ข่าวดี ชาวโลกจะได้พบพระศรีอารย์ในปี 2549

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 10 พฤศจิกายน 2004.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตอบคุณ saratee

    หน้าที่หลักของพระศรีอารย์ ที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์ในยุคนี้ก็คือการมายกยอพระพุทธศาสนาให้กลับมารุ่งเรือง เหมือนในสมัยพุทธกาลอีกครั้งหนึ่ง และวางรากฐานของพระพุทธศาสนาให้มั่นคง อยู่ยืนยาวไปจนครบ 5,000 ปี ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานเอาไว้ครับ แต่ท่านมาในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิ์ ปกครองโลกนี้ทั้งโลก ไม่ได้มาในฐานะพระพุทธเจ้าเพราะยังเป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า"พระสมณะโคดม" อยู่นะครับ

    ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ก็ตอบว่ารู้จากตำนานพระศรีอาริย์ที่ถูกบันทึกไว้ในใบลานและกระดาษข่อย อายุเกินกว่า 100 ปี มีทั้งที่เป็นภาษาพม่า ไทยใหญ่ ไทยเขิน ไทยเหนือ ไทยอีสาน ฯลฯ รวมคำทำนาย 50 กว่าผูก รวบรวมโดยรหัสยญาณ (นามปากกาผู้เขียนหนังสือ"พระศรีอาริย์เจ้าโลก")

    ถ้าจะถามว่าท่านจะมาช่วยเหลือชาวโลก ให้พ้นจากกลียุคได้อย่างไร ก็ขอตอบตามที่ตำนานได้กล่าวไว้ว่าท่านจะมาสร้างอาณาจักรแห่งสัมมาทิฎฐิ รวบรวมผู้คนที่เป็นคนดี มีศีลธรรม เอาไว้ในอาณาจักรแห่งนั้น และอัญเชิญเหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลายให้มาร่วมกันสังคยานาพระไตรปิฎกขึ้นมาใหม๋ และส่งพระธรรมทูตเหล่านี้ออกไปเผยแผ่พระธรรมไปทั่วโลก
    อีกทั้งยังใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์และบุญญาธิการของท่าน ออกไปทำการยุติสงครามทั้งหลายที่กำลังดำเนินอยู่ให้สงบราบคาบ

    ถ้าจะถามว่าเอาอะไรเป็นเครื่องตัดสิน ชี้ขาดว่า ผู้ใดเป็นพระศรีอารย์ ก็ตอบตามที่ตำนานได้ระบุไว้ว่า การแสดงอิทธิฤทธิ์ของท่านเองนั่นแหละจะเป็นตัวชี้ขาดว่าใช่ตัวจริงหรือไม่ ตามตำนานการมาปรากฎตัวของพระศรีอารย์กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อปรากฏภัย๑๐ประการหนาแน่นขึ้นก็จะปรากฏผู้เฒ่าผมขาวหนวดเครายาวขี่ม้าขาวเหาะลอยมายังท่ามกลางเมืองเชียงใหม่ นั่นคือองสมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยมาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกแล้ว อย่าสงสัยเลย

    ในคัมภีร์ทางศาสนาคริสต์ก็ได้กล่าวไว้ดังนี้

    "ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดของฟ้า......"
     
  2. saratee

    saratee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณคุณเกษม สำหรับคำตอบ แต่ถึงได้อ่านจากข้อความแล้ว ก็ขอบอกว่า ยังไม่ค่อยแจ่มชัดอยู่ดี เพราะยังคงเป็นเรื่องเล่าจากตำนาน จากหนังสือ จริง ๆ แล้วฉันอยากจะรู้ว่ามีแหล่งข้อมูลใด ที่ยืนยันข้อความเหล่านั้นได้ ว่าเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม การที่อ่านได้เรื่องราวที่คุณเกษมนำมาฝาก ให้กับเพื่อน ๆ ชาวเวบแล้ว ก็รู้สึกขอบคุณ ที่คุณเกษม พยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเผยแพร่ และอุตสาห์สละเวลาในการพิมพ์ ข้อความที่ค่อนข้างยาวนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อาจมีหลายคนที่คิดว่า คุณบ้า หรือเพี้ยน สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น ด้วยความสัตย์จริง เพียงแต่บางอย่าง ฉัน หรือแม้กระทั่งคนอื่น ๆ คงอยากจะได้ข้อมูลที่ยืนยันคำพูดของคุณเกษม หรือของคนอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกัน
     
  3. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +2,808
    ^_^ i
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ถ้าเช่นนั้นคงต้องรอให้กาลเวลา เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเอง เพราะต่อให้พระศรีอารย์องค์จริงมาปรากฎอยู่ตรงหน้าคุณก็ยังคงลังเลสงสัยอยู่ดี ต่อให้เอานักปฏิบัติธรรมที่เก่งๆ มาพูดอย่างไรก็ไม่อาจคลายความสงสัยไปได้ นอกจากคุณจะปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นได้อภิญญา มีตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถถอดกายทิพย์ไปพิสูจน์ความจริงเรื่อง นรก สวรรค์ ไปพูดคุยกับท่านสันติดุสิตซึ่งเป็นผู้ปกครอง สวรรค์ชั้นที่ ๔ นั่นแหละคุณจะหมดความสงสัยไปเอง

    ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมทำได้แล้วนะครับ เพียงแต่บอกแนวทางในการพิสูจน์ไว้ให้ได้รับทราบเท่านั้นเอง.........
     
  5. saratee

    saratee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +22
    เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ พวกเราก็จะมีแต่คำบอกเล่า ไม่มีการยืนยันใด ๆ ว่าเรื่องที่อยู่ในหนังสือ หรือคัมภีร์โบราณจะเป็นจริง ถ้าถามความรู้สึกหรือตามความเห็นของฉัน ซึ่งมันอาจจะจริง หรือ ไม่จริง ก็ได้ ฉันคิดว่า ผู้ตัดสินว่าใคร คือ ผู้ที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปีตามคำทำนาย ก็คงจะมีแต่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉันคิดว่า ผู้นั้น จะต้องได้รับพระบรมราชโองการจากพระพุทธองค์ เพื่อที่ช่วยเหลือ สัตว์โลก แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะรู้หรอก แต่พออ่านข้อความของคุณเกษม และทุกคน ก็เลยรู้สึกว่าด้านหนึ่งของพวกคุณ เป็นผู้ที่เมตตา มีความพยายามที่จะบอกกล่าวในสิ่งซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ และคนส่วนมากในสังคม ก็ไม่ค่อยได้คิดกัน และคงมองว่า พวกคุรเพี้ยน บ้า พวกเขาหล่านั้น ยังยึดติดกับชื่อเสียงเงินทอง ความมีเกียรติ ฐานะ ทุกวันคงอ่านแต่เรื่อง บันเทิง การเงิน สังคม การเมือง การตลาด เทคโนโลยี เหมือนกับที่ฉันเคยทำ ฉันพูดจริง ๆ มันน่าเบื่อ กับการอยู่แบบนั้นนาน ๆ แข่งขันตลอดเวลา แต่ฉันก็โชคดี ที่คลุกคลีกับพวกมันน้อยกว่าคนอื่น ๆ เพราะยังมีเวลาที่ได้สำรวจตัวเอง และดูสิ่งที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันได้บ้าง
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พระมหาจักรพรรดิ โดยพระอาจารย์เกษตร ปคุโณ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=wat width="100%">พระเจ้าจักรพรรดิ คือ มนุษย์ผู้มีบุญ เพราะได้ทำบุญมาดีแล้วแต่ชาติก่อน ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ๕ และศีล ๘ หรือได้บำรุงบำเรอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอะระหันต์ พระภิกษุสงฆ์ ได้บำรุงพระพุทธศาสนา ได้ประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนา หรือได้ทำประโยชน์แก่สาธารณะชนด้วยกำลังศรัทธาที่แรงกล้า.
    พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพระราชาโดยธรรมะ ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจจากใครด้วยอุบายหรือการทำสงคราม ทรงชนะแล้ว มีอาณาจักรที่มั่นคง ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในโลกแต่ผู้เดียว ทรงมีพระปัญญาอันประเสริฐ ฉลาดรอบรู้ในสรรพวิชาการ ทรงบำรุงพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญสูงสุด พระองค์มีแก้ว ๗ ประการ มีพระราชบุตรมากกว่าพันล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีระกษัตริย์ สามารถย่ำยีกองกำลังของข้าศึกได้ไม่ยาก ด้วยอานุภาพบุญฤทธิ์ของพระองค์ และอานุภาพแห่งแก้ว ๗ ประการ ทำให้พระองค์ทรงบริหารและปกครองราษฎรโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อาวุธหรือเครื่องมือประหัตประหารใดๆ ไม่ต้องลงโทษ ไม่ต้องลงอาชญา.
    สมัยใดโลกมีพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา สมัยใดโลกว่างเปล่าจากจากพระพุทธศาสนาและพระปัจเจกพุทธเจ้า สมัยนั้นได้ชื่อว่าโลกมืด โลกจะแบ่งแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างมากมาย มีเชื้อชาติมากมาย ภาษามากมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย มีลัทธิศาสนาอันไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้มากมาย แล้วมวลมนุษย์ในโลกก็เกิดความขัดแย้งกัน ทะเลาะไม่สามัคคีกัน ด่ากัน แล้วลงท้ายด้วยการจับก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง อาวุธอันมีคมบ้าง ประหัตประหารกัน รบกัน ทำสงครามกัน แล้วเกิดการจองเวรด้วยการลอบทำร้ายกัน ลอบสังหารกันและก่อวินาศกรรม กลายเป็นลัทธิก่อการร้ายล้างผลาญกันไป ล้างผลาญกันมาไม่จบสิ้น พระองค์ทรงเห็นโทษเห็นความลามกของความแตกแยกและความแตกต่าง พระองค์จึงทรงรวบรวมมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้มนุษย์โลกมีเพียงชาติเดียว เผ่าพันธุ์เดียว ภาษาเดียว ขนบธรรมเนียมประเพณีเดียว ใช้สกุลเงินเดียว แล้วพระองค์ทรงสอนศีล ๕ แก่มวลมนุษย์ในโลก เป็นหลักคำสอนเดียวศาสนาเดียว ดังนั้นมนุษย์ในยุคนั้นจึงมีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นพระประมุขของชาวโลก และเป็นศาสดาของชาวโลก.

    </TD></TR><TR><TD class=wat>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=wat cellSpacing=0 cellPadding=10 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=wat> เมื่อประมุขของโลกและมนุษย์โลกต่างมีศีล ๕ มีธรรมะอันงาม ไม่มีแหล่งอบายมุขใดๆในแผ่นดิน ไม่แตกแยกไม่ขัดแย้งกันดังนี้ มวลมนุษย์ย่อมเห็นความสุขความเจริญในปัจจุบัน เหล่าเทวดาทั้งหลายย่อมปลื้มปีติยินดี ร่าเริงบันเทิงใจ ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ มนุษย์ทั้งหลายก็มีสุขภาพจิตสุขภาพกายดี อายุยืน จำนวนมนุษย์ก็มากขึ้นแต่ไม่ขาดแคลน มวลมนุษย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันด้วยแววตาแห่งความรักความเมตตา เมื่อนั้นได้ชื่อว่าพระเจ้าจักรพรรดิเป็นผู้ประทานแสงสว่างให้แก่โลก ประทานความร่มเย็นให้แก่โลก.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=129><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=wat7 width="26%">
    ฤทธิ์ ๔ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ

    </TD></TR><TR><TD class=wat> ๑. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าชม น่าเลื่อมใส ทรงมีพระฉวีวรรณผ่องใสยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๒. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระชนมายุยืนนานกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๓. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีอาพาธน้อย มีพระโรคน้อยกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๔. พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย และมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นที่รักที่ชอบใจของพระเจ้าจักรพรรดิ
    ดุจบุตรเป็นที่รักที่ชอบใจของบิดาทีเดียว เมื่อถึงคราวพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จเลียบพระนครออกเยี่ยมราษฎร ราษฎรทั้งหลายไปเฝ้า พระองค์พลางกราบทูลว่า
     
  7. never

    never สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +10
    ถ้า 2549 ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมขอเรียกคุณว่า "หมา" นะครับ
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ได้ครับ

    จากคนขอรักและเทิดทูนพระศรีอาริยเมตไตรยจนวันตาย ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    ไม่ว่าพระองค์จะมาปรากฏกายในปี ๒๕๔๙ หรือปีไหนๆ ก็ตาม
     
  9. nnn

    nnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2005
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,298
    จะรอดูนะครับ..........
     
  10. mooning

    mooning Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +30
    จริงๆหรือครับ
     
  11. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    โห....แรงไปมั้งเพ่......

    ผมว่า..การที่คุณเกษมนำข้อมูลต่างๆ มาโพสต์ให้ได้อ่านกันก็เพื่อความรู้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร
    ก็เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละท่าน เราต่างก็เข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูล ต่างก็มีวิจารณญาณในการพินิจพิจารณา
    เรื่องราวต่างๆ จะจริงหรือไม่จริง เราๆ ท่านๆ ต่างก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ จนกว่า
    จะถึงเวลา.... แค่คุณเกษมโพสต์เรื่องราวต่างๆ ที่เสาะหารวบรวมมาแล้วนำมาให้อ่านกัน เมื่อคุณไม่เชื่อ ก็ไม่
    น่าจะเดือดร้อนจนต้องแสดงออกถึงขนาดนี้นะครับ.... ผมว่าใจเย็นๆ กันหน่อยน่าจะดีกว่านี้ครับ....

    อ้อ...ขอบอกว่า ผมกับคุณเกษมไม่เคยรู้จักกันมาก่อน....แต่ที่ผมออกมาแสดงความคิดเห็นในหลายๆ กระทู้นี้
    ก็เพื่ออยากบอกหลายๆ ท่าน ให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารด้วยความเป็นกลาง...อ่านผ่านๆ ไป หากเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี
    แต่อย่าได้ขัดแย้งทางความคิดเห็นจนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันเลยนะครับ

    เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ ท่านใดที่อ่านแล้วไม่เชื่อ อ่านแล้วไม่สบอารมณ์ ทีหลังท่านก็อย่าเข้ามาอ่านกระทู้นี้อีก
    ท่านจะได้ไม่เสียอารมณ์ ....ดีมั้ยครับ..... (bb-flower
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ
    โดยรัตนา มฤคพิทักษ์ เปิดเผยความมีอยู่จริงของ แม่พระธรณี ( คัดลอกมาเพียงบางส่วน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ )

    ก็ต้องขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า สิ่งที่ดิฉันจะเขียนอ้างอิงเกี่ยวกับแม่พระธรณี ว่าดิฉันได้สัมผัสหรือพบเจออะไรมาบ้างนั้น ไม่ใช่เขียนออกมาเพื่อให้ผู้อ่านเชื่อในคำพูดของดิฉันแต่อย่างใด เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ดิฉันยังเชื่อมั่นในหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนว่า
    - อย่าเชื่อถือ โดยการฟังตามกันมา

    - อย่าเชื่อถือ โดยการถือสืบกันมา

    - อย่าเชื่อถือ โดยการเล่าลือ

    - อย่าเชื่อถือ โดยการอ้างตำรา

    - อย่าเชื่อถือ โดยตรรก

    - อย่าเชื่อถือ โดยการอนุมาน

    - อย่าเชื่อถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

    - อย่าเชื่อถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน

    - อย่าเชื่อถือ เพราะมองเห็นลักษณะน่าเชื่อ

    - อย่าเชื่อถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูเรา

    อนึ่ง ไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อถือกับสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อถือกับสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่าแม้แต่สิ่งเหล่านี้ ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด เพราะยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ดังนี้เป็นต้น

    เพื่อปูความเข้าใจเกี่ยวกับแม่พระธรณี เรามาย้อนดูปูมหลังเกี่ยวกับแม่พระธรณีสักเล็กน้อย เมื่อโลกถือกำเนิดขึ้น มีองค์แม่พระธรณีซึ่งเป็นเทพชั้นสูง รับภาระหน้าที่ดูแลปกปักรักษาผืนแผ่นดินนี้ตลอดมา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องราวหรือภาระหน้าที่ทางเทพ ซึ่งมนุษย์อย่างเราไม่อาจเข้าถึงได้ แต่ในฐานะของพุทธศาสนิกชนแล้ว เราได้ยินเรื่องราวของแม่พระธรณีมาตั่งแต่สมัยพุทธกาลเลยทีเดียว

    กล่าวคือ เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนบรรดาเหล่ามารเห็นว่า เจ้าชายสิทธัตถะกำลังจะตรัสรู้ จึงพากันมาหลอกหลอนทำลายสมาธิจิต กระทั่งจะใช้กำลังเข้าทำร้ายโดยอ้างว่า ที่ที่เจ้าชายประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์หรือที่เรียกว่า "รัตนบัลลังก์" นั้นเป็นของพญามารโดยพญามารอ้างว่า มีบรรดาเหล่ามารเป็นพยานให้ และพวกมันได้ย้อนถามเจ้าชายสิทธัตถะว่า มีผู้ใดเป็นพยาน เจ้าชายสิทธัตถะก็ตรัสว่า "เรามีองค์แม่พระธรณีเป็นพยานแก่เรา" ด้วยเหตุนี้แม่พระธรณีจึงปรากฎกายเพื่อเป็นพยานแก่เจ้าชายสิทธัตถะ และได้บีบมวยผมที่สูบน้ำจากแม่พระคงคา ทำให้น้ำท่วมบรรดาพญามารและเหล่ามารทั้งหลายจนล้มตายไป ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จด้วยการตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์นั่นเอง ซ้ำในกาลต่อมา พระเทวทัต ซึ่งคอยขัดขวางและทำร้ายพระพุทธองค์ตลอดเวลา แม่พระธรณีก็สูบพระเทวทัตให้จมหายลงไปในแผ่นดินอีกด้วย เหตุการณ์ทั้งสองล้วนประจักษ์แจ้งแก่พุทธศาสนิกชนมาช้านานแล้ว แต่ในหนนี้แม่พระธรณีมาปรากฎให้ลูกหลานรับรู้ เพราะต้องการมาเป็นพยานให้กับพ่อศรีอาริย์ ซึ่งกำลังจะมาถึง ดังนั้นคำว่า "เทพมาช่วยเทพให้สำเร็จ" หมายถึงองค์แม่พระธรณีซึ่งเป็นเทพ มาช่วยเทพอย่างพ่อศรีอาริย์นั่นเอง

    พุทธศาสนา ที่คาดหวังว่าจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ให้ผู้คนในยามทุกข์ได้ ถูกนำไปบิดเบือน หากินด้วยรูปแบบต่างๆ นานาของผู้อาศัยผ้าเหลืองบังหน้า พาญาติโยมออกนอกลู่นอกทาง โดยไม่แยแสต่อการท้วงติงใดๆ จากสังคม ทำให้ผู้คนในสังคมนี้ยิ่งว้าเหว่และสิ้นหวังมากยิ่งขึ้น นี่ใช่ไหม คือสัญญาณบอกเหตุของการก้าวสู่สังคมพระศรีอาริย์ ซึ่งผู้คนมีความศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ปรารถนาจะพานพบยิ่งนัก ดังคำอธิษฐานที่ว่า

    "ข้าวของข้าพเจ้า ขาวดังดอกบัว
    ยกขึ้นใส่หัว ถวายแด่พระสงฆ์
    จิตใจจำนงค์ ประสงค์นิพพาน
    ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร
    ขอให้พบพระศรีอารย์ ในกาลภายหน้า เทอญ"

    ดิฉันเชื่อว่า คำอธิษฐานจิตนี้กำลังจะได้รับการสนองตอบในไม่ช้าไม่นาน ถึงแม้ว่าในพระไตรปิฎกจะระบุไว้ว่า จุดเปลี่ยนของโลกมนุษย์หรือแผ่นดินพระศรีอาริย์ จะเกิดขึ้นนต่อเมื่อพระพุทธศาสนาอายุได้ ๕,๐๐๐ ปีไปแล้วก็ตาม แต่มีข้อยกเว้นว่าถ้าหากโลกมนุษย์เกิดความเลวร้ายต่างๆ ขึ้นมากมายจนยากแก่การเยียวยา แม้พุทธศาสนาจะเพิ่งผ่านเพียง ๒,๕๐๐ กว่าปีแผ่นดินพระศรีอาริย์ก็ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น และเทพผู้ที่เคยมีบทบาทก่อนพุทธกาล ในการช่วยให้พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ อุบัติขึ้นคือแม่พระธรณี ยังสื่อสารกับดิฉันเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า

    "หน่วงเหนี่ยวไม่ได้ เหนี่ยวรั้งก็ไม่ไหว นี่คือ ยุคพระผ่าน พ่อมาแล้ว ให้พ่อ(ศรีอาริย์) มานั่งยุคสุดท้าย เชื่อ....มีดี ไม่เชื่อ.....ร้ายทั้งหมดทั้งหลาย"

    หลายท่านอาจจะมองว่า แม่พระธรณีอวดอิทธิปาฎิหารย์ ไม่แตกต่างจากบรรดาเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือพระบางรูปในสังคมไทย ที่ใช้อวิชชาดึงความศรัทธาของผู้คนให้เข้าไปติดกับหรือเปล่า ดิฉันไม่ปฎิเสธว่าแม่พระธรณีมีอิทธิปาฎิหารย์จริง แต่ก็ต้องถามต่อไปว่าแม่พระธรณีใช้ปาฎิหารย์นั้นเพื่อใคร เพื่อตัวแม่ฯ เองหรือเพื่อลูกหลานทั้งแผ่นดิน ดิฉันกล้าตอบแบบฟันธงว่า แม่ฯ เสียสละตัวเองเพื่อคนทั้งโลก ดังนั้นปาฎิหารย์ของแม่ฯ ก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์โลกเท่านั้น

    แม่พระธรณีเคยใช้อำนาจอิทธิปาฎิหารย์ของแม่ฯ กวาดล้างหมู่มารก่อนพุทธกาล เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ฉันใด ยามนี้แม่พระธรณีก็ได้ใช้อิทธิปาฎิหารย์กวาดล้างหมู่มารให้พ่อศรีอาริย์ฉันนั้น พูดแบบให้เข้าใจง่ายๆ คือ "แม่มาล้างแผ่นดิน" ให้สะอาดนั่นเอง

    การมากวาดล้างของแม่พระธรณี ก็เพื่อกำจัดหมู่มารปีศาจที่กินบ้านกินเมือง ขณะเดียวกันก็ดึงให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามหันกลับไปสู่ทางธรรม สู่ความดีงาม กลับไปยืนอยู่กับความเป็นจริงมิใช่เพื่อให้ลูกหลานยึดติด หรือหวังพึ่งพาปาฎิหารย์ของแม่ฯ แต่อย่างใด ใครก็ตามที่มีจิตบริสุทธิ์ กระทำแต่สิ่งดี แม่พระธรณีย่อมเป็นพยานให้ เพราะทุกชีวิตล้วนเหยียบดิน ความดี-ความชั่วไม่พ้นไปจากความรับรู้ของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน คือแม่พระธรณีไปได้ ใครที่ยังไม่สำนึก ยังดื้อด้านสร้างแต่ความชั่วร้ายอยู่ตลอดเส้นทาง ย่อมไม่พ้นที่จะต้องถูกแม่ฯ กวาดล้างอย่างแน่นอน

    ทั้งนี้เพื่อให้แผ่นดินไทย พร้อมที่จะเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์อย่างแท้จริงนั่นเอง ยุคพ่อศรีอาริย์หรือสังคมยุคพ่อฯ นั้นจะเป็นสังคมที่มีความเสมอภาค ทุกคน ทุกชีวิต สามารถเข้าถึงทรัพยากรของแผ่นดินแม่ฯ ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะแผ่นดินจะเข้าสู่ภาวะร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ มีความรักใคร่กันฉันท์พี่น้อง มีเมตตาธรรมต่อกัน และสังคมมีความเป็นธรรมโดยเสมอหน้ากัน

    ก่อนที่ดิฉันจะเขียนต่อไปว่า เราควรจะมีท่าทีเช่นไรต่อเรื่องนี้ ขออนุญาตหยิบยกบทสนทนาระหว่างแม่พระธรณีกับดิฉัน ต่อกรณีความทุกข์ยากเดือดร้อนของลูกหลานไทย มาให้อ่านและรับรู้กันเสียก่อน

    รัตนา : ทำไมแม่ถึงมาเปิดตัวให้ลูกหลาน ได้รับรู้ว่าแม่มีอยู่จริง

    แม่ฯ : แม่พระธรณีคือเทพชั้นสูง เหตุที่ต้องลดหลั่นเพราะแผ่นดินเดือด อีกซ้ำยังเจอพระศรีอาริย์จะมาช่วยนั่งแผ่นดิน

    รัตนา : ลูกเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งจะเป็นที่พึ่งของแม่ผู้เป็นเทพประจำแผ่นดินได้อย่างไร

    แม่ฯ : คำว่าเชื่อแม่....ช่วยง่าย เชื่อ...แผ่นดินจึงจะพ้นวิกฤต แผ่นดินสลายโลกทั้งโลกไม่มี แต่ถ้าแม่แก้ทัน สู่แผ่นดินใหม่ได้ จิ้งจกตัวน้อยนิดทัก ยังต้องเชื่อ นี่คือแม่พระธรณีมาโปรดแล้ว คงต้องเชื่อรับใช้ชาติ มีหรือจะเดือดร้อนวันที่สำเร็จรออยู่แค่เอื้อม เพราะเพลาไม่คอยท่าแล้วบ้านเมืองมาถึงยุคสุดท้ายแล้ว ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่คือแผ่นดินที่ห้ามาถึงแล้ว

    รัตนา : ตั้งแต่ลูกเติบโตจนจำความได้ เห็นมีแต่คนกราบไหว้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สารพันบรรดามี เพื่อขอบารมีมาคุ้มครองป้องกันภัยให้ แต่ยังไม่เห็นมีใครเอาแม่เป็นที่พึ่งสักเท่าไร ตกลงแม่อยู่ที่ไหนกันแน่

    แม่ฯ : แม่อยู่ที่พื้นดิน ลูกหลานพากันไม่เชื่อว่าแผ่นดินนี้มีแม่เป็นเจ้าของ อวิชชาห้ามฝืนหรือร่ำเรียน ต้องยึดมั่นแผ่นดินถึงจะมีแผ่นดินอยู่ ตัวอย่างเห็นต่อหน้า ซ้ำเห็นทุกวัน นี่คือตำราล้างแผ่นดินให้สะอาดแล้วให้ลูกศรีอาริย์มาครองแผ่นดิน

    รัตนา : ในเมื่อแม่เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งแผ่น หรือโลกนี้ทั้งโลก แล้วเหตุใดแม่จึงเจาะจงมาช่วยแค่แผ่นดินไทย

    แม่ฯ : เพราะเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ชาติอื่นไม่มี มีแต่เข่นฆ่าล้างเผ่า ชาติไทยมีแม่มีพ่อ (พ่อศรีอาริย์) ทุกประเทศต้องมาสยบแค่ไทยทั้งหมดทั้งหลาย แผ่นดินทั้งแผ่นมีแม่องค์เดียว แม่ยึดแผ่นดินไทยไว้ เพราะพระเจ้าอยู่หัวมีบารมี แผ่นดินไทยมีพระสยามเทวาธิราช มีพระเจ้าตากสิน มีเทพ มีแม่สุริโยทัย มีเลือดดีมากที่สุด แม่ต้องการทำให้ที่อื่นเห็นไทยเป็นตัวอย่าง


    ที่มา:- หนังสือเสียงเพรียกจากมาตุภูมิ เปิดเผยความมีอยู่จริงของแม่พระธรณี ผู้ชี้ขุมทรัพย์กู้วิกฤตชาติ ผู้เขียน รัตนา มฤคพิทักษ์ พิมพ์ครั้งที่สอง : เมษายน 2543
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2005
  13. saratee

    saratee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณคุณเกษม ไม่ค่อยได้อ่านเรื่อราวอย่างนี้มากนัก ณุ้สึกซาบซึ้ง ในความเมตตาของพระแม่ธรณี และโดยส่วนตัวเชื่อว่า ท่านมีส่วนในการรักษาโลกนี้ให้คงอยู่เช่นกัน หวังว่า จะได้อ่านเรื่องราวทำนองนี้อีก
     
  14. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    ระยะเวลาที่ผ่าน องค์พระศรีอาริยเมตไตรย ท่านเคยแบ่งจิตญานลงมาเกิดแล้วเท่าที่ทราบจากพระผู้ได้ญาน ท่านบอกว่าคือ หลวงปู่ทวด ลงมารักษาพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจบันให้ดำรงคงอยู่ครบ 5,000 ปี และ อีกพระองค์หนึ่งคือ หลวงปู่โต(พรหมรังสี) ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นพระองค์ท่านหรือไม่ ซึ่งผมเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านกล่าวว่าเทวดามีฤทธิ์สามารถเนรมิตกายให้เป็นหลายองค์ และแต่ละองค์สามารถทำและพูดคนละเรื่องราวได้ ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่ดู่วัดสะแก ท่านยืนยันว่าพระมหาโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูงย่อมสามารถแบ่งจิตญานลงมาเกิดได้ ส่วนพระองค์ท่านก็ยังคงอยู่ชั้นดุสิต ซึ่งชั้นนี้เป็นที่อยู่ของพระมหาโพธิสัตว์ที่บารมีเต็ม และรอมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งมีหลายพระองค์
    อีกทั้งเป็นที่อยู่ของท่านผู้บำเพ็ญมาพร้อมพระโพธิสัตว์ และได้พระพุทธบิดา,มารดา ของพระมหาโพธิสัตว์ในอนาคตด้วย ส่วนเรื่องการจะเกิดเหตุร้ายแก่โลกหรือไม่นั้น พระภิกษุผู้ได้ญานทั้งไม่กล่าวเพราะท่านไม่ค่อยจะพูดเรื่องที่เกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจและเชื่อได้ ท่านบอกแต่ว่ากาลข้างหน้าไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่แย่ลง คนจะตายกันมาก และไม่สามารถจะแก้ไขได้ ทำได้แค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น คนที่จะอยู่รอดคือคนดีมีศีลธรรม กตัญญูต่อบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ อีกท่านยังบอกด้วยว่าต่อหมู่มารจะมีกำลังมากขึ้น ด้วยผู้คนทั้งหลายส่วนไม่พากันรักษาศีล หมู่มารจึงได้พวกมากขึ้นมีกำลังมากขึ้น ความวุ่นวายก็มากขึ้นด้วย ท่านจึงดำริที่จะสร้างพระอุปคุตขึ้นเพื่อขอให้ท่านช่วยปกปักรักษา ท่านบอกพระอุปคุตท่านยังมีชีวิตอยู่ บำเพ็ญภาวนาอยู่ที่เกษียณสมุทร(ใต้ทะเล) ที่ผมเอามาบอกก็เป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งที่ได้ไปพบและได้ฟังมา ผมรู้จักพระรปนี้ประมาณ 5 ปี ท่านไม่เคยกล่าวเรื่องอย่างนี้ แม้แต่ชวนคุยเรื่องเหล่านี้ ท่านก็ไม่ยอมพูด แต่มาถึงตอนนี้ท่านกลับพูด อีกทั้งในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านยังเอ่ยว่า พิธีปีหน้ายังไม่สามารถกำหนดวันได้ เพราะไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ให้สามารถผ่านพ้นปีนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยกำหนดกัน และทั้งหมดที่ท่านทั้งหลายในกระทู้ช่วยกันถาม-ตอบ โต้-ตอบ กันก็ไม่มีใครผิด เพราะทุกท่านได้พูด ได้ตอบกันตามภูมิรู้ ภูมิธรรมตามที่ ท่านทั้งหลายได้ยิน ได้ฟัง ได้ปฏิบัติกันมา ซึ่งแต่ละท่านก็จะแตกต่างกันไป เพราะทุกท่านก็มีเหตุผลแห่งตนตามที่ตนเองได้รู้เห็นมา แม้แต่พระผู้ปฏิบัติท่านยังมีประสบการณ์ทางจิตวิญญานต่างกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราได้มองเห็นอะไรในการเข้ามาอ่านและตอบคำถามกัน หากอ่านแล้วเกิดประโยชน์แก่จิตใจทำให้เราต้องตั้งใจทำความดีอย่าได้ประมาท หากเกิดเหตุจริงเราก็ถือว่าเกิดมาได้ทำความดีสมที่ได้เกิดแล้ว หากไม่เกิดก็ถือว่าได้สั่งสมบุญบารมีให้เพิ่มขึ้น ถือว่าไม่ขาดทุน และคิดเสียว่าผู้ที่มาบอกกล่าวท่านได้ตั้งใจมาด้วยความเป็นห่วง ด้วยเมตตา เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้อะไร แถมอาจถูกว่ากล่าวให้สะเทือนใจอีก ส่วนท่านผู้อ่านแล้วเกิดความไม่ชอบใจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ก็ไม่ควรอ่านเพราะจะทำให้รำคาญใจเสียเวลาก็ให้ ใช้เวลาที่จะอ่านไปนั่งสมาธิหรือทำกิจการงานอื่นที่ท่านพอใจ ก็ถือว่าเป็นการรักษากำลังใจอีกทางหนึ่ง เพราะในโลกนี้ยังมีเรื่องเหลวไหลยิ่งกว่านี้อีกมากขอให้ลองมองดูให้เห็น จะเป็นการมองเห็นโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่น คนทะเลาะกัน รบกัน ฆ่ากัน เมากัน กระทำแต่สิ่งไม่ดี ฯลฯ ฉะนั้นโลก คือสิ่งที่ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดแต่เคยเกิดมาหลายวาระ หลายคราว หนักบ้าง เบาบ้าง เพียงแต่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
    อย่างคลื่นยักษ์อาจเคยเกิดหนักกว่านี้ แต่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าเป็นในโบราณก่อนนู้นที่ไม่มีการสื่อสาร เมื่อมีคนมาบอกเล่า โดยเราไม่เห็นและไม่เคยเห็นมาก่อนต้องพากันไม่เชื่อแน่นอน ดังนั้นคำว่าโลกต้องวิบัตินี้เป็นธรรมชาติของโลก แต่ที่น่ากลัวกว่าคือจิตวิบัติ นี้สิน่ากลัวกว่าเพราะจะทำให้เราต้องเวียนว่ายในกองทุกข์อีกนัยไม่ถ้วน จึงขอให้ท่านทั้งหลายพากันรักษาจิตให้สะอาด และเต็มไปด้วยความเมตตา.....

    ....สิ่งใดเล่าที่พระพุทธเจ้าให้มองเห็น ไม่ใช่เห็นเทวดา ไม่ใช่เห็นอนาคต หรือสามารถเห็นเข้าไปในกายของบุคคลได้......

    ....สิ่งที่พระองค์ท่านต้องการให้เห็นคือทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ย่อมต้องหาหนทางออกจากทุกข์
    เหมือนที่ เทวฑูตทั้ง 4 ได้แสดงให้พระองค์ท่านเห็น....

    ....โลกนี้มีแต่ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์...

    เมื่อเรารู้แล้วว่าทุกข์นี้เป็นธรรมชาติของโลก เราก็จะรู้จักการปล่อยวาง เมื่อต้องประสบกับสภาวะนั้น และหากทำได้เป็นปกติเมื่อใด เมื่อนั้นเราจะพบกับความสงบใจ
    ถึงแม้จะไม่บรรจุธรรมชั้นสูง ก็คงมีเบาใจคลายจากทุกข์ได้บ้าง
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ประสบการณ์ลี้ลับ: สัมผัส...ดวงวิญญาณ แม่พระธรณีโดย สายทิพย์

    บทความจากนิตยสารหญิงไทยฉบับที่ 586 ปีที่ 25 ปักษ์แรก เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543

    ประสบการณ์ตรงในการสัมผัส "แม่พระธรณี" ของคุณรัตนาเกิดขึ้นในราวเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๔๑ ขณะที่คุณรัตนาและสามีคือคุณประสาร มฤคพิทักษ์ กำลังสื่อกับแม่พระธรณีผ่านทาง "ถ้วยแก้ว" โดยคุณสุวรรณาเป็นผู้ทำพิธี ครั้งนั้นก็มีบุตรสาวของอดีต ส.ส.ท่านหนึ่งร่วมคุยอยู่ด้วย และจู่ๆ แม่พระธรณี ท่านก็สื่อมาว่า "วันนี้แม่จะช่วยให้หลานมีตังค์สองสิบหมื่น (สองแสนบาท) เพราะจะให้ลูกเชื่อสนิทใจว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีจริง" ไม่ทันขาดคำลูกชายคนโตของคุณรัตนาและคุณประสาก็เพจมาบอกว่า "ช่วยโทร.กลับจะแจ้งเรื่องทุน" คุณประสานจึงรีบโทรกลับทันที และก็ได้รู้ว่าลูกชายสอบชิงทุนการศึกษาของ ม.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ทุนจากมหาวิทยาลัยปีละสองแสนบาทตลอด ๔ ปีการศึกษา<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ครั้งนี้เป็นปริศนาว่า ทำไม แม่พระธรณี ท่านถึงรู้? คุณรัตนาและคุณประสารไม่เคยปริปากบอกใครเลยว่าลูกชายเข้าสอบชิงทุนการศึกษา<O:p></O:p>

    เพราะเหตุนี้คุณรัตนาจึงเชื่อว่าแม่พระธรณีมีจริงกระทั่งกล้าออกมายืนยันเรื่องราวทั้งหมดและได้เขียนหนังสือ "เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ" เปิดเผยความมีอยู่จริงของแม่พระธรณีขึ้นมาเผยแพร่ให้คนไทยได้รับรู้<O:p></O:p>

    [​IMG]แม่พระธรณีสื่อผ่านคุณรัตนาไว้หลายเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยของเราว่า<O:p></O:p>

    "...ยุคนี้ยุคสุดท้ายแล้ว เพลานี้พังหมดแล้ว หันไปทางไหนมีแต่ผ้าเหลืองขาดวิ่น ข้าวยากหมากแพงกำลังจะเกิดเลือดท่วมแผ่นดิน แม่จะช่วยชาติไทยให้อยู่ได้ ที่พึ่งสุดท้ายคือ "แผ่นดิน" ไม่ใช่วัตถุอีกต่อไป สักวันต้องมีทางสว่างถึงเหมือง..."<O:p></O:p>

    "เหมือง" ของแม่พระธรณีนี้คุณรัตนาบอกว่าคือทางออกของประเทศ ซึ่งมีขุมทรัพย์แร่ธาตุธรรมชาติที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล และเมื่อยังไม่ถึงเวลาเปิดเหมือง ไม่ว่าใครก็ตามจะไม่สามารถเข้าถึงที่นั่นได้ เพราะแม่พระธรณีท่านบังไว้และยังเทพอีกหลายองค์เฝ้าอยู่มีทั้งพญาช้างเผือก ท่านขุนหมื่นและพญางูขาว<O:p></O:p>

    เรื่องราวของ "เหมือง" ว่าอยู่ที่ไหนนั้นแม่ผู้เขียนจะทราบแต่ก็น่าเสียดายว่าคุณรัตนายังไม่ต้องการให้เปิดเผยตอนนี้ เอาเป็นว่าบอกใบ้ให้นิดๆ ว่าอยู่ในสถานที่ๆ เป็นเขตทหาร อยู่ในจังหวัดหนึ่งของไทย เป็นพื้นที่บริเวณภูเขามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ และมีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับ "เหมือง" แห่งนี้ด้วยว่าเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนมีอดีตข้าราชการคนหนึ่งเข้าไปลงทุนทำเหมือง โดยมีความเชื่อมั่นสูงว่าเหมืองแห่งนี้มีแร่ธาตุที่สูงค่า จึงสร้างทางเข้าออกและลงทุนไปไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้านบาท แต่ทำได้เพียง ๒ ปี ก็ถูกผู้มีอำนาจในยุคนั้นสั่งปิด (ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ด้วยข้ออ้างว่าจะใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ทางราชการ<O:p></O:p>

    หลังจากถูกสั่งปิดเหมือง ผู้ลงทุนได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและชนะคดีแต่ก็ยังไม่ได้รับเงินค่าเสียหายคืนจนกระทั่งปัจจุบันนี้ (และหลังจากเหมืองแห่งนี้ถูกสั่งปิดไปแล้วก็ยังมีคนพยายามไปเสียเบี้ยป้ายรายทางแต่ก็สูญเปล่า บางคนต้องตายไปก็มี) ที่ร้ายกว่านั้นก็คือภรรยาของผู้ลงทุนคนนี้รู้สึกช็อคกับ<O:p></O:p>

    เหตุการณ์ที่เหมืองถูกปิดจนต้องขาดทุนย่อยยับถึงกับผูกคอตายในเวลาต่อมา และทุกวันนี้ผู้ลงทุนคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่สภาพที่คุณรัตนาไปเห็นมานั้นคือชายชราวัย ๗๐ กว่าปี รูปร่างเล็ก หลังค่อม คอตั้งตรงไม่ได้ ใบหน้าเอียงคอพับคออ่อนและทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งที่คอซึ่งเป็นมานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่เพื่อเป็นพยานในการให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหมือง คุณรัตนาบอกว่า "แม่พระธรณี" จะช่วยประคองชีวิตท่านผู้นี้ไว้ก่อน ซึ่งท่านผู้นี้ก็ได้ยืนยันกับคุณรัตนาด้วยว่า เหมืองแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่แน่นอน สมัยที่ทำเหมืองมีสัญญาณให้เห็นอยู่บ่อยๆ ว่าเหมืองแห่งนี้มีแร่ธาตุล้ำค่า แต่คงเป็นสมบัติของส่วนรวม ใครจึงเอาไปเป็นของส่วนตัวไม่ได้ แต่ในเร็วๆ นี้แม่พระธรณี จะเปิดเหมืองแห่งนี้ให้เพื่อนำผลประโยชน์มาบรรเทาภาระหนี้สินมหาศาลที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่ ส่วนจะเกิดผลที่เป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกฝ่ายที่จะเล็งเห็นผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน และใช้พลังความสามารถผลักดันไปให้เกิดผล เพราะแม่พระธรณีเป็นเทพผู้ชี้ทางแต่มนุษย์เป็นผู้ทำให้เหมืองปรากฏเป็นจริง<O:p></O:p>

    สำหรับรูปสักการะที่ผู้เขียนนำมาลงในหญิงไทย นั้นคือรูปสักการะของ องค์แม่พระธรณี ซึ่งทำจากหยกแท้ๆ สีเขียว เพราะคุณรัตนาบอกว่า สีเขียวของหยกหมายถึงความแข็งแกร่ง ไม่อ่อนไหว แสดงถึงความเย็น<O:p></O:p>

    เมื่อถามถึงการบูชาองค์แม่ธรณีคุณรัตนาบอกว่า<O:p></O:p>

    "ทุกที่ในแผ่นดินนี้คือที่สถิตย์ของ แม่พระธรณีถ้าจิตเรารำลึกถึงท่านก็จะถึงท่านตลอด บูชาตรงไหนก็ได้ โดยการปักธูป ๓ ดอกบนดินและใช้คาถาสั้นๆ ว่านะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ (๓ จบ) ขออัญเชิญแม่พระธรณีเป็นพยาน ตามด้วยคำอธิษฐานและจบด้วย สาธุ ๓ ครั้ง"<O:p></O:p>

    รูปสักการะของ องค์แม่พระธรณีนี้จะเห็นว่ามีลักษณะของความเป็นจีนแทบทั้งสิ้น ซึ่งคุณรัตนาได้อธิบายให้ฟังว่า "แม่มีชาติกำเนิดเป็นคนจีน แม่ฯถึงย้ำตลอดว่าจีนกับไทยพี่น้องกันและต่อไปจะยิ่งแนบแน่น และก็เคยมีคนฝันเห็นท่าน เขาบอกว่าท่านเป็นผู้หญิงจีนที่สวยมาก ซึ่งรูปร่างของรูปสักการะที่เห็นนี่เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ตอนสเก็ตซ์ภาพ แม่พระธรณี นี่ลูกชายคุณสุวรรณาเป็นคนสเก็ตซ์ เพราะมีครั้งหนึ่งท่านปรากฏร่างออกมาลางๆ พอที่จะถ่ายรูปได้ ก็สเก็ตซ์ภาพลางๆ ออกมาจนกระทั่งถูกใจท่าน ทุกวันนี้พี่ก็ยังติดต่อกับท่านบ่อยโดยการเชิญผ่านถ้วยแก้ว ซึ่งไม่เรียกว่า "ผีถ้วยแก้ว" เพราะแม่พระธรณีไม่ใช่ผี"<O:p></O:p>

    [​IMG]คุณรัตนายังกล่าวต่อไปอีกว่าในการสัมผัสองค์แม่พระธรณีและเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ที่คุณเจริญและคุณรัตนาประสบมาด้วยตนเองนั้นจริงๆ แล้วยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง แต่เป็นเพราะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายบุคคลที่ยังไม่ถึงเวลาจะเปิดตัวหรือเปิดเผยความจริงทั้งหมด มิฉะนั้นจะเป็นการกระทบกระเทือนถึงชื่อเสียงและหน้าที่การงานของท่านเหล่านั้นซึ่งก็ได้เชื่อในเรื่องเหล่านี้และได้ช่วยกันประสานงานร่วมมือกันทำงานเพื่อชาติอยู่เบื้องหลังมาเป็นเวลานานแล้ว และแต่ละคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น "ขุมทรัพย์ใต้แผ่นดิน" ที่มีผู้ทำนายกันมาช้านานจึงไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นหรือโกหกกันเล่นๆ เพียงแต่ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นดำเนินการโดยมีการยื่นเรื่องติดต่อถึงระดับผู้ใหญ่ในแผ่นดินแล้ว<O:p></O:p>

    "วันหนึ่งพอแผ่นดินสงบก็จะเปิดเผยตัวผู้ช่วยงานแม่ฯทั้งหมด ระดับนายพล ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีหมด แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยตัว เพราะสังคมไทยเป็นสังคมปากว่าตาขยิบ หาว่างมงายบ้างอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องระวังตัวและชื่อเสียงของเขาและแม่บอกว่า ดวงเมืองต้องรอความลงตัวในทุกๆ สิ่ง ต้องรอจังหวะเวลา ตอนนี้เวลายังมาไม่ถึง แต่ทุกอย่างมีลิขิตของแผ่นดินไว้หมดแล้ว"<O:p></O:p>

    และเมื่อถามว่าสังคมรอบข้างมีปฏิกิริยาต่อคุณรัตนาอย่างไรบ้าง ในฐานะที่เธอก็เป็นที่รู้จักของคนในแวดวงนักธุรกิจเช่นกัน เธอบอกว่า<O:p></O:p>

    "มีนะคะ ก็คงจะมีทั้งสองด้าน อย่างที่พี่ไปเจออาจารย์ท่านหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ วันนั้นพี่ไปไหว้กระดูกอาจารย์ป๋วย อาจารย์ท่านนั้นได้ถามพี่ว่าพี่มีอะไรพิเศษในตัวหรือเปล่าทำไมถึงสื่อกับแม่พระธรณีได้ พี่ก็ยืนยันได้ว่าไม่มี แต่อาจารย์ก็ยังถามต่อว่าแล้วทำไมแม่ฯถึงมาสื่อ พี่ก็ว่าท่านคงเห็นเราทำงานเพื่อส่วนรวมมั้งและคงถึงเวลาของแม่ฯแล้ว เพราะแผ่นดินมันร้อนขนาดนี้แล้ว แต่ท่านก็บอกว่าปี ๒๕๔๓ แผ่นดินจะสงบขึ้นและแม่ฯจะค่อยๆ ดึงธรรมะมาสู่จิตใจคนให้ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่มันก็ต้องอยู่ที่วิบากกรรมของแต่ละคนด้วยซึ่งสร้างกันมาต่างกัน ต่อแต่นี้ขอให้ทุกคนสร้างแต่กรรมดี ใครที่ทำผิดทำชั่วกลับตัวเสีย ถ้ายังไม่ตื่นกันอีกจะต้องเจอเหตุร้ายนะเพราะแม่พระธรณี จะมาล้างแผ่นดินแล้ว"<O:p></O:p>

    เพียงปีเศษๆ ที่คุณรัตนาได้สื่อกับ องค์แม่พระธรณี ได้ทำให้เธอได้บรรลุถึงสัจธรรมข้อหนึ่งว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจังทั้งสิ้น ตัวเราเองหนีไม่พ้นที่จะต้องละจากโลกนี้ไปเพื่อเข้าสู่วัฐจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีกตามวิถีแห่งกรรมที่เราได้สร้างเอาไว้ แต่ก่อนจะจากโลกนี้ไป ลองถามตัวเราเองดูซิว่า เราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ฝากไว้ในแผ่นดินนี้บ้าง?<O:p></O:p>

    (ข้อมูลบางตอนอ้างอิงจากหนังสือ "เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ" หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่คุณรัตนา มฤคพิทักษ์ โทร.๗๒๒-๑๗๔๑-๒)<O:p></O:p>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2005
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ความเป็นมาของพระอุปคุต โดยเทพธรรม

    ..ก่อนงานเทศกาลนมัสการพระธาตุพนมทุกปี เจ้าภาพจัดงานจะประกอบพิธี อาราธนาเอาพระอุปคุตเถระจากฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งสมมติเป็นมหาสมุทร ที่อยู่จำพรรษาของพระเถระในอดีตกาล เข้ามาประดิษฐานไว้ในบริเวณลานพระธาตุพนม

    ก่อนวันงาน (ปัจจุบันถือเอาวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ) เพื่อขอพึ่งเดชอานุภาพของพระอุปคุตคุ้มครองงานให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยตลอดปลอดภัย และก่อนนั้น ก็มีพิธีคารวะองค์พระธาตุพนม
    เพื่อเป็นการขออโหสิกรรมในการที่คณะกรรมการดำเนินงาน จะจัดให้มีงานนมัสการพระธาตุพนมประจำปีขึ้น ซึ่งอาจมีการกระทำอันไม่เหมาะสมเกิดขึ้น ในเจติยะสถานอันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้จัดเครื่องสักการะคารวะพระบรมธาตุไว้ล่วงหน้าปีนี้ คณะกรรมการจัดงานและพุทธศาสนิกชนชาวธาตุพนม ตลอดข้าโอกาสพระธาตุพนมโดยรอบ ตกลงร่วมกันจัดพิธีอาราธนาพระอุปคุตเข้ามายังวัดพระธาตุพนม และคารวะพระธาตุพนมในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ พร้อมกับพิธีถวายข้าวพีชภาคประจำปี ของข้าโอกาสพระธาตุพนม โดยเฉพาะพระอุปคุตเถระนั้น เป็นพระเถระองค์สำคัญ ที่มีบทบาทในทางทรงอานุภาพ และมีฤทธิ์เดชปราบปรามสิ่งเลวร้าย ในงานพิธีใหญ่ ๆ มาแต่โบราณกาล จึงใคร่ขอนำเอาบทบาทบางตอนท่านมาเล่าดังนี้


    ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ ปี ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราช (พระเจ้าอโศกมหาราช) ได้ผ่านพิภพมไหสวรรค์ราชสมบัติ พระองค์ทรงเลื่อมในในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสถาปนาสร้างพระวิหารและพระสถูปนัยว่าถึงแปดหมื่นสี่พันแห่งทั่วชมภูทวีป และได้ทรงขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุมาไว้เพื่อนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง เมื่อได้ทรงขุดค้นรวบรวมหมดแล้ว ก็อัญเชิญไปสู่นครปาตลีบุตร ทรงกระทำการสักการะสัมมานะโดยเอนกประการ แล้วทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือเข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่อีก ๑ องค์สูงถึงกึ่งโยชน์ที่ฝั่งแม่น้ำคงดา ใกล้นครปาตลีบุตร แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่นั้นและก็ทราบว่ามีบางส่วนที่ส่งไปบรรจุไว้ในต่างแคว้น
    เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสีพันองค์นั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในระยะเวลาดังกล่าวเพื่อให้การฉลองสมโภชเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นผู้คุ้มครองงานให้ปราศจากการรบกวนจากมาร้ายต่าง ๆ พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีองค์ใดที่จะรับเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ได้ โดยเฉพาะพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ องค์ ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์

    ซึ่งจำพรรษาอยู่กลางมหาสมุทรมาช่วยรักษาความปลอดภัยในงานมิให้งานสมโภชองค์พระสถูปเจดีย์พบอุปสรรค ให้ดำเนินไปโดยตลอดปลอดภัยทุกประการ เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์จากผู้แทนพระสงฆ์เมืองปาตลีบุตรแล้ว ก็เดินทางมานมัสการและรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบ ผู้จะเข้ามาทำหน้าที่รักษาการงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ พระสงฆ์แนะนำพระอุปคุตเถระให้ทรงทราบ

    เมื่อพระองค์ทรงทรงทราบผู้จะมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในงานแล้ว ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระมีลักษณะอ่อนแอร่างกายผ่ายผอมเกรงจะทำหน้าที่ไม่ได้สมบูรณ์แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร รุ่งขึ้นวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชใคร่จะทดสอบดูฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน ( ช้างตกมัน ) ให้เข้าทำร้ายพระเถระพระมหาอุปคุตเห็นดังนั้นจึงสะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามาให้ยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาโทษพระเถระ ที่ได้กระทำการล่วงเกิน โดยเจตนาจะทดลอง พระมหาอุปคุตเถระ ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชและพญาคชสาร พญาศรีธรรมาโศกมหาราชทรงพอพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคาสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ

    บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพและพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตรและต่างแดนจากจตุรทิศ ได้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน ต่างก็มีเครื่องสักการะบูชาอยู่ในมือเพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางบรรดานักแสวงบุญ ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณงานนั้น พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ( เทพบุตรที่เป็นมาร ) ได้โอกาสงามเช่นนี้ ก็แปลงร่างจากปรนิมมิตตะวัสสวดีเทวโลก อันเป็นที่อยู่ของตน ปนเปกับนักบุญทั้งหลายเพื่อทำลายพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่นั้น ในขณะนั้นพระมหาเถระอุปคุต ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยในบริเวณงานทั้งหมด หยั่งทราบด้วยญาณอันวิเศษ ถึงมหาภัยที่กำลังคุกคามอยู่เบื้องหน้า ที่ปลอมมาในรูปของนักบุญจึงเนรมิตร่างสุนัขเน่าที่กำลังขึ้นหนอน อธิฐานให้เข้าไปคล้องไว้กับคอพญามารแล้วอธิฐานว่า แม้เทพดามหาพรหมยมยักษ์ภูตผีปีศาจที่มีฤทธิ์เข็ดขลัง ก็อย่าสามารถนำร่างสุนัขเน่านี้ออกจากคอพญามารได้ แล้วขับพญามารหนีออกจากบริเวณงานทันทีพญามารพยายามแก้ร่างสุนัขเน่าด้วยฤทธานุภาพอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ออกได้

    พญาวัสสวดีมาร ยอมแพ้แก่พระอุปคุตเถระผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อสิ้นคิดที่จะแก้ไข ก็ยอมออกจากบริเวณงานโดยดีแต่ขอร้องให้มหาอุปคุตเถระแก้ร่างสุนัขเน่าออกจากคอของตน เพราะทนต่อกลิ่นเหม็นไม่ได้พระมหาอุปคุตป์ก็อนุโลมตามแต่ไม่ไว้ใจพญามารสนิทนัก เพราะเกรงพญามารอาจคิดกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง
    จึงอธิษฐานประคตเอวให้เป็นดังโซ่เหล็กผูกพญามารติดไว้กับเขาลูกหนึ่งนอกบริเวณงาน แล้วบอกแก่พญามารว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ

    เมื่องานฉลองสมโภชมหาเจดีย์ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน สิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย พระมหาเถระจึงได้ไปหาพญามารที่เขานอกเมือง เพื่อสังเกตดูว่าพญามารจะสิ้นพยศหรือยัง ก็ทราบว่าสิ้นพยศแล้วทั้งยังกล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าว่า
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [font=Ms Sans Serif, AngsanaUPC, CordiaUPC]:ไขปริศนารหัสลับคัมภีร์ไบเบิล :[/font]
    [font=Ms Sans Serif, AngsanaUPC, CordiaUPC]โดย สายทิพย์[/font]
    [font=Ms Sans Serif, AngsanaUPC, CordiaUPC]​
     
  18. sphvii

    sphvii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    1122222
     
  19. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,221
    ค่าพลัง:
    +939
    เห็นว่าใกล้สิ้นเดือนสิงหาคมแล้ว เลยเข้ามาถามว่าจะมีคนสำคัญใหญ่โต ตายในเดือนนี้แบบอนาถจริงๆเหรอครับ เหลืออีกไม่กี่วันเอง
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ทบทวนคำเตือนของคุณ 108 man
    สิ่งที่แน่นอนก็อาจไม่แน่นอน นี้คือความเป็น "ธรรม"

    ที่นี้ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว และอยากจะบอกในสิ่งที่รู้มาว่า

    1. เหตุต่าง ๆ ที่รุนแรงกว่า จะต้องเกิดแน่ ๆ ตามที่ได้รับรู้ก็คล้าย ๆ กับที่สมาชิกบอก

    2. แต่ เหตุที่เราได้รับการบอกกล่าว ว่าจะเกิดวันไหน ก็ไม่สามารถเกิดได้ตรงตามวันที่ได้รับข่าว เพราะ เป็น กฏของสวรรค์ ไม่สามารถบอกให้ตรงวันได้ แต่ยกเว้นผู้ทีมีหน้าที่ให้บอกได้ซึ่งตอนนี้ที่ทราบท่านก็ไม่ยอมบกวันแต่บอกว่าจะเกิดที่ไหน ช่วงเดือนไหน

    3 แต่ เวลาที่ได้รับการทำนายแล้วก็อาจเลื่อนได้ อย่าง ซึนามี ก็เลื่อนมาเกือบ 7 ปี และความรุนแรงก็น้อยลง จริง ๆ แล้ว มีเกาะต้องหายไปทั้งเกาะแต่ท่านมาช่วยไว้ ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงเลื่อนได้ ก็เพราะว่า มีกลุ่มที่ทำหน้าที่ในการแก้กระจายกันไป ตามสายต่าง ๆ ที่สร้างพระ หรือ สร้างวัตถุต่าง ๆ ตามที่ต่าง ๆ หรือการปฏิบัติธรรมเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งกลุ่มนี้ก็อาจจะเป็นพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ในที่นี้ ที่ได้ทำกันอยู่แต่ไม่รู้ตัว

    4. อาจารย์ของผมอยู่ที่อีสาน ก่อนเกิดเหตุ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2547 ท่านขีดเส้นบนแผนที่จากเหนือเกาะสุมาตราขึ้นไปทางเหนือตามแนวที่เกิดแผนดินไหว ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครเข้าใจความหมายซึ่งหลังจากเกิดซึนามิ แล้ว ท่านก็ขีดเส้นจากแถวเพชรบุรี ผ่านเมืองกาจญบุรี ไปทางเหนือ จนถึงลำปาง และจะเกิด ........ ไม่สามารถเขียนรายละเอียดได้เพราะทางรัฐบาลไม่เชื่อจะเกิดเรื่องก็คล้าย ๆ กับที่มีสมาชิก ได้เขียนมาแล้ว

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมบอกไดเลยว่าสิ่งที่รู้ก่อนย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ถ้าไม่รู้ก่อนย่อมไม่เปลี่ยนแปลงนี้คือกฏของสวรรค์ ซึ่ง ถามว่าเมื่อไม่เกิดตรงที่รู้แล้วให้รู้ก่อนทำไม นี้ก็คือความเสี่ยงและกรรมของแต่ละบุคคลที่ จะเลือกว่าจะทำการเลื่อนหรือผ่อนหนัก เป็นเบาหรือเปล่า แต่ ผมว่าเราเป็นคนไทยในดินแคนแห่งพระพุทธศาสนา จงภูมิใจได้ว่ามีผู้ทรงอภิญญา และ พระอรหันต์ ได้ช่วยเราไว้และได้ช่วยอยู่

    ก็เพราะเหตุว่า เหตุต่าง ๆ ได้ถูกเลื่อนและทำให้เบาขึ้นผมไม่ได้ให้คุณ ๆ เชื่อ แต่ หวังให้คุณทำ (จนได้อภิญญา) เพราะกลุ่มคนจำนวนมากได้ถูกกำหนดมาให้มาเกิดเพื่อทำหน้าที่นี้ แต่คุณอาจไม่รู้ตัวเอง แต่เมื่อถึงวันหนึ้งเมื่อเกิดเหตุก็จะรู้ตัวเอง ผมและลูก ก็ได้ถูกกำหนด ไว้ ( ทำให้รู้ว่าประเทศไทย ยังอยู่อีกหลายสิบปี เพระ ลูกผมอายุ 1.9 ปี เอง )

    ลองไปคิดดูนะครับ อย่าอยู่ในความประมาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...