ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    [​IMG]
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ่านความเห็นคุณจงรักภักดี น้ำตารื้น ตอนนี้กลับเห็นคำถามที่ตัวเองตั้งไว้ในความเห็นสุดท้ายหน้าที่แล้ว
    ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่กล้าตอบ เทียบค่าไม่ได้กับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพี่นาง ธ ทรงศรี ทรงศักดิ์ มิอาจเอื้อม
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนาและขอบคุณคุณทางสายธาตุมากครับ อย่าง
    น้อยก็มีคุณทางสายธาตุหนึ่งคนแล้วที่เห็นด้วยกับพระราช
    กรณียกิจในข้อนี้ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา อันที่จริงเรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นในสมัยปัจจุบันจะถือว่าเป็นเรื่อง
    "ลับที่สุด"และจะไม่มีการนำมาเปิดเผยแม้เรื่องจะผ่านไป
    นานแล้ว ส่วนบางเรื่องที่ได้มีการนำมาเปิดเผยกันนั้น ถือ
    ว่าเป็นการเล็ดลอดและละเมิดครับ
    ตอนนี้คงต้องมาช่วยกันหาพยานหลักฐานที่จะมาช่วยยืน
    ยันกันนะครับ สำหรับผมเองเอะใจตั้งแต่ตอนที่พระพี่นาง
    ทรงตรัสปฏิเสธที่จะเสด็จกลับอยุธยาพร้อมกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อตอนจะประกาศอิสระภาพแล้วล่ะครับ
    พระพี่นางท่านคงจะได้ตัดสินพระทัยที่จะเสี่ยงอยู่เพื่อพระ
    ราชกรณียกิจทางด้านการข่าวนี้ด้วยแล้ว

    และเพื่อเป็นการยืนยันว่าได้มีการหาข่าวในทางลับซึ่งกันและกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว จะขอยกเหตุการณ์
    เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยากับเมืองเชียงใหม่ขับเคี่ยวทำสง
    ครามกัน เหตุเกิดเมื่อปีกุน จุลศักราช 817 ตรงกับ พ.ศ.
    1998 กรุงศรีอยุธยาตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตร
    โลกนารถ และเมืองเชียงใหม่ ตรงกับสมัยพญาติโลกราช
    แต่ละกองทัพต่างก็มีกองสอดแนม เพื่อหาข่าวในทางลับ
    ซึ่งกันและกัน
    ฝ่ายกรุงศรีอยุธยา แต่งให้หาญพรหมสท้านเป็นอุปนิกขิต
    (กองสอดแนม/แนวที่ห้า) ลอบเข้ามาฟังเหตุการณ์หาข่าว
    ความเคลื่อนไหวอยู่ในนครพิงค์เชียงใหม่ ฝ่ายข้างเมืองนครเชียงใหม่ แต่งให้หาญไสสูง ตัดผมนุ่งผ้าเป็นไทย เข้าไปปะปนกับชาวกรุงศรีอยุธยา ปลอมฟังรหัสเหตุการณ์
    ทางกรุงศรีอยุธยา...........(ยังมีต่อ)
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คุณทางสายธาตุ ขอรับ อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละครับ เป็นธรรมดา แล้วอะไรๆทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมดับไป
    เป็นธรรมดา มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดขึ้น
    ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ครับ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขอบคุณค่ะคุณจงรักภักดี เห็นชัดๆเลยค่ะ ว่าอวิชชาทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด ตัดอวิชชาได้ก็ตัดปัจจัยหลัก แต่ใครบ้างหล่ะคะจะทำให้อวิชชาในตัวหมดไปได้ คงต้องบำเพ็ญกันไปค่ะ สร้างบารมี สร้างบุญกันต่อไป ตามรอยพระพุทธองค์

    ตุ่ง ตุง ตุ๊ง ม๊าดมัวแซล มาด๊าม เดี๋ยวมาต่อกันเรื่อง ความรู้เรื่องเมืองสยาม ว่าด้วยเรื่องเสื้อผ้า หน้า ผม ม๊าดมัวแซล หรือ มาด๊าม อาจจะสงสัยว่าทำไมนุ่งห่มกันน้อยชิ้นและบางมาก ก็มัน hot อ่ะค่ะ hot จริงๆ คนเอเชียด้วยกันมาอยู่ ยังบ่นกันอุบว่า ยวั่วะซี่ ร้อนจะตายอยู่แล้ว ถ้าม๊าดมัวแซลมาอยู่ ก็จะเจอกับปัญหาอีกอย่างคือ ยุง ยุงเยอะค่ะ ต้องหาบ้านที่อยู่ริมน้ำลมโกรกจัดๆ ก็จะผ่อนเรื่องยุงไปได้มาก ต้องหาเอาค่ะ มีที่ดินบางแห่งลมโกรกดีค่ะ ยุงไม่ค่อยรบกวน อันนี้แนะนำไว้เผื่อจะมาหาที่ปลูกบ้าน ปลูกสำนักงานนะคะ ^_^
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ความรู้เรื่องเมืองสยาม ตอนที่สอง ขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาวสยาม

    [SIZE=+1]บทที่หนึ่ง เครื่องนุ่งห่ม และรูปร่างหน้าตาของชาวสยาม[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑. ชาวสยามนุ่งห่มผ้าน้อยชิ้น เพราะร้อนและเพราะความเป็นอยู่ง่าย ๆ ชาวสยามไม่ค่อยหุ้มห่อร่างกายมิดชิดนัก[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๒. ผ้านุ่ง เครื่องนุ่งห่มของชาวสยาม ชาวสยามไม่ใส่รองเท้า ไม่สวมหมวก พันเอวและขาอ่อน ถึงใต้หัวเข่าด้วยผ้ามีดอกดวง ยาวประมาณ ๒ โอน (๑.๑๘ เมตร) ครึ่ง บางครั้งก็ใช้ชิ้นผ้าไหมเกลี้ยง ๆ หรือทอที่ริมเป็นลายทองลายเงิน[/SIZE]


    <CENTER>[​IMG]

    </CENTER>[SIZE=-1] ๓. ใช้เสื้อคลุมผ้ามัสลินเป็นเสื้อชั้นนอก พวกขุนนางนอกจากนุ่งผ้าแล้วยังสวมเสื้อครุยมัสลินคลุม (ถึงเข่า) เขาจะเปลื้องมันออกแล้วม้วนพันไว้กับบั้นเอว เมื่อเข้าไปหาขุนนางผู้ใหญ่ที่มียศศักดิ์สูงกว่าตน นอกนั้นบรรดาขุนนางที่เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามคงนุ่งห่มเสื้อผ้าเต็มยศตามธรรมเนียมขุนนางสยาม มีงานพระราชพิธีต้องสวมหมวกลอมพอกสูงมียอดแหลม[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๔. ผ้าคลุมกันหนาว ในฤดูหนาวชาวสยามใช้ผ้าตามความกว้างหรือผ้าลินินมีดอกดวงคลุมไหล่ โดยพันชายผ้าไว้กับลำแขน[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๕. พระเจ้ากรุงสยามฉลองพระองค์อย่างไร ทรงใช้ฉลองพระองค์ด้วยผ้าเยียรขับอย่างงาม แขนฉลองพระองค์แดงมากปรกมาถึงข้อพระหัตถ์ ทำนองเดียวกับเสื้อที่เราใช้ได้เสื้อคลุม ทรงฉลองพระองค์นั้นไว้ภายใต้ฉลองพระองค์ครุย มีการปักอย่างวิจิตรต่างแบบลวดลายกันกับในยุโรป ชาวสยามคนใดจะใช้เสื้อเปิดนี้ไม่ได้ นอกจากพระองค์จะพระราชทานให้ ซึ่งจะพระราชทานให้เฉพาะขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์สูงเท่านั้น[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๖. เสื้อยศทหาร พระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเสื้อชั้นนอกสีแดงสด สำหรับออกงานสงครามหรือตามเสด็จ ฯ ล่าสัตว์ เสื้อชนิดนี้ยาวถึงหัวเข่า มีดุมขัดด้านหน้า ๘ - ๑๐ เม็ด แขนเสื้อกว้าง ไม่มีปักลวดลาย และสั้นมากจนปรกไปถึงข้อศอก[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๗. สีแดงสำหรับออกศึกและประพาสป่า เป็นธรรมเนียมทั่วไปในกรุงสยาม ที่พระเจ้าอยู่หัวและผู้ที่อยู่ในขบวนโดยเสด็จออกงานดังกล่าว จะต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดสีแดง ตัดเย็บด้วยผ้ามัสลินย้อมแดง[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๘. ลอมพอกยอดสูงและปลายแหลม เป็นศิราภรณ์สำหรับใช้ในงานพระราชพิธี พระเจ้าอยู่หัวและขุนนางแต่งเหมือนกัน ต่างแต่ว่าพระลอมพอกประดับขอบ หรือเสวียนเกล้าด้วยพระมหามงกุฎเพชรรัตน์ ส่วนลอมพอกขุนนางประดับเสียนทองคำ เงิน หรือกาไหล่ทองมากน้อยตามยศ บางคนไม่มีเสวียนเลย เมื่อใส่ลอมพอก การแสดงความเคารพไม่ได้ถอดออก[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๙. รองเท้าแตะ พวกแขกมัวร์เป็นผู้นำรองเท้าแตะ อันเป็นรองเท้าปลายแหลมมาใช้ ไม่มีปีกหุ้มเท้า ไม่มีส้น เขาถอดวางไว้ที่ประตู เมื่อเจะเข้าไปในเรือน ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะประทับอยู่ ณ ที่ใดหรือบุคคลที่เขาจะต้องให้ความเคารพอยู่ ณ ที่ใด ชาวสยามจะไม่สวมรองเท้าเข้าไป ณ ที่นั้นเป็นอันขาด[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๐. ความสะอาดของพระราชวัง ไม่มีที่ใดจะสะอาดเท่าพระบรมมหาราชวัง[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๑. หมวกสำหรับสรวมไปเที่ยว พวกขุนนางนิยมมีกัน พระเจ้าอยู่หัวตรัสให้สร้างพระมาลาเป็นสีต่าง ๆ รูปทรงคล้าย ๆ กับพระลอมพอก แต่ราษฎรสามัญจะใช้ผ้าโพกศีรษะเฉพาะเมื่อลงเรืออยู่ในแม่น้ำเท่านั้น[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๒. เครื่องนุ่งห่มของสตรี พวกผู้หญิงนุ่งห่มตามความยาวของผืน วงรอบตัวเช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ผู้หญิงปล่อยชายทางด้านกว้าง เลียนแบบกระโปรงอย่างแคบ ๆ ให้ชายตกลงมาครึ่งแข้ง ส่วนผู้ชายชักชายผ้าข้างหนึ่งซึ่งเขาปล่อยให้ยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง ลอดหว่างขาแล้วไปเหน็บไว้ด้านหลัง โดยคาดเข็มขัดทับ คล้ายสับเพลาโบราณของเรา ส่วนชายอีกข้างหนึ่งห้อยอยู่หน้าขา (ชายพก) ใช้ชายพกห่อล่วมหมาก บางทีก็นุ่งผ้าสองผืนซ้อนทับกัน เพื่อให้ผืนบนดูเรียบร้อย[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๓. เกือบจะเปลือยหมด นอกจากผ้านุ่งแล้ว ผู้หญิงก็ปล่อยตัวล่อนจ้อน มิได้สวมเสื้อชั้นในมัสลิม เพียงแต่คนมั่งมีจะใช้สไบห่ม ปัดชายสไบเฉียงไปคลุมต้นแขน แต่ลักษณะที่สุภาพคือใช้ตอนกลางของผืนคาดขนอง แล้วสอดรักแร้ปกถันเข้าไว้ แล้วตลบชายสไบทั้งสองด้านสพักไพล่ไปทั้งชายอยู่าทางเบื้องหลัง (ห่มตาเบงมาน)[/SIZE]


    <CENTER>[​IMG]

    </CENTER>[SIZE=-1] ๑๔. ความละอายในการเปลือย ชายหญิงสยามมีความตะขิดตะขวงใจเป็นอย่างยิ่งในโลก ที่จะเผยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งธรรมเนียมกำหนดให้ปิดบังไว้ ออกให้ใครเห็น เราต้องจ่ายผ้าขาวม้าให้ทหารฝรั่งเศสนุ่ง เมื่อลงอาบน้ำตามท่า เพื่อระงับข้อครหาของชาวเมือง ที่เห็นทหารฝรั่งเศสเปลือยกายลงอาบน้ำในแม่น้ำ[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๕. ความละอายในการลงโทษ เด็ก ๆ จะไม่นุ่งผ้าจนอายุได้ ๔ - ๕ ขวบ และเมื่อเด็กนุ่งผ้าแล้วผู้ใหญ่จะไม่เลิกผ้าขึ้นเพื่อลงโทษเลย และคนในภาคบูรพาทิศถือกันว่า เป็นการน่าบัดสีอย่างยิ่ง ถ้าใครถูกโบยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอันเปลือยเปล่า[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๖. เหตุใดจึงใช้ไม้เรียว เพราะแส้หรือกิ่งไม้ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ เพียงพอที่จะแทรกเนื้อผ้าเข้าไปใด้[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๗. ความละอายเวลานอนและอาบน้ำ ชาวสยามไม่เปลือยกายเมื่อเข้านอน ทำนองเดียวกันกับที่เขาผลัดผ้าเมื่อลงอาบน้ำในแม่น้ำ ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะว่ายน้ำกันเก่งเท่าที่นี่ ทั้งหญิงและชาย[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๘. [COLOR=#cc0000]องค์พยานความละอายอย่างอื่น ๆ[/COLOR] ความละอาย (ต่อความสกปรก) ของชาวสยามก่อให้เกิดธรรมเนียมขัดสีฉวีวรรณกันอย่างถึงขนาด เขาเห็นว่าการเปลือยกายเป็นสิ่งที่น่าบัดสี เพลงขับที่มีเนื้องร้องเป็นคำลามกอนาจาร เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายสยามเหมือนกับกฎหมายในประเทศจีน[/SIZE]

    [SIZE=-1] ๑๙. [U][COLOR=#cc0000]ผ้านุ่งชนิดใดที่อนุญาตให้ใช้ได้[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ผ้านุ่งที่มีความงดงามบางชนิดเช่น ผ้าม่วงไหมยกดอกหรือผ้าม่วงไหมอย่างไม่ยกดอก และเช่นผ้าลายเนื้อดี อนุญาตให้นุ่งได้เฉพาะบุคคลที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ส่วนพวกผู้หญิงชั้นสามัญนิยมนุ่งผ้าถุงสีดำ และสไบนั้นมักเป็นผ้ามัสลินสีขาวอย่างธรรมดา[/COLOR][/SIZE]

    [COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๐. [COLOR=#cc0000][U]แหวน กำไล ข้อมือ ตุ้มหู[/U] [/COLOR][COLOR=#000099] ชาวสยามสวมแหวนที่นิ้วท้าย ๆ ของทั้งสองมือ พวกผู้ชายไม่รู้จักใช้สร้อยคอ พวกผู้หญิงและเด็กทั้งชายหญิงรู้จักการใช้ตุ้มหู ซึ่งมีรูปร่างเหมือนลูกบัว ทำด้วยทองคำ เงิน หรือกาไหล่ทอง เด็กหนุ่มสาวลูกผู้ดีสวมกำไลข้อมือ แต่จะสวมถึงอายุ ๖ - ๗ ขวบเท่านั้น และยังสวมกำไลที่แขน และขาอีกด้วย เป็นกำไลทำด้วยทองคำหรือกาไหล่ทอง[/COLOR][/SIZE][/COLOR]

    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๑. [U][COLOR=#cc0000]การเปลือยกายของเขาไม่เป็นที่แปลกตา[/COLOR][/U][COLOR=#000099] เพราะมีผิวพรรณไม่ขาวเหมือนชาวยุโรป[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๒. [U][COLOR=#cc0000]รูปร่างของชาวสยาม[/COLOR][/U][COLOR=#000099] มีรูปร่างย่อมได้สัดส่วนดี ปทุมถันของหญิงมิได้เต่งตั้งอยู่ได้เมื่อพ้นวัยสาวรุ่นไปแล้ว และยานย้อยลงมาถึงท้องน้อยในเวลาไม่นาน แต่รูปทรงร่างกายยังกะทัดรัดอยู่[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๓. [U][COLOR=#cc0000]หน้าตาชาวสยาม[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ค่อนข้างเป็นรูปขนมเปียกปูนมากกว่ารูปไข่ ใบหน้ากว้าง ผายขึ้นไปทางเหนือโหนกแก้ม ไปถึงหน้าผากอันแคบ รวมเข้าเป็นรูปมนเหมือนปลายคาง หางตาค่อนข้างสูง ตาเล็ก ไม่สู้แจ่มใสนัก ตาขาว ออกสีเหลือง ๆ แก้มตอบ ปากกว้าง ริมฝีปากหนาชัด ฟันดำ ผิวหยาบ สีน้ำตาลปนแดง[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๔. [U][COLOR=#cc0000]สีน้ำเงินที่สักไว้ตามร่างกาย[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ผู้หญิงสยามไม่ใช้ชาดทาปาก แก้มหรือแต้มไฝ ขุนนางสักที่ขาเป็นสีน้ำเงินหม่นเป็นเครื่องกำหนดความยิ่งศักดิ์ จะมีสีน้ำเงินมาก หรือน้อยสุดแต่บรรดาศักดิ์สูงต่ำ พระเจ้าอยู่หัวทรงสักสีน้ำเงิน ตั้งแต่ฝ่าพระบาทไปถึงพระนภี แต่บางคนก็บอกว่ากาสักทำไปเพราะเชื่อโชคลางของขลัง[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๕. [U][COLOR=#cc0000]จมูกและหูของชาวสยาม[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ชาวสยามมีจมูกสั้นและปลายมน ใบหูใหญ่กว่าชาวยุโรป คนมีใบหูใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นที่ยกย่องกันมากเท่านั้น เป็นความนิยมของชาวตะวันออก[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๖. [COLOR=#cc0000][U]ผมของชาวสยาม[/U] [/COLOR][COLOR=#000099] มีสีดำ เส้นหยาบและเหยียด ทั้งชายหญิงไว้ผมสั้นมาก ยาวมาเสมอใบหูเท่านั้น ต่ำกว่านั้นจะตัดเกือบเกรียนติดหนังศีรษะ พวกผู้หญิงหัวผมตั้งไว้บนหน้าผากโดยมิได้รวบเกล้ากระหมวด บางคนส่วนมากเป็นชาวรามัญ ปล่อยให้ผมยาวไปข้างหลังพอประมาณ เพื่อขมวดเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ในวัยมีเรือนได้แล้วก็ไว้ผม แปลกไปอีกทำนองหนึ่งคือ ใช้กรรไกรหนีบตัดผมกลางกระหม่อมเสียสั้นเกรียน รอบเรือนผมเขาถอนออกมาเป็นกระจุกเล็ก ๆ กระจุกหนึ่ง ทางด้านล่างปล่อยให้ออกยาวไปเกือบประบ่า[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๗.[U][COLOR=#cc0000]รสนิยมของชาวสยามที่มีต่อหญิงผิวขาว[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ภาพวาดสตีรีงามบางคนแห่งราชสำนัก (ฝรั่งเศส) ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของชาวสยามมาก พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงมีหญิงสาวชาวมิลเกรเลียน หรือชอร์เชียน โดยรับสั่งให้ซื้อมาจาก[COLOR=#cc0000]ประเทศเปอร์เชีย[/COLOR][COLOR=#000099] (มาเป็นบาทบริจาริกา) และชาวสยามที่มาฝรั่งเศสสารภาพว่า ผู้หญิงฝรั่งเศสนั้นสวยมาก ไม่มีหญิงชาวสยามคนใดทัดเทียมได้[/COLOR][/COLOR][/SIZE] [/COLOR][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๘. [U][COLOR=#cc0000]ชาวสยามเป็นคนสะอาดสะอ้านมาก[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ชาวสยามนุ่งห่มน้อย และอบรำร่างกายด้วยสุคนธรส ริมฝีปากก็สีขี้ผึ้งหอม อาบน้ำวันละ ๓ - ๔ ครั้ง ถือเป็นความสุภาพเรียบร้อยว่า จะไปเยี่ยมผู้ใดในรายที่สำคัญ ต้องอาบน้ำเสียก่อน และจะประแป้งให้ขาวพร้อมที่ยอดอก แสดงว่าได้อาบน้ำมาแล้ว[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๒๙. [U][COLOR=#cc0000]วิธีอาบน้ำสองอย่าง[/COLOR][/U][COLOR=#000099] วิธีหนึ่งลงไปแช่น้ำ อีกวิธีหนึ่งใช้ขันตักน้ำรดร่างกาย[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๓๐. [U][COLOR=#cc0000]การรักษาความสะอาดฟันและผม[/COLOR][/U][COLOR=#000099] ชาวสยามเอาใจใส่รักษาฟันมาก แม้จะย้อมดำแล้วก็ตาม เขาสระผมด้วยน้ำ และใส่น้ำมันจันทน์ ทำนองเดียวกับชาวเสปน แล้วไม่ผัดแป้งเลย ชาวสยามหวีผม หวีมาจากประเทศจีน ชาวสยามถอนเคราซึ่งมีอยู่หร็อมแหร็ม แต่ไม่ทำเล็บเลย เพียงแต่รักษาให้สะอาด[/COLOR][/SIZE][/COLOR] [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif]
    [FONT=MS Sans Serif][COLOR=#000099][SIZE=-1] ๓๑. [U][COLOR=#cc0000]ชาวสยามชอบไว้เล็บยาว[/COLOR][/U][COLOR=#000099] เราได้เห็นนางละครชาวสยามที่จะให้งามเกินงาม สวมเล็บที่ทำด้วยทองเหลืองยาวมาก[/COLOR][/SIZE][/COLOR]
    [/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif][FONT=MS Sans Serif][COLOR=darkgreen]ป,ล, ยังเป็นฝรั่งกันอยู่หรือเปล่าคะ ตอนนี้เป็นฝรั่งกันอยู่นะ อิอิ[/COLOR]
    [/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE class=tborder id=post2305396 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_2305396 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">"ป.ล. แอบแปลกใจนิดนึงด้วยว่า ราชวงศ์หมิงที่เขาตามล่าตามฆ่าทิ้งจนแน่ใจแล้วว่าหมดสิ้น ฆ่าทิ้งชนิด 9 ชั่วโคตร ขึ้นไป 3 รุ่น ลงมา 3 รุ่น เป็น 7 แล้วใช่ไหมคะ เพิ่ม เพื่อนๆ และ ครูบาอาจารย์ อีก 2 รุ่น ทั้งหมดเป็น 9 ชั่วโคตร ก็ยังคงเชื้อสายไว้ได้ .... ความเชื่อส่วนตัวห้ามดื่มเกินวันละ 2 ความเห็น... ทางสายธาตุ<!-- google_ad_section_end --> ....."

    อดีตย่อมไม่อาจหวนคืน ไม่เล่าสู่กันฟังบ้างหรือครับ
    .....................................

    "ขอบคุณค่ะคุณจงรักภักดี เห็นชัดๆเลยค่ะ ว่าอวิชชาทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด ตัดอวิชชาได้ก็ตัดปัจจัยหลัก แต่ใครบ้างหล่ะคะจะทำให้อวิชชาในตัวหมดไปได้ คงต้องบำเพ็ญกันไปค่ะ สร้างบารมี สร้างบุญกันต่อไป ตามรอยพระพุทธองค์"

    -สาธุ ขออนุโมทนาครับ

    "หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางก็ยังไม่ขาดสาย ให้ลงมือเดินทางเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่เส้นทางนี้หรือร่องรอย หรือรอยเท้า ของท่านเหล่านี้จะหายไป "-พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช


    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขอเล่าต่อเรื่องอุปนิกขิต (กองสอดแนม/แนวที่ห้า )ครับ
    ..ต่อมาเมืองเชียงใหม่จับตัวหาญพรหมสท้าน อุปนิกขิตฝ่ายไทยแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ พญาติโลกราชสั่งไม่ฆ่า เพียงแต่ให้เฆี่ยน และโกนผมแล้วให้ขับออกไปเสียจากเมือง เมื่อจะขับอุปนิกขิตคนสอดแนมของกรุงศรีอยุธยาออกไปนั้น ทางเมืองเชียงใหม่ แสร้งแต่งอุบายเตรียมจะยกไปฝ่ายเหนือสิบสองปันนาเพื่อจะให้หาญพรหมสท้าน
    นำข่าวไปแจ้งยังกรุงพระนครศรีอยุธยา....

    เห็นแล้วใช่ไหมครับในสมัยกาลก่อนโน้นก็มีระบบการข่าว
    ลับกันแล้ว เล่นกันทั้งข่าวจริงและข่าวลวง ไม่ธรรมดาจริงๆ
    ...ที่มาของเรื่องอุปนิกขิต : หนังสือเกร็ดพงศาวดารล้าน
    นา จาก ราชวงศ์มังราย ถึง ราชวงศ์กาวิละ โดย...ลำจุล
    ฮวบเจริญ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สนุกๆ เรื่องอุปนิกขิต ในสามก๊กก็มีค่ะ
    ตอนกวนอูทำทีว่าแปรพักตร์จากเล่าปี่
    ไปเข้ากับโจโฉเพื่อหาข่าว อันนี้เป็นแผนของขงเบ้ง
    สุดท้ายโจโฉจับได้ แต่เสียดายฝีมือกวนอู
    สั่งไม่ฆ่า ให้ปล่อยไป เสียดายคนเก่ง

    เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้กวนอูติดค้างหนี้ชีวิตโจโฉหนึ่งครั้ง
    พอมาเหตุการณ์ที่เซ็กเพ็ก ก็เหตุการณ์ในหนัง The Red Cliffs
    นั่นแหละค่ะ พอโจโฉแตกทัพพ่าย กองทัพเรือโดนเผาวอดวาย
    ขงเบ้งก็อีกนั่นแหละค่ะ รู้ว่าสุดท้ายโจโฉจะต้องหนีตาย
    ผ่านช่องเขาแห่งหนึ่งที่แคบมาก จะฆ่าทิ้งได้ง่ายมาก
    กลับให้กวนอูไปเฝ้า ก็เพราะขงเบ้งรู้ว่ากวนอูติดหนี้ชีวิตโจโฉอยู่

    ให้กวนอูไปเฝ้าด่านนั้นหวังให้เขาปล่อยโจโฉ เพื่อเหตุผลสองอย่าง
    หนึ่งคือ กวนอูจะได้ไม่รู้สึกติดหนี้บุญคุณโจโฉอีกต่อไป ทำการสิ่งใดภายหน้าจะได้ทำกันเต็มที่
    สองคือ ถ้าโจโฉตาย ซุนกวนก็จะใหญ่สุด สุดท้ายก็จะเป็นภัยกับเล่าปี่เอง ต้องเหลือชีวิตโจโฉไว้คานอำนาจ

    อุปนิกขิตเป็นเรื่องสนุก และเสี่ยงชีวิตอย่างมาก จับได้ก็ตายอย่างเดียว

    พระพี่นางทรงกล้ามากๆ
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    กุยอ๋อง ถือเป็นเชื้อพระวงศ์คนสุดท้ายของราชวงศ์หมิงที่มาถูกทหารราชวงศ์ชิงจับได้ในพม่า และถูกจับกลับไปสำเร็จโทษที่มณฑลยูนนาน ราชวงศ์ชิงเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าได้กำจัดเชื้อพระวงศ์หมิงหมดสิ้นแล้ว เพราะกุยอ๋องตายหลังจากหนีอยู่หลายสิบปี

    แต่มีคนตระกูลหนึ่งที่เป็นพระญาติกับฮองไทเฮาของจักรพรรดิจีนองค์ที่ 13 ฐานะเป็นอ๋องเพราะตระกูลนี้ส่งกุลธิดาเข้าไปเป็นพระสนมจักรพรรดิมาตั้งแต่จักรพรรดิเจียจิ้ง จักรพรรดิจีนองค์ที่ 11 จักรพรรดิองค์ที่ 11นี้ไม่ได้เป็นเชื้อสายของ จูหยวนจาง จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หมิง ท่านมาจากดินแดนทางใต้และเป็นหลานของพระจักรพรรดิองค์ก่อนๆ จึงทำให้เชื้อพระวงศ์ที่มีถิ่นฐานอยู่ทางใต้ (เมื่อก่อนเมืองหลวงก็อยู่ที่นานกิง นาน หรือ หนาน แปลว่าใต้) จึงกลับขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นคนในตระกูลนี้ถือเป็นพระญาติสนิทจักรพรรดิ ตำแหน่ง ไจ้เซี่ยง ก็คืออัครมหาเสนาบดี ที่ฮองไทเฮาไว้ใจให้พระญาติคนนี้รับตำแหน่งสำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระราชบุตร ซึ่งเวลานั้นอายุยังน้อย พระญาติฮองไทเฮาจึงถือเป็นพระญาติพระวงศ์มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชย์ หากหาสายตรงไม่ได้จริงๆ

    ป.ล. อยากอ่านพงศาวดารจีนให้แน่นอนก่อนด้วยนะคะ จึงไม่อยากจะกล่าวถึงนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    "อุปนิกขิตเป็นเรื่องสนุก และเสี่ยงชีวิตอย่างมาก จับได้ก็ตายอย่างเดียว

    พระพี่นางทรงกล้ามากๆ<!-- google_ad_section_end --> "


    ครับ ต้องกล้าแล้วก็ต้องเก่งด้วย ต้องมีพระอัจฉริยะที่สูงส่งและพระทัยที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ ไหนจะต้องวางสายสืบข่าวไว้
    ทั้งภายในวังและภายนอกวัง จะต้องหาคนที่เฉลียวฉลาด
    ไว้ใจได้ แล้วยังจะต้องฝึกฝนกันอีก มิใช่ว่ามีคนแล้วก็เริ่ม
    ทำงานข่าวกันเลย ไม่ง่ายเลยครับ เดาว่าพระองค์น่าจะได้
    ทรงตระเตรียมไว้ก่อนบ้างแล้วก่อนที่จะเดินทางไปเป็นตัว
    ประกัน จะเห็นว่างานด้านการข่าวในลักษณะของ สปาย
    (SPY) นี้ ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย จะต้องอาศัยลีลาและชั้นเชิง
    ที่แพรวพรายทีเดียว จริงๆแล้วทำกันไม่ได้ทุกคนหรอก
    ครับ ส่วนมากจะเป็นข่าวนั่งเทียนหรือยกเมฆกันเสียมาก

    คุณทางสายธาตุกรุณายกสามก๋กตอนกวนอูไปเข้าด้วย
    โจโฉ ตามแผนของขงเบ้ง ตอนนี้ลืมไปแล้วจริงๆครับ
    คุณทางสายธาตุเป็นนักอ่านหนังสือที่ไม่ธรรมดาเลยครับ
    นับถือๆ
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ดังนั้นไจ้เซี่ยง ก็คือพระญาติที่สืบสายพระราชวงศ์หมิงที่อาจจะ/ยังมีชีวิตอยู่ ถูกต้องไหมครับ น่าสนใจครับ ถ้าไม่
    รบกวนขอได้เพิ่มเติมเมื่อเห็นสมควรนะครับ อ้อขอสอบ
    ถามหน่อยครับ ฮองเต้ท่านใดเป็นต้นราชวงศ์หมิงครับ ใช่จักรพรรดิ จูหยวนจางหรือเปล่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    น่าสนใจ เรื่องเล่าของพระพี่นางที่คุณจงรักภักดีว่ามานี้
    ทำให้เป็นบทบาทอันสำคัญยิ่งอีกบทบาทหนึ่ง
    ที่ไม่มีคนไทยสักกี่คนจะคิดถึงได้เลย
    น่าสนใจค่ะ รู้มาแต่ว่าหญิงไทยก็ใจกล้า
    กล้าถือดาบและออกไปรบ ห้าวหาญเหมือนชาย
    แต่ในเชิงเป็นอุปนิกขิตนั้นยังไม่มีใครพูดถึงเลย

    น่าสนใจมากค่ะ
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    จูหยวนจางเป็นชาวนามาก่อน แต่สามารถรวบรวมกองกำลัง
    ช่วยกันขับไล่มองโกล ที่เข้ามาครอบครองจีนตั้งแต่สมัยกุบไลข่าน
    จึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หมิง
    แซ่จู เป็นแซ่ที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับเป็นแซ่ของพระจักรพรรดิ
    เดิมสร้างเมืองหลวงไว้ที่นานกิง พอเข้าสู่สมัยของจักรพรรดิจีนองค์ที่ 3
    จึงย้ายไปสร้างวังหลวงที่ปักกิ่ง อย่างที่เห็นค่ะ ยังคงยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้

    จักรพรรดิจีนองค์ที่ 13 พระเจ้าเสินจง เป็นผู้สร้างสุสานราชวงศ์หมิง
    โชคดีที่ตอนราชวงศ์ชิง (ชาวแมนจู) เข้ามายึดเมืองหลวง
    ไม่ได้ขุดสุสานทิ้ง คนจีนเขาถือกันเรื่องขุดสุสานบรรพบุรุษเนี่ย อัปมงคลยิ่ง

    แต่ราชวงศ์ชิงกลับถูกรัฐบาลจีนคณะชาติ ขุดสุสานจักรพรรดิชิงทิ้ง
    รัฐบาลจีนคณะชาติคงไม่อยากให้เชื้อสายแมนจูอยู่บนแผ่นดินชาวฮั่น
    ถือกันว่าการขุดสุสานของราชวงศ์ชิงนี้เป็นการกระทำที่รุนแรงเพราะ
    ขัดกับความเชื่อของคนจีนเรื่องฮวงซุ้ยต้องอยู่ในทำเลที่ดีและห้ามย้ายค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ถามนิดนึงค่ะคุณจงรักภักดี ทำอย่างไรจึงล่องหนได้คะ ดูที่ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้อยู่ 2 คน แต่มีทางสายธาตุ ชื่อเดียว ^^
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ลองเข้าไปดูตำแหน่งต่างๆที่ profile ดูนะครับ ได้ผลประการใด เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คนที่จะทำงานข่าวกรองหรือทำงานด้านจารชนได้ต้องผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ แม้แต่สายลับก็ต้องได้รับการอบรมในระดับหนึ่งเพื่อให้การวบรวมข่าวและการรายงานข่าวถูกต้องใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

    ส่วนคนที่สามารถสร้างสายลับและใช้สายลับได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่มีศักยภาพสูงเท่านั้นประหนึ่งประมุขที่รู้แจ้งและแม่ทัพที่รู้จริง ไม่เช่นนั้นโดนสายลับหลอกให้ไขว้เขวและอาจทำให้รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดได้จนก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466


    เรื่องการใช้จารชนปล่อย “ข่าวลือ ข่าวลวง ” ที่ฝรั่งเรียกว่า Misinformation และ Disinformation ที่ใช้กันในสงครามข่าวสารปัจจุบันนั้น ซุนวูได้พูดมาแล้วเมื่อ 2,500 ปีก่อน

    ส่วนเรื่องการใช้สายลับสองหน้าหรือ double agent นั้น
    ซุนวูก็ได้กล่าวไว้ว่า

    เรื่องการใช้“สายลับสองหน้า” หรือ Double Agent นั้น ซุนวูชี้แนะไว้นานแล้วว่า “พึงสืบหาจารชนของสัตรู ติดสินบาทคาดสินบน มอบหมายภารกิจ แล้วส่งตัวกลับไป ทำเช่นนั้น จึงได้ตัวและใช้จารชนซ้อนกลได้ ”นัย
    หนึ่ง เปลี่ยนสายลับของศัตรูให้มาทำงานให้กับฝ่ายเราโดยยังแสร้งว่าเป็นสายลับของสัตรูอยู่ใครทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นสุดยอดของจารชน


    credit : ที่มาของเรื่อง ซุนวู ในกระทู้นี้
    http://www.the-thainews.com/analized/domestic/dom030850_
    2.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...