ข่าวดี ชาวโลกจะได้พบพระศรีอารย์ในปี 2549

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 10 พฤศจิกายน 2004.

  1. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    อืม...ครับ จะรอครับ
     
  2. chue27

    chue27 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,358

    นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งที่ผมได้ตั้งกระทู้ถามอาจารย์คนเมืองบัว ท่านเป็นคนตอบเองครับ ลองอ่านเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากันเองนะครับ (ที่ไม่บอกลิงค์เพราะว่าคำถามส่วนใหญ่เป็นข้อมูลส่วนตัวของผม แต่ยืนยันว่าอาจารย์คนเมืองบัวเป็นคนตอบแน่ๆครับ)

    9.ช่วงชาววิไลใกล้มาถึงหรือยัง อีกกี่ปี
    ../...ยังไม่ถึง ไม่ขอตอบว่าอีกกี่ปี

    10.พระศรีอาร์ยลงมาจุติหรือยัง ถ้ายังเมื่อไรครับ
    ../...จะจุติมาเป็นพระพุทธเจ้าเลย ระหว่างนี้จะไม่จุติที่ใดอีกเด็ดขาด เพราะท่านเปิดโอกาสให้เหล่าพระโพธิญาณรุ่นน้อง ๆ ทำบารมีให้โดดเด่นและเก็บออมบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ในความคิดเห็นนี้ คาดว่าอีกหกพระองค์ที่มีบันทึกไว้ในอนาคตวงค์ก็จะไม่ลงมาทำบารมีแล้ว รอคิวอย่างเดียว จะมีก็กลุ่มหลังจากภัทรกัป ตั้งแต่พระสิกขีทศพลที่ ๖ เป็นต้นไปคงลงมาสั่งสมบารมีต่อเนื่องไป
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    การอันตรธานของพระอริยะบุคคล

    คัดลอกมาจากhttp://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008541.htm

    <TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    "ในปัจจุบันซึ่งเป็นพันปีที่สามของพระศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมนี้
    ไม่มีผู้ที่มีคุณธรรมถึงขั้นพระอรหันต์ จะมีได้ก็เพียงพระอนาคามีเท่านั้น"

    คำพูดนี้จริงรึเปล่าครับ ผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยนะครับ
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ศุภสิทธิ์ [ 17 เม.ย. 2546 / 19:34:14 น. ]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    เราก็ทราบมา เช่นเดียวกันกับ คุณศุภสิทธิ์ ครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดให้ฟัง

    แต่ต้องเข้าใจคำว่า "โลก" ให้ตรงกันก่อนว่า ถ้าว่ากันตาม "โลกมนุษย์หรือภพภูมิมนุษย์" ที่เป็นธาตุสี่นี้นั้น ไม่มีพระอรหันต์ในยุคนี้ เพราะผู้ที่มีวาสนาบารมีที่จะเป็นพระอรหันต์เขาไม่ลงมาเกิดในยุคทุกข์เข็ญเช่นปัจจุบัน(พันปีที่สาม)

    แต่ถ้าเป็นโลก(ภพภูมิที่ละเอียด) นั้น ยังมีพระอรหันต์อยู่มากมาย ที่กำลังรอเข้าพระนิพพานในยุคของพระศรีอาริย์

    เรื่องเหล่านี้ จะทราบได้ก็เฉพาะผู้ที่บำเพ็ญเข้าใกล้พุทธวิสัย แล้วเท่านั้น อย่างเช่น ท่านที่บำเพ็ญพุทธภูมิบารมีเต็ม รอคิวเป็นพระพุทธเจ้าในอันดับต้นๆ ท่านก็สามารถใช้อนาวรญาณ(อาจสะกดผิด) เพื่อหยั่งรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : คนไกล [ 18 เม.ย. 2546 / 16:40:57 น. ] [SIZE=-1]
    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    "ยังมีพระอรหันต์อยู่มากมาย ที่กำลังรอเข้าพระนิพพานในยุคของพระศรีอาริย์"
    หมายถึงท่านกำลังรอเพื่อจะมาปรินิพพานในยุคพระศรีอาริย์หรือเปล่าครับ?
    ช่วยอธิบายขยายความประโยคนี้อีกทีนะครับคุณคนไกล ผมอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ

    ด้วยความเคารพครับ
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ศุภสิทธิ์ [ 18 เม.ย. 2546 / 17:36:02 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    เรียน คุณศุภสิทธิ์ ครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดให้ฟังว่า เรื่องพระอรหันต์ส่วนที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม ท่านก็เข้านิพพานไปแล้ว แต่มีอีกจำนวนมากที่ท่านปรารถนามากับพระศรีฯ หากปฏิบัติถึงภูมิพระอรหันต์แล้ว เมื่อท่านละขันธ์แล้วก็ต้องรอไปยุคของพระศรีฯ

    อย่างในปัจจุบันนั้นไม่มีใครจะเข้าพระนิพพานได้เพราะการเข้าพระนิพพานนั้น มันมีกาล มีขอบเขต แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็มีกาล และมีขอบเขตของท่านเช่นกัน พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะเป็นผู้นำทางพาเข้าพระนิพพาน แล้วพระอรหันต์สาวกก็จะเข้าตามๆกันไป จนครบกำหนดหรือระยะเวลาหนึ่ง (ตามพระบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์) ส่วนที่เหลือ(พร้อมทั้งเหตุปัจจัยของการปรารถนาและการทำบารมีร่วม) ก็จะต้องรอเข้าพระนิพพานในยุคพระพุทธเจ้าถัดๆไป

    และในเรื่องของการทำบารมีร่วม ในยุคสมัยต่างๆนั้น ผู้ที่ท่านทำบารมีพุทธภูมิและบริวารนั้น ท่านจะเกิดมาทำบารมีร่วมสมัยกันมาก เขตบารมีจึงทับซ้อน เหลื่อมกันและพุทธภูมิที่รับพุทธทำนายที่เป็นลำดับใกล้ๆกันก็มักจะเกิดเป็นพี่น้อง เครือญาติ กันมาทั้งนั้น

    เรื่องนิพพานที่พวกเรามักจะถกเถียงกันมากนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกิเลสนิพพานและขันธ์นิพพาน และ/หรือสภาวสุญญตาธรรม (ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นความพร้อม หรือคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าพระนิพพาน) ยังไม่ใช่ พระนิพพานแท้ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องเป็นผู้นำทางเข้าไป เพราะพระนิพพานแท้จริงนี้ ผู้ที่เป็นพุทธภูมิเต็มขั้น บารมีเต็มเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้ ส่วนท่านอื่นๆนั้น ไม่ใช่หน้าที่ และไม่สามารถหยั่งรู้ได้​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : คนไกล [ 19 เม.ย. 2546 / 11:12:56 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    เรื่องข้อจำกัดด้านเวลานั้น ผมเชื่อว่ามีจริง ด้วยกฎง่ายๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้ศาสนาก็ต้องเป็นไปเช่นเดียวกัน เริ่มจากการเสื่อมจากอรหันต์ อนาคาฯ สกิทาคาฯ และโสดาฯ ตามลำดับ(สิ่งที่เข้าถึงได้ยากย่อม มีผู้เข้าถึงได้น้อยและเสื่อมเร็วกว่า) แต่ส่วนกำหนดเวลานั้น ผมไม่ค่อยเชื่อ ตราบใดที่ยังมีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ ตราบนั้นก็สามารถมีผู้บรรลุธรรมได้ทุกขั้น และมีศาสนาของพระพุทธเจ้าอยู่ตราบนั้น จะมาอ้างว่าหมดยุคของศาสนาพระโคดมพุทธเจ้าไม่ได้ ส่วนการจะมีศาสนาพระศรีอาริย์นั้น ต้องเกิดในช่วงที่ว่างเว้นจากศาสนาพุทธ ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครรู้จักอริยสัจ 4 และ อริยมรรค 8 ตราบใดที่ยังมีแผนที่ ลายแทงอยู่ทุกคนก็สามารถไปถึงจุดหมายคือนิพพานได้ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่เห็นด้วยกับคุณคนไกล(ด้วยความเคารพ) ที่ว่าต้องให้พระพุทธเจ้านำเข้าสู่นิพพาน ผมยังเชื่อว่า นิพพานเป็นของสากล มีอยู่แม้ไม่มีพระพุทธเจ้า ดังที่ท่านตรัสว่า ตถาคตเป็นเคียงผู้ชี้ทาง (แม้จะใช้คำว่า "ผู้นำทาง" ก็โดยความหมายนี้ ไม่ใช่เจ้าของนิพพาน ซึ่งเป็นของสากล) ด้วยเหตุนี้ ในยุคที่แม้ไม่มีศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็มีผู้สามารถเข้านิพพานได้ โดยหากผู้นั้นไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้(ชี้ทางไม่เป็น) เรียกว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้า" และหากผู้นั้นสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ จึงเรียกว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" จึงเป็นจุดเริ่มของศาสนาพุทธใหม่อย่างแท้จริง​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ธัมกร [ 19 เม.ย. 2546 / 17:58:08 น. ] [SIZE=-1]
    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    เรียนคุณ ธรรมกร เรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เห็นด้วยครับ ว่าท่านอุบัติขึ้นในยุคที่ "ว่างจากศาสนา" และท่านมีพระบารมีที่จะบรรลุธรรมและเข้าสู่พระนิพพานได้ด้วยพระองค์เอง

    แต่ที่ผมนำเสนอข้างบนนั้น เป็นเรื่องของยุคที่ยังมี "ศาสนาของพระพุทธเจ้า" อย่างเช่น ในปัจจุบันนี้

    และเห็นด้วยที่ว่า "พระนิพพานนั้นมีอยู่เป็นสากล มีอยู่แม้ไม่มีพระพุทธเจ้า" แต่การเข้าถึงพระนิพพานในแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมแตกต่างกันตามเหตุปัจจัย อย่างเช่น แม้แต่อายุพระศาสนา อายุของพระพุทธเจ้า ที่แตกต่างกันนั้น จะส่งผลต่อการเข้าถึงพระนิพพานของพระอรหันต์สาวก ที่แตกต่างกัน ทั้งระยะเวลาและจำนวนที่แตกต่างกัน ตามบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    รวมทั้งการเป็นอยู่ของคนและสัตว์ในยุคศาสนานั้นๆ ก็จะขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ว่าพระองค์ท่านปรุงศาสนาของท่านมาแบบไหน มากน้อยขนาดไหน(ระยะการทำบารมี หรือประเภท ปัญญา ศรัทธา วิริยะ)

    และการที่ยังมีอริยสัจ 4 และ อริยมรรค 8 หรือตราบใดที่ยังมีแผนที่อยู่นั้น หากปราศจากผู้ที่มีวาสนาบารมีมาเกิดแล้วละก็ สิ่งที่มีอยู่มิอาจจะนำพาไปสู่พระนิพพานได้ เพราะผู้ที่มาเกิดทำบารมีนั้น อย่างน้อยบารมีสิบต้องเต็ม จึงจะบรรลุธรรมได้ตามแนวทางอริยสัจ 4 และ อริยมรรค 8 ที่มีอยู่

    และตามประเพณีของพระพุทธเจ้า ทุกยุคของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อเลยระยะกึ่งกลางของพระศาสนาไปแล้ว จะบังเกิดขึ้นซึ่ง "ยุคจักรพรรดิ์" ซึ่งจะเป็นยุคที่พระมหาโพธิสัตว์อันดับหนึ่ง หรือผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป จะมายกยอพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าในกาลศาสนานั้นๆ ดังเช่น ในสมัยพระเวสสันดร ที่ลูกชายของพระเวสสันดรได้เป็นพระจักรพรรดิ์ในยุคนั้น(ไม่ทราบว่ามีการบันทึกไว้หรือไม่) ซึ่งเป็นระยะเวลากึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง

    และในยุคปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน เป็นยุคกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม ก็จะต้องมียุคจักรพรรดิ์ที่กำลังจะอุบัติขึ้น ซึ่งพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระศรีฯในกาลอนาคต จะลงมายกยอพระศาสนาของพระโคดม และถ้าว่ากันตามตำนานภาคอีสานก็คือยุคสามร่มโพธิ์ ซึ่งในปัจจุบันมีพระอภิญญาหลายๆรูปที่ท่านพูดถึงเรื่องนี้บ่อยครั้ง และขณะนี้ก็ปรากฏว่ามีสิ่งสำคัญบางประการที่เกี่ยวกับข้องกับยุคพระจักรพรรดิ์ ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว แต่ยังรู้เห็นกันอยู่ในวงจำกัดเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และในยุคจักรพรรดิ์นี้บนโลกจะมีมนุษย์เหลือเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตของสามร่มโพธิ์(จำนวนไม่กี่ล้านคน) ก็คงจะมีแต่ผู้ที่มีศีลธรรม มีวาสนาบารมีเท่านั้น ส่วนยุคศาสนาของพระศรีฯจริงๆนั้นจะปรากฏก็ใช้เวลาอีกหลายล้านปีจากนี้ไป

    แลปรากฏการณ์ภายนอกที่พอจะเป็นแนวทางที่จะพอคาดเดาได้ว่า ใกล้ถึงยุคจักรพรรดิ์แล้วก็คือ มนุษย์ในโลกรบราฆ่าฟันกันขนาดใหญ่ ขาดคุณธรรมศีลธรรม อำมหิต เป็นยุคทุกข์เข็ญ มนุษย์ขาดเมตตาธรรมต่อกัน และจะมีปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ ทาง ดิน น้ำ ลม ไฟ รุนแรงขึ้น รวมทั้งจะเกิดโรคระบาดที่มนุษย์รักษาไม่ได้หลายชนิดและจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คนล้มตายกันมากมาย เมื่อถึงตอนนั้นนิวเคลียร์ในและนิวเคลียร์นอกจะเกิดขึ้น เพื่อล้างคนไร้ศีลธรรม หลังจากนั้นก็จะเป็นยุคจักรพรรดิ์ ซึ่งมีรายละเอียด อีกมากมาย เช่นว่า พระอรหันต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์ พระยาธรรมิกราช อัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม ฯลฯ รวมทั้งวิเศษต่างๆ ในโลกก็จะปรากฏเป็นอัศจรรย์ เป็นต้น

    ที่เล่ามานั้นถือว่าเป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล ที่ประพฤติ ปฏิบัติ ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้มาโดยเฉพาะ สำหรับท่านที่ปฏิบัติแบบอื่นหรือได้ผลเป็นอย่างอื่นๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง เรื่องเหล่านี้ ก็อ่านไว้ประดับความรู้ก็แล้วกัน ดังการรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นระโยชน์ ก็ถือว่าเป็น อริยทรัพย์ ประเภทหนึ่งเช่นกัน

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : คนไกล [ 20 เม.ย. 2546 / 03:00:38 น. ] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    ผมก็ขออนุโมทนา สาธุการในธรรม ที่แสดงจากจิตหนึ่ง ของหลวงปู่ดูลย์ด้วยครับ _/|\_/|\_/|\_

    การที่ว่า จะต้องมีผู้มีบุญมาเกิดนั้น ไม่คิดว่าสำคัญครับ แม้ผู้ที่มีบารมีน้อยที่สุด แต่ได้รู้จักพระศาสนา ได้กัลยาณมิตรดี แนะนำ สติปัฏฐาน 4 ให้ และปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกต้อง พระพุทธองค์ท่านรับรองว่า ย่อมสำเร็จผลได้ในชั่วระยะเวลา 7 ปี จะไปกล่าวถึงชาติไหนๆ ทำไม
    --
    อานิสงค์ของสติปัฏฐาน 4
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑
    ..​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ติสโร [ 20 เม.ย. 2546 / 16:25:04 น. ] [SIZE=-1]
    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    บางทีการคาดหวังถึงสมณะสี่ คือ โสดา สกิทาคา อนาคา และ อรหันต์ นั้น อาจจะไกลเกินเอื้อมสำหรับ หลายๆ คน บางครั้งการปฏิบัติในภพชาติปัจจุบัน เพื่อให้พ้นอบายภูมิสี่ ในภพชาติถัดไป นั้นยังยากเลย

    โดยเฉพาะสำหรับสมมติสงฆ์บางส่วนและฆราวาสโดยส่วนใหญ่ การปฏิบัติในภพชาติปัจจุบันยังไม่สามารถผ่านอบายภูมิสี่ได้

    สมมติสงฆ์บางส่วนที่พร่องศีลย่อยๆมักไปเกิดเป็น เต่า หรือสิงสาราสัตว์อื่นๆได้ง่าย และสมมติสงฆ์ที่พร่องศีลใหญ่ๆก็ลงไปต่ำกว่านั้น และ ฆราวาสโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในยุคนี้ ก็มักวนเวียนอยู่แถวอบายภูมิสี่กันมาก

    ถ้าจะว่ากันโดยสติปัฏฐานสี่ ที่เราเข้าใจ โดยใช้ธาตุ-ขันธ์ เข้าแลก เพื่อศึกษาเรียนรู้มานั้น เท่าที่ประสบมาก็คือ กาย เวทนา จิต ธรรม มีเป็นคู่ๆคือ กายนอก-กายใน เวทนานอก-เวทนาใน จิตนอก-จิตใน ธรรมนอก- ธรรมใน

    และแค่เรื่องของกายนอกนั้นก็เป็นเรื่องของธาตุสี่ ที่ปรุงกันไปปรุงกันมา ที่ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ เมื่อผ่านตรงนี้ไป ก็จะไปเข้าเขตของขันธ์ห้า ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องของภายในล้วนๆ และใช้วิธีศึกษาโดยการทำกรรมฐานแยกขันธ์ห้าออกมาจากธาตุสี่ เพื่อไปทำความเข้าใจกับ กาย เวทนา จิต ธรรมที่เป็นเรื่องของภายใน แลคิดว่าขั้นต่อไปคงจะขมวดเป็นรูป-นาม ที่ละเอียดขึ้นมั้ง

    และพึงสังเกตได้ว่า แบบที่เราทำนี่ ไม่ค่อยเปลืองตำราสักเท่าไหร่ ปฏิบัติไปถึงไหนก็มีตำราส่วนตัวเกิดขึ้นตรงนั้น เอาไว้เทียบเคียงกับตำราสากล แลที่เป็นเรื่องแปลกก็คือ ครูบาอาจารย์ต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ทรงอภิญญาทั้งหลาย ก็ไม่เคยดูแคลนว่าวิธีที่เราทำมานั้นผิดทาง กลับส่งเสริมให้ทำต่อ ก็คิดว่าด้วยเมตตาธรรมของท่านเหล่านั้น คงจะไม่ใจร้าย ส่งเสริมให้เราเดินหลงทาง

    ส่วนเรื่องของหลวงปู่ดุลย์ นั้นท่านคงจะเดินตามแนวของพระอริยสาวก รูปธรรม นามธรรม จึงปรากฏออกมาแบบนั้น​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : คนไกล [ 22 เม.ย. 2546 / 10:11:39 น. ] [SIZE=-1]
    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    555555555555555555555555555+
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เรื่องแบบนี้เหมือนดาบ 2 คมนะครับ รับฟังไว้ก่อนอย่าเพิ่งหัวเราะเย้ยหยัน สิ่งที่เราคิดว่าไม่จริง เป็นไปไม่ได้ก็อาจจะกลายเป็นจริงในวันข้างหน้าก็ได้ ใครจะรู้ เพราะสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึงยังมีอีกมากมาย หากด่วนสรุปเร็วเกินไปก็อาจจะต้องเสียใจในภายหลัง ว่าเราได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินผู้มีธรรมไปแล้ว...
     
  6. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    คือตัวเองนะยังเลวอยูมากๆไม่กล้าเชื่อในความคึดของตัวเองเพราะอะไร?ก็เพราะกลัวอาการคึดไปเองหลือ"อุปาทาน"จะกินเอาเลยเชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่าเชื่อพระอรหันดีกว่าจึงได้ดีมาถึงทุกวันนี้ ส่วนตัวฉันเคารพ"พระศรี"อยู่แล้วเพราะรู้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตวงค์ หลือท่าจะบอกว่าท่านพระศรีมาเกิดในสมัยพุทธการก็ไม่พิดก็เชื่อ เพราะในพระสูตมีพูดอยู่ก็คือพระ"อชิตะ"ท่าจำไม่พิด แต่ท่าสมัยนี้ท่านจะลงมาอีกก็รู้สึกท่านขยันเกิดจริงๆ
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    k.เกษม...ว่าไง?ที่เราพูดมาผิดไหม? หลืออย่างไร? คุณก็อย่าถือสาเราเลยนะ จริงๆเรามีความเคารพท่านมาก จำได้ว่าครั้งแรกที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณ(ฤาษีลิงดำท่านพ่อ)ท่านบอกจะสร้าง"พระศรีอริยะ"ในปี37ที่วัดท่าซุงเราก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยอยากให้ถึงปี37เร็วๆก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ด้วยความที่อยากรู้ทำไมจรึงมีความรู้สึกรักและเคารพ"พระศรี"ท่านมากๆขนาดนี้เราจึงได้ไปกลาบเรียนถามหลวงพ่อตอนนั้นท่านยังอยู่ หลวงพ่อก็ได้เมตตาบอกเราว่า"ลูกเป็นคนของท่าน"ถึงได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะลงมาอีกตอนช่วงนี้ท่าท่านมาหลวงพ่อต้องมีบอกเรื่องนี้.....สวัสดี
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ที่คุณ toe พูดมาก็ไม่ผิดหรอกครับ เรื่องของความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีใครจะห้ามความคิดความเชื่อของใครได้ อย่างเรื่องของนรก สวรรค์ ผี สาง เทวดา บางคนก็เชื่อว่ามีจริง บางคนก็ไม่เชื่อว่ามีจริงหาว่าเป็นเรื่องเหลวไหลเพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้

    ที่ผมเชื่อว่าพระศรีอารย์ ลงมาเกิดในยุคนี้เป็นเรื่องจริง เพราะความศรัทธาในครูบาอาจารย์ที่ได้บอกเรื่องนี้ให้ทราบ ประกอบกับการค้นคว้าในคำทำนายโบราณที่ได้บอกเล่าสืบต่อๆ กันมาจากหลายๆ แหล่งบอกไว้ตรงกันหมด อีกทั้งได้ศึกษาคำทำนายจากศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ ศริสต์ อิสลาม บอกไว้ตรงกันหมดเช่นกันถึงการมาปราบยุคเข็ญ ของพระศรีอารย์ในกลียุคนี้ ถ้าคุณ toe เคยอ่านพุทธทำนายจากศิลาจารึกที่ค้นพบในเขตวิหารเชตวัน ประเทศอินเดีย ก็จะพบว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงผู้มีบุญที่จะมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลนี้ ให้ยั่งยืนนานไปจนครบ 5,000 ปี

    ซึ่งทั้งนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของผมคนเดียว ไม่ได้บังคับให้ใครต้องเชื่อตามผมนะครับ เราทุกคนมีสิทธิได้รับรู้ข่าวสารเท่าเทียมกัน และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นในความเชื่อของตัวเองให้คนอื่นได้รับทราบ และทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะตัดสินใจเอาเอง........
     
  9. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ปี2549 ก็อีกไม่กี่เดือนสินะ ก็คงจะมีบุญได้เจอได้ชมท่านแน่ๆอย่างนั้นใช่ไหม ? ก็เป็นข้าวดีจริงๆที่จะได้เจอ"นายใหญ่" แต่ท่าในปี49ท่านยังไม่มาขออะไรหน่อยได้ไหม? ขอถอนเขี้ยว"หะนุมาร"สัก2ซีกได้ไหมจ๊ะ.....สวัสดี
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พิเคราะห์พระศรีอาริย์ แอบจุติอย่างไร? โดยคุณทลิททกะ เมษโปดก

    ( บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาน )


    <TABLE style="WIDTH: 528px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=528 border=1><TBODY><TR><TD>
    ในเมื่อ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังปรากฏเป็นเทพบุตรที่ดุสิตเทวโลกอยู่ แล้วจะเป็นได้อย่างไร ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในมนุสสโลก?

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นับเป็นเรื่องที่รู้โดยทั่วกัน ในวงผู้ศึกษาปริยัติ และผู้ที่ปฏิบัติธรรมว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังปรากฏรูปเป็นเทพบุตรอยู่ที่ดุสิตเทวโลก.
    มีถ้อยคำสนับสนุนจากพระอาจารย์หลายท่าน มีท่านผู้กล่าวว่า ตนปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และสำเร็จในมโนมยิทธิ สามารถท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆได้ตามปรารถนา กล่าวว่า ในเมื่อไม่นานมานี้เอง ท่านเหล่านั้น ยังได้พบพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลกอยู่ และยังได้สนทนาธรรมกันอยู่ ข้อที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดยังโลกมนุษย์นั้น เป็นไปไม่ได้แน่แท้..
    แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังมีมนุษย์จำนวนมาก ประกาศธรรมว่า ตนคือพระศรีอารย์ ตนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ มีทั้งมนุษย์ชายหญิง ฆราวาสและบรรพชิต.
    ถ้อยคำของบุคคลสองฝ่ายนั้น ปรากฏขัดแย้งกัน ลงกันไม่ได้ ต่างคนต่างเชื่อมั่นในความเห็น คือสิ่งที่ตนตรึกตรองได้ หรือว่าประสบมานั้น ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เป็นอื่นไปได้.

    <TABLE style="WIDTH: 261px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=261 border=1><TBODY><TR><TD>
    ฐานะของท่านผู้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บุคคลบางคนในโลกนี้ อาศัยการอ่านหนังสือ การได้ยินได้ฟังธรรมจากบุคคลที่ตนศรัทธาแล้วตรึกตรองตาม ซึ่งผู้ที่เขาเชื่อว่ารู้กล่าวว่า "ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลก" เขาศรัทธาว่า ท่านผู้กล่าวนั้น เป็นผู้ทรงคุณธรรม ประกอบด้วยญาณคือหูทิพย์ตาทิพย์ มโนมยิทธิและอิทธิฤทธิ์ และท่านผู้นั้น ได้ใช้ญาณของตน คือหูทิพย์ตาทิพย์บ้าง มโนมยิทธิบ้าง อิทธิฤทธิ์บ้าง ตรวจสอบดูข้อนี้แล้ว ก็เห็นว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ยังเป็นเทพบุตรที่ดุสิตเทวโลกอยู่ ไม่ได้มาเกิดในโลกมนุษย์แต่อย่างใด. อาศัยสุตตะนั้นอันเขาเชื่อตามแล้ว เขาย่อมมีความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้ว ก็เพราะว่า ท่านผู้วิเศษชื่อนั้นๆ ท่านกล่าวไว้ คำของท่านเหล่านั้น เที่ยงแท้ ไม่เป็นอื่น ไม่มีผิดพลาดแน่ . นี่เป็นฐานะที่๑
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยทิพพจักขุและ ทิพพโสตธาตุอันไม่ผิดพลาด. เขาใช้ทิพพจักขุและทิพพโสตธาตุตรวจดูพระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลก และเมื่อเขาตรวจสอบอยู่ เขาย่อมได้เห็นรูป ได้ยินเสียงแห่งเทพบุตร ซึ่งใจเขาประกาศให้ปรากฏว่า นั่นคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์. อาศัยความเห็นอันนี้ เขาย่อมมีทิฏฐิว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกแท้ ข้อที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดยังโลกมนุษย์แล้วนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ก็เพราะว่า เขาใช้ตาทิพย์ หูทิพย์ ตรวจสอบดูแล้ว และได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์เทพบุตร ที่ดุสิตเทวโลกอยู่ในบัดนี้. นี่เป็นฐานะที่๒
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยมโนมยิทธิอันไม่ผิดพลาด. เขาประกอบมโนมยิทธิ ถอดรูปที่สำเร็จจากใจ ดุจบุรุษถอดไส้จากหญ้าปล้อง หรือถอดดาบออกจากฝัก ว่า นี่ฝัก ว่านี่ดาบ หรือว่า นี่ปล้องหญ้า นี่ไส้หญ้าปล้อง เขาย่อมถอดกายอันสำเร็จจากใจออกมาจากกายมนุษย์นี้ และเห็นว่า นั่นกายมนุษย์ นี่กายทิพย์อันประกอบด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ไม่บกพร่อง. เขาใช้กายทิพย์นั้น ท่องเที่ยวไปยังดุสิตเทวโลกเพื่อจะได้เห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ในที่แห่งนั้น เขาได้เห็นรูปเทพบุตรองค์นั้น เขาได้นั่งใกล้ ได้ไต่ถาม ได้สนทนาธรรมกับรูปเทพบุตรนั้น. อาศัยความรู้จากมโนมยิทธินั้น เขาย่อมกล่าวว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลก เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะมาเกิดในโลกมนุษย์ในบัดนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ก็เพราะว่า เขาใช้มโนมยิทธิอันไม่ผิดพลาด ถอดกายอันสำเร็จจากใจ แล้วท่องเที่ยวไปยังดุสิตเทวโลก ได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในที่แห่งนั้น ในไม่นานมานี้เอง. นี่เป็นฐานะที่ ๓
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็น ผู้ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ สามารถท่องเที่ยวไปตลอดเทวโลกและพรหมโลกได้ด้วยกาย. ท่านเหล่านั้น ขึ้นสู่ดุสิตเทวโลก ตัดความผิดพลาดแห่งมโนมยิทธิ ที่เสี่ยงต่อนิมิตที่เกิดจากจิตปรุงขึ้น. เมื่อย่างเข้าสู่ดุสิตเทวโลก เขาก็ได้พบเห็นรูปเทพบุตรเมตไตรยโพธิสัตว์ เขาได้นั่งใกล้ ได้สนทนากับรูปนั้น แม้รูปนั้นก็ได้ทักทายไต่ถาม โต้ตอบปัญหาที่เขาถามนั้นทุกประการ. อาศัยความเห็นนั้น เขาย่อมเห็นว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกโดยแท้ แล้วจะมามีในโลกมนุษย์ได้อย่างไร นั่นเป็นฐานะที่จะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์สององค์ ในเวลาเดียวกัน. นี่เป็นฐานะที่ ๔

    <TABLE style="WIDTH: 248px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=248 border=1><TBODY><TR><TD>
    ฐานะของท่านผู้เห็นว่า เป็นไปได้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อาศัยการตรึกการตรองไปโดยลำดับ บุคคลส่วนหนึ่ง ย่อมสำคัญว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาถือกำเนิดในมนุสสโลกในยุคนี้ ทั้งๆที่ก็ยังปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลกอยู่. โดย
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีทิฏฐิว่า การอวตารหรือการแบ่งภาคมาเกิด เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ในท่านที่มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่. เขาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผู้มีฤทธิ์เอง ไม่รู้วิสัยแห่งฤทธิ์ แต่อาศัยการตรึกตรองและศรัทธาว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านย่อมมีฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ สามารถประกอบฤทธิ์ในวิสัยที่คนมีฤทธิ์ทั่วไปยากจะทำได้ คือ การอวตาร การแบ่งจิตออกเป็นหลายดวงเพื่อไปทำกิจในหลายๆที่. เขาเหล่านี้มีความเห็นว่า ท่านที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ มโนมยิทธิ หรืออิทธิฤทธิ์ท่านอื่นๆ ไม่รู้วิสัยนี้ของพระมหาโพธิสัตว์ เพราะนี่เป็นฤทธิ์ชั้นพิเศษ. อาศัยการตรึกตรองอย่างนี้ อาศัยความถือตามทิฏฐิเรื่องการแบ่งภาคอย่างนี้ เขาย่อมเห็นว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้วในยุคนี้ ทั้งๆที่ก็ยังปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง ที่ดุสิตเทวโลกอยู่นั่นล่ะ และที่สำคัญ บางครั้ง พระเมตไตรยในโลกมนุษย์นี้ มีมากกว่าหนึ่งองค์ มาจากจิตอันเป็นต้นธาตุดวงเดียวกัน (คล้ายภาพยนตร์เรื่อง The Little Buddha). นี่เป็นฐานะที่ ๑
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีทิฏฐิว่า การอวตารเป็นฐานะที่จะมีได้ โดยที่แท้แล้ว จิตดวงเดียวนั้น แบ่งแยกไม่ได้ ย่อมจุติหรืออุบัติไปโดยลำดับ. ก็แต่ว่า เขาตรึกตรองไปโดยลำดับในวิสัยแห่งฤทธิ์ ว่า
    เป็นไปได้ไหมหนอ ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มากจะอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้นมา ให้มีความปรากฏแห่งรูปนั้นเหมือนกันทุกประการ จากรูปเดียว ปรากฏเป็น๒รูปบ้าง ๔รูปบ้าง ๑๐รูปบ้าง ร้อยรูปบ้าง พันรูปบ้าง หรือตามจำนวนที่ใจมุ่งหมาย มีลักษณะอาการคล้ายต้นแบบทุกประการ? เมื่อตรึกตรองปัญหาในวิสัยนี้ เขาย่อมเกิดความเห็นว่า เคยอ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาว่า ท่านผู้มีฤทธิ์ สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง. จึงเห็นว่า นี่เป็นฐานะที่จะมีได้. จากนั้น เขาก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไปว่า
    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มากนั้นล่ะ อธิษฐานแสดงรูปเหมือนตนเป็นร้อยเป็นพันแล้ว ให้รูปแต่ละรูปนั้น ปรากฏในอิริยาบถต่างๆกัน มีปัดกวาดบ้าง นั่งสาธยายมนต์บ้าง แสดงธรรมบ้าง ฟังธรรมบ้าง ล้างบาตรบ้าง นุ่งห่มผ้าบ้าง อาบน้ำบ้าง เลี้ยงช้างบ้าง เลี้ยงม้าบ้าง..ฯลฯ แต่ทั้งหมดนั้น มีรูปลักษณะผิวพรรณและอาภรณ์เหมือนกันทุกประการ ต่างกันก็เพียงอิริยาบถแห่งรูปเท่านั้น.. เขาก็อาศัยสุตตะเข้าเทียบเคียงว่า ได้ยินว่า พระจุลปันถก ผู้เลิศทางเจโตวิวัฏฏ์ สามารถเพื่อจะกระทำอย่างนั้น คือ เนรมิตรูปของท่านขึ้นพันรูป แล้วแต่ละรูปปรากฏในอิริยาบถต่างๆกัน กำลังทำการงานต่างๆกันในเชตวันมหาวิหาร... ด้วยเหตุอย่างนี้ แสดงว่า เป็นฐานะที่จะเป็นได้ในปัญหาข้อนี้. แล้วเขาก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไปว่า.
    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปขึ้นมาร้อยรูปหรือพันรูป โดยแต่ละรูป มีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันเลย คือ เป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง เป็นช้างบ้าง ม้าบ้าง วัวบ้าง ควายบ้าง นกบ้าง รถบ้าง สมณะบ้าง ฤาษีบ้าง เด็กบ้าง คนชราบ้าง คนหนุ่มสาวบ้าง ... และรูปทั้งหมดนั้น ปรากฏเป็นหมู่ๆ ทำกิจกรรมอยู่ต่างๆกัน มีแสดงธรรมบ้าง ปั้นหม้อบ้าง ขี่ม้าบ้าง ฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง ฝึกแถวทหารบ้าง..ฯลฯ.. เขาอาศัยสุตตะที่ได้อ่าน ได้ยินได้ฟังมา ได้ยินว่า มีฤทธิ์ประเภทหนึ่ง ชื่อว่าฤทธิ์ที่แผลงไป ย่อมให้ผลสำเร็จดังอาการอย่างนี้ได้.. เขาจึงเห็นว่า นี้เป็นฐานะที่จะมีได้.. ต่อแต่นั้น เขาจึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.
    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ในบัดนี้ ด้วยประสงค์ให้ฤทธิ์แสดงผลในวันรุ่งขึ้น หรือ๗วันถัดไป หรือ๖เดือนถัดไป หรือหนึ่งปีถัดไป หรือ ๑๐ปีถัดไป หรือชาติถัดๆไป ....แล้วเมื่อถึงกำหนดเวลา ถึงกำหนดแห่งเงื่อนไขของอธิษฐาน ฤทธิ์นั้นก็สามารถปรากฏความสำเร็จตามนั้นได้.. เขาอาศัยสุตตะ จากเรื่องการแสดงปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ และการแสดงปาฏิหาริย์ของไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่พระเจ้าอโศกจะจัดส่งไปยังเกาะลังกา ว่า พระบรมสารีริกธาตุและไม้มหาโพธิ์นั้น แสดงปาฏิหาริย์ต่อหน้ามหาชนได้ เพราะอาศัยอธิษฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งพุทธกาล.. เขาอาศัยการตรึกตรองเทียบเคียงนี้ เขาจึงเห็นว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ในปัญหาข้อนี้. จากนั้น จึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้น ให้รูปนั้นสามารถกระทำกิจทุกประการได้เสมือนรูปที่เกิดจากการปฏิสนธิ.. เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ ที่ป้อนโปรแกรมการโต้ตอบอัตโนมัติไว้แล้ว สามารถกระทำการโต้ตอบกับบุคคลผู้เกี่ยวข้องได้อัตโนมัติ ประหนึ่งว่า หุ่นยนต์นั้น สามารถนึกคิดเองได้.. เขาเทียบเคียงกับสุตตะ อันได้ยินมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ ในยามที่พระองค์จะไปบิณฑบาตร หรือว่า ไปทำกิจธุระอย่างอื่น พระองค์ก็ตั้งพุทธนิมิตไว้แทน ให้พุทธนิมิตนั้นแสดงธรรมสืบเนื่องกันไป ส่วนรูปปฏิสนธินั้น ก็ไปบิณฑบาต ฉันภัตต์ ขับถ่าย .. ตามปกติ เมื่อเสร็จสิ้นกิจแล้ว พระองค์จึงกลับขึ้นไปแทนที่พุทธนิมิตนั้น. หรือในคราวที่พระองค์เนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแล้วพระองค์แสดงเป็นผู้ถาม พุทธนิมิตเป็นผู้ตอบ หรือพุทธนิมิตถาม พระองค์ตอบ ก็เคยได้ยินมา.. แม้เมื่อเทียบเคียงกับหุ่นยนต์ที่สำเร็จจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็มีเค้าว่า ความสำเร็จประเภทนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้... แล้วจึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะเป็นผู้มีฤทธิ์มากขนาดนั้น สามารถกระทำฤทธิ์ต่างๆในวิสัยนั้นๆได้. เมื่อเขาพิจารณาปัญหานี้อยู่ เขาก็เห็นว่า ปัญหานี้ มีเพียงพระเมตไตรยโพธิสัตว์เท่านั้นที่รู้ ส่วนลำพังตัวเขานั้น หากจะตอบ ก็ตอบได้เพียงตามศรัทธา และเมื่อตอบไปโดยความศรัทธา เขาก็เห็นว่า เป็นฐานะที่จะมีได้ ที่พระมหาโพธิสัตว์บารมีอันดับหนึ่ง จะมีฤทธิ์มากขนาดนั้น หรือยิ่งกว่าที่กล่าวไว้นั้น. จากนั้นจึงซักไซ้ปัญหาต่อไป..

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ หากปรารถนาจะจุติจากดุสิตเทวโลก เพื่อมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์ เพื่อกระทำกิจบางประการแล้ว พระองค์จะแสดงรูปนิมิตของพระองค์ไว้ที่ดุสิตเทวโลก ให้กระทำกิจดุจพระองค์ยังอยู่ในที่นั้น คล้ายอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพุทธนิมิตไว้ที่บัณฑุกัมพลสิลาสน์ แล้วเสด็จลงมาสอนพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรบ้าง กระทำภัตตกิจบ้าง ในขณะที่พุทธนิมิตก็ยังคงกระทำพุทธกิจอยู่ที่ดาวดึงส์เทวโลก.. เขาอาศัยการตรึกตรองและศรัทธา จึงเกิดความเห็นว่า เป็นไปได้.. แล้วซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? เมื่อพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติแล้ว มาถือปฏิสนธิแล้ว เจริญเติบโตขึ้นไปโดยลำดับ ในโลกมนุษย์นี้แล้ว จิตดวงนั้นล่ะ ระลึกไม่ได้ถึงกรรมในเก่าก่อนที่ตนได้กระทำไว้ในเทวโลกหรือในภพก่อนๆ แต่รูปนิมิตที่เทวโลกนั้นก็ยังคงปรากฏและดำเนินต่อไปตามอธิษฐานเมื่อครั้งก่อนจะจุติ. ปัญหานี้ ก็อยู่พ้นวิสัยที่จะนึกคิดได้ เพราะเรื่องของฤทธิ์ เป็นสิ่งที่จะตอบให้ทั่วถึงไม่ได้ด้วยการตรึกตรอง. จึงตอบได้แต่เพียงความคาดเดาว่า เป็นไปได้. เพื่อจะได้ซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่จะไม่มีผู้รู้เท่าทันในเรื่องราวเหล่านี้ หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาจริง.. อาศัยสุตตะ ในกัสสปสังยุตต์ อันพระมหากัสสปะกล่าวไว้ว่า "ผู้ใด ประสงค์จะลวงเราด้วยอภิญญา ก็เหมือนกับการพยายามจะปกปิดช้างซึ่งมีกายใหญ่ห้าศอกหรือเจ็ดศอกด้วยใบตาล ฉะนั้น" จึงตอบได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้รู้เท่าทัน. พระอรหันต์ผู้มีปัญญายอดเยี่ยม ทรงฉฬภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณยังมีอยู่ในโลก ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ทันในเรื่องราวเหล่านี้ได้ แม้เทพและพรหมบางท่าน ผู้มีญาณละเอียดอ่อน ก็ย่อมรู้เท่าทันในเรื่องเหล่านี้ได้. แล้วก็ถามในปัญหาต่อไป. ว่า

    หากท่านเป็นพระอรหันต์ รู้เท่าทันเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจะเปิดเผยหรือไม่ ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์? ในเรื่องนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย หรือผู้ศรัทธาในพระมหาโพธิสัตว์ หากทราบว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติ คือประสงค์จะปกปิดเรื่องราวการจุติของตนอยู่ แม้เมื่อท่านรู้ ท่านก็่ย่อมไม่เปิดเผย. เพราะหากเปิดเผย การงานที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะกระทำด้วยอาศัยการแอบจุตินั้น ก็จะกระทำไม่สำเร็จ ดุจดังถ้อยคำมโหสถ ซึ่งกล่าวถึงความลับว่า "ขึ้นชื่อว่าความลับ พึงเก็บไว้กับตัว ตราบที่ยังทำกิจนั้นไม่สำเร็จ เพราะเมื่อใดความลับนั้นถูกเปิดเผย กิจที่มุ่งหมายจะทำให้สำเร็จ ก็จะไม่สำเร็จ" พระอรหันต์ หรือผู้รู้ธรรมทั้งหลาย ย่อมเคารพในธรรมนี้อยู่ และท่านย่อมเห็นว่า เรื่องการเปิดเผย เรื่องเหล่านั้น ไม่ควรแก่ท่าน หากจะเปิดเผย ก็ควรเป็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเปิดเผยเอง จึงควร.. อันนี้ก็ตอบไปตามความคาดเดา เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ใช่พระอรหันต์ผู้รู้ทันธรรมนั้น แต่ตอบไปก่อน เพื่อที่จะได้ซักไซ้ในปัญหาต่อไป.. ว่า

    ก็หากเป็นอย่างนั้น การที่พระอรหันต์เหล่านั้น กล่าวว่า พระเมตไตรยยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกนั้น ไม่ชื่อว่ากล่าวเท็จหรือ? ก็ตอบได้ว่า ไม่ชื่อว่ากล่าวเท็จ. แม้ท่านจะกล่าวว่า เราขึ้นไปเมื่อวาน ก็ยังเห็นท่านอยู่ในเมื่อวานนี้ และยังคุยกันอยู่เลย ก็เป็นอันกล่าวตามเป็นจริง เพราะสิ่งเหล่านั้น ปรากฏตามนั้น. และอาการเหล่านี้ ก็ปรากฏกับทั้งท่านผู้รู้เท่าทันและรู้ไม่เท่าทัน คือ เวลากล่าวตามเป็นจริง ก็กล่าวได้แต่ในสิ่งที่ปรากฏชัดแล้ว สิ่งที่ไม่ปรากฏ หรือสิ่งที่ยังไม่ชัดนั้น ยังไม่ควรแก่การกล่าวว่าเป็นสิ่งจริงแท้. แล้วก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไป..

    แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่ารูปที่ปรากฏที่ดุสิตเทวโลก เป็นรูปนิมิต ไม่ใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า เป็นรูปปฏิสนธิ ไม่ใช่รูปนิมิต? ในเมื่อว่า หากว่าในดุสิตเทวโลก มีรูปนั้นปรากฏ จะดูด้วยทิพพจักขุ มันก็ปรากฏ จะดูด้วยมโนมยิทธิ มันก็ปรากฏ หรือจะขึ้นไปพิสูจน์ด้วยอิทธิฤทธิ์ มันก็ยังปรากฏ.

    แล้วจะถามรูปนิมิตนั้นว่าอย่างไร? ว่ารูปนั้นใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า รูปนิมิต และหากถามด้วยปัญหาอย่างนั้นแล้ว รูปนั้นพึงตอบประการใด จึงจะรู้ได้ว่า นั่นเป็นรูปนิมิตตอบ ไม่ใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า นั่นเป็นรูปปฏิสนธิตอบ ไม่ใช่รูปนิมิต.. เปรียบเหมือนการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการถามตอบระหว่างรูปปฏิสนธิและพุทธนิมิตนั้น ผู้เห็นนั้น แยกแยะความแตกต่างไม่ออกเลย ว่าไหนคือรูปนิมิต ไหนคือรูปปฏิสนธิ.. หรือเปรียบเหมือนการปรากฏของสนังกุมารพรหม (ในชนวสภสูตร) ซึ่งเนรมิตรูป๓๓รูป นั่งแสดงธรรมต่อหน้าเทวดาดาวดึงส์ เทวดาเหล่านั้น แยกแยะไม่ออกว่ารูปไหนเป็นรูปจริง รูปไหนรูปเทียม แต่ เทวดาทุกตน ต่างสำคัญว่า รูปที่ปรากฏต่อหน้าตน คือ สนังกุมารพรหมจริงๆทั้งนั้น.. ต่อเมื่อ สนังกุมารพรหมรวมรูปเข้าเป็นอันเดียวกัน รวมกันอยู่ปัณฑุกัมพลสิลาสน์ของพระอินทร์นั้นล่ะ จึงรู้ร่วมกัน ถือเอาร่วมกันว่า รูปบนบัณฑุกัมพลสิลาสน์นั้น เป็นรูปจริง..

    <TABLE style="WIDTH: 296px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=296 border=1><TBODY><TR><TD>
    สรุป สิ่งอันควรทำไว้ในใจ สำหรับผู้อ่าน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อท่านพิจารณาทั้งส่วนที่เป็นฐานะ และเป็นอฐานะ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดยังโลกมนุษย์ในยุคนี้แล้ว ท่านไม่พึงถือเอาแน่แท้ ว่า เป็นไปไม่ได้ ทั้งไม่พึงถือเอาอย่างแน่แท้ว่า เป็นไปได้อย่างเดียว. นั่นคือ มันมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ. ให้เผื่อใจไว้พร้อมรองรับเหตุการณ์ทั้งสองแบบนั้น.

    มาพิจารณาผลดีผลเสียสำหรับสามทิฏฐิกัน
    ๑.) ทิฏฐิว่า เป็นไปไม่ได้อย่างเดียวเท่านั้น ที่ พระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในมนุษย์โลกยุคนี้.
    ผู้ถือมั่นทิฏฐินี้ ย่อมขวนขวายเพื่อกล่าววาจาแสดงทิฏฐินี้ ชักชวนมิตรสหายของตนเพื่อให้ถือตามทิฏฐินี้. เมื่อประสบกับผู้ที่ถือทิฏฐิว่า เป็นไปได้ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้แล้ว ก็จะเกิดความพยายามเพื่อจะหักล้างถ้อยคำ ปรากฏวิวาทตามมา. ความลามกต่างๆ เป็นต้นว่า คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ปฏิฆะ ความโกรธ ความผูกโกรธ และมิจฉาทิฏฐิย่อมงอกงามไพบูลย์ขึ้นได้ ด้วยอาศัยกรรมอันเกิดจากทิฏฐิอย่างนั้น. และกรรมอันไม่งาม ก็ย่อมให้ผลอันไม่งาม.

    การประกอบกรรมของท่านผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ย่อมประกอบไว้โดยไม่ได้มุ่งจะพบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น ย่อมไม่ประกอบไว้เพื่อจะได้นั่งใกล้พระเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น. เพราะอาศัยกรรมนั้น ก็หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาเกิดในโลกมนุษย์เหมือนอย่างตำนานกล่าวไว้ บุคคลผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ก็จะไม่ได้ความคุ้นเคย ไม่ได้โอกาสเพื่อนั่งใกล้ ไม่ได้โอกาสเพื่อจะพบเห็น.. ด้วยอาศัยอำนาจของกรรม..ซึ่งเขากระทำไว้ในเจตนาว่า เขาไม่ปรารถนาจะพบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในยุคนี้ เพราะเชื่อว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิดในโลกมนุษย์ในยุคนี้แน่..

    ความจริง ในกลุ่มบุคคลที่มีทิฏฐินี้ ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธการลงมาเกิดของพระเมตไตรยโพธิสัตว์.. เขาก็มีความเชื่ออยู่ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์อยู่ แต่ไม่ใช่ยุคนี้. ทิฏฐิของเขาก็จะอำนวยประโยชน์ไปตามนั้น คือ ในยุคที่เขาเชื่อว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงไปเกิดนั้น หากเขาไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาก็จะเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงไปเกิดในยุคนั้นเป็นแน่ เพราะอาศัยการตั้งทิฏฐิไว้ ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดแนวแห่งเจตนา คือ กรรมให้แก่เขา ทำให้วิบากนั้นปรากฏแก่เขา. และในยุคนั้นนั่นเอง เขาก็จะเที่ยวป่าวประกาศทิฏฐิของเขา และจะได้รับผลกรรมที่เขากระทำไว้กับคนรุ่นนี้ คือผู้ที่เที่ยวป่าวประกาศว่า เป็นไปได้ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้. หากว่าเขาตำหนิคนเหล่านั้น ผลกรรมนั้น ก็จะเป็นผลให้เขาได้รับคำตำหนิร้อยเท่าพันทวี ถ้อยคำของเขาจะไม่เป็นที่เชื่อถือจากคนทั้งหลาย แต่จะเป็นที่น่าเชื่อถือในกลุ่มคนผู้เคยร่วมทิฏฐิกันในบัดนี้..

    ศีลอันบุคคลในทิฏฐินี้อบรมไว้ ไม่ได้อบรมด้วยมุ่งจะได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในบัดนี้ ด้วยเดชแห่งศีลนั้น หากว่ามีพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในบัดนี้ เขาก็จะไม่ได้นั่งใกล้. แต่ศีลนั้นเอง จะเป็นโมฆะหามิได้ ศีลนั้นย่อมส่งเขาไปในสุคติเป็นธรรมดา.

    วาจาแสดงทิฏฐิของเขาในบัดนี้ หากว่าเป็นจริง (คือ ท้ายที่สุด พระเมตไตรยโพธิสัตว์ตามตำนานไม่ได้มีจริง) จะเป็นผลให้เขาได้รับความเชื่อถือจากมหาชนยิ่งขึ้นไป. นี่เป็นผลแห่งกรรม
    แต่หากว่า ปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์ตามตำนาน วาจานั้นย่อมปรากฏโดยความเป็นคำเท็จ และผลของการกล่าวคำเท็จ ก็คือ การไม่ได้รับความเชื่อถือจากมหาชน และความเสื่อมศรัทธาในเขาจากคนที่เคยศรัทธา. นี่เป็นผลกรรมของวาจาเท็จ

    สรุปว่า ในทิฏฐินี้ มีผลที่จะได้รับ ที่อาจเป็นไปได้อยู่สองแบบ คือ ได้กำไร๑ ซึ่งหากไม่ได้กำไร ก็จะมีผลเป็นขาดทุนล่มจม๑ ชื่อว่าเดินในทางสุดโต่ง ชอบผาดโผน ไม่ชอบทางกลางๆ.

    ๒.)ทิฏฐิว่า เป็นไปได้ว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้ แน่แท้.
    คนในกลุ่มนี้ มีทิฏฐิตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก. เมื่อใดคนสองกลุ่มนี้ได้พบกัน การวิวาทบาดหมางย่อมเกิดขึ้น คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ความขัดเคือง ความโกรธ การผูกโกรธ และมิจฉาทิฏฐิก็รุกรานเขาได้เช่นเดียวกัน.

    เพราะอาศัยทิฏฐินี้ การประกอบกรรมของคนที่มีความเห็นอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้นั่งใกล้ เพื่อได้พบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในยุคนี้.

    หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์ของเขา เป็นองค์เดียวกันกับที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปป์นี้ กรรมของเขาก็จะสืบเนื่องแต่นี้ไปจนถึงยุคของพระเมตไตรยโพธิสัตว์ คือ เขาจะตามศรัทธาและร่วมกรรมกับบุคคลที่เขาเชื่อว่า คือ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ไปตลอดสายการเวียนว่ายตายเกิด. เมื่อเป็นในกรณีนี้ ถ้อยคำแสดงทิฏฐิของเขาย่อมปรากฏเป็นคำจริง และผลของการกล่าวคำจริง ย่อมได้รับความเชื่อถือจากมหาชน. นี่เป็นผลกรรมของการกล่าวคำจริง.

    แต่ หากว่าไม่มีพระเมตไตรยโพธิสัตวตามที่เขากล่าวแสดง คำของเขาย่อมปรากฏเป็นคำเท็จ และผลของวาจาเท็จก็คือ ผู้คนไม่เชื่อถือวาจาของเขา และคนที่เชื่อถืออยู่ก่อนก็เสื่อมศรัทธาไปด้วย..

    สรุปทิฏฐินี้ ก็เป็นทิฏฐิสุดโต่งอีกทางหนึ่ง มีผลที่เป็นไปได้อยู่๒อย่างคือ ไม่กำไร ก็ขาดทุนเช่นกันกับทิฏฐิแรก.

    ๓.) ทิฏฐิว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในยุคนี้ แต่ไม่เที่ยงแท้ว่าจะต้องเป็นไปอย่างนั้น หรือ ไม่เที่ยงแท้ว่าจะต้องไม่เป็นไปตามฐานะนั้น.

    บุคคลในกลุ่มนี้ย่อมกล่าววาจาไปตามทิฏฐิของตนเช่นกัน เป็นผู้ไม่ถือเอาตามความเห็นแรก และไม่ถือตามความเห็นที่สอง ทั้งไม่ปฏิเสธความเห็นแรก และไม่ปฏิเสธความเห็นที่สอง.

    คนกลุ่มนี้จะแสดงความปรากฏโดยวิภัชวาที. โดยจำแนกว่า หากว่าจะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในโลกในยุคนี้ ตามตำนาน เขาก็ปรารถนาจะได้พบเห็น ปรารถนาจะนั่งใกล้. หรือ หากจะไม่มีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้ เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน.

    เมื่อมีคนไต่ถามถึงเหตุที่จะเป็นไปได้ เขาก็จะจำแนกเหตุที่จะเป็นไปได้ให้ปรากฏไปเป็นลำดับ และสรุปลงด้วยหลักของความไม่แน่นอนว่า สิ่งที่เป็นฐานะที่จะมีได้นั้น ไม่ได้เป็นเครื่องแสดงว่า สิ่งนั้นจะต้องปรากฏในทุกยุคทุกสมัย หรือว่าปรากฏในเฉพาะๆตอนใดๆอย่างเที่ยงแท้. ทั้งหมดทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัย.

    คนเหล่านี้ ได้ฟังคำของคนกลุ่มแรกแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นผู้ขัดเคืองใจ ไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่โต้ตอบถ้อยคำ ด้วยกำหนดรู้ทิฏฐิของคนกลุ่มแรกได้ว่า ผู้มีทิฏฐิอย่างนั้น ก็ย่อมแสดงวาทะอย่างนั้น นี่เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

    คนเหล่านี้ เมื่อได้ฟังวาทะของคนกลุ่มที่สอง เขาก็ไม่เป็นผู้มีใจฟูหรือฟุบไปตามถ้อยคำนั้น.


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width=180 border=1><TBODY><TR><TD>
    สำหรับผู้เขียน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผู้เขียนนี้ มีทิฏฐิว่า เป็นไปได้ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะแอบจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ และเป็นไปได้ที่ผู้เขียนอาจจะเป็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์.. แต่ก็ไม่ได้ถือเอาอย่างเที่ยงแท้ว่า ผู้เขียนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ และไม่ได้ถือเอาเที่ยงแท้ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้..

    อาศัยทิฏฐิที่น้อมไปอย่างนั้น ทำให้ผู้เขียนเพียรพยายามเพื่อพิสูจน์ทิฏฐิของตนว่า หากว่าทิฏฐิของตนจะถูกต้อง ตนก็ต้องประกอบกรรมให้มีผลสำเร็จในสิ่งที่เห็นนั้นได้จริง ก็หากว่าตนประกอบกรรมจนถึงที่สุดแล้ว ยังไม่มีผลสำเร็จ ก็จึงจะเปลี่ยนทิฏฐิใหม่ ว่า ผู้เขียนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์แน่นอนแล้ว..

    ต่อแต่นั้น หากว่าผู้เขียนยังปรารถนาจะรู้อยู่ว่า จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์อยู่ในโลกมนุษย์ยุคนี้หรือไม่ ผู้เขียนก็จะพิจารณาผู้ที่ประกาศตนด้วยผลงานของเขา หากเขาทำได้สำเร็จอย่างตำนาน ก็จะยอมรับว่า เขาคือบุคคลในตำนาน. ในระหว่างนั้น ก็ประกอบความเพียรในการชำระกิเลสตนเสียอย่างเดียว มุ่งตรงสู่พระนิพพาน.

    ด้วยผลกรรมที่ผู้เขียนเห็นว่า ตนอาจจะใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ แล้วเขียนทิฏฐิตนวางไว้.. หากว่าผลสุดท้าย ปรากฏว่า ผู้เขียนเห็นผิด.. ข้อเขียนนั้นก็จะปรากฏเป็นเท็จ และผลกรรมของการแสดงสิ่งไม่จริง ก็จะมีผลให้ผู้ที่ศรัทธาในธรรมของผู้เขียนลดน้อยลง จนบางครั้ง ไม่มีใครเชื่อในธรรมที่ผู้เขียนกล่าวเลย.. หากเป็นอย่างนั้น ก็เป็นประโยชน์กับผู้เขียนอยู่ ด้วยผู้เขียนมุ่งว่า เมื่อพิสูจน์รู้แน่ชัดแล้ว ว่าตนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ผู้เขียนก็จะตัดความอาลัยในโลก ตัดตรงสู่พระนิพพานโดยไม่เนิ่นช้า.. ยิ่งไม่มีใครศรัทธา ก็ยิ่งเป็นพระโยชน์แก่พระนิพพาน เพราะไม่มีสิ่งที่ต้องให้เกี่ยวข้อง ไม่ต้องอาลัยว่าจะสอนใครๆ ไม่ต้องอาลัยว่าจะได้ศรัทธาจากใครๆ.. บรรลุธรรมแล้วก็สงบอยู่ นี่ดีนักหนา. ส่วนกรรมเกี่ยวพันกับผู้ที่เข้ามาศรัทธาแล้วนั้น แม้เมื่อผู้เขียนพิสูจน์แล้ว บอกเขาว่า ผู้เขียนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ เขาก็จะศรัทธาอยู่ เมื่อผู้เขียนบรรลุธรรม ผู้เขียนก็แสดงธรรมนั้น เฉพาะผู้ศรัทธาเท่านั้น และผู้นั้นก็จะได้รู้ธรรมเห็นธรรมเหมือนอย่างที่ผู้เขียนเห็น อันนี้ก็เป็นกฎแห่งกรรม เป็นสิ่งธรรมดาในเรื่องนี้...

    หรือ หากว่าเมื่อผู้เขียนพยายามพิสูจน์แล้ว ผู้เขียนสามารถกระทำให้สำเร็จได้อย่างตำนานกล่าวไว้ ข้อเขียนของผู้เขียนก็จะปรากฏเป็นการกล่าวคำจริง และผลกรรมของการแสดงความจริง ย่อมเป็นเหตุให้มหาชนเลื่อมใสศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาก็ศรัทธายิ่งขึ้น ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาก็เริ่มศรัทธา นี่เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

    แม้สมมติว่า ผู้เขียนสามารถทำการงานสำเร็จได้ดังคำทำนายหรือตำนาน แต่ผู้เขียนก็ยังไม่อาจถือเอาได้ว่าตนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ผู้เขียนก็ยังต้องได้ตามพิสูจน์ต่อไปอีกเรื่อยๆว่า ผู้เขียนใช่บุคคลที่จะได้ตรัสรู้ในกัปป์นี้ ในนามเมตไตรยพุทธเจ้าหรือไม่? เมื่อพิสูจน์แล้ว เป็นผลสำเร็จ ก็จึงจะยอมรับ แต่ตราบที่ยังไม่มีผลปรากฏชัด ตราบนั้น ผู้เขียนก็จะยังไม่ถือเอา.

    เมื่อพิจารณาผลดีผลเสียถ้วนถี่แล้ว เทียบเคียงใส่ทางพระนิพพานแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า ตนเองไม่ออกนอกทางพระนิพพาน ไม่ว่าจะมีผลปรากฏเป็นอย่างไร? ด้วยเหตุที่อาศัยปัญญาอันนี้ ผู้เขียนจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนว่า ตนจะพลาดจากประโยชน์อันตนปรารถนา คือ พระนิพพานอันนั้น. ดังนี้.

    ที่มา

    http://siri.bodhisattva.name/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2005
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE style="WIDTH: 484px; HEIGHT: 59px" cellSpacing=1 cellPadding=1 width=484 align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    นารายณ์ปางที่๑๐ : กัลกยาวตาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

    นารายณ์อวตาร

    อวตารของพระองค์เป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามอิศวรโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดาทั้งหลาย การอวตารของพระวิษณุมหาเทพเพื่อมาช่วยมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด ๑๐ ปาง (แต่ยังไม่แยกย่อยออกเป็นอีกด้วยกันคือ ๒๒ ภาค ซึ่งจะไม่กล่าวในที่นี้)

    พระนารายณ์ ๑๐ ปางสำคัญดังนี้

    ปางที่ ๑ วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกมีเขี้ยวเพชร)
    ปางที่ ๒ กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
    ปางที่ ๓ มัตสยาอวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
    ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
    ปางที่ ๕ วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
    ปางที่ ๖ มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
    ปางที่ ๗ อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
    ปางที่ ๘ รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
    ปางที่ ๙ กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
    ปางที่ ๑๐ กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=120>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width=100 align=center border=1><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ปางที่ ๑๐ กัลกยาวตาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE> พระวิษณุอวตารในปางนี้ ทรงเป็นมหาบุรุษขี่ม้าขาวถือดาบในมือขวาทำลายศัตรูของมนุษย์เพื่อปราบกลียุคที่เต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วหรือเหล่าอธรรมทั้งหลาย เมื่อปราบอธรรมแล้วก็จะสถาปนาศาสนาขึ้นใหม่.
    มหาบุรุษนี้จะมีนามว่า กัลก, กัลกี, หรือ กัลกิน เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวิษณุยศ .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อวตารนี้เป็นอนาคตาวตาร (อนาคต+อวตาร) คือ เป็นการอวตารของพระวิษณุยังไม่เกิดขึ้น และหลังจากอวตารแล้ว กลียุคก็ จะสิ้นสุดลง

    จึงพอจะกล่าวได้ว่ากัลกยาวตารนี้เป็นอวตารที่จะเสด็จลงมาปราบคนชั่วที่มีมากมายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใครจะมีลักษณะคล้ายกับกฤษณาวตารที่คนชั่วมีมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าเป็นใครซึ่งต่าง กับรามาวตาร (อวตารเป็นพระราม) หรือนรสิงหาวตารที่จะอวตารลงมาเพื่อปราบปรามคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะและอาจกล่าวได้ว่าโลกเราทุกวันนี้ก็คงจะจะใกล้ถึงยุคของกัลกยาวตารเพราะว่าคนชั่วมากมายเหลือเกิน


    http://www.devalai.com/vishanuhis.htm
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส
    ( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )

    " เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์)
    และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
    (ซ.1 ค.96 )

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

    ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้
    การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

    " อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
    เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
    หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
    เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
    ( ซ.6 ค.24 )

    วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

    ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

    ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
    ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
    ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
    ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )

    วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

    " บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา
    ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
    ( ซ.9 ค.83 )

    คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....
     
  13. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    มนุษย์ต่างดาว ผี เทวดา จานบินufo
    เป็นภาพเคลื่อนไหว เลื่อนไหลมาจากมิติคู่ขนาน เบื้องบนส่งมา
     
  14. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    มนุษย์ต่างดาว ผี เทวดา จานบินufo
    เป็นภาพเคลื่อนไหว เลื่อนไหลมาจากมิติคู่ขนาน เบื้องบนส่งมา
     
  15. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ศาสนาเป็นศูนย์
    นิพพานไม่มี
    นรกไม่มี
    ความชั่วร้ายไม่มี
    หนี้สินไม่มี
    แก่ เจ็บ ตายไม่มี
    รวย จน ไม่มี ยืนยัน
     
  16. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    พระเจ้าจะประทาน
     
  17. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    พระเจ้าจะประทาน ความรัก
     
  18. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ความสุข
     
  19. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ความสุข สนุกสนาน
     
  20. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ความสุข สนุกสนาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...