ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    พุทโธ นี่ดีหนักหนา

    พุทโธ นี่ดีหนักหนา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>พุทโธ นี่ดีหนักหนา สารพัดปราบได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งสติแน่วในพุทโธอันเดียว สามารถที่จะระงับทุกข์โศกโรคภัยทั้งหมด ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสิ ความโกรธความฉุนเฉียวเกิดขึ้นมา ก็ตั้งสตินึกถึง พุทโธ เดี๋ยวก็หายหมด อายพระพุทธเจ้าอายพุทโธนี่แหละพุทโธดีอย่างนี้

    ที่มันไม่หายเพราะไม่ได้ตั้งสติให้แน่วแน่ กำหนดพุทโธเฉยๆ หลอกๆ
    พุทโธเลยไม่อยู่กับเรา พุทโธพระพุทธเจ้าหายหมด มันก็มีแต่กิเลสเข้ามาครอบงำมีแต่ความโกรธวุ่นวายหมด ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    เป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง

    ถ้าหากเราไม่มีสติตั้งอยู่ในพุทโธแล้ว สารพัดจะทำตัวของเราให้เป็นไปต่างๆ นาๆ จนกระทั่งคิดประทุษร้ายประหัตประหารฆ่าฟันผู้อื่นได้
    ทุกประการ

    ถ้าตั้งสติกำหนดพุทโธไว้ พุทโธมาอยู่แทนที่ ความโกรธก็เลยหายจากใจหมด ฉะนั้นอย่าลืมให้ระลึกถึงพุทโธอยู่เสมอ จึงจะเป็นผลให้สำเร็จประโยชน์แก่ตน เอาพุทโธตัวเดียวเท่านั้นแหละไว้ให้มั่น ตั้งสติกำหนดลงให้จริงๆ จังๆ ในที่เดียวนี่แหละ

    กายตั้งมั่นอยู่แล้วใจมันต้องให้อยู่เหมือนกัน มันพาเราวิ่งว่อนมามากต่อมาก เกิดมาอายุเท่าไรแล้วก็ไม่ทราบ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นตัวพุทโธเลยสักที จิตก็ไม่เห็น สติควบคุมจิตไม่อยู่ไม่เห็นจิตเลย ไม่เห็นพุทโธเลย
    พุทโธนั่นคือจิตเอาอันั้นเสียก่อน เอาพุทโธๆๆ ไว้ในจิตใจตัวนั่นแหละ

    เมื่อสติควบคุมมัน มันก็อยู่กับพุทโธ เอาพุทโธเป็นจิตเสียก่อน ครั้นเมื่อคุมจิตอยู่แล้วพุทโธจะหายไป จะยังเหลือแต่จิตก็เอา ไม่ต้องไปนึกถึงพุทโธอีกเท่านี้ล่ะเป็นพอ ที่นี้ก็เอาแต่จิตนั่นแหละ

    : หลวงปู่เทศก์ เทศรังสี
    : การฝึกหัดกัมมัฏฐาน วัดหินหมากเป้ง ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๒๕

    </TD></TR><TR><TD>ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4588</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    โลกร้อนเพราะความอยาก


    โลกทุกวันนี้ รวมทั้งประเทศชาติไทยของเรานี้ด้วย ร้อนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน โดยเฉพาะในบ้านเมืองไทยเรา มีทั้งเผา มีทั้งฆ่า มีทั้งข่มขืน มีทั้งทรยศคดโกง หลอกลวง ขาดทั้งความมีกตัญญูกตเวทีตาธรรมคือไม่รู้พระคุณที่ท่านทำแล้วและไม่ตอบแทนพระคุณท่าน

    ขาดทั้งเมตตาปรารถนาให้ใครๆ ทั้งนั้นเป็นสุข ขาดทั้งกรุณาช่วยผู้มีทุกข์ให้พ้นทุกข์ มีทั้งความไม่รู้จักอาย คิดพูดทำที่น่าเกลียดน่ากลัวน่ารังเกียจและน่าอับอาย ได้อย่างเป็นเรื่องธรรมดา

    รวมทั้งการแต่งกายที่ไม่ใช่ความงดงามเรียบร้อยของไทยแท้จริง เพียงเท่าที่สามารถนำมากล่าวได้ในที่นี้ ก็น่าคิด ว่าเกิดเพราะกิเลสตัวสำคัญคือความอยาก หรือมิใช่ที่สามารถผูกรัดมนุษย์เราไว้ได้ เหมือนนางนกที่ถูกบ่วงคล้อง

    โลกทุกวันนี้ ไทยทุกวันนี้ ต่างก็ร้อนแรงด้วยอำนาจของความอยาก จริงหรือไม่ลองยกขึ้นพิจารณาก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่จริง

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกไม่ได้กำลังร้อนแรงเพราะความอยากของผู้คนในโลก และแน่นอนในประเทศไทยเราด้วย อยากได้เงิน นี้น่าจะเป็นข้อที่เห็นได้ง่ายกว่าข้ออื่น ฆ่ากัน เหตุส่วนมากก็เพื่อลักขโมยทรัพย์สินเงินทองของผู้ต้องถูกฆ่า


    หรือถูกยิงถูกฟัน ไม่ตายก็อาการสาหัสต้องทนทุกขเวทนา เป็นภาพที่สร้างความสลดสังเวชให้แก่ผู้พบเห็นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่เฉพาะผู้คนในบ้านเรือนผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บแทบล้มตายเท่านั้น ที่เดือดร้อนตระหนกตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่แทบทุกอาคารบ้านเรือนที่ผู้คนรับรู้รับเห็น ร่วมมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน

    โลกจึงร้อนเพราะมีความอยากได้เงินได้ทองของคนจำพวกหนึ่งเป็นเหตุ แม้คิดดู ก็คงเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ว่าความอยากมี อยากเป็น ของคนหนึ่ง ที่มีจำนวนไม่น้อยนักแล้วในปัจจุบัน เขาเหล่านั้นมีความอยากที่รุนแรง ทั้งอยากมีเงิน อยากเป็นผู้มีเงิน ถ้ายังไม่มีความอยากเกิดขึ้น ความเดือดร้อนเพราะการฆ่าการลักขโมยก็ย่อมไม่เกิด

    ต้องความอยากมีอยากเป็นเกิดขึ้นเสียก่อน ฉุดกระชากลากตัวไปก่อกรรมร้ายแรงได้ ทั้งปล้นทั้งจี้ทั้งฆ่า ความอยากสามารถก่อให้เกิดกรรมได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่กลัวบาปไม่กลัวกรรม อำนาจของความอยากเห็นได้ไม่ยากนัก

    แต่เราไม่ได้พากันนึก จึงไม่เห็นความสำคัญนี้ ไม่ได้คิดถึงโทษของความอยาก ว่ารุนแรง และสำคัญมาก ถ้าความอยากไม่มี โลกต้องไม่ร้อนจนน่าตกใจเช่นทุกวันนี้ ความอยากจึงต้องไม่ดีแน่แล้ว ต้องเป็นสิ่งที่ควรลดละให้น้อยลง ลดน้อยลง จนถึงให้หมดสิ้นไปให้ได้ในวันหนึ่ง


    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    : แสงส่องใจ ทำบุญแผ่นดินไทย พระพุทธศักราช ๒๕๕๐
    : ณ วัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์
    ที่มา
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13059
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ภาวนาเอากิเลส..?????

    เวลาลูกศิษย์มากราบเรียนถามปัญหาในการปฏิบัติเอากับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร บางทีท่านไม่ค่อยตอบ บางทีก็เหมือนกับตอบไป"คนละเรื่อง"กับที่ถาม

    เหตุผลเช่นนี้ก็คือ "หลวงปู่
    ท่านชอบให้ลูกศิษย์ใช้ปัญญาแก้ปัญหาเองมากกว่า ถ้าท่านตอบแล้วเราต้องเอาไปพิจารณา คำตอบของท่านมักให้ไว้ล่วงหน้า บางทีเพียรปฏิบัติตามไปๆ ปีหนึ่งหรือบางทีสามถึงสี่ปี จึงเข้าใจว่าที่ท่านสอนนั้นจริงและตรง"

    ครั้งหนึ่งมีผู้ไปกราบเรียนถามท่านว่า
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสโทรไปคุยกับพี่ใหญ่เพื่อสอบถามปัญหาในเรื่องการปฏิบัติสมาธิที่เกิดขึ้น พี่ใหญ่ก็ช่วยแนะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจนเข้าใจมีอยู่ตอนหนึ่งที่ถามพี่ใหญ่ว่า ทำไมการทำสมาธิจึงไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะทำหรือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง หรือว่ามันเป็นของที่ทำยาก พี่ใหญ่ตอบกลับมาดังนี้

    "การปฏิบัติทำสมาธิไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านพยายามสอนธรรมะและการปฏิบัติให้ง่ายๆที่สุดก่อนแล้วค่อยๆไล่ไปหาเรื่องที่ยาก เหมือนเราเรียนหนังสือหรือเล่นกีฬานั่นแหละคือต้องเริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่ง่ายๆก่อนแล้วค่อยไปเรียนรู้ในสิ่งที่ยากๆขึ้นไปจึงจะไม่รู้สึกท้อถอย ดังนั้นการฝึกหัดปฏิบัติสมาธิก็เช่นกันเอาที่ง่ายที่สุดก่อนก็คือ "การเล่นลม" ซึ่งก็คือการทำอาณาปาณสติอย่างง่ายๆนั่นเอง เป็นการฝึกที่ง่ายและไม่ต้องลงทุนอะไรเลย จะนั่ง ยืน เดิน หรือนอนก็ทำได้ เพราะ เป็นการฝึกที่ต้องการให้เรากำหนดรู้ถึงความรู้สึกของลมหายใจที่เราสูดเข้า / ออกที่ผ่านปลายจมูกของเราเอง โดยให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจของเราผ่านปลายจมูกของเราเข้าไปเมื่อเวลาเราหายใจเข้า และกำหนดรู้ว่าลมหายใจของเราผ่านปลายจมูกของเราออกไปเมื่อเราหายใจออกมา ระหว่างหายใจเข้าออกไม่ต้องไปกังวลว่าต้องหายใจเข้าออกให้ยาวหรือสั้น ให้หายใจในแบบที่เรารู้สึกว่าหายใจแล้วรู้สึกสบายไม่อึดอัดเป็นใช้ได้ แต่ที่สำคัญให้กำหนดรู้หรือจับความรู้สึกไว้ที่ปลายจมูกที่เราหายใจเข้าออกไว้เป็นหลัก ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจิตของเราก็จะนิ่งและเป็นสมาธิ จะใช้เวลาในการฝึกเริ่มต้นนี้มากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละท่าน แต่ให้ทำให้เป็นนิสัย ทำให้บ่อยๆทุกวัน จนเราเกิดความรู้สึกเคยชินกับการทำสิ่งนี้ นานๆไปเข้าก็จะเกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติเองแบบไม่รู้ตัว ตอนที่พี่ยังเด็กเห็นคุณแม่พี่นอนทำจมูกฟิดๆ ก็เลยเข้าไปถามท่านว่าทำอะไร ท่านบอกว่าเล่นลม พี่ก็เลยขอให้คุณแม่สอนให้ทำบ้าง พี่ชอบคำว่าเล่นลม เพราะฟังดูไม่ใช่เรื่องยากเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครๆก็สามารถทำได้ อย่างที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านพยายามสอนธรรมะและการปฏิบัติให้ง่ายๆไม่ใช่สอนให้ยาก จำไว้ว่าให้ทำให้บ่อยๆทุกวัน ทำให้เป็นนิสัยจนเคยชิน จะทำตอนใดเวลาใดก็ได้เพราะธรรมะของพระพุทธองค์ท่านเป็น อกาลิโก ทำไปเรื่อยๆเถอะแล้วก็จะรู้เองเห็นเอง (ปัจจตัง) คุณแม่พี่สอนพี่ไว้แต่เด็กๆยังจำได้ทุกวันนี้ว่า
    อยากร่ำรวยให้ทำบุญทำทาน อยากไป
    นิพพานให้หมั่นภาวนา "


    นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนากัน ผมก็เลยบอกกับพี่ใหญ่ว่าจะขอนำเอาสิ่งที่ได้สนทนากันบางส่วนนี้มาลงในกระทู้เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการเริ่มฝึกปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการจะเริ่มต้นฝึกปฏิบัติ ซึ่งถ้ามีประโยชน์สำหรับท่านที่จะนำไปฝึกปฏิบัติกันบ้างก็ยินดีและกราบขอบพระคุณพี่ใหญ่ที่ได้ช่วยชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติในครั้งนี้ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2008
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพพร้อมประวัติเกี่ยวกับ มูลคันธกุฏี ณ เขาคิชฌกูฎ กันต่อครับ

    ก่อนขึ้นไปถึง ณ ยอดเขาคิชฌกูฏ จะมีถ้ำที่เป็นกุฏีของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร

    [​IMG]

    ในภาพจะเป็นถ้ำพระโมคคัลลานะ อยู่ก่อนถ้ำพระสารีบุตร ขนาดไม่กว้างใหญ่อะไร พอนั่งภาวนาพักอาศัยได้เท่านั้น เคยมีเรื่องเล่ากันว่า
    พระโมคคัลลานะกับพระลักขณะ ลงจากเขาไปบิณฑบาต ระหว่างทางพระโมคคัลลานะได้ยิ้มออกมา พระลักขณะถามว่ายิ้มอะไร ท่านบอกว่ารอถึงเวฬุวันก่อนจะเล่าให้ฟัง ครั้นพอฉันภัตตาหารเสร็จท่านก็เล่าว่า ผมลงจากเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสุจิโลมเปรตผู้ชาย มีขนเป็นเข็มเต็มตัวไปหมด เข็มนั้นลอยไปในอากาศ แล้วตกมาทิ่มแทงตามตัวของเปรตนั้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เหล่าภิกษุนั่งฟังอยู่หลายท่านตำหนิว่าท่านโมคคัลลานะอวดอุตตริมนุสธรรรม พากันไปกราบทูลฟ้อง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า กาลก่อนเราก็ได้เคยเห็นเช่นนี้ เปรตนั้นเคยเป็นสารถี อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง เป็นคนชอบพูดจาส่อเสียด ก้าวร้าวผู้อื่นอยู่เสมอ ด้วยวิบากกรรมนั้นแหละ เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี แล้วจึงมาเกิดเป็นเปรต โมคคัลลานะพูดความจริง ไม่ต้องอาบัติ
     
  6. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อขึ้นต่อไปจะพบกับถ้ำของพระสารีบุตร มีขนาดใกล้เคียงกับถ้ำของพระโมคคัลลานะ ชาวธิเบตมักนิยมนำหินมาก่อเป็นเจดีย์ขนาดเล็กเพื่อบูชาคุณของพระสารีบุตร

    [​IMG]

    ที่เห็นเป็นก้อนหินขนาดเล็กๆเรียงกันเป็นยอด นั้นคือเจดีย์หินของชาวธิเบต

    [​IMG]

    ถ้ำสุกรขาตา หรือ ถ้ำพระสารีบุตร เป็นที่ๆท่านสำเร็จพระอรหันต์ ขณะถวายงานพัดแด่พระพุทธองค์ โดยพระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดฑีฆนขอัคคิเวสสนโคตรปริพาชก ผู้ประกาศว่าตนไม่ยึดถือทัศนะใดๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสย้อนว่า ที่ไม่ยึดนั่นแหละคือยึดถือ และทรงสอนเรื่องการละทิฎฐิ เรื่องเวทนา ทรงชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของเวทนา เมื่อรู้ว่าไม่เที่ยงก็เบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็หลุดพ้นในที่สุด ผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วย่อมไม่มีวิบากกับใครสิ่งใดที่เค้าพูดกันในโลกก็ตามโวหารเท่านั้น แต่ไม่ยึดถือ

    พระสารีบุตรกำลังถวายงานพัด ดำรงสติระลึกตามกระแสพระธรรมคำสอนด้วยปัญญาอันยิ่ง เมื่อจบธรรมเทศนาลง จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะความไม่ถือมั่น ได้บรรลุเป็นอรหันต์ เมื่อวันมาฆปุณณมี เพ็ญเดือน 3 ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ หลังอุปสมบทแล้ว 15 วัน ส่วนทีฆนขปริพพาชก ได้บรรลุโสดาปัตติผล ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้นับถือพระรัตนตรัย
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    บริเวณยอดเขาที่เห็นเป็นฐานสี่เหลี่ยม นั้นคือมูลคันธกุฎี
    [​IMG]
    [​IMG]

    บันไดช่วงสุดท้ายก่อนถึง มูลคันธกุฏี ณ ยอดเขาคิชฌกูฏ ในภาพจะเห็นคานหามวางอยู่ ไว้สำหรับให้ผู้แสวงบุญที่เดินขึ้นเขาคิชฌกูฏไม่ไหว โดยค่าจ้างแบกขึ้นและลง คิด 600 รูปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กุมภาพันธ์ 2008
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ปางพยาบาลภิกษุอาพาธ

    สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จตรวจเสนาสนะ (ที่อยู่) ของพระภิกษุสาวกโดยมีพระอานนท์ตามเสด็จ ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุรูปหนึ่งนอนป่วยอยู่ตามลำพังด้วยโรคท้องเสียอย่างรุนแรง ผ้านุ่งผ้าห่มเปรอะเปื้อนด้วยปัสสาวะและอุจจาระ ทรงทราบว่าไม่มีผู้ดูแล จึงทรงประคองภิกษุรูปนั้นด้วยพระมหากรุณา ทรงพยาบาลให้ได้รับความสบายโดยมีพระอานนท์คอยช่วยเหลือ จากนั้นตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายให้ประชุมกันแล้วรับสั่งว่า ขอให้ภิกษุช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามเจ็บไข้ เพราะพวกเธอได้สละบ้านเรือนออกมาประพฤติพรหมจรรย์ห่างจากญาติมิตร ถ้าพวกเธอไม่ดูแลกันเองใครเล่าจะดูแล จากนั้นได้ตรัสถึงอานิสงส์การพยาบาลภิกษุอาพาธว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2008
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ได้ฝากเงินทำบุญให้พี่นายสติไปเข้าบัญชีทุนนิธิฯ จำนวน 300 บาท เป็นปัจจัยของ
    คุณอณาธร ศรีสกุลพาณิชย์

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อวานคณะกรรมการและรองประธานฯ ได้ประชุมกัน ได้มีมติให้การทำบุญครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ ที่ 16 มีนาคม 2551 ครับ โดยมียอดการทำบุญประมาณการไว้ราว 15,000.- บาท ครับ ส่วนรายละเอียดทั้งหมด จะได้แจ้งให้ทราบก่อนถึงวันทำบุญจริงล่วงหน้าประมาณสัก 3-5 วันครับ เพราะต้องเช็คยอดพระที่มีอยู่จริงที่ตึกว่ามีจำนวนเท่าใด แต่ที่แน่นอนก็คือ เรื่องค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง และซื้อเลือดถวาย จะเป็น 5,000.- + 5,000.- ครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 594.75pt; mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 width=793 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 48.75pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #d4d0c8; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #d4d0c8; PADDING-LEFT: 0.75pt; BACKGROUND: #ffcc99; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #d4d0c8; WIDTH: 587.25pt; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; HEIGHT: 48.75pt" width=783>

    วันนี้นึกสนุก เลยนำความรู้รอบตัวมาฝากให้ได้อ่านกันว่า "ชั่วกัปชั่วกัลป์" นี่หมายถึงอะไร นานขนาดไหน เผื่อโดนใครแช่งชักหักกระดูกเอา
    พันวฤทธิ์

    ชั่วกัปชั่วกัลป




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1"><TD style="BORDER-RIGHT: #d4d0c8; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #d4d0c8; PADDING-LEFT: 0.75pt; BACKGROUND: #ffcc99; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #d4d0c8; WIDTH: 587.25pt; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #d4d0c8" width=783>ครูแก้ว : เขียน<O:p</O:p




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 2; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #d4d0c8; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #d4d0c8; PADDING-LEFT: 0.75pt; BACKGROUND: #ffffcc; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #d4d0c8; WIDTH: 587.25pt; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #d4d0c8" width=783><O:p</O:p
    ผู้เขียนได้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า
     
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มูลคันธกุฎี ณ ยอดเขาคิชฌกูฎ นครราชคฤห์ พระพุทธองค์ทรงพำนักอยู่บ่อยครั้ง

    [​IMG]

    ในภาพจะเป็นฐานกุฎีที่พำนัก ที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระพุทธองค์ ณ ยอดเขาคิชฌกูฎ มีขนาดไม่กว้างใหญ่ พอแต่สมณะอยู่อาศัย เพื่อแสวงหาความวิเวก

    [​IMG]

    ในรูปพระวิทยากร กำลังเตรียมที่สำหรับให้คณะแสวงบุญได้สวดมนต์ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถ้ามองไปที่ข้างบนภาพจะเป็นฐานกุฎีของพระอานนท์ พระที่อุปฐากใกล้ชิดพระพุทธองค์ มีขนาดที่เล็กมากกว้างยาวประมาณ 1.5x1.5 เมตรเท่านั้น

    [​IMG]

    วิวของมหานครราชคฤห์ ที่มีทิวเขาล้อม มองจากยอดเขาคิชฌกูฎ
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    วันนี้ผมได้ไปดำเนินการให้เรียบร้อยแล้วนะครับกราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญกับคุณอณาธร ศรีสกุลพาณิชย์ ครั้งนี้ด้วยครับ

    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    วันนี้ผมได้ไปนำเงินฝากเข้าบัญชีของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม โดยมีผู้ฝากเงินผ่านทางพี่ใหญ่มาให้ดังนี้

    1. ท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาคร 1,000 บาท
    คุณ เอกชัย อาจสาคร (พี่จิ๋ว)
    คุณศรีสงกรานต์ ปลั่งกระโทก

    2. คุณทตนน ภัทรพลภูชิต 400 บาท

    3. คุณเรืองศิลป์ และเพื่อน 700 บาท

    กราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญครั้งนี้ด้วยครับ

    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    บำเพ็ญสมาธิทำไม

    ปัญหา การบำเพ็ญสมาธินั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำลายกิเลส แล้วบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ ? หรือว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นด้วย ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนามีอยู่ ๔ ประการ คือ สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญแล้วเพิ่มพูนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อให้เกิดจากเป็นแจ้งด้วยญาณ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อ (ความสมบูรณ์แห่ง) สติสัมปชัญญะ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อความหมดสิ้นแห่งอาสวะ ๑.....”
    สมาธิสูตร จ. อํ. (๔๑)
    ตบ. ๒๑ : ๕๗ ตท. ๒๑ : ๕๒
    ตอ. G.S. II : ๕๑-๕๓

    ที่มา <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="51%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    สมาธิเพื่ออยู่เป็นสุข

    ปัญหา การบำเพ็ญสมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันคืออย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (มีจิต) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม แล้วบรรลุฌานที่หนึ่ง อันประกอบด้วยความตรึก ความครอง ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่ความสงบดำรงในฌานนั้น
    “แล้วบรรลุถึงฌานที่สอง ซึ่งจิตมีความเป็นหนึ่งแน่วแน่ ผ่องใสอยู่ภายใน ไม่มีความตรึกความตรอง เพราะความตรึกความตรองระงับไป มีแต่ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่สมาธิ ดำรงอยู่ในฌานนั้น
    “ต่อจากนั้นก็มีใจสงบนิ่ง เพราความอิ่มเอิบใจระงับไว้ มีความตื่นตัว ความรู้ตัว เสวยสุขด้วยนามกาย แล้วบรรลุฌานที่สาม ที่พระอริยสรรเสริญรู้ได้ฌานนี้ ย่อมมีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุขเป็นประจำ
    “ต่อจากนั้นก็บรรลุฌานที่สี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ และดับโสมนัสโทมนัสเดิมได้ มีแต่อุเบกขาและสติอันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในฌานนั้น
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุข ในปัจจุบัน”
    สมาธิสูตร จ. อํ.

    ที่มา <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="51%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ทำไมอาสวะจึงไม่สิ้น

    ปัญหา การบรรลุมรรคผล หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก เพราะเหตุไร ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ทบทวนอีกทีกันลืมครับ



    การฝึกสมาธิ

    การอบรมจิตให้เป็นสมาธิและให้เข้าถึงฌานนั้น ในทางพระพุทธศาสนานั้นจำเป็นต้องอาศัยอุบายอันแยบคายจึงจะสำเร็จได้โดยง่าย ซึ่งท่านได้วางอุบายอันแยบคายอันนั้นไว้แล้ว และท่านเรียกมันว่า
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    งานบุญครั้งต่อไปวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2551 ครับ อยากให้ไปโมทนาบุญ ไปถวายพระท่านกับมือ ไปร่วมบรรยากาศบุญด้วยกันผมและคณะกรรมการขอเรียนเชิญด้วยความยินดีครับ และถ้ามีอะไรก็จะได้เล่าสู่กันฟังแลกเปลี่ยนความเห็นด้านธรรมะด้านจิตตานุภาพครับ และหากยังไม่มีพระที่แจกให้ตอนเปิดโครงการก็ขอในวันนั้นได้ จะติดไปให้ แต่ไม่รับขอทางเวบครับ จะได้ทราบว่าพระนี้มีกฤติยาคมเพียงใด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0687.jpg
      DSCN0687.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.8 KB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2008
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886


    โสดาบัน อริยะบุคคลชั้นแรก ที่ชาวพุทธสามารถปฏิบัติได้ขณะครองเรือน

    โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสธรรม ผู้แรกถึงกระแสธรรม (คืออริยมรรค)
    โสดาบัน เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทแรกใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามีอนาคามีอรหันต์ ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ
    1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
    2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสังสัย เช่นสังสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
    3. สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา
    ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้ คฤหัสถ์ คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
    การเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวร ทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือ เดียรฉาน) ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน

    [แก้] อ้างอิง
    http://th.wikipedia.org/wiki/พระโสดาบัน<!-- Pre-expand include size: 3443/2048000 bytesPost-expand include size: 3441/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:41372-0!1!0!!th!2 and timestamp 20080216154733 -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2008

แชร์หน้านี้

Loading...