผิดแล้วยังมีโอกาสแก้ครับ ผมไม่ใช่ผู้มีความรู้ และไม่ต้องการคำสรรเสริญ เยินยอใด ที่สำคัญหากอยากติผม ก็ติได้ แต่ต้องสมควรแก่เหตุ มิเช่นนั้น ผมจะย้อนไปอย่างไม่คาดฝันเลยครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดีแล้วครับ ทีกล่าว

    เพราะอะไรก็ตาม ที่ฟังไป เราต้องเอาไปพิสูจน์ หากอยู่ในฐานะที่พิสูจน์ได้
    ย่อมได้ประโยชน์

    ส่วนเรื่องการฟังธรรม หรือ อ่านธรรม ของคนกลุ่มนั้น คุณก็มองข้ามๆไปก็
    ได้ เพราะอย่างประเด็นที่เขามายกว่า ผมไปพูดว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่
    ได้ประกาศปฏิจสมุปบาท อันนั้น เขาคนนั้นเขาอ่านภาษาไทยไม่ครบ หาก
    อ่านดีๆแล้ว ผมไม่ได้พูดว่าพระพุทธทั้งหลายไม่ประกาศปฏิจสมุปบาท เพียง
    แต่บอกว่าไม่ตรัสเกินความจำเป็น ก็เหมือนกับ การหยิบใบไม้ในกำมือ เหมือน
    การสอนธรรมะเพื่อให้คนๆหนึ่ง พ้นทุกข์

    การสอนให้พ้นทุกข์นั้น เพียงแต่สอนให้ตรงกับฐานะบุคคลเท่านั้น ไม่ต้อง
    อัดสอนกันทั้งชุด ต้องครบถ้วนเสียก่อนถึงจะเห็นธรรม เช่น

    พระพาหิยะ ที่เป็นเอทัคคทางการตรัสรู้เร็ว ก็ฟังธรรมเพียงแค่อรัมภบท ก็
    บรรลุแล้ว

    เรื่องของการทะเลาะกันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดเสมอ พระอาจารย์สมภพก็เคยกล่าว
    เทศน์เรื่องนี้ แม้พูดเตือนคนที่บูชาธรรมท่านกี่หน ยังไงเสียก็อดไม่ได้ก็ต้อง
    ปล่อยเขาไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เรามาคุยกันเรื่องธรรมะต่อ ....

    เนื่องจากไม่แน่ชัดเรื่องการปฏิบัติของคุณ การกล่าวตรงนี้ผมจึงหวังว่าจะ
    เป็นไปอนาคตที่มันจะเกิดขึ้นให้เห็นเอง

    ผมใช้คำว่า มันจะเกิดขึ้นให้เห็นเอง ก็เพื่อดึงไว้นิดๆว่า อย่าไปสร้างมุมการ
    เห็น หรืออย่าไปดึงการเห็นในอดีตมาใช้ พูดซื่อๆ ก็คือ ตอนที่เห็นนั้น จะ
    ต้องเป็นปัจจุบันอยู่ดี แต่ถ้าไม่ฟังไว้ก่อนก็ไม่รู้ว่ากำลังเห็น แต่พอสดับธรรม
    ไป ระหว่างที่เห็นก็จะเอ๊ะ! แล้วก็ระลึกเห็น ตามดูตามรู้ รู้แล้วก็วาง ไม่ใช่การ
    ตรึกว่าตะกี้เห็นอะไร ทุกอย่างจะจบลงที่การรู้สึก ระลึกรู้ แล้วก็ปล่อย

    จังหวะที่จะเห็น ภพ ชาติ ชรา มรณะ หากทำฌาณยังไม่ได้ แต่อยากจะพอ
    เห็นๆว่ามีรสเป็นอย่างไรนั้น คนที่ภาวนาจนเห็นกายเราผลิกแก้ทุกข์ตลอด
    เวลาในยามหลับ กายหลับแต่จิตตื่น และจิตยังขึ้นวิถีภาวนาไม่ว่างเว้น แบบ
    นี้ตอนที่ตื่นเช้าขึ้นมา จิตจะว่างเพราะได้พักในภวังค์มา ตอนที่ตื่นขึ้น จิต
    จะเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ภพความคิดที่เราติดข้องอยู่ หรือเข้าสู่ภพอนุสัยที่เราเป็น
    อยู่ทันที

    เช่น เรายังง้วนอยู่กับงาน สับสนในงานการ พอตื่นขึ้น จิตที่เป็นธาตุรู้ก็จะ
    เข้าไปรื้อค้นหาทางแก้ทันที และมักจะหาเจอด้วย เพราะไม่ถูกอคติทิกฐิ
    อื่นปิดบังเท่าไหร่ แต่ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ลงมาอาบน้ำ แปรงฟัน เดินออก
    จากบ้าน จนถึงที่ทำงาน จนกระทั่งกลับมานอน บางที่ ชาติ..แบบนี้ก็ยัง
    ไม่หายไป เพราะเกิดวิภวตัณหา(ตัณหาชนิดหนึ่ง)ครอบงำ แต่ยังไงเสีย
    ก็ต้องมี ชาติ ชรา มรณะ ขาดลงไป ซึ่งจะเห็นว่า อยู่ดีๆเราก็ลืมงานไป
    แล้ว.......ในกรณีที่ภาวนาได้ดี...การงานคั่งค้างจะไม่เกิด..แม้เลี่ยงไม่
    ได้ก็จะไม่คว้ามารื้อค้น....จะรอจังหวะที่ปลอดโปร่งแล้วค่อยคิด...งาน
    จะแก้ได้ง่ายซะงั้น เป็นต้น

    หรือ กรณีที่ไม่มีการงานอะไรคั่งค้าง หากหลายภพลายชาติเราเคยเกิดเป็น
    สัตว์ ก็ไม่แน่ว่า กายเราจะบิดขี้เกียจในท่าเดียวกับสัตว์ที่เราเคยเกิดมาหลาย
    ภพหลายชาติ พอทำกิจบิดขี้เกียจผ่านไปแล้ว ตัณหา ความพอใจที่ได้กระ
    ทำนั้นจบไป มันก็เกิด ชาติ ชรา มรณะ หายไปหนึ่งชาติ ...กรณีนี้จะเป็นเรื่อง
    อนุสัยด้วย ทำให้เรามองข้ามได้ง่าย มักไม่เห็นว่าคือตัวปัญหา ...แต่ถ้าปฏิบัติ
    ไปเรื่อยๆ จนเรารู้ทันภพตัวนี้ การบิดขี้เกียจในท่าหนึ่งๆ ก็จะหายไป เป็นต้น

    * * * *

    จะเห็นว่า แค่นี้ก็มีงาน รื้อค้น ถอน อนุสัย ได้แล้ว ...เพราะมีร่องรอยของวิชชา
    เกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องไปรู้อวิชชา เพียงแต่ทำวิชชาให้เกิดไว้เนืองๆก็เพียง
    พอแล้ว...โดยสรุปก็คือ กำจัดตัณหา อภิชญา/โทมนัส และ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...