ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    ค่ะ เห็นเหมือนกันแต่อยู่ทางทิศเหนือ ทางทะเลเหนือ ค่ะ
    ตอนแรกนึกว่าดาวแต่ไม่ใช่เพราะดวงใหญ่กว่าดวงดาวนิดนึง
    นึกว่าดาวเหนือก็ไม่ใช่อีกเพราะดาวเหนือ ดวงยังเล็กกว่าดาวพิเศษที่เห็น จะว่าเครื่องบิน (ซักไม่กี่อึดใจ เครื่องบินบินผ่าน มีทั้งเปิดแฟรช และไฟสัญญาณ) สรุปคือไม่รู้ว่าอะไรก็นอนภาวนาจนหลับไป เป็นดวงสีคล้ายดาวแต่ดาวจะขาวกว่าเล็กน้อย แต่แขวนอยู่นิ่งและนานจนหลับค่ะ...หุหุไม่รู้จะเรียกว่าไงเรียกว่าดาวดวงพิเศษก็แล้วกัน ปล. ตำแหน่งที่เห็นตรงกับสนามบินนานาชาติค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  2. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    แวะไปทักทายหลายคนเลยนะ เมื่อคืนก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ
    พิจารณาเรื่องนี้ ตอนที่เขาหายไป เหมือนแทรกเข้าไปในท้องฟ้าตรงนั้น
    อาจเป็นทางเข้าออกมิติ หรือไม่ก็เป็นเส้นแรงแม่เหล็กโลกที่พาดผ่านแถวนั้น
    เปรียบเสมือนถนนของ UFO
     
  3. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ข้อความนี้ ได้เคยโพสต์ไว้แล้วใน www.ufoThailand.net เมื่อวันที่ 9/9/2008 วันนี้ระบบให้นำมาโพสต์ในห้องนี้ ค่ะ

    ตามที่ระบบได้ส่งสัญญาณ 3, 13, 33
    3 = 3
    13 = 111 = 3
    33 = 3/3 = 3

    3 = 13= 3 = C = COMMANDER = ผู้บังคับบัญชา, ผู้สั่งการ, หรือ เทียบเท่า
    COMMANDER = 3+15+13+13+1+14+4+3+18 = 84 = 12= 3

    33 = CC อ่านว่า C in C = COMMANDER in CHIEF = ผู้บัญชาการทหาร, แม่ทัพ, หรือเทียบเท่า

    COMMANDER = 3+15+13+13+1+14+4+3+18 = 84 = 12 = 3
    in = 9+14 = 33
    CHIEF = 3+8+9+5+6 = 31 =4

    3+6+4 = 13 = 111 = 3

    ดังนั้น หากเป็นการปฏิบัติการทางทหาร จึงเปรียบเทียบได้ดังนี้
    รหัส 3 =13 = ผู้บังคับการ หรือ ผู้สั่งการ
    รหัส 33 = ผู้บัญชาการ หรือ แม่ทัพ
    หรือ 33 = 3/3 = 3

    แจ้งมาเพื่อทราบ

    Little Duck ..[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    ขอแสดงความยินดีกับคุณแดนด้วยค่ะ ที่ผ่านการยกระดับจิตไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  5. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981

    ขออ้างอิง ข้อมูลบางส่วนที่คุณ pyramid เคยโพสต์มาในข้อความส่วนตัว และผลที่ได้จากการถอดรหัส ดังนี้

    "" สวัสดีค่ะ คุณสรรค์

    Sun =19+21+14 = 54 = 9
    Rattanakarun=18+1+20+20+1+14+1+11+1+18+21+14= 140 =1+4+0 = 5
    9+5 = 14 = 1111
    pyramid = 16+25+18+1+13+9+4 = 86 = 14 = 1111
    26/11/1956 = 26+11+1+9+5+6 = 58 = 13 = 111
    15:05 = 1+5+5 = 11

    นับผลลัพธ์เลข 1 ได้ 13 ตัว """

    ดังนั้น จะเห็นว่า คุณ pyramid ได้รหัส 13 = 111 = 3 = C= COMMANDER = ผู้บังคับการ , ผู้สั่งการ , หรือ เทียบเท่า
    ขอแสดงความยินดี กับคุณ pyramid ที่ได้รับมอบหมายภาระกิจสำคัญจากระบบ;welcome2

    ขออนุโมทนาค่ะ

    Little Duck .. [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    ขอแสดงความยินดีกับคุณปิรามิดค่ะที่ได้ยกระดับจิตขึ้นมาอีกระดับ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันค่ะ
     
  7. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    สวัสดีค่ะคุณ apichan

    ตอนนี้ อาจารย์นีโม่กำลังจัดวางโปรแกรมในการที่จะไปทำการรักษา ไปทำการขยายระบบยังสถานที่ต่าง ๆ อยู่ค่ะ

    ตอนนี้มีหลายสถานที่ ที่กำลังวางโปรแกรมอยู่ ที่ฝักข้าวโพด ที่โรงเจ ที่อินเฮ้าท์ ที่ทุ่งครุ ว่าจะใช้สถานที่ใด วันใด เพื่อสะดวกแก่ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะได้เดินทางมารับฟังการขยายระบบได้สะดวก

    และจะมีการขยายระบบในเวลากลางวันด้วย อาจเป็นวันอาทิตย์ อาทิตย์ใด อาทิตย์หนึ่ง แล้วแต่ระบบจะส่งข้อมูลลงมา

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ และระบบคงได้รับทราบแล้วเช่นกันกับความตั้งใจที่จะมารับฟังการขยายระบบของคุณapichan

    ระบบคงจัดสรรให้ในเร็ว ๆ วันนี้แหละค่ะ
     
  8. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    เมื่อประมาณ 12.30 นาฬิกา มีการประชุมทางโทรศัพท์ของผู้รับผิดชอบแผนกทั้ง 4 แผนก ซึ่งเป็นผู้อาวุโสจากเขากะลา 1 สามแผนก และพี่สุดใจที่กรุงเทพฯ ซึ่งการประชุมเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

    พี่สุดใจจึงแจ้งว่า ได้ส่งเงินจำนวน 1,000 บาท ไปยังผู้อาวูโสที่นครสวรรค์ เนื่องจาก

    คุณ MOUNTAIN ได้ร่วมทำบุญจำนวน 500 บาท

    คุณ sapa ได้ร่วมทำบุญจำนวน 500 บาท

    เพื่อร่วมในการทำบุญ และถวายสังฆทาน กับครอบครัว ชื่นสำนวน เพื่ออุทิศให้กับ คุณพ่อเชิด ชื่นสำนวน ณ วัดสันคู จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ฌาปนกิจ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ในวันที่ 26 กันยายน 2551 ซึ่งจะทำพร้อมกันกับที่เขากะลา 2 กรุงเทพฯ

    ซึ่งผู้อาวุโสทั้ง 3 แผนก ได้ฝากอนุโมทนาบุญ กับคุณ MOUNTAIN และคุณ sapa มา ณ ที่นี้ด้วย

    และได้ฝากอนุโมทนาบุญ กับคุณ vijit_j สำหรับของฝากจากเพชรบูรณ์ ที่ฝากไปให้ผู้อาวุโสที่นครสวรรค์ได้รับประทานกัน

    พี่สุดใจก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยอีกคนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  9. เจนัย

    เจนัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +3,237
    <TABLE borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>เครื่องเร่งความเร็วอนุภาคปิดการใช้งานไปจนถึงปีหน้า </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เจนีวา 24 ก.ย.- เครื่องเร่งความเร็วอนุภาค หรือ “Large Hadron Collider“ ซึ่งตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับฝรั่งเศส จะปิดการใช้งานไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

    เพื่อให้คณะวิศวกรเข้าตรวจสอบระบบแม่เหล็กภายในที่เกิดขัดข้อง ส่งผลให้ฮีเลียมเหลว 1 ตัน ไหลซึมเข้าไปในตัวเครื่องเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จนการทดลองดำเนินต่อไปไม่ได้
    เครื่องเร่งความเร็วอนุภาค มีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาว 27 กิโลเมตร ขดเป็นวงกลมใต้ดิน องค์กรวิจัยนิวเคลียร์ภาคพื้นยุโรป หรือ เซิร์น สร้างเครื่องเร่งความเร็วอนุภาคขึ้นมา เพราะต้องการไขความลับการก่อกำเนิดจักรวาล โดยพวกเขาจะทดลองให้อนุภาคโปรตอน มาชนกันด้วยความเร็วสูงภายในเครื่อง เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้งบสูงที่สุดและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อต้องการทดสอบทฤษฎีบิ๊กแบงที่ว่าด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง จนก่อกำเนิดจักรวาลเมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน

    เครื่องเร่งความเร็วอนุภาคเคยสร้างความแตกตื่นให้กับชาวโลก เมื่อเริ่มเดินเครื่องเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมา

    เพราะมีบางคนมองว่า การทดลองให้อนุภาคมาชนกันด้วยความเร็วเฉียดความเร็วแสง อาจก่อให้เกิดหลุมดำดูดกลืนโลกได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ของเซิร์นกลับมองเรื่องหลุมดำว่า ไร้สาระ และยืนยันว่า การทดลองเป็นไปอย่างปลอดภัยแน่นอน และก็ได้ทดลองใช้เครื่องเร่งความเร็วอนุภาคมาโดยตลอด จนกระทั่งต้องปิดการใช้งานกะทันหัน เพราะเกิดเหตุขัดข้อง -สำนักข่าวไทย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://tnews.teenee.com/etc/27095.html

    ไม่รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวเขาทำให้เสียหรือเปล่าครับ...เพราะอาจเกิดอันตรายกับโลกเราได้
     
  10. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ที่มา... ก่อนที่คุณ sapa จะร่วมทำบุญด้วย

    พี่สุดใจได้รับโทรศัพท์จากคุณ MOUNTAIN ว่า คุณ sapa เดินทางมาหาที่ร้าน และปรึกษาว่า อยากจะถวายสังฆทาน แต่ไม่รู้ว่าจะไปถวายสังฆทานที่ไหนดี

    คุณ MOUNTAIN จึงบอกว่า

    พี่สุดใจกำลังจะทำบุญ และถวายสังฆทานให้กับคุณพ่อเชิด ในวันที่ 26 กันยายนนี้ที่ฝักข้าวโพดพอดีเลย

    คุณ sapa ซึ่งไม่รู้เรื่องการจะทำบุญที่เขากะลา 2 มาก่อน ก็แปลกใจว่าทำไมท่านจึงนึกอยากถวายสังฆทานในตอนนี้

    คุณ MOUNTAIN จึงให้คุณ sapa คุยกับพี่สุดใจ

    ในการสนทนากับคุณ sapa ในครั้งนี้ มีหลายเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว

    - คุณ sapa บอกว่า ที่จักระเจ็ด กลางศีรษะ จะมีความรู้สึกว่า มีพายุหมุนเหมือนทอนาโด หรือนาคเล่นน้ำ หมุนแรงอยู่ตลอดเวลามา 2 วันแล้ว ทำให้มีอาการหนักศีรษะ จนเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ไปช่วยคนป่วยที่โดนคุณไสย และอาการหนักมากจนหายดี อาการหนักที่ศีรษะคล้ายพายุหมุนที่กลางศีรษะก็เบาลง เหมือนกับว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นใหม่เพิ่มเข้าไป

    - จู่ ๆ ก็อยากจะถวายสังฆทานขึ้นมา โดยไม่ทราบว่าทำไม จึงได้เดินทางมาปรึกษาคุณ MOUNTAIN ว่าจะถวายสังฆทานที่ไหนดี ปรากฏมาทราบว่า ทางเขากะลา 2 กำลังจะถวายสังฆทานให้กับคุณพ่อเชิด พอดี ท่านก็เลยร่วมทำบุญ 500 บาท เพื่อถวายสังฆทานกับพระภิกษุสงฆ์ ร่วมกับครอบครัว ชื่นสำนวน ที่นครสวรรค์ ซึ่งนั่นก็เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบไปยังคุณ sapa นั่นเอง

    - คุณ sapa ได้เคยพบกับ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2540 ที่รามคำแหง ในครั้งที่คุณพ่อเชิด ได้เดินทางไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 2 ที่รามคำแหง และพบกับ ดร.เทพนม เมืองแมน และสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวเพื่อเชิญจานบินมาให้ชม

    - ได้รับทราบเรื่องราวการเปิดมิติที่บริเวณร้านกาแฟ อินเฮ้าท์ ของคุณเทพกัญญา เมื่อหลายปีที่ผ่านมาโดยบังเอิญ ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า

    มอเตอร์ไซด์รับจ้างที่แถวงามวงศ์วาน ได้รับผู้หญิงคนหนึ่งไปส่งในซอยร้านอินเฮ้าท์ แต่ปกติจะเป็นซอยตัน แต่ว่าในวันนั้นขี่รถเข้าไปส่งแล้วซอยกลับลึกไปอีก ลึกไปเรื่อย ๆ และจอดสถานที่หนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนั้น หน้าตาไม่คุ้นเคย เหมือนคนโบราณมากกว่า และเมื่อลงจากรถแล้วได้ส่งเงินค่าจ้างให้ จึงได้ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับออกมา เมื่อมาถึงที่จอดรถ ปรากฏว่าเงินที่ได้รับมากลับกลายเป็นใบไม้ จึงขี่รถกลับเข้าไปในซอยนั้นอีกครั้ง ปรากฏว่าเป็นซอยตัน รถไปไม่ได้ ทางตันตรงร้านอินเฮ้าท์นั่นเอง

    พอมาเชื่อมระบบ และได้มารับทราบว่า ร้านอินเฮ้าท์ เป็นร้านที่ระบบเลือกไว้ ให้ไปทำการเชื่อมระบบที่นั่นได้ ก็เลยรู้สึกแปลกใจ คิดว่าที่ร้านนั้น ก็คงเป็นอีกที่หนึ่งที่ทำการซ้อนมิติไว้

    ก็ต้องขอขอบคุณ คุณ sapa เป็นอย่างสูง ที่ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาให้รับทราบกัน ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจทีเดียว

    วันเสาร์นี้ คุณ sapa จะเดินทางมาที่เขากะลา 2 ใครสนใจจะสอบถามรายละเอียดเรื่องเหล่านี้ และรับฟังเรื่องราวอีกหลายประสบการณ์จากท่าน ก็มาสนทนากับท่านได้ที่เขากะลา 2

    ขออนุโมทนากับคุณ sapa ด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  11. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    วันนี้รู้สึกคิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทั้งวันค่ะว่า อยากร่วมถวายสังฆทานด้วย แต่ไม่อยากไปซื้อ ถังสังฆทาน ที่มีขายอยู่ทั่วไป และจะโทรมาถามพี่สุดใจว่าจะทำแบบไหนดี
    ;aa23 ตอนนี้ก็ได้คำตอบที่กระจ่างแล้วค่ะว่า ร่วมทำบุญเป็นปัจจัยน่าจะดีที่สุดค่ะ

    ขอร่วมทำบุญด้วยคนนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  12. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ในหลายวันที่ผ่านมา มีเสียงโทรศัพท์ดังแทบจะไม่ขาดสาย มีการสนทนากับหลายท่าน หลายบุคคล เป็นการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยวาง วิธีการดูขันธ์ห้า อุบายธรรมที่จะลด ละ อัตตาตัวตน จากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเสียเป็นส่วนใหญ่

    มีการอธิบาย มีการขยายความ มีการตอบคำถามอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นที่น่ายินดีที่หลายท่านมีความเข้าใจ และมีการปล่อยวางมากขึ้น ความทุกข์จึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

    ในบางส่วน หลายบุคคลที่ได้เข้ามาใหม่ในช่วงหลัง ๆ แล้วยังไม่ได้อ่านข้อความที่ระบบให้ลงข้อมูลไว้ตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ ของกระทู้แห่งนี้ เพราะมาสนใจ เข้ามาอ่านใหม่ ในช่วงหลัง ๆ ก็มีจำนวนมาก

    ระบบ ได้สอบถามความเข้าใจเป็นพื้นฐานของแต่ละท่านก่อน ก่อนที่จะชี้แนะวิธีการตามจริตของแต่ละคนให้ และมีหลายท่านที่ระบบให้กลับไปอ่านข้อความการรู้จักกลไกการทำงานของขันธ์ห้าในพื้นฐานก่อน ซึ่งเป็นการอธิบายให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าในมุมมองของธรรมชาติ เพื่อทำความเข้าใจก่อน

    เมื่ออ่านแล้วมีความเข้าใจ มีการอยากจะให้อธิบายเพิ่มเติม ระบบก็จะอธิบายในวิธีการปล่อยวางให้มากขึ้นไปอีกได้ คือเพิ่มเติมจากพื้นฐานความเข้าใจเดิมต่อขึ้นไปนั่นเอง

    หลาย ๆ ท่านต้องไปค้นหาข้อความเหล่านี้มาอ่าน มาศึกษา และหลายท่านมีความเข้าใจในกลไกของธรรมชาติมากขึ้น จึงได้มีการอธิบายเพิ่มความเข้าใจเข้าไปอีก และสามารถปฏิบัติได้ ละวางได้ เป็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าได้อย่างเร็วเลยทีเดียว และความทุกข์ที่เคยเกาะกินเพราะความรู้ไม่เท่าทันขันธ์ห้า ก็พลอยกินได้ยากไปด้วย

    วันนี้ พี่สุดใจ ก็จะขอนำข้อความพื้นฐานที่จำเป็นมาให้อ่านกันสักนิด เพราะหลายท่านสามารถเข้าใจ ในความหมาย ในคำพูด ในการอธิบายแบบง่าย ๆ นี้ได้ โดยไม่มีความซับซ้อนให้ต้องไปตีความกันอีก

    ซึ่งหลายท่านอาจเคยได้อ่านมาแล้ว ก็ถือว่ามาทบทวนอีกครั้งนะคะ

    สำหรับบางท่านที่ยังไม่เคยได้อ่านมาก่อน ก็ลองมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจก่อน ท่านอาจจะได้แนวทางการปล่อยวาง จากข้อความเหล่านี้ก็เป็นได้

    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  13. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    เรื่องที่ได้รับการสอนก่อนอื่นก็คือ ต้องรู้จักขันธ์ห้าตามความเป็นจริงของธรรมชาติก่อนว่ามันคืออะไร? ประกอบด้วยอะไร? และมีกลไกอย่างไรบ้าง?<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขันธ์ห้านั้น ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามที่เรา ๆ ได้รับรู้มา <O:p</O:p

    มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และมีอุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเสมือนยางเหนียวที่นำทั้งหมดมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน นานเข้าจนแยกไม่ออก คิดว่ามีตัวตน ของตน จริง ๆ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น การหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากอุปาทาน ก็คือหลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ห้า คือหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเราของเรานั่นเอง แล้วสิ่งที่หลุดพ้นก็คือ ธาตุรู้ หรือจิตที่มีสติปัญญาที่รู้แจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ได้มีตัวใครของใครตรงไหนเลย(ตรงข้ามกับจิตที่มีอุปาทาน)<O:p</O:p<O:p</O:p

    รูป ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ มาผสมรวมกันจนเกิดเป็นร่างกาย กลไกของร่างกายนี้มันทำงานของมันเอง มันมีกลไกที่ดูแลตัวมันเองอยู่เสมอ ถึงเราจะรู้หรือไม่รู้ แต่ร่างกายมันรู้ มันหายใจเอง ถึงเราหลับมันก็ยังหายใจ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวได้บอกว่า ถ้าปล่อยให้หายใจกันเอง ก็คงจะตายกันหมดแล้วเพราะคอยแต่จะลืม แต่เพราะมันทำงานอัตโนมัติ มันจึงต้องหายใจเอง มันสูบฉีดโลหิตเอง มันย่อยอาหารเอง แม้เราไม่อยากให้มันย่อยเพราะไม่อยากจะกินบ่อย ๆ แต่มันก็ไม่สนใจเรา มันทำหน้าที่ของมันอัตโนมัติ มันดูแลตัวเองโดยอัตโนมัติ หรือมีเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย ภูมิคุ้มกันก็จะมาทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคนั้นทันที นอกจากหนักหนาสาหัสไม่อาจต้านทานได้ ก็จะส่งอาการฟ้องออกมาที่ร่างกาย ตัวร้อนบ้าง เจ็บคอบ้าง หรืออาเจียนบ้าง ก็เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ฉันป่วยนะ หายากินหน่อย เพราะความจริงมันห่วงตัวมันเอง มันรักตัวมันเอง มันจึงดูแลตัวมันเอง ถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บมาก ๆ มันจะตัดให้สลบไปก่อน ไม่อย่างนั้นจะตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว มันต้อง safety ตัวมันเอง เพราะมันมีกลไกของมันเอง มันทำงานถูกต้องตรงตามเวลาเป็นอัตโนมัติ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (ตอนที่ 1)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  14. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    มันจึงเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้จริง ๆสมมุติว่า ถ้าเราเห็นว่า มันก็ทำงานของมันได้ เราลืมกินข้าวเพราะมัวยุ่งกับงาน มันก็จะแจ้งเตือนเพราะมันห่วงตัวมันเอง ด้วยการทำท้องร้องบ้างละ ทำเป็นหิวบ้างละ ก็เพราะร่างกายมันห่วงตัวมันเองว่าจะเป็นโน่นเป็นนี่ จริง ๆ แล้ว ถ้าเราดูจริง ๆ ไม่น่าห่วงมันหรอก เพราะมันห่วงตัวมันเองอยู่แล้ว เราก็แค่บริหารขันธ์ห้าไปตามสมควร ขาดเหลืออะไรมันเตือนของมันเองแหละ เพราะมันเป็นกลไกของธรรมชาติ มันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปตามกลไกของมัน เมื่อเห็นจริงก็ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ขัดใจมันบ้าง เยาะเย้ยมันบ้าง หรือสมน้ำหน้ามันบ้างก็ยังได้ ให้มันรู้เสียมั่งว่าไม่ได้มีอำนาจเหนือเรา มันต่างหากที่ต้องพึ่งเรา

    ถ้ารู้อย่างนี้นะ เราจะไม่ค่อยให้ความสำคัญอะไรกับมันเท่าใดนัก ดูแลกันไปตามสมควร คิดว่ามันเป็นเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติธรรมให้ออกจากวัฏฏสงสารเท่านั้น เหมือนพระอริยเจ้า ท่านก็จะมุ่งเน้นที่จะออกจากขันธ์ห้าทั้งนั้น แล้วเราจะไปอาลัยอาวรณ์มันทำไม ?
    <O:p</O:p
    ถ้าทำไปนาน ๆ จะเห็นว่า แทนที่เราจะต้องไปดูแลร่างกายมัน ประคับประคองมัน แต่กลับเป็นว่ามันจะต้องเป็นผู้ดูแลตัวมันเอง มีอะไรมันก็จะแจ้งเรามาเป็นระยะ เราก็แค่ดำเนินการดูแลให้ตามสมควร กินยา หาหมอ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทุกข์กับมัน

    เพราะธรรมะก็สอนไว้อยู่แล้วว่า อริยสัจ 4 ก็คือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ทางดับทุกข์ และปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์นั้น สรุปแล้วก็คือ ท่านสอนเรื่องของทุกข์ กับการดับทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั่นเอง เมื่อเราไม่ทุกข์ ก็ไม่ต้องไปดับอะไร ใจก็สงบเย็นนั่นเอง
    <O:p</O:p
    ถ้าเข้าใจได้จริง เห็นได้จริง และทำได้จริง ก็จะออกจากตัวขันธ์ห้าในส่วนของรูปได้เลย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ต้องตายจากกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มนุษย์ต่างดาว จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับขันธ์ห้าของผู้ฝึกเท่าใดนัก หาแต่เรื่องจะทุกข์กับขันธ์ห้ามาให้เรียนอยู่เรื่อย ถ้าแกไม่ออกจากขันธ์ห้า ก็ทุกข์ไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พี่สุดใจเจอมาเยอะกับตัวอย่างเช่นนี้ จนเดี๋ยวนี้เห็นมันโวยวายอยู่เรื่อยก็เฉย ๆ เป็นแผลนิดเดียวทำเป็นเจ็บปวดเหลือเกิน(ระบบเพิ่มให้แบบโอเว่อร์) หรือเท้าไปเกี่ยวรถมอเตอร์ไซด์ ไม่รู้เรื่องเลยเพราะไม่เจ็บ เลือดเต็มเท้าเลย ปรากฏว่าเล็บเปิดออกมา ไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ไม่ไปหาหมอด้วย ดูซิมันจะทำยังไง มันก็คิดทั้งคืน คิดอยากจะไปหาหมอ ให้มันคิดไป เราก็ดูความคิดไป สมน้ำหน้ามันไป

    พอรุ่งขึ้น เขียวบวมก็เรื่องของมัน สรุปแล้วไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่สน พอรุ่งขึ้นอีกวันไปให้หมอทำแผล หมองง ทนมาได้อย่างไรเนี่ยตั้ง 2 วัน ก็เฉยๆ ไม่เจ็บอะไร และสมน้ำหน้าตัวมันด้วยซ้ำที่ไม่รู้จักระวังตัวมันเอง ไม่ได้ห่วงใยอะไรในตัวมันเลย ก็เลยไม่ค่อยมีความทุกข์เกี่ยวกับร่างกายสักเท่าไรนัก มันเป็นอะไร ก็คอยฉกฉวยโอกาสที่จะเรียน เพื่อจะละ เพื่อจะเลิก แยกจากกันอย่างเดียวเลย ก็สนุกดี <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตอนนี้มันเลยต้องดูแลตัวมันเอง พี่สุดใจก็เลยสบายไม่ต้องสนใจมันอีก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นี่เป็นประสบการณ์ และผลที่ได้จากการฝึก มีความเข้าใจในกลไกของธรรมชาติมากขึ้น มีการปล่อยวางรูปขันธ์ได้มากขึ้น ความทุกข์ในเรื่องที่จะต้องไปห่วงใยในรูปขันธ์ก็น้อยลงไปด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กระทู้หน้า ก็จะเป็นเรื่องของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กันบ้าง เพราะเป็นขันธ์ห้าเช่นเดียวกัน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (ตอนที่ 2)<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  15. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ส่วนที่ยังเหลือก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กับความรู้เท่าทันธรรมชาติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก็จะขอเริ่มจากวิญญาณขันธ์ก่อนละกัน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่รับฟังใหม่ โดยจะขอเรียงลำดับก่อนหลังตามการกระทบแล้วเกิดสภาวะตามจริง<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ดังนั้น ร่างกายที่ได้อธิบายผ่านไปแล้วนั้น ในร่างกายก็จะมีอายตนะภายในรวมอยู่ด้วย ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจะต้องจับคู่กับอายนะภายนอก ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ดังนั้นช่องทางที่เมื่อมีการกระทบแล้วทำให้เกิดภาวะทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ก็ต้องผ่านช่องทางทั้ง 6 นี้เช่นกัน ก็คงต้องขอจับกันเป็นคู่ ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อย่างเช่น ตาก็ต้องคู่กับรูป แต่ระหว่างตากับรูปนั้นมันเป็นคนละชิ้น ยังไม่รู้จักกัน ดังนั้นจึงต้องมีจักษุวิญญาณเป็นตัวเชื่อมระหว่าง ตากับรูป แล้วส่งเข้าไปที่ตัวสัญญา ก็คือความจำนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เช่น ตามองเห็นดอกกุหลาบ ตา กับ ดอกกุหลาบเป็นคนละชิ้นกัน มันไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ แต่มีจักษุวิญญาณ คือการรับรู้ทางตามาเป็นตัวเชื่อมของ 2 ชิ้นเข้าด้วยกัน ถ้าเคยรู้จักดอกกุหลาบอยู่แล้ว เห็นปุ๊บก็รู้จักปั๊บทันทีเลย ไม่ต้องไปนั่งนึกใหม่ เพราะเคยบันทึกไว้แล้ว ดังนั้นถ้าตาบอด การรับรู้ทางตาก็ไม่มีเพราะอายตนะภายในคือตาไม่มีการต่อเชื่อม ดังนั้นการที่จะมีอุปาทานจากการเห็นรูปเอามาปรุงแต่งก็ไม่มี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หูกับเสียงต่าง ๆ ก็เป็นคนละส่วนกัน แต่มีตัวโสตวิญญาณเป็นตัวเชื่อม แล้วก็เข้าใจได้ว่าเป็นเสียงของอะไร ตามที่ความจำได้เคยบันทึกไว้ ดังนั้น การที่จะเกิดสุขทุกข์ได้นั้น ก็เพราะการรับเข้าไป จำได้ว่าเสียงอะไร แล้วก็ไปปรุงแต่งความคิดเอาเอง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าเรารู้กลไกของธรรมชาติแล้ว เราจะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้า คือมันทำงานของมันอัตโนมัติ ตามเหตุ ตามปัจจัยที่สะสมไว้อย่างตรงไปตรงมา เหมือนเช่นเอาน้ำไปตั้งไว้กลางแดดจัด ๆ เมื่อน้ำถูกแดดนาน ๆ น้ำก็ย่อมร้อนเป็นเรื่องธรรมดา มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่คนที่จะกินน้ำนั้นต่างหากที่จะสุขหรือทุกข์ และตัวของน้ำเองมันก็ไม่ทุกข์ มันไม่ได้สนเลยว่า ใครจะรู้สึกอย่างไร จะพอใจหรือไม่พอใจที่ต้องดื่มน้ำร้อน ๆ แก้วนั้น เพราะน้ำมันไม่ได้ทำตัวมันเอง มีสิ่งอื่นมากระทำ เพราะเมื่อมีน้ำ มีแดด ผลที่ออกมาก็คือ มีความร้อนแทรกอยู่ในน้ำแก้วนั้น

    แต่คนที่จะดื่มน้ำนั้นต่างหาก ที่สุข หรือทุกข์ก็ได้ อยากจะดื่มน้ำให้ชื่นใจเสียหน่อย กลับร้อนเสียแล้ว โมโห หงุดหงิด และเกิดอารมณ์สุขทุกข์ได้ ก็เพราะไม่เห็นความเป็นธรรมดาของสิ่งที่เกิดนั่นเอง
    <O:p</O:p
    แต่ถ้ามีสติ มองเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความทุกข์ก็จะกินไม่ได้ ก็แค่ อ๋อ น้ำมันตากแดด มันก็ร้อนอย่างนั้นเอง รอหน่อยเดี๋ยวก็เย็น หรือไม่เป็นไรร้อนหน่อยก็กินได้ อารมณ์ขุ่นมัวก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะเห็นความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น

    ฟังเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าสำคัญ แต่สำคัญเชียวละ เพราะแค่เรารู้จักธรรมชาติตามที่มันเป็นอยู่จริง จะทำให้เราปล่อยวางได้มากขึ้น ซึ่งระบบมุ่งเน้นอธิบายให้เห็นมุมมองของธรรมชาติแบบง่าย ๆ ที่เรามองข้ามไปนั่นเอง<O:p</O:p

    (ตอนที่ 3)
     
  16. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    พี่สุดใจพบเจอมามาก เมื่อก่อนพี่สุดใจเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง หงุดหงิดง่าย อะไรก็ไม่ค่อยจะถูกใจสักอย่าง ขนาดเปิดแอร์เย็น ๆ แต่เย็นไม่ทันใจก็หงุดหงิด ข้างบ้านเปิดเพลงเสียงดังก็หงุดหงิด ไปซื้อของคนขายหยิบให้ช้าก็หงุดหงิด จึงมีแต่เรื่องไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ไม่ทันใจ ตลอดเวลา จึงเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจร้อน ขี้โมโห และเป็นคนที่มีแต่ทุกข์เสียเป็นส่วนมาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้นในช่วงฝึกแรก ๆ ก็เลยโดนเสียเยอะ กับการเอากิเลสของพี่สุดใจออกนี่ ถ้าเป็นคนสอนก็คงอ่อนใจเหมือนกัน แต่นี่ระบบไม่สนใช้อุปกรณ์สอนเลย ไปดับทุกข์เอาเอง<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    บางครั้งมีวาระให้เดินเท้าเปล่า ก็พยายามเดินกระย่องกระแย่ง กลัวเหยียบหิน กลัวเหยียบหนาม กลัวเท้าพอง
    <O:p</O:p
    ก็เลยเจอความทุกข์เต็ม ๆ เพราะจู่ ๆ ก็เดินลงจากเขาด้วยเท้าเปล่าคนเดียวตอนประมาณ บ่าย 3 โมง แดดกำลังร้อนจัดเชียวละ เท้าเปล่าด้วย ขืนตัวเองหยุด ก็ไม่ยอมหยุด พอลงมาถึงทางข้างล่าง ถนนเป็นหินลูกรัง บางช่วงเป็นทรายก็มีเพราะเขาเอามาถมถนน เราก็พยายามเดินข้างทางเพราะเป็นต้นหญ้า จะได้บรรเทาความร้อน ขาก็พาออกมาเดินกลางถนน เท้าเปล่ากับหินร้อน ๆ ก็ร้อนมาก ร้อนจนเท้าแทบพอง ความทุกข์จากความร้อนไม่เท่าไร แต่ความทุกข์จากความไม่พอใจ โมโห มีมากกว่าหลายเท่าในช่วงนั้น บังคับตัวเองก็ไม่ได้ ทำไมต้องทำกับเราอย่างนี้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ระยะทาง 1 กิโล และเดินกลับอีก 1 กิโลโดยไม่ได้หยุดพักเลย กับเท้าเปล่ากลางแดดนั้น ไม่ใช่ง่ายเลยกับการทำจิตให้มีความสงบเย็นได้ และก็เหมือนเคย โดนไปหลายวัน จนเริ่มเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติมากขึ้น วันต่อมาก็เริ่มสบายมากขึ้น พอเดินลงมาสัก 11 โมงเช้าก็คิดว่า เออดีแล้วแดดยังไม่ร้อนจัด พอเดินเย็นหน่อยก็เออดีแล้วแดดเบาหน่อย พอเดินเวลาเดิมก็คิดว่า เออ ก็แดดมันแรง มันก็ต้องร้อนเป็นธรรมดา ไม่ใส่รองเท้ามันก็ต้องร้อนเท้าเป็นเรื่องธรรมดา และเราเดินกลางแดดนี่นา มันก็ต้องร้อนอย่างนี้แหละ
    <O:p</O:p
    น่าแปลกที่เมื่อคิดอย่างนี้ เห็นความจริงอย่างนี้ ความทุรนทุรายที่อยากจะให้หายร้อน อยากจะให้ถึงไว ๆ อยากจะให้เลิกเดินกลับหายไป กลายเป็นมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองมากขึ้น ความสงบเกิดขึ้นในขณะที่เดินกลางแดดนั้น นี่ต่างหากที่สำคัญ
    <O:p</O:p
    ดังนั้น เมื่อจิตไปจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีสมาธิอยู่กับการคิดพิจารณาเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ การสนใจเรื่องอื่น ๆ ก็เลยเป็นรองไป จึงลืมสนใจความร้อนที่เท้าเปล่าเหยียบย่างนั้น ลืมความไกลของระยะทาง และลืมไปว่าเคยทุกข์กับสภาวะนี้มาก่อน ในวันนั้นจึงกลับถึงจุดหมายไวแทบไม่รู้ตัว พร้อมทั้งได้ปัญญา วิริยะ ขันติ และการปล่อยวางไปพร้อม ๆ กันเลย
    <O:p</O:p
    ในหลายวันถัดมา เดินร้อน ๆ เช่นเดิม แต่คราวนี้เดินไปร้องเพลงไปแบบสบายอารมณ์ ความทุกข์ที่หลอกกินมาหลายวัน ก็หลอกไม่ได้อีก เพราะความคิดมันเปลี่ยนไป มองเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติมากขึ้น ว่ามันเป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว
    <O:p</O:p
    ดังนั้น หลายคนที่รู้จัก จะเห็นว่าพี่สุดใจทำไมอดทนเก่งจัง ไม่ค่อยบ่น ไม่ค่อยพัก ไม่ว่าจะร้อน จะหนาว ทุกสถานการณ์ไม่ค่อยเห็นอารมณ์เสีย ความจริงไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังนั้น หนักหนาสาหัสแค่ไหน
    <O:p</O:p
    ดังนั้น พี่สุดใจอาจจะเล่าเหมือนสอนเด็กเริ่มเรียน แต่อย่างที่บอก ระบบที่มาสอนนั้น สอนในคนที่มีพื้นฐานของธรรมะแตกต่างกัน จึงต้องสอนให้เข้าใจง่าย ๆ และยกตัวอย่างให้มองเห็นภาพเลยทีเดียว ถือเสียว่าค่อย ๆ ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อคนอื่นที่เพิ่งมาอ่าน และพื้นฐานน้อย ก็จะได้ค่อย ๆ คิดพิจารณาตามไป ก็จะได้พอทำความเข้าใจได้ด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อยากให้ลองมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติให้ทะลุ เช่น ถ้าอากาศร้อน ก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา ถ้าไม่ได้กินข้าวก็ต้องหิวเป็นธรรมดา ถ้าใครว่าก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา ถ้าเพลงเพราะเราก็ชอบเป็นธรรมดา หรือนั่งรถแล้วรถติดอารมณ์เบื่อหน่ายก็ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทุกข์ หรือไปสุขกับมัน เพราะอารมณ์ที่จะขึ้นลงไปกับสถานการณ์รอบด้านนั้นมันเกิดขึ้นตามธรรมดาตามกลไกของขันธ์ห้าอยู่แล้ว เมื่อเข้าใจถูกต้อง ความเคลื่อนไหว การกระเพื่อมของจิตจะเริ่มน้อยลง ความสงบจะมีมากขึ้น ความทุกข์จะเกิดได้ยากขึ้น เพราะเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติได้มากขึ้นนั่นเอง<O:p</O:p

    (ตอนที่ 4)
     
  17. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ที่กล่าวมาอย่างยาวนานนั้น ก็เพื่อให้มองเห็นในมุมมองกว้าง ๆ ของธรรมชาติ จะได้ไม่ไปทุกข์ไปกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา จะไปเที่ยวสักหน่อยฝนดันมาตกเสียได้ หงุดหงิดไม่พอใจ ก็เป็นทุกข์ที่สร้างขึ้นมาเอง ธรรมชาติเขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น ไม่มีใครห้ามได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ทุกข์ได้เหมือนกัน <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้นสิ่งที่จะมุ่งเน้นให้มองเห็นก็คือ ความเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้า
    <O:p</O:p
    สมมุติว่า เราไม่พอใจคนที่ทำงานคนหนึ่ง และเห็นเขากำลังยืนซุบซิบอยู่กับคนอื่น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อตามองเห็นรูป จักษุวิญญาณรับภาพนั้นเข้าไป ส่งไปที่สัญญาคือความจำ ที่เคยบันทึกไว้ว่า คน ๆ นี้เราไม่พอใจ สังขาร หรือความคิดก็จะปรุงแต่งตามพื้นฐานของการบันทึกไว้ต่อทันทีว่า เขาพูดอะไร นินทาเราหรือไง เพราะฐานในการจดจำที่บันทึกไว้ในลักษณะของความไม่ชอบ ไม่ถูกกัน ความคิดที่ปรุงแต่งให้ก็จะปรุงมาในโซนของความทุกข์เสียเป็นส่วนใหญ่ ร้อนรน หวาดระแวงว่าเขาจะนินทาเรา ซึ่งการปรุงแต่งความคิดด้านลบขึ้นมานั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ตามเหตุตามปัจจัยนั่นเอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทีนี้ความคิดก็ส่งต่อไปที่เวทนา คืออารมณ์ ปกติก็กำลังทำงานเพลิน ๆ พอหันไปเห็น และความคิดปรุงแต่งในด้านไม่พอใจส่งเข้ามา อารมณ์ที่เคยสบาย ๆ กลายเป็นหงุดหงิด โมโห รุ่มร้อนขึ้นมาทันที ร้อนอกร้อนใจ อยากรู้ว่าเขาว่าเราหรือเปล่า ซึ่งความจริงคน ๆ นั้นอาจจะไม่ได้สนใจเรา ไม่ได้พูดถึงเราเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะฐานการบันทึกของเรามีไว้ในแง่ของความหวาดระแวง ความไม่พอใจ ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ การปรุงแต่งมันก็ขึ้นมาตามเหตุปัจจัยที่บันทึกไว้นั่นเอง ซึ่งนี่แหละคือความทุกข์ที่สร้างขึ้นมาเองจากความคิดที่เข้ามาล่อหลอก <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ซึ่งความจริงแล้ว มันเป็นกลไกธรรมดาของขันธ์ห้า ที่คอยแต่จะปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยที่ได้เคยถูกบันทึกไว้แล้วเท่านั้น ตัวความคิดเองมันไม่รู้หรอกว่า ที่คิดอย่างนี้จะทำให้ใครทุกข์หรือไม่ทุกข์ เพราะไอ้ตัวความคิดมันไม่ได้ทุกข์ไปด้วย มันมีหน้าที่แค่คิด มันจึงสักแต่ว่าคิดของมัน แต่คนที่จับความคิดนี่สิ กลับไปอุปาทานว่าเป็นตัวเราคิด แล้วไปรับเอาความคิดนั้นมาทุกข์เอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มันก็เป็นธรรมชาติ เหมือนกับลมที่พัดมาน่ะแหละ บางคนชอบว่าเย็นสบาย มีความสุข อีกคนก็ไม่ชอบเพราะกลัวผมปลิวเสียทรงแล้วจะไม่สวยก็มีความทุกข์ แล้วแต่ใครจะสร้างเหตุปัจจัยในมุมไหนเอาไว้ แต่บังเอิญว่ามันมารวมกลุ่มกันอยู่ในสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวเรา ก็เลยมองไม่ออกว่ามันเป็นธรรมชาติยังไง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ซึ่งโดยความจริงแล้ว ความคิดมันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น แล้วแต่บันทึกเหตุปัจจัยอะไรเข้าไว้ มันก็ออกมาเป็นอย่างนั้นตรงไปตรงมา จนกว่าจะมีการบันทึกเหตุปัจจัยใหม่เข้าไป มันจึงจะปรุงใหม่ตามเหตุปัจจัยที่ทำการบันทึกใหม่แล้วนั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (ตอนที่ 5)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  18. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    เหมือนคนที่เลี้ยงแมว รักแมว พอเข้าบ้านเห็นหน้าแมวปุ๊บ ก็รักปั๊บเลย เป็นอัตโนมัติ เพราะมันจำไว้ว่าแมวตัวนี้รัก ไม่ต้องมานั่งคิดปรุงแต่งว่ารักแมวอีกในทุก ๆ ครั้งที่เจอ จากนั้นก็ส่งความคิดนั้นไปที่เวทนา ก็เกิดอารมณ์สุข เพราะเจอสิ่งที่พอใจนั่นเอง<O:p</O:p
    </O:p
    ทีนี้ลองใหม่ ถ้าเราลองเปลี่ยนเหตุปัจจัยเข้าไป เพื่อให้สัญญาคือความจำมันบันทึกในมุมมองใหม่ คือเห็นว่า อ๋อ คนนี้ที่เขาคิดร้ายเรา เขาไม่พอใจเรา ก็เพราะความไม่รู้ เขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ที่เขามีความอิจฉาริษยาคนอื่น ๆ ไปเรื่อยนั้น ตัวเขาก็มีแต่ความทุกข์ความร้อนรนอยู่แล้ว เราจะไปโกรธเขาทำไม น่าจะสงสารเขามากกว่า
    <O:p</O:p
    นี่เป็นการเปลี่ยนความคิด ที่พุทธศาสนาก็สอนไว้ คือเมื่อคิดพยาบาท อย่าเลย คิดเมตตาดีกว่า หรือคิดริษยา อย่าเลยมีมุทิตาจิตดีกว่า ก็คือพลอยยินดีเมื่อเขาได้ดี นั่นคือการสอนให้เปลี่ยนความคิดนั่นเอง ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อที่จะไม่ให้ผู้คิดมีความทุกข์นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ลืมไปเลยว่ากำลังพูดเรื่องวิญญาณขันธ์อยู่ แต่ก็เพราะมันเกี่ยวเนื่อง ส่งต่อกันไปหลายส่วนจึงต้องโยงกันไปมาเพื่อให้เข้าใจกลไกทั้งหมดนั่นเอง

    สรุปว่า จริง ๆ แล้ว ตัววิญญาณขันธ์มันก็มีงานของมันแค่พนักงานไปรษณีย์ ก็คือมีหน้าที่รับแล้วนำไปส่งแค่นั้น คือมองไปเห็นดอกไม้ รับมา แล้วส่งต่อไปให้ความจำ หรือสัญญา สังขาร วิญญาณ ปรุงแต่งต่อไปจะเป็นในแง่ว่าจะชอบดอกไม้ดอกนี้ หรือไม่ชอบดอกไม้ดอกนี้นั้น จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ จะสุขหรือทุกข์ ก็เป็นเรื่องของส่วนอื่น ๆ แล้วไม่เกี่ยวกับวิญญาณขันธ์
    <O:p</O:p
    ดังนั้น ถ้าหลับตา ไม่เห็นอะไร จักษุวิญญาณขันธ์ก็หยุดงานตรงจุดนั้น แต่ถ้าตาไม่เห็น แต่ได้ยินเสียงแทน โสตวิญญาณก็ทำงานรับไปส่งให้ตัวสัญญาหรือความจำแทน หรือกายสัมผัสความเย็นก็รับไปส่งให้สัญญาแทน ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ดังนั้นจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่แม้ตาเห็นรูปแล้ว ความทุกข์จะยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะตัววิญญาณไม่ได้เป็นตัวการทำให้เกิดทุกข์

    ดังนั้น เห็นจึงสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้นก็ได้ ถ้าไม่มีขันธ์อื่นมาร่วมปรุงแต่งด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    (ตัวที่รับต่อก็คือสัญญา ก็จะอธิบายต่อไปค่ะ) <O:p</O:p

    <O:p
    (ตอนที่ 6) </O:p
     
  19. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    คู่แรกก็ผ่านไปแล้ว ก็คือ รูปขันธ์ที่เข้าคู่กับวิญญาณขันธ์ คู่นี้แม้ทำงานไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้เราเกิดทุกข์ได้ เป็นแค่ช่องทางผ่านเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็ต่อมาคู่ที่ 2 ก็คือ สัญญา(ความจำ) จับคู่กับสังขาร(ความคิดที่ถูกปรุงแต่ง) คู่นี้ถือว่ามีผลเหมือนกันถ้ารู้ไม่เท่าทันกลไกของธรรมชาติ


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อมีการรับภาพแล้วส่งต่อมาที่สัญญา ความจำที่ถูกบันทึกไว้ก็จะทำงานอัตโนมัติทันที จำได้ทุกเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ เดินไปทำงานถูก เดินไปขึ้นรถยนต์ถูกคัน เข้าบ้านถูกบ้าน เห็นลูกเดินมาก็จำได้ ทุกอย่างถูกบันทึกไว้แล้วครั้งแรก ครั้งที่ 2 ก็ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ จนกว่าสัญญานั้นจะมีการบันทึกเปลี่ยนแปลง และทำซ้ำ ๆ จนเข้าใจว่า เป็นการบันทึกใหม่
    <O:p</O:p
    อย่างเช่นเป็นคนชอบกินทุเรียนมาก พอเห็นทีไรก็ชอบทุกที ซื้อทุกที มีความสุขทุกครั้งที่กิน มีอยู่วันหนึ่งเกิดบังเอิญกินทุเรียนแล้วไปเที่ยวกับแฟน เขาบอกว่าเหม็นจังทุเรียน แล้วพาลเลิกคบไปเลย ก็มีความฝังใจว่าไม่ชอบแล้วทุเรียน
    <O:p</O:p
    เมื่อไปเจอทุเรียน ครั้งแรกความจำที่เคยชอบก็จะพุ่งขึ้นมาก่อนว่าชอบ แต่พอความจำอีกอันซ้อนเข้ามาและมีน้ำหนักกว่า ก็จะมีผลทำให้เปลี่ยนใจ ไม่อยากกินแล้ว และถ้าทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง สัญญาก็จะบันทึกใหม่ ถ้าเห็นอีกความอยากกินทุเรียนก็จะไม่ขึ้นอีกแล้วนี่คือการเปลี่ยนสัญญาใหม่ และขันธ์ก็บันทึกใหม่ จึงไม่แสดงผลการอยากกินออกมาอีก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น จะเห็นว่ามันมีกลไกการทำงานของมันเองแบบอัตโนมัติ คนเราที่จะทุกข์ก็เพราะชอบคิดว่า เราไม่อยากคิดอกุศล เราไม่อยากคิดร้าย เราไม่อยากคิดโกรธคนนี้เลย แต่เจอทีไรความโกรธก็ออกหน้าไปก่อนทุกที ต้องพยายามบังคับใจ ใช้สมาธิข่มให้หายโกรธ ให้หายคิดร้ายเขา ซึ่งก็เป็นความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งของคนที่อยากจะคิดดี พูดดี ทำดี<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จึงต้องมาเรียนรู้กลไกการทำงานของขันธ์ห้าให้แจ่มแจ้งก่อน จะได้ไม่หลงทุกข์ไปกับมัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในช่วงที่ฝึก พี่สุดใจเป็นคนที่ถูกฝึกเดี่ยวมากที่สุด เพราะเป็นคนใจร้อน อารมณ์ร้าย และถ้าโกรธใครนี่ไม่ต้องมาให้เห็นเลย โกรธกันเป็นปี ๆ ทุกสิ่งที่ใครไม่มี พี่สุดใจมีมาหมดแล้ว เจอมาหมดแล้ว และทุกข์สุด ๆ มาเรียบร้อยแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้นการเรียนเรื่องนี้ก็สุดยอดอีกเหมือนกัน แต่ก็ใช้อุปกรณ์ช่วยสร้างสถานการณ์เสมือนจริง

    <O:p</O:p
    อุปกรณ์ประกอบการฝึกก็ไม่ต้องไปหาไกล เอาแถวใกล้ ๆ น่ะแหละ ปกติมีหลานอยู่ที่บ้านสันคู เราก็รักหลานตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน แต่จู่ ๆ พอเริ่มเรียนเรื่องนี้ ก็ถูกใส่ภาวะไม่ชอบ ไม่ถูกใจ เข้ามาในความคิดของเรา ความจำที่เคยรักถูกเปลี่ยนใหม่ให้ไม่ชอบ ดังนั้น พอเห็นหน้าหลานปุ๊บ เกลียดปั๊บเลย ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุย คอยแต่จะดุท่าเดียว ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ก็พยายามข่มใจไม่ให้ไปดุว่า ไม่ให้ไปเกลียด ก็ต้องยื้อกับความคิด ความจำที่มีแต่รุมเร้าให้เกลียดอย่างเดียว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่พอมีการอธิบายจากระบบ ว่าความจำที่เคยบันทึกไว้อย่างไร การกระทบกันครั้งแรก ความรู้สึกอย่างนั้นก็ต้องโชว์ออกมาเป็นธรรมดา เมื่อความจำมันบันทึกไว้ว่าไม่ชอบหลานคนนี้ เมื่อเจอทุกที ก็จะโชว์อาการไม่ชอบออกมาเลย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่เมื่อมันโชว์ออกมาว่าไม่ชอบ เกลียด หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ดูมันให้เห็น ไม่ต้องไปดับมัน เพราะยิ่งดับยิ่งเหนื่อย มันไม่หยุดคิดได้ดังใจเราหรอก เหมือนเรากังวลเรื่องอะไรสักอย่าง อยากจะหยุดคิด แต่มันไม่หยุดคิดอย่างที่เราต้องการ เพราะเราบังคับบัญชาความคิดไม่ได้นั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ( ปล. ระบบเอาความจำที่ไม่ชอบออกไปแล้ว หลังผ่านการฝึกบทนี้ ) <O:p</O:p

    (ตอนที่ 7) </O:p
     
  20. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    พี่สุดใจ ในระยะแรก ๆ ก็เหมือนคนอื่น ๆ น่ะแหละ ไม่อยากเกลียด ไม่อยากโกรธ ไม่อยากริษยาใคร แต่พอเห็นหน้าปุ๊บโกรธปั๊บ เกลียดปั๊บ หรืออิจฉาทันทีเลย ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้มาทำอะไรเราเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตอนนั้นก็ทุกข์มาก และพยายามที่จะสะกดอารมณ์โกรธเหล่านั้นทุกวิถีทาง แม้กระทั่งถ้าคิดโกรธใคร จะรีบเดินไปไหว้เขาเลย เพื่อยืนยันเจตนาว่าเราไม่ได้คิดร้ายกับเขา มันคิดของมันเอง ไม่เกี่ยวกับเรา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่พอเริ่มเรียนรู้กลไกของขันธ์ห้ามากเข้า ก็เลยสบายมากขึ้น เห็นหน้าปุ๊บก็โกรธปั๊บตามสไตล์ความจำเดิมแบบออโต้เลย แต่เรามองเห็นความคิดและความโกรธนั้นเสียแล้ว ก็เลยยืนดูเฉย ๆ มันก็โกรธก็คิดอาฆาตอยู่ในหัวไปเรื่อย ก็เรื่องของมัน มันเป็นกลไกของมันเอง ไม่มีใครเป็นคนทำ ไม่มีใครเจตนา มันเป็นเหตุปัจจัยที่ถูกบันทึกเข้าไปแค่นั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สิ่งที่น่าแปลกก็คือ พอยิ่งเข้าใจ กลับไม่ต้องทำอะไรเลย มีสติรู้ตัวดูให้เห็นความคิด หรือความทุกข์นั้นให้ได้ ไม่ต้องไปข่ม ไม่ต้องไปดับ ไม่ต้องไปบังคับให้หาย แค่ดูมันเฉย ๆ หรือสอนมันบ้างก็ได้ เป็นการตอกย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้ามันอยากทุกข์ มันอยากร้อนรน ก็เรื่องของมัน มันทำตัวมันเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ธาตุรู้ หรือจิตที่มีสติปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติจึงต้องถอยออกมาเป็นแค่ผู้ดูเท่านั้น จึงจะมองเห็นขันธ์ห้า ที่เล่นบทบาทไปตามสไตล์เดิม ๆ ของมัน ยิ่งมองเห็นความคิด มองเห็นความรู้สึกของขันธ์ห้าในขณะนั้น ก็จะยิ่งขำที่เห็นมันฟาดหัวฟาดหาง จะหาทางดึงเราเข้าไปทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น สิ่งที่พี่สุดใจพบเจอ ผ่านมาแล้วนั้น ต้องใช้เวลาอย่างมากในการที่จะค่อย ๆ มอง ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ซึ่งมิใช่ทำวันเดียวแล้วจะได้เรียกว่าต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดทีเดียว ถ้าใครจะลองทำดูบ้างก็ได้ ทันบ้าง ไม่ทันบ้างอย่าไปท้อ แต่ถ้าทำได้ เห็นความคิดได้ จัดการกับมันได้ จะเห็นความเบาสบายแน่นอน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้นใครที่ชอบมีความคิดอกุศลเข้ามาหลอกล่อ ความโกรธ ความวิตกกังวล หรือเรื่องอื่น ๆที่เป็นข่ายทุกข์นั้นเข้ามาอยู่เรื่อย อย่าได้ตกใจ ให้รีบเรียนเลย และต้องรู้ว่า พอกระทบสิ่งนั้นครั้งแรก มันก็จะคิดร้ายแบบเดิมก่อนน่ะแหละถูกแล้ว เพราะมันจำไว้อย่างนั้น แต่พอเราต้องมีสติรู้เท่าทันว่า นั่นแน่คิดร้ายเขาอีกแล้ว ก็ดูมันไป เพราะมันอยากจะคิดก็ให้มันคิดไป อย่าไปโกรธตัวเองว่าทำไมเรายังคิดร้ายเขาอยู่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็ในเมื่อสิ่งนี้เราบังคับบัญชามันไม่ได้ อยากให้มันหยุดคิดแล้วมันไม่หยุดคิด จะไปรับผิดชอบว่าเป็นตัวเราผู้คิดได้อย่างไร ถ้าเป็นตัวเราจริง ความคิดเราจริง เราก็ต้องหยุดคิดได้สิ แต่ในเมื่อมันไม่ได้เป็นตัวใครของใคร มันก็ทำงานไปตามกลไกของมัน กลไกของธรรมชาติ แล้วเราจะไปรับเอามาทุกข์นั้นสมควรหรือ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    (ตอนที่ 8)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...