ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ร่วมบุญกับทุนนิธิ ของเดือน มกราคม 2554

    <STYLE>@font-face { font-family: SimSun;}@font-face { font-family: Angsana New;}@font-face { font-family: Tahoma;}@font-face { font-family: ;}P.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}LI.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}DIV.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>โอนเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    สถานที่ 6661 ลำดับ 1369 (เครื่องฝากเงินสด)

    วันที่ 10 มกรา 2554 เวลา 8.03 น. จำนวน 1000 บาท

    อนุโมทนาในบุญอันเป็นมหากุศลของทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    สวัสดีครับ
    วันนี้10/01/11 19;43 ได้โอนเงินมาทำบุญ 500 บาทเข้าบัญชีทุนนิธิ 3481232459

    โมทนาบุญทุกประการครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    อ่านใจธรรมชาติ

    หลวงพ่อชา สุภัทโท


    การภาวนาหมายความว่า ให้คิดดูให้ชัดๆ
    พยายามอย่ารีบร้อนเกินไป อย่าช้าเกินไป
    ค่อยทำค่อยไป แต่ให้มีวิธีการและจุดหมายในการปฏิบัติภาวนานั้น


    ทุกคนที่ออกมาปฏิบัตินั้น ก็ออกมาด้วย "ความอยาก"กันทั้งนั้น
    มันมีความอยาก แต่ความอยากนี้ บางทีมันก็ปนกับความหลง
    ถ้าอยากแล้วไม่หลง มันก็อยากด้วยปัญญา
    ความอยากอย่างนี้ท่านเรียกว่า
    เป็นบารมีของตน แต่ไม่ใช่ทุกคนนะที่มีปัญญา


    บางคนไม่อยากจะให้มันอยาก
    เพราะเข้าใจว่า การมาปฏิบัติก็เพื่อระงับความอยาก
    ความจริงน่ะ ถ้าหากว่าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติ
    ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ลองพิจารณาดูก็ได้


    ทุกคน แม้องค์พระพุทธเจ้าของเราก็ตาม
    ที่ท่านออกมาปฏิบัติ ก็เพื่อจะให้บรรเทากิเลสทั้งหลายนั้น


    แต่ว่ามันต้องอยากทำ อยากปฏิบัติ อยากให้มันสงบ และก็ไม่อยากให้มันวุ่นวาย
    ทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นอุปสรรคทั้งนั้น
    ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีความฉลาดในการกระทำอย่างนั้น
    เพราะว่ามันปนกันอยู่ อยากทั้งสองอย่างนี้มันมีราคาเท่าๆกัน


    อยากจะพ้นทุกข์มันเป็นกิเลส สำหรับคนไม่มีปัญญาอยากด้วยความโง่
    ไม่อยากมันก็เป็นกิเลส เพราะไม่อยากอันนั้นมันประกอบด้วยความโง่เหมือนกัน
    คือ ทั้งอยาก ไม่อยาก ปัญญาก็ไม่มี
    ทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นกามสุขัลลิกานุโยโค กับอัตตกิลมถานุโยโค
    ซึ่งพระพุทธองค์ของเรา ขณะที่พระองค์กำลังทรงปฏิบัติอยู่นั้น
    ท่านก็หลงใหลในอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
    ท่านหาอุบายหลายประการ กว่าจะพบของสองสิ่งนี้

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=36134
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เพิ่มเติมรูปภาพจากถวายผ้าห่มหนาวจาก รพ.แม่สอดครับ

    [​IMG]


    [​IMG]
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตอยู่แล้ว ค่อยๆ อ่าน ทีละข้อ ทีละตอน อาจจะมีบ้างที่ตรงกับเราในปัจจุบันก็ได้

    ธรรมะบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท

    "จิตที่ตื่นรู้ เบิกบาน เป็นพุทธะ" สั้นๆ ง่ายๆ

    นี่เรื่องอัตโนมัติของจิตที่เป็นอยู่ ไม่ได้แต่งมัน หัดเบื้องแรกมันเป็นเลย
    ถ้าเราทำอยู่อย่างนี้ ท่านมหาจะมีอาการอย่างหนึ่งแปลกขึ้นมา คือ
    เวลาไปนอน ตั้งใจแล้วนอน เคยนอนกรนหรือนอนละเมอ กัดฟัน
    หรือนอนดิ้น นอนขวาง ถ้าจิตเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ฉิบหายหมด
    ถึงจะหลับสนิทตื่นขึ้นมาแล้ว มีอาการคล้ายกับไม่ได้นอน เหมือนไม่ได้หลับ
    แต่ไม่ง่วง เมื่อก่อนเราเคยนอนกรน ถ้าเราทำจิตให้ตื่นแล้วไม่กรนหรอก
    จะกรนอย่างไร คนไม่ได้นอน กายมันไประงับเฉยๆ ตัวนี้ตื่นอยู่ตลอด
    ทั้งวันทั้งคืน ตื่นอยู่ทุกกาลเวลา คือพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้แจ้ง
    ผู้สว่าง ตัวนี้ไม่ได้นอนมันเป็นของมันอยู่ ไม่รู้สึกง่วง
    ถ้าเราทำจิตของเราอย่างนี้ไม่นอนตลอด 2 - 3 วัน บางทีมันง่วง
    ร่างกายมันเพลีย พอง่วงเรามากำหนดเข้าสมาธิทันทีสัก 5 นาที
    หรือ 10 นาทีแล้วลืมตาตื่นขึ้น จะรู้สึกเท่ากับได้นอนตลอดคืนและวัน

    เรื่องการนอนหลับนี่ ถ้าไม่คิดถึงสังขารแล้วไม่เป็นไร
    แต่ว่าเอาแต่พอควร เมื่อนึกถึงสภาวะสังขารความเป็นไปแล้ว
    ก็ให้ตามเรื่องของมัน ถ้ามันถึงตรงนั้นแล้ว ไม่ต้องนำไปบอกหรอก
    มันบอกเอง มันจะมีผู้จี้ผู้จด ถึงขี้เกียจก็มีผู้บอกให้เราขยันอยู่เสมอ
    อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าถึงจุดมันจะเป็นของมันเอง ดูเอาสิ อบรมมานานแล้ว
    อบรมตัวเองดู

    กายวิเวกสำคัญมาก

    แต่ว่าเบื้องแรกกายวิเวกสำคัญนะ เมื่อเรามาอยู่กายวิเวกแล้ว
    จะนึกถึงคำพระสารีบุตรเทศน์ไว้เกี่ยวกับ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
    (อุปธิวิเวก = สงัดจากกิเลส-นิพพาน) กายวิเวกเป็นเหตุให้เกิดจิตวิเวก
    จิตวิเวกเป็นเหตุเกิดอุปธิวิเวก แต่บางคนพูดว่าไม่สำคัญหรอก
    ถ้าใจเราสงบแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ จริงอยู่ แต่เบื้องแรกให้เห็นว่า
    กายวิเวกเป็นที่หนึ่ง ให้คิดอย่างนี้ วันนี้หรือวันไหนก็ตาม
    ท่านมหาเข้าไปนั่งอยู่ในป่าช้าไกลๆบ้าน ลองดู ให้อยู่คนเดียว
    หรือท่านมหาจะไปอยู่ยอดเขายอดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หวาดสะดุ้ง
    ให้อยู่คนเดียวนะ เอาให้สนุกตลอดคืน แล้วจึงจะรู้จักว่ามันเป็นอย่างไร

    เรื่องกายวิเวกนี่ แม้เมื่อก่อนอาตมาเองก็นึกว่าไม่สำคัญเท่าไร
    คิดเอาแต่เวลาไปทำดูแล้ว จึงนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
    พระองค์สอนให้ไปหากายวิเวกเป็นเบื้องแรกเป็นเหตุให้จิตวิเวก
    ถ้าจิตวิเวกก็เป็นเหตุเกิดอุปธิวิเวก เช่นเรายังครองเรือน
    กายวิเวกเป็นอย่างไร พอกลับถึงบ้านเท่านั้นต้องวุ่นวายยุ่งเหยิง
    เพราะกายไม่วิเวก ถ้าออกจากบ้านมาสู่สถานที่วิเวก ก็เป็นไปอีกแบบหนึ่ง

    อาจารย์ช่วยชี้แนะผิดถูก

    ฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า เบื้องแรกนี้กายวิเวกเป็นของสำคัญ
    เมื่อได้กายวิเวกแล้วก็ได้ธรรม เมื่อได้ธรรมแล้วก็ให้มีครูบาอาจารย์
    เทศน์ให้ฟัง คอยแนะนำตรงที่เราเข้าใจผิด เพราะที่เราเข้าใจผิดนั่น
    เหมือนกับเราเข้าใจถูกนี่เอง ตรงที่เราเข้าใจผิดแต่นึกว่าถูก
    ถ้าได้ท่านมาพูดให้ฟังจึงเข้าใจว่าผิด ที่ท่านว่าผิดก็ตรงที่เรานึกว่า
    ถูกนั่นแหละ อันนี้มันซ้อนความคิดของเราอยู่

    เรียนตามแบบ รบนอกแบบ

    ตามที่ได้ทราบข่าวมีพระนักปริยัติบางรูป ท่านค้นคว้าตามตำรา
    เพราะได้เรียนมามาก อาตมาว่าทดลองดูเถอะ การกางแบบ กางตำราทำนี่
    ถึงเวลาเรียน เรียนตามแบบ แต่เวลารบ รบนอกแบบ ไปรบตามแบบ
    มันสู้ข้าศึกไม่ไหว ถ้าเอากันจริงจังแล้วต้องรบนอกแบบ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
    ตำรานั้น ท่านทำไว้พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น บางทีอาจทำให้เสียสติก็ได้
    เพราะพูดไปตามสัญญา สังขาร ท่านไม่เข้าว่าสังขารมันปรุงแต่งทั้งนั้น
    เดี๋ยวนี้ลงไปพื้นบาดาลโน่น ไปพบปะพญานาค เวลาขึ้นมาก็พูดกับพญานาค
    พูดภาษาพญานาค พวกเราไปฟังมันไม่ใช่ภาษาพวกเรา มันก็เป็นบ้าเท่านั้นเอง

    ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้ทำอย่างนั้น เรานึกว่าจะดิบจะดี
    มันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ท่านพาทำนี้มีแต่ส่วนละส่วนถอนเรื่องทิฏฐิมานะ
    เรื่องเนื้อเรื่องตัวทั้งนั้น อาตมาว่าการปฏิบัตินี้ก็ยากอยู่ ถึงอย่างไร
    ก็อย่างทิ้งครูทิ้งอาจารย์ เรื่องจิตเรื่องสมาธินี่หลงมากจริงๆ
    เพราะสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นขึ้นมาได้เราจะว่าอย่างไร
    อาตมาก็ระวังตังเองเสมอ

    ตัดปัญหา อย่าคาดหวังหรือกะเกณฑ์

    เมื่อคราวออกปฏิบัติในระยะ 2-3 พรรษาแรก ยังเชื่อตัวเองไม่ได้
    แต่พอได้ผ่านไปมากแล้ว เชื่อวาระจิตตัวเองแล้วไม่เป็นอะไรหรอก
    ถึงจะมีปรากฏการณ์อย่างไรก็ให้มันเป็นมา ถ้ารู้เรื่องอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้ก็ระงับไป
    มีแต่เรื่องจะพิจารณาต่อไปก็สบาย ท่านมหายังไม่ได้ทำดู เคยนั่งสมาธิแล้วใช่ไหม
    การนั่งสมาธินี่ สิ่งที่ไม่น่าผิดก็ผิดได้ เช่น เวลานั่งเราตั้งใจว่า
    “เอาละ จะเอาให้มันแน่ๆดูที” เปล่า! วันนั้นไม่ได้อะไรเลย
    แต่คนเราชอบทำอย่างนั้น อาตมาเคยสังเกต มันเป็นของมันเอง เช่น
    บางคืนพอเริ่มนั่งก็นึกว่า “เอาละ วันนี้อย่างน้อยตีหนึ่งจึงจะลุก”
    คิดอย่างนี้ก็บาปแล้ว เพราะว่าไม่นานหรอก เวทนามันรุมเอาเกือบตาย
    มันดีเวลานั่งโดยไม่ต้องกะเกณฑ์ ไม่มีที่จุดที่หมาย ทุ่มหนึ่ง สองทุ่ม สามทุ่ม
    ก็ช่างมัน นั่งไปเรื่อยๆ วางเฉยไว้ อย่าบังคับมัน อย่าไปหมายมั่น
    อย่าไปบังคับหัวใจว่า จะเอาให้มันแน่ๆ มันก็ยิ่งไม่แน่
    ให้เราวางใจสบายๆ หายใจก็ให้พอดี อย่าเอาสั้นเอายาว อย่าไปแต่งมัน
    กายก็ให้สบาย ทำเรื่อยไป มันจะถามเราว่า จะเอากี่ทุ่ม จะเอานานเท่าไร
    มันมาถามเรื่อยหรอก เราต้องตวาดมันว่า “เฮ้ย อย่ามายุ่ง” ต้องปราบมันไว้เสมอ
    เพราะพวกนี้มีแต่กิเลสมากวนทั้งนั้น อย่าเอาใจใส่มัน เราต้องพูดว่า
    “กูอยากพักเร็วพักช้า ไม่ผิดกระบาลใครหรอก กูอยากนั่งอยู่ตลอดคืนมันจะผิดใคร
    จะมากวนกูทำไม” ต้องตัดมันไว้อย่างนี้ แล้วเราก็นั่งเรื่อยไปตามเรื่องของเรา
    วางใจสบายก็เลยสงบ เป็นเหตุให้เข้าใจว่าอำนาจอุปาทานความยึดหมายนี้
    สำคัญมากจริงๆ เมื่อเรานั่งไปๆนานแสนนาน เลยเที่ยงคืนค่อนคืนไป
    ก็เลยนั่งสบาย มันก็ถูกวิธี จึงรู้ว่าความยึดมั่นถือมั่นเป็นกิเลสจริงๆ
    เพราะวางจิตไม่ถูก

    บางคนนั้น เวลานั่งจุดธูปไว้ข้างหน้าคิดว่า “ธูปดอกนี้ไหม้หมดจึงจะหยุด”
    แล้วนั่งต่อไป พอนั่งไปได้ 5 นาที ดูเหมือนนานตั้งชั่วโมง ลืมตามองดูธูป
    แหม ยังยาวเหลือ หลับตานั่งต่อไปอีก แล้วก็ลืมตาดูธูป ไม่ได้เรื่องอะไรเลย
    อย่า อย่าไปทำ มันเหมือนกับลิง จิตเลยไม่ต้องทำอะไร นึกถึงแต่ธูป
    ที่ปักไว้ข้างหน้าว่า จวนจะไหม้หมดหรือยังหนอ นี่มันเป็นอย่างนี้
    เราอย่าไปหมาย

    ถ้าเราทำภาวนา อย่าให้กิเลสตัณหามันรู้เงื่อนรู้ปลายได้
    “ท่านจะเอาอย่างไร” มันถามเรา “จะเอาขนาดไหน จะเอาประมาณเท่าไร ดึกเท่าไร”
    มันมาทำให้เราตกลงกับมัน ถ้าเราไปว่าจะเอาสักสองยาม มันจะเล่นงานเราทันที
    นั่งไปยังไม่ถึงชั่วโมงต้องร้อนรนออกจากสมาธิ แล้วก็เกิดนิวรณ์ว่า
    “แหม มันจะตายหรือยังกันนา ว่าจะเอาให้มันแน่ มันก็ไม่แน่นอน ตั้งสัจจะไว้
    ก็ไม่ได้ดั่งตั้ง” คิดทุกข์ใส่ตัวเอง ด่าตัวเอง พยาบาทตัวเอง
    ไม่มีคนพยาบาทก็เป็นทุกข์อีกนั่นแหละ ถ้าได้อธิษฐานแล้วต้องเอาให้มันรอดตาย
    หรือตายโน่น อย่าไปหยุดมันจึงจะถูก เราค่อยทำค่อยไปเสียก่อน ไม่ต้องอธิษฐาน
    พยายามฝึกหัดไป บางครั้งจิตสงบ ความเจ็บปวดทางร่างกายก็หยุด เรื่องปวดแข้ง
    ปวดขามันหายไปเอง

    หมั่นพิจารณาเสมอๆ อย่าเผลอใจ

    การปฏิบัติอีกแบบหนึ่งนั้น เห็นอะไรก็ให้พิจารณา
    ทำอะไรก็ให้พิจารณาทุกอย่าง อย่าทิ้งเรื่องภาวนา
    บางคนพอออกจากทำความเพียรแล้ว คิดว่าตัวเองหยุดแล้ว พักแล้ว
    จึงหยุดกำหนด หยุดพิจารณาเสีย เราอย่าเอาอย่างนั้น
    เห็นอะไรให้พิจารณา เห็นคนดีคนชั่ว คนใหญ่คนโต คนร่ำคนรวย
    คนยากคนจน เห็นคนเฒ่าคนแก่ เห็นเด็กเห็นเล็ก เห็นคนน้อยคนหนุ่ม
    ให้พิจารณาไปทุกอย่าง นี่เรื่องภาวนาของเรา

    การพิจารณาเข้าหาธรรมะนั้น ให้เราพิจารณาดูอาการ
    เหตุผลต่างๆนาๆ มันน้อยใหญ่ ดำขาว ดีชั่ว อารมณ์ทุกอย่างนั่นแหละ
    ถ้าคิดเรียกว่ามันคิด แล้วพิจารณาว่า มันก็เท่านั้นแหละ สิ่งเหล่านี้
    ตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย นี่แหละป่าช้าของมัน
    ทิ้งมันใส่ลงตรงนี้ จึงเป็นความจริง

    เรื่องการเห็นอนิจจังเป็นต้นนี้คือ เรื่องไม่ให้เราทุกข์เป็นเรื่องพิจารณา
    เช่น เราได้ของดีมาก็ดีใจ ให้พิจารณาความดีเอาไว้ บางทีใช้ไปนานๆ
    เกิดไม่ชอบมันก็มี อยากเอาให้คน หรืออยากให้คนมาซื้อเอาไป
    ถ้าไม่มีใครมาซื้อก็อยากจะทิ้งไป เพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนี้
    มันเป็นอนิจจังมันจึงเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ขาย ไม่ได้ทิ้ง ก็เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา
    เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้เอง พอรู้จักเรื่องเดียวเท่านั้น จะมีอีกกี่เรื่องก็ช่าง
    เป็นอย่างนี้หมด เรียกว่า เห็นอันเดียวก็เห็นหมด

    บางทีรูปนี้หรือเสียงนี้ไม่ชอบ ไม่น่าฟัง ไม่พอใจ ก็ให้พิจารณาจำไว้
    ต่อไปเราอาจจะชอบ อาจจะพอใจในของที่ไม่ชอบ เมื่อก่อนนี้ก็มี มันเป็นได้
    เมื่อนึกรู้ชัดว่า “อ้อ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ทิ้งลงใส่นี่แหละ
    ก็เลยไม่เกิดความยึดมั่นในสิ่งที่ได้ดีมีเป็นต่างๆ เห็นเป็นอย่างเดียวกัน
    ให้เป็นธรรมะเกิดขึ้นเท่านั้น เรื่องที่พูดมานี้ พูดให้ฟังเฉยๆ เมื่อมาหาก็พูดให้ฟัง
    เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องพูดมากอะไร ลงมือทำเลย เช่น เรียกกัน ถามกัน
    ชวนกันไปว่า ไปไหมไป ไปก็ไปเลย พอดีพอดี

    นิมิตเป็นของหลอกลวง

    เมื่อลงนั่งสมาธิถ้าเกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นนางฟ้า เป็นต้น
    เมื่อเห็นอย่างนั้นให้เราดูเสียก่อนว่า จิตเป็นอย่างไร อย่าทิ้งหลักนี้
    จิตต้องสงบจึงเป็นอย่างนั้น นิมิตที่เกิดขึ้น อย่าอยากให้มันเกิด
    อย่าไม่อยากให้มันเกิด มันมาก็พิจารณา พิจารณาแล้วอย่าหลง
    ให้นึกว่ามันไม่ใช่ของเรา นี่ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน
    ถึงมันจะเป็นอยู่ก็อย่าเอาใจใส่มัน เมื่อมันยังไม่หายตั้งจิตใหม่
    กำหนดลมหายใจมากๆ สูดลมเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ
    อย่างน้อย 3 ครั้งก็ตัดได้ ตั้งกำหนดใหม่เรื่อยไป

    สิ่งเหล่านี้อย่าว่าเป็นของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต คือ
    ของหลอกลวงให้เราชอบ ให้เรารัก ให้เรากลัว นิมิตเป็นของหลอกลวงใจเรา
    มันไม่แน่นอน ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมัน ไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามนิมิต
    เห็นนิมิตให้ย้อนดูจิตเลย อย่าทิ้งหลักเดิม ถ้าทิ้งตรงนี้ไปวิ่งตามมัน
    อาจพูดลืมตัวเองเป็นบ้าไปได้ ไม่กลับมาพูดกับเรา เพราะหนีออกจากคอกแล้ว
    ให้เชื่อตัวเองแน่นอน เห็นอะไรมาก็ตาม ถ้านิมิตเกิดขึ้นมาดูจิตตัวเอง
    จิตต้องสงบมันจึงเป็น

    ถ้าเป็นมา ให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่ของเรา นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่
    คนมีปัญญา ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญา ทำความเพียรไปจนเราไม่ตื่นเต้นในนิมิต
    มันอยากเกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจได้อย่างนี้ไม่เป็นไร
    ทีแรกเราตื่นของน่าดู มันก็อยากดู ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลง
    ไม่อยากให้มันดีมันก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไร ปฏิบัติไม่ถูกก็เป็นทุกข์
    มันอยากดีใจก็ช่างมัน ให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่า
    ความดีใจนี้ก็ผิดไม่แน่นอนเช่นกัน แก้มันอย่างนี้
    อย่าไปแก้ว่า “ไม่อยากให้มันดีใจ ทำไมจึงดีใจ” นี่ผิดอยู่นะ
    ผิดอยู่กับของเหล่านี้ ผิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ผิดอยู่ไกลหรอก
    อย่ากลัวนิมิต ไม่ต้องกลัวเรื่องภาวนานี้พอพูดให้ฟังได้ เพราะเคยทำมา
    ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่นะ ให้เอาไปพิจารณาเอาเอง เอ้า พอสมควรละนะ

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=29654
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขออนุโมทนาและสาธุในกุศลผลบุญที่ทุกท่านข้างต้นได้มีจิตและศรัทธาที่ตั้งมั่นในการบริจาคเข้าทุนนิธิฯ เพื่อรักษาสงฆ์อาพาธรวมทั้งหมด 9 รพ. ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมนี้ ขอกุศลผลบุญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทานมัยครั้งนี้ ได้อำนวยอวยชัยให้ทุกท่านพร้อมครอบครัวได้เจริญในมนุษย์สมบัติ และอย่าได้มีชีวิต พร้อมกับหน้าที่การงานทั้งหลายตกต่ำกว่าผู้อื่นด้วยเทอญ....

    [​IMG]

     
  7. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับครอบครัวผมได้โอนเงินทำบุญ 500 บาทเข้าบัญชีทุนนิธิ (13/01/11 )
    ;43
     
  8. kujakuo19

    kujakuo19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +119
    สวัสดีครับ ผมโรจนินทร์ ธนาพลพิพัชร์ โอนเงิน900บาทเวลา9:25 13/01/11 1702 7990A 348-1-23245-9 ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ
    สาธุครับ:cool:
     
  9. pucca2101

    pucca2101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    5,805
    ค่าพลัง:
    +20,896
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านนะคะ พี่พงศ์ร่วมบุญด้วยค่ะ

     
  10. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    ขอกราบอนุโมทนาด้วยนะ....ครับ
     
  11. duangkamol

    duangkamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +2,083
    ร่วมบุญกับทุนนิธิพระภิกษุสงฆ์อาพาธ ในวันนี้ จำนวนเงิน 520.- บาท ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. คนนอกสายตา

    คนนอกสายตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +27
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ

    yimm สวัสดีทุกท่านนะคะ
    ดิฉันนะคะ
    และพรุ่งนี้ดิฉันจะโอนเงินมาให้ค่ะ


    ขอให้บุญกุศลที่ทุกท่านสร้างทำอำนวยผลให้ทุกท่าน
    พ้นทุกข์ พ้นโศก พ้นโรค พ้นภัย มีแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าตลอดไปนะคะ ;aa51
     
  13. ชายชุดขาว

    ชายชุดขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    4,007
    ค่าพลัง:
    +12,706
    อนุโมทนาบุญทั้งหมดทุกประการด้วยนะครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    การให้...แค่เพียงคิดจะทำ..ใจก็ยังเป็นสุข..

    [​IMG]

    มือของผู้ให้..อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ...
    ชื่อของผู้ให้...น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ..
    เกียรติของผู้ให้...กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย..
    ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบและปวงวีรบุรุษ..

    การให้...
    แค่เพียงคิดจะทำ..ใจก็ยังเป็นสุข..
    ครั้นได้ให้แล้ว...จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน...
    เมื่อวันเวลาผ่านไป..
    หวนกลับไปรำลึกถึงดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ...
    ความปีติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม...

    การให้...
    จึงเป็นความสุขแท้ทั้งเวลาก่อนให้..
    ขณะที่ให้..
    และหลังจากได้ให้ไปแล้ว...

    การเสียสละ..แบ่งปัน...
    เป็นทั้งความ..สมาน..
    คือ...ความสามัคคีปรองดองระหว่างกันและกัน
    และเป็นกุศโลบายในการสร้างความ..เสมอ..
    คือ..ให้คนทุกคนมองเห็นกัวอกของคนอื่น..
    เมื่อมนุษย์รู้จักแบ่งปันแก่กันและกัน..
    อันมีพื้นฐานมาจากการมีอัชฌาศัยกว้างขวางเอื้ออารีเช่นนี้
    ศานติภาพท่ามกลางความแตกต่างก็จะเกิดมีได้อย่างไม่ยากเย็นนัก...


    หากปราศจากรากฐานอันมั่นคงแข็งแกร่ง..
    ไหนเลยรูปรอยแห่งมหาวิหารอันโอฬาริก
    จะก่อกำเนิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้
    บุคคลผู้ยิ่งใหญ่หากสิ้นไร้ซึ่งผู้เสียสละ
    ที่อุทิศตนยืนหลบฉากอยู่เบื้องหลัง
    คอยส่งกำลังใจ..เสนอความคิด..
    อุทิศตนเป็นดังอิฐก้อนแรกให้ย่างเหยียบ..
    ไหนเลยจะเผยอตนขึ้นสู่หอคอยแห่งเกียรติยศได้อย่างทระนง...

    คนที่ไม่เคยเป็นผู้ให้...ย่อมยากที่จะได้รับ..
    “การให้”..มองอย่างธรรมดาดูเหมือนว่า..เป็นการสูญเสีย..
    แต่แท้ที่จริงแล้ว...
    ผู้ให้ คือ..ผู้ที่ได้รับต่างหาก..
    คนที่เป็นผู้ให้จึงมีเกียรติคุณเกริกกรรจายชั่วฟ้าดินสลาย
    ทั้งนี้นั่นเป็นเพราะ
    “...โลกคารวะผู้ให้...
    แต่บอดใบ้ต่อผู้กอบโกยและโกงกิน...”


    ที่มา : ธรรมะรับอรุณ....ท่าน ว.วชิรเมธี

     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ท่านนา นี่ความรู้จากปากท่านหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเชียว รับรองได้ไม่มั่ว..........


    <CENTER>ความรู้เรื่อง "ศาลพระภูมิ" ตามที่มีผู้นำไปโพสต์ตามเว็บต่างๆ



    </CENTER>
    www.ranthong.com/smf/index.php?topic=7225.0;wap2
    www.banfun.com/buddha/phume-angel1.html
    //g5.buildboard.com/viewtopic.php/955/2352/7562/0/ โพสต์โดย..Max Webmaster




    <DD>เรื่อง "ศาลพระภูมิ" นี้ เว็บส่วนใหญ่อ้างว่าคัดจากหนังสือ " สมบัติพ่อให้ " แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็คัดมาจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหา" เล่มที่ ๕ บ้าง แต่มีการคัดลอกไม่ละเอียด มีการคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องเครื่องบวงสรวง จึงขอนำเรื่องนี้มาจาก หนังสือตอบปัญหา เล่มที่ ๕ โดยตรง


    <DD>พร้อมกันนี้ก็ได้สอบถามพระเจ้าหน้าที่พิธีการเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้ว เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการกระทำพิธี จะได้ไม่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงกันต่อไป คิดว่าน่าจะเป็นความรู้และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตของคนเรา หากตั้งศาลผิดทิศผิดทาง หรือทำพิธีกรรมไม่ถูกต้อง อาจจะสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินไปในที่สุด บางคนก็พลาดไปใช้พระภูมิ เพราะไม่รู้ว่าบางองค์ท่านก็เป็นอริยเจ้าอย่างนี้ เป็นต้น จึงควรน่าจะศึกษาหาความรู้ไว้ดีกว่า หากผิดพลาดไปก็จะเสียใจไปจนวันตาย...



    <HR>

    <DD>สารบัญ


    ปัญหาเรื่อง "ศาลพระภูมิ"
    ความเป็นมาของการตั้งศาลพระภูมิ
    การตั้งศาลพระภูมิ
    ตั้งศาลบนดาดฟ้า
    ตั้งศาลพระภูมิเอง
    วันเวลาที่เป็นมงคล
    ตั้งศาลไว้ในบ้าน
    เจ้าที่
    เทวดาต้องการ 4 เสา
    เจ้าที่เจ้าทาง
    ตั้งศาลพระภูมิไว้ในใจ
    ตั้งศาลพระภูมิสองหลัง
    เครื่องบรวงสรวงแบบย่อ
    เครื่องบรวงสรวงสำหรับตั้งศาลพระภูมิ และศาลอากาศเทวดา
    ผู้ที่บนแล้วจำไม่ได้
    แก้บนท้าวมหาราช
    การบนหลวงพ่อ ๕ พระองค์ที่วัดท่าซุง<!-- google_ad_section_end -->
    </DD>
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตั้งใจสะสมบุญไว้แก่ตนให้มาก เพราะ บุญ ชื่อว่าความสุข

    ตั้งใจสะสมบุญไว้แก่ตนให้มาก
    เพราะ บุญ ชื่อว่าความสุข
    การสะสมบุญเป็นความสุข
    ให้ยินดีให้มากใน ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา
    นี่ พระพุทธเจ้าสอนพวกเราไว้อย่างนี้
    พระองค์ชี้ช่องไว้อย่างละเอียดลออ
    ทำให้เกิดให้มีแล้ว ก็ได้สุขในปัจจุบันนี้เอง
    ได้สุข ได้ประโยชน์ แล้ว
    ย่อมองอาจกล้าหาญ
    ปฏิญาณตนต่อสุจริตธรรมได้ตลอดไป
    เราทุกคนเป็นผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ก็ให้ตรวจตราดูตนเอง
    ทาน อย่างใด
    ศีล อย่างใด
    ภาวนา อย่างใด
    ปัญญา อย่างใด
    สูเจ้าเกิดมาทำไม
    เกิดมาเพื่ออะไร
    ไม่รู้หรือว่า เกิดมาแล้วมันทุกข์หนักหนา
    ไม่ต้องบ่นในทุกข์ของตนหรอก
    คิดนึกให้ดี ดูสิว่า ทุกข์มันเกิดมาจากที่ใด
    อยากก็ทุกข์
    โกรธก็ทุกข์
    หลงก็ทุกข์
    ราคะก็ทุกข์
    ตัณหาก็ทุกข์
    ใจก็ทุกข์เสมอใจ กายก็ทุกข์เสมอกาย
    เมื่อไม่คิดอ่านพิจารณา อย่างนี้
    จะดับทุกข์ได้อย่างใด จะได้สุขได้อย่างใด
    ทุกข์กายมันพอไหว ทุกข์ใจมันเหมือนทน
    การศึกษาธรรมะ การปฏิบัติธรรมะ นั้น
    ขอให้จับเอาอันเดียว อย่างเดียว ที่เหมาะแก่ตัวเอง
    ยึดเอาอุบายอย่างเดียวเท่านั้น
    แล้วตั้งใจทำจริงๆ
    อย่าด่วนทิ้ง
    แต่นักปฏิบัติเดี๋ยวนี้ เรียนมาก ศึกษามาก
    มากครู มากอาจารย์ ท่องเที่ยวทั่วไปหมด
    เลยจับตัวของตัวไม่ได้ ไม่รู้ตนของตน
    นี่ เรียกว่า ศึกษาธรรม แล้ว ไม่ธรรม
    ฟังธรรม แล้ว ไม่ทำ
    อย่าเมานักนะ กับแนวทางปฏิบัติที่ผิดทาง
    นักบวชเดี๋ยวนี้ก็เชื่อได้ยาก ถือเป็นครู เป็นอาจารย์
    เราต้องพิจารณาให้ดี
    ยึด " พุท-โธ " อันเดียวก็ใช้กายใจได้แล้ว

    ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือคุรุแก้วปณิธาน วัดป่าวิเวกวัฒนาราม คำชะอี จ.มุกดาหาร

     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    กราบขออนุโมทนาและสาธุบุญกับทุกๆ ท่านข้างต้นด้วยครับ ทานมัยที่มีเจตนาที่บริสุทธิ์ผลบุญย่อมส่งผลให้ผู้บริจาคได้รับผลแห่งบุญนั้นไม่ช้าก็เร็ว ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ครับ สำหรับวิธีการอธิษฐานบุญนั้นขอให้ตั้งจิตให้มั่นในยามที่ปลอดจากการงานทั้งปวง นำสลิปที่โอนเงินพนมมือระหว่างอก ขออธิษฐานเอาทานมัยที่ตั้งใจบริจาคผ่านทุนนิธิฯ นี้ ตั้งใจบริจาคเพื่อรักษาพระสงฆ์อาพาธทั้งหลาย ขอให้ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์จากปัจจัยนี้เพื่อช่วยรักษาอาการอาพาธของท่าน แม้นไม่หายก็ขอให้ทุเลาจากอาการทุกข์ทรมานบ้างก็ยังดี แล้วนึกน้อมเอาบุญนั้น หรือปิตินั้นมาใส่ตัว แล้วนั่งกำหนดแผ่เมตตาให้ตนเอง ให้ผู้มีพระคุณ ให้ปวงเทพเทวา ให้สรรพจิตสรรพชีวิตสรรพวิญญาณทั้งหลาย ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดร่วมภพร่วมภูมิให้ได้รับผลบุญนั้นร่วมกับเรา แผ่กระแสความดีนี้ออกไปจนสุดลมหายใจ นิ่งสักครู่ แล้วน้อมเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไว้กลางดวงจิต นึกให้เห็นภาพชัดเจน เพียงแค่แวบเดียวที่นึกถึงหรือได้เห็นท่าน แค่นี้ก็ร่นภพชาติได้เยอะแล้ว....สุดท้ายก็ขอพรท่านให้ชีวิตเราอย่าได้ตกต่ำกว่าผู้ใด และขอให้พบแต่สิ่งที่ดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยเทอญ...สาธุ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2011
  18. คนนอกสายตา

    คนนอกสายตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +27
    สวัสดีค่ะ...

    ดิฉันได้โอนเงินจากธ.กรุงศรีอยุธยา สถาณที่ BAY 7501
    วันที่ 17/01/11 เวลา 17:18

    จากบัญชีเลขที่ 1101849 เข้าบัญชีเลขที่ 348123259
    จำนวนเงิน 1000 บาท

    ถึง A/C : PRATOM F.
    ตามที่ได้แจ้งไว้เมื่อวานนี้แล้วนะคะ yimm
     
  19. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    วันนี้ผม ภรรยาและครอบครัว ได้โอนเงินร่วมทำบุญ 200 บาทครับ
    ขอบคุณครับ
    มหาโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความสอนใจ

    [​IMG]

    1. คนเรามีความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ เศร้า ไม่ต่างกัน
    ขึ้นอยู่กับว่าเวลาไหนมันจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดเท่านั้น
    "คนที่จะหัวเราะได้เสียงดัง ข้างในคงต้องขำบ้างพอสมควร
    คนที่น้ำตาจะไหลได้ ข้างในคงมีเรื่องปวดร้าว....

    ถ้าไม่นับการร้องไห้ที่มาจากความปิติ "
    2. โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...

    แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
    3. คนที่ตลกหัวเราะสดใส ก็คือคนเดียวกับคนที่สามารถร้องไห้
    ฟูมฟาย ได้เพียงแต่คุณจะได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้น
    อาจจะเคยได้ยินว่า " คนที่หัวเราะได้ดังที่สุด ก็คือคนที่สามารถ
    ร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน"
    4. เด็กๆ จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า

    เด็กไร้สาระ เพราะเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน
    วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่าทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส
    สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้ว
    อาจจะลืมไปว่า ณ วันที่ผ่านมา" สาระ"ในชีวิตของเค้า คืออะไร
    5. ครอบครัวไทยมักจะเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นฝ่ายถูกเลือก
    คอยสั่งสอนให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่อย่างนั้น

    จะไม่มีใครเลือกไปเป็นคู่ครอง.... แต่ความจริงแล้วผู้ชาย
    และผู้หญิง เราต่างเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า
    6. เพื่อนที่ดีที่สุด คือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน

    โดยไม่พูดอะไรกันซักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึก
    เหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
    7. ใครหลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับเพื่อน

    เพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอก
    เค้ายังไง เพราะเราเป็นแค่เพื่อน....

    แต่ความจริงแล้วคุณเป็นตั้งเพื่อนต่างหาก
    8. ผู้ชายที่ร้องไห้ และยอมรับว่าตัวเองร้องไห้เค้าคือสุภาพบุรุษที่สุด
    อย่างน้อยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง...

    คือความกล้าหาญสุดยอด
    9. ก่อนที่วันนี้ คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ
    อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา...
    คุณทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า
    10. เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น
    [​IMG]
    11. มีสติ สตางค์อยู่ ก็ปลีกเวลาไปใช้เสียบ้าง
    อีกหน่อยไม่มีสติแต่มีสตางค์...ก็สายไปเสียแล้ว
    12. เวลาที่เรารักใคร เราจะรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน...เวลาใครรักเรา
    เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน...แต่ถ้าเราเจอคนที่เรารักเค้า

    และเค้าก็รักเรา เราจะผลัดกันตัวเล็กตัวใหญ่
    13. วันที่คุณเข้มแข็งและแข็งแรงพอ อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดี
    ให้กับคนที่มีปัญหาด้วย "เอาไหล่ให้เค้าพิง
    เอามือให้เค้าจับ"
    ..... 100 คำพูดดี ดี ไม่เท่ากับ 1 สัมผัสที่มีค่าหรอกนะ
    14. คุณรู้ไหมว่า อายุคนเราเฉลี่ย 76 ปีนั่นคือแค่ 3952 อาทิตย์เท่านั้น

    คุณหมดเวลาไปกับการนอนถึง 1317 อาทิตย์
    ซึ่งเท่ากับว่า
    คุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่ 2635 อาทิตย์เท่านั้นเอง
    15. ลองฉลองวันเกิดกับครอบครัวสักปี แล้วคุณจะได้รู้ว่า
    เมื่อตอนที่คุณร้องไห้จ้าในวันเกิดวันแรก คนในครอบครัวคุณ

    มีความสุขกันขนาดไหน.......


    http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=2366.0

     

แชร์หน้านี้

Loading...