ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    จากโพสต์ที่ได้แวะเข้ามาทักทายคุณชยุตที่ผ่านมาในครั้งที่แล้วนั้น ก็จะเห็นได้ว่า คุณชยุตยังคงดำเนินการงานฝันอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นขึ้นทุกขณะ และท่านอื่น ๆ ที่มีการฝันเกี่ยวโยงกันในเรื่องเดียวกัน หรือเรื่องที่คล้ายกัน หรือเรื่องที่นำมาต่อเชื่อมกันนั้น ก็ยังคงมีต่อเนื่องต่อไป

    ดังนั้น พี่สุดใจจึงจะขออธิบายงานของระบบในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ที่ได้มีการวางรูปแบบการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกไว้ใน 3 รูปแบบ เพื่อให้ท่านที่กำลังสงสัยว่าเราทำอะไร ทำไมเราจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมบางคนรับรู้ได้เลย เห็นได้เลย ทำไมบางคนต้องเห็นทางสมาธิ หรือทำไมบางคนต้องฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้ นั่นเป็นเพราะรูปแบบของงานที่แตกต่างกัน ซึ่งพี่สุดใจจะขออธิบายต่อในโพสต์ถัดไป เพื่อที่หลายท่านที่กำลังสงสัย จะได้มีความเข้าใจมากขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2008
  2. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    การสื่อสาร 3 รูปแบบ<O:p</O:p

    1.สื่อข้อความลงมาโดยตรง

    โดยข้อมูลคมชัดและไม่มีการผิดพลาดในขณะที่ผู้รับการสื่อสารยังตื่นอยู่ และมีสติรับรู้ ในขณะดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยแยกเป็น

    1.1 รับข้อมูลแบบรู้ตัว เป็นข้อความโดยตรงผ่านอุปกรณ์เครื่องรับที่ได้มีการเชื่อมต่อไว้ก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวทำหน้าที่คล้ายโทรศัพท์ของเราแต่ล้ำหน้ากว่ามาก จะมีทั้งภาพ ทั้งเสียง จึงรับรู้ข้อความอย่างชัดเจน หรือเห็นภาพไปพร้อม ๆ กันอย่างชัดเจน เพราะมีความไฮเทคกว่าของมนุษย์มากมาย และมีทั้งป็นรูปแบบพลังงานที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ และบางครั้งก็มีเป็นมวลสารเป็นวัตถุที่สัมผัสได้

    ซึ่งผู้ที่รับข้อมูลแบบรู้ตัว จะสามารถรับรู้ว่า ข้อความที่เข้ามานี้ไม่ใช่ความคิดของเรา แต่เป็นของมนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารมา จึงเป็นการรับข้อมูลโดยรู้แหล่งที่มาว่ามาจากที่ใด
    <O:p</O:p
    อย่างเช่น จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ท่านได้รับข้อมูลมา ซึ่งขั้นแรกติดต่อผ่านสมาธิ และจากนั้นก็มีการรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์ จะเห็นได้ว่า ในขณะที่กำลังนั่งสนทนากับบุคคลอื่น ๆ อยู่นั้น หรือขณะที่มีการซักถามอยู่นั้น ก็มีข้อความสื่อลงมาตอบคำถามในทันที ซึ่งในเวลานั้นมิได้นั่งสมาธิเพื่อติดต่อแต่เป็นข้อความที่ส่งลงมาเลย ซึ่งในกรณีนี้มีตัวอย่างที่น่าสนใจตัวอย่างหนึ่ง ที่มีพยานรู้เห็นนับ 10 คน และยอมรับว่าท่านรับข้อมูลได้ตรงทุกข้อความ( จะนำมาเล่าประกอบในโอกาสต่อไป) และท่านก็สามารถทราบแหล่งที่มาของข้อมูลว่า ผู้ที่สื่อสารมาก็คือท่านราชฑูตจากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง ซึ่งอยู่คนละจักรวาลเป็นผู้สื่อสารลงมา โดยมีการพิสูจน์ ทดสอบ ทดลองหลายครั้ง จนเชื่อถือได้ ซึ่งได้เคยมีการนัดหมายนำยานอวกาศมาให้เห็นตามเวลาที่ได้บอกไว้ และก็ได้นำมาจริง ให้ถ่ายภาพได้ เพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่สื่อลงมานั้นเป็นเรื่องจริง และสื่อสารมาจากดาวดวงใด

    <O:p</O:p
    หรือผู้ที่ฝึกรับการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแบบรู้ตัว คือกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เมื่อฝึกรับข้อมูล และผ่านการฝึกแล้ว จะสามารถรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์เหล่านี้โดยตรง ในทุกขณะที่ระบบต้องการสื่อสารมา ในขณะนั่งอยู่ ในขณะเดิน ในขณะทำกิจกรรมอื่น ๆ หรือขณะพิมพ์ข้อความซึ่งส่วนหนึ่งเล่าในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และบางส่วนก็เป็นข้อความใหม่ที่ส่งมาขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่ในขณะนั้น หากข้อความนั้นระบบต้องการให้แจ้งสู่สาธารณะ ผู้พิมพ์กับผู้อ่านก็จะทราบข้อความนั้นเกือบจะพร้อม ๆ กัน ในเวลาใกล้เคียงกัน
    <O:p</O:p

    หรือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ท่านก็ทราบได้ว่า ข้อมูลที่ท่านกำลังรับการสื่อสารอยู่นี้ มาจากดาวอังคาร ผู้สื่อสารกับท่านคือ ท่านพาราซิลทัล ในบางครั้งท่านก็นั่งสมาธิเพื่อติดต่อ ในบางครั้งขณะที่ท่านสนทนาอยู่กับบุคคลอื่น ๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวภัยพิบัติ ข้อมูลส่งลงมาตอบคำถามในทันทีก็มี ซึ่งเป็นการรู้ว่าข้อมูลนี้มีแหล่งที่มาจากที่ใด
    <O:p</O:p

    หรือมีอีกมากมายทั้งในประเทศไทย หรือทั่วโลก ที่สามารถรับข้อมูลสื่อสารได้โดยตรง ซึ่ง ณ จุดนี้ ผู้ที่ได้รับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวในแบบที่ผ่านอุปกรณ์นั้น จะรับทราบว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งใด มนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อมาจากดาวชื่ออะไร จักรวาลไหน ผู้มาติดต่อชื่ออะไร เขาบอกอะไร เตือนอะไร

    ข้อมูลเหล่าผู้รับการสื่อสารส่วนมากจะรับรู้ได้ มีการบอกข้อมูล และทำให้เห็นว่าข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง ก็ต่อเมื่อสิ่งที่บอกไปได้ปรากฏขึ้นตามนั้น เป็นการสื่อสารแบบรู้ตัว มีแหล่งที่มาที่ไปของข้อมูล และบุคคลดังที่ได้กล่าวมานี้ มีกระจายอยู่ทั่วโลก ดังนั้น หนังสือของต่างประเทศเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหลาย ๆ เล่ม ก็จะมีเรื่องของชาวต่างชาติติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ในหลายบุคคล หลายกลุ่ม และรู้ชื่อดวงดาวที่มาติดต่อด้วย และบางครั้งก็มีหลักฐานภาพถ่าย UFO ไว้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่เคยได้ยินชื่อดาวดวงนั้น ด้วยซ้ำไป
    <O:p</O:p

    การสื่อสารผ่านอุปกรณ์นี้ ผู้ที่รู้ตัวว่าทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวก็จะรับรู้ได้ถึงอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานในแต่ละเหตุการณ์ เพราะระบบได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ไว้ในอายตนะทั้งหมด ดังนั้น ตาอาจจะมองเห็นภาพในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เห็นภาพมนุษย์ต่างดาวได้ขณะลืมตา เห็นได้ทั้งยานอวกาศที่บางคนอาจไม่เห็น มองเห็นความคิดคนอื่นได้ มองทะลุกำแพง มองเห็นอีกมิติได้ หูได้ยินเสียงพูด หรือเสียงอื่น ๆ ได้ จมูกได้กลิ่นต่าง ๆ หรือลิ้นสามารถรับรู้รสต่าง ๆ ได้ หรือกายเราสามารถสัมผัสพลังงานได้ ในร่างกายอาจมีพลังงานไฟฟ้ามากเกินก็ได้ พลังงานอื่น ๆ ที่มากเกิน น้อยเกินก็ได้ หรือขณะอ่อนเพลียอยู่ก็สดชื่นแข็งแรงฉับพลันได้ เพราะมีการเติมสารพลังงานเข้าไปทดแทนจึงสดชื่นแข็งแรงได้ฉับพลัน และร่างกายนี้สามารถเข้าออกมิติได้ หรือสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านทางร่างกายนี้ได้เช่นกัน

    นั่นขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์ต่างดาวต้องการจะสื่อสารเมื่อใด และการสื่อสารนั้นเพื่อประสานงานเรื่องอะไร กับใคร ก็จะส่งข้อมูลเป็นข้อความ ภาพ เสียง หรืออื่น ๆ เข้ามาทันที โดยไม่มีขีดจำกัดว่าต้องตอนไหน ขณะกำลังเดิน กำลังทานอาหาร กำลังสนทนากันอยู่ ได้ทั้งสิ้น

    ซึ่งพี่สุดใจ ก็อยู่ในกลุ่มที่ต้องรับข้อมูลเป็นข้อความโดยตรงตามนั้น โดยมิต้องไปตีความ หรือไปแปลความหมายอีก และนำข้อมูลเหล่านั้นออกสู่สาธารณะ ในการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  3. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    1.2 รับข้อมูลแบบไม่รู้ตัว

    ก็เป็นการรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบุคคลนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องของระบบ ไม่ได้รับรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาว แต่สนใจเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน 5,000 คนและระบบได้ติดตั้งอุปกรณ์ไว้ให้แล้วทางอายตนะเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถรับข้อความได้ในขณะที่มีสติ ลืมตา หรือดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ เช่นรับข้อมูลผ่านทางตา อาจมองเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือเห็นหน้าคนนี้ล่วงหน้ามาก่อนเจอจริง หรือมองหน้าแล้วรู้ว่าเขาคิดอะไร หรือสัมผัสพลังงานได้มีอาการขนลุก หรือหนาว หรือร้อน หรือได้ยินเสียงในขณะที่เรายังยืนเดินนั่งนอน มีสติอยู่ในปัจจุบันก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เกิดขึ้นในขณะดำเนินชีวิตประจำวันอยู่

    แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ บุคคลนั้นก็ไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ข้อความเหล่านี้มาจากไหน จึงคิดว่าเป็นเซ้นท์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นจิตวิญญาณอื่น ๆ บ้างแล้วแต่จะคิดไป ( ในที่นี้มุ่งหมายเฉพาะ 5,000 คน ที่ระบบได้วางตัวเพื่อทำงานเรื่องของภัยพิบัติไว้แล้ว จึงได้มีการติดตั้งอุปกรณ์พร้อมใช้กับบุคคลนั้น)

    <O:p</O:p
    ดังนั้น การที่บุคคลท่านนั้นรับรู้ในอนาคตบ้าง มองเห็นบ้าง หรือได้ยินเสียงบ้าง ก็คือการส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์เครื่องรับที่ต่อเชื่อมไว้ให้แล้วนั่นเอง ก็จะออกมาเป็นรูปแบบความคิด เห็นภาพนี้ แล้วคิดอย่างไร สิ่งที่คิดต่อจากการเห็นภาพ การได้ยินเสียงนั้น ก็คือความคิดที่ระบบส่งข้อมูลลงมาให้คิดเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ผู้ที่รับข้อความนั้นไม่ทราบ และไม่สามารถแยกได้ว่า ความคิดนี้มิใช่ของเรา ดังนั้นการทำตามสิ่งที่ตนเองคิด จึงเป็นเสมือนว่าเราคิดอย่างนี้ เราก็เลยทำอย่างนี้ อย่างเช่นคิดจะค้นคว้าเรื่องมนุษย์ต่างดาว คิดจะเขียนหนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาว คิดจะวิจัยเรื่องโลกร้อน เรื่องภัยพิบัติ คิดจะสร้างสถานที่เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ ค้นคว้าติดตามเรื่องสถานการณ์โลก ความรุนแรงเพื่อนำมาเตือนบุคคลอื่น ๆ หรือเรื่องต่าง ๆ มากมาย เมื่อคิดอย่างนี้ เขาก็ทำตามที่คิด ไปค้นคว้า ไปวิจัย ไปหาข้อมูลเขียนหนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไปรณรงค์เรื่องโลกร้อน เรื่องภัยพิบัติ เตรียมการ เตือนภัย และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำตามสิ่งที่ตนได้คิดออกมาเอง
    <O:p</O:p

    จึงมีการกระจายข่าว การรวมกลุ่มกันขึ้นมา ในหลาย ๆ จุด หลาย ๆ สถานที่ ที่ระบบได้วางไว้ ดังนั้นทุกคนทำงานโดยอิสระ ไม่ต้องรู้จักกัน แต่เมื่อถึงเวลา ต่างคนต่างคิด อยากจะมาที่นี่ อยากจะไปที่นั่น ก็จะไปพบเจอกันเอง และจะสนิทกันโดยเร็ว จะทำความคุ้นเคยกันง่ายมากกว่าทางโลกตามปกติ มีความไว้วางใจกันได้ง่ายทั้ง ๆที่เพิ่งเคยพบเจอกัน นั่นเพราะว่ามีการทำความคุ้นเคยไว้ให้ก่อนหน้านั้นแล้ว สังเกตได้ว่าจะมีหลายครั้ง เห็นหน้ากันแล้วเหมือนคุ้นเคย เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน เห็นคนนั้นก็คุ้น เห็นคนนี้ก็เหมือนเคยรู้จัก เป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง เพราะระบบบอกว่า ต้องมีการทำความคุ้นเคย ความไว้วางใจไว้ให้ก่อน ถ้าให้มาค่อย ๆ รู้จักกัน กว่าจะไว้ใจกันมันจะไม่ทันเวลา ซึ่งส่วนมากจะเป็นในแนวเรื่องของการตระหนักถึงภัยพิบัติทั้งสิ้น
    <O:p</O:p

    ดังนั้น บุคคลดังกล่าวมานี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ และมีการทำงานแบบไม่รู้ตัวว่าทำงาน มีการทำงานโดยไม่ได้มีการรู้จักกัน ทำงานเป็นอิสระ รับข้อมูลผ่านอุปกรณ์ในช่องทางความคิดแล้วทำไปโดยไม่ทราบว่ากำลังทำงานตามโครงการเรื่องภัยพิบัติของโลกใบนี้ เป็นเหมือนจิ๊กซอตัวหนึ่งที่ต้องนำมาประกอบกันตามโครงการ บุคคลนั้นจะรู้ตัวหรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ได้ทำงานถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งในกรณีนี้ มีเป็นจำนวนมากกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่ทำงานได้ถูกต้องตรงตามที่ได้มีการวางโครงการไว้แล้วซึ่งบุคคลที่กล่าวนี้ อาจจะไม่รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยก็ได้ แต่ก็จะมีเหตุการณ์แปลก ๆ เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ มีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และไม่สามารถหาคำตอบได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  4. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    2. การสื่อสารผ่านทางสมาธิ ทางฌาณ


    ในกรณีนี้ ก็คือผู้ที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หรือผู้ปฏิบัติธรรม ที่มีสมาธิจิตที่ละเอียดนั้น สามารถเชื่อมต่อกับคลื่นของมนุษย์ต่างดาวได้ ซึ่งมีมากมายที่ปฏิบัติสมาธิมานาน แล้วจู่ ๆ ก็มีการส่งคลื่นติดต่อมาจากต่างดาว ส่งมาเพื่อติดต่อกับมนุษย์โลกท่านนั้นด้วย มาให้เห็นในสมาธิ เป็นภาพ เป็นเสียง หรือพาไปดูภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น สัมผัสได้ในอายตนะเช่นร้อน เย็น หรือสัมผัสพลังงานบางอย่างได้ขณะติดต่อ มีการบอกกล่าวข้อมูลต่าง ๆ ผ่านช่องทางสมาธินั้น แต่เมื่ออกจากสมาธิแล้ว ก็ติดต่อรับข้อมูลไม่ได้ ดังนั้น ก็จะใช้ช่องทางสมาธิเป็นหลักในการติดต่อสื่อสารกับดวงดาวนั้น ๆ ในรูปแบบนี้ มีจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มุ่งเน้นในการปฏิบัติทางจิตเพื่อการปล่อยวางเป็นหลัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  5. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    3. สื่อข้อความลงมาในรูปแบบอื่น ๆ เช่นอยู่ในภวังค์ ในความฝันขณะหลับ หรือครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นต้น

    ลักษณะนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสาร เพราะมนุษย์ปกติจะมีการฝันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้น การที่จะฝันเรื่องใดขึ้นมานั้น มนุษย์ก็จะไม่ค่อยแปลกใจ ไม่ค่อยตกใจ และจะไม่ค่อยยึดมั่นถือมั่น ว่าจะเป็นจริงตามนั้นสักเท่าไร เพราะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น การผ่านข้อมูลมาทางความฝัน จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์คิดไม่ถึง และไม่คิดว่าจะมีใครสามารถมาคอลโทรลความฝันเราได้ มนุษย์จึงไม่ค่อยกลัว ไม่ค่อยแปลกใจ แม้จะฝันอะไรแปลก ๆ แต่ก็คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน และจะเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา

    - แต่สิ่งที่เป็นความแตกต่างของผู้ที่ฝันเป็นปกติ กับผู้ที่ฝันตามระบบนั้น ค่อนข้างแตกต่างกัน คือ
    การฝันปกติ ก็จะฝันเปลี่ยนไปเรื่อย ตามที่จิตใต้สำนึกของตนเองจะคิดนึกอะไร ก็ปั้นแต่งเป็นความฝันได้หมด แต่การฝันแบบระบบ จะเป็นการฝันที่เหมือนถูกคอลโทรลฝันนั้นให้เป็นเช่นนั้นอยู่เรื่อย ๆ ฝันเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ ฝันต่อเนื่อง ในความฝันจะมีความชัดเจน คม ลึก และจำได้แม่นยำแม้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น และความฝัน บางครั้ง ผู้ฝันก็จะรู้ว่าตัวเองกำลังฝัน ก็จะบอกให้ตัวเองตื่นจากฝัน เหมือนวิ่งหนีอะไรสักอย่าง แล้วจวนตัว ก็จะบอกว่าตื่นเสียทีเถอะ อย่างนี้เป็นต้น และสิ่งที่ฝันนั้น มีการปรากฏความถูกต้องตรงตามฝันนั้นอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้น ผู้ฝันก็จะมีอาการแบบ จะว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิง จะเชื่อก็ไม่ได้ เพราะเป็นแค่ความฝัน ดังนั้นการยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นจะเกิดจริงก็ไม่ได้ จะว่าไร้สาระก็ไม่เชิง เพราะปรากฏขึ้นจริงตามฝันหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องที่จะยึดก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่เชิง


    สิ่งเหล่านี้ ก็คือเป็นการฝึกซ้อมความฝันเรื่อยมาสำหรับผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ในสายฝัน อย่างที่คุณชยุตเรียกชื่อนี้นั้น กลุ่มบุคคลเช่นนี้ มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งการฝันนี้จะมีมานานแล้ว มีมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ผิดบ้าง ถูกบ้าง นั่นก็คือการทำความคุ้นเคยเรื่องของการฝัน จึงเป็นการเรียน การฝึกเรื่อยมา


    แต่เมื่อเข้าในระบบทำงานแล้ว ความฝันเหล่านั้น จะค่อนข้างชัดเจนขึ้น มีฝันแปลก ๆ มากขึ้น มีความฉลาดรู้เท่าทันความฝันได้มากขึ้น มีการไขปริศนา มีการถอดรหัส มีการรู้ล่วงหน้า ว่าฝันนี้มีปริศนา และสิ่งที่ตามมา ก็คือการฝันที่เฉลยปริศนาที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ เหมือนเล่มเกมส์ทายปริศนา ซึ่งคำเฉลยก็ย่อมมีอยู่แล้ว และก็จะถูกส่งตามมา และสิ่งหนึ่งที่เมื่อเข้าในระบบทำงานแล้ว ก็คือจะเริ่มพบเจอต่อเชื่อมกับความฝันเรื่องเดียวกันของบุคคลอื่น ๆ ที่มีการฝันเรื่องเดียวกันหลายคน แต่ฝันเป็นคนละช่วง ต้องนำมาต่อกันจึงจะมองเห็นภาพ ซึ่งข้อมูลจะเกี่ยวโยงต่อเนื่องกันตลอด เหมือนภาพหนึ่งจะมีจิ๊กซอกันคนละตัว แล้วมาต่อเชื่อมกันก็จะเป็นรูปภาพ ๆ นั้นขึ้นมา

    ดังนั้น หลาย ๆ ท่านอาจไม่เคยเจอกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ฝันถึงกัน เชื่อมโยงกัน หรือเหมือนกัน และสามารถนำมาต่อเชื่อมเรื่องเดียวกันได้ จะมีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
    <O:p</O:p

    ผู้ที่อยู่สายฝัน ส่วนมากจะมีเอกลักษณ์ประจำตัว จะเรียกว่ามีเซ้นท์ มีสัมผัสพิเศษในบางครั้งก็ย่อมได้ เพราะเมื่อพบเจอ หรือสัมผัสสิ่งใด ความรู้สึกจะไว และรู้ว่าสิ่งนี้ใช่ หรือสิ่งนี้ไม่ใช่เลยในทันที
    <O:p</O:p

    ดังนั้น เมื่อถึงเวลา การฝันก็ไม่ต้องมีการมาตีความอีก จะเป็นรหัสที่สามารถทราบได้เลย เช่นฝันเช่นนี้หมายถึงสิ่งนี้ ฝันเช่นนี้หมายถึงสิ่งนี้ และจะมีการฝันเห็นภาพเหตุการณ์เดียวกัน พร้อมกันหลาย ๆ คน เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน และสิ่งที่ฝันจะเกิดขึ้นจริงตามนั้นเป็นระยะ ๆ นั่นหมายความว่า เป็นการยืนยันการรับข้อมูลที่สามารถใช้งานจริง และจะเป็นแนวทางในการเตือน ในการเตรียมการ ในการนำพาบุคคลต่าง ๆ ไปยังสถานที่ปลอดภัย ตามที่ข้อมูลได้สื่อสารมาในเวลาวิกฤตินั้น ซึ่งทุกท่านก็จะมีความสำคัญในงานของแต่ละท่านเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  6. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    แต่ในขั้นตอนนี้ ในสายของด้านฝัน จะเป็นการฝึกซ้อม ถอดรหัส แปลความหมาย และเชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ แต่จะสังเกตได้ว่าเริ่มที่จะงวดเข้ามามากขึ้น เข้าใจได้เร็วขึ้น เพียงรอจิ๊กซอตัวต่อไปที่มาประกอบเข้าด้วยกันเท่านั้น ไม่มีการฝันสะเปะสะปะ ไม่มีการฝันที่ไม่มีความหมาย

    - แต่ทั้งหมดนี้ ผู้ที่ฝันผ่านอุปกรณ์ มิได้หมายความว่าต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าฝันนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดขึ้นจริงตามนั้น ก็เป็นเรื่องถูกต้องของงานที่ระบบต้องทำเอง นั่นคือเพื่อประโยชน์ท่านทั้งหลาย แต่ในส่วนของประโยชน์ตนนั้นต้องมีการปล่อยวางความฝันนั้นด้วย อย่าลืมว่า ความฝันก็คือความฝัน ต้องออกมาจากความยึดมั่นว่าเราฝันเอง อยากบอกอะไรก็บอกไป อยากฝันอะไรก็ฝันไป เราก็จะได้การปล่อยวางในขณะที่ทำงาน ก็คือ งานของเราเป็นงานด้านฝัน ดังนั้น การที่จะเห็นว่า ความฝันนั้นมันเป็นงาน ก็ต่อเมื่อเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ฝันนั้นเป็นของเรา ถ้าเกิดขึ้นจริงตามฝันเราก็ไม่ดีใจ เพราะงานเขามุ่งหมายอย่างนั้นอยู่แล้ว หรือไม่เกิดขึ้นจริงก็ไม่เสียใจ เพราะมันคือกลไกของการให้ประโยชน์ตนคือเห็นว่าความฝันไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราเป็นผู้ฝัน เพราะขันธ์ห้ายังไม่ใช่ของเรา แล้วความฝันจะเป็นของเราได้อย่างไร

    แต่ถึงเราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในฝันนั้น แต่ระบบก็ยังคงให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความฝันอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไป นั่นก็เพราะต้องเชื่อมต่อกับข้อมูลที่ผ่านมายังความฝันของบุคคลอื่น ๆ และต้องนำมาต่อเชื่อมเข้ากับความฝันของเราจึงจะไขปริศนาเรื่องราวต่าง ๆ ได้นั่นเอง

    ดังนั้น ส่วนหนึ่งของงานสายฝัน ก็เป็นการเอื้อต่อการปล่อยวางไปพร้อม ๆ กันด้วย อย่างเช่น

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    - ถ้าฝันว่าเมื่อวานนี้เราไปเที่ยวทะเลกับเพื่อน แต่เอาเงินไปไม่พอ เลยยืมเงินเพื่อนมา 2,000 บาท บอกว่าวันนี้เช้าเราจะเงินไปใช้เพื่อนที่บ้านของเขา แต่พอเราตื่นเช้าขึ้นมาแล้วรู้ว่า อ้อ...ฝันไป เราก็จะไม่ได้เอาเงิน 2,000 บาทไปคืนเพื่อนตามที่บอกในฝัน เพราะเรารู้ว่าเป็นฝัน การยึดมั่นว่าเป็นเรื่องจริงก็ย่อมไม่มี อุปาทานว่าเป็นตัวเราผู้ยืมก็ไม่มีตามไปด้วย

    <O:p</O:p
    ซึ่งหากเป็นการเห็นจากตาเนื้อ หรือรับข้อมูลโดยตรงแบบไม่รู้ตัว ก็มีโอกาสที่จะยึดว่าเราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะมีตัวตนของตนเป็นผู้คิด เป็นผู้เห็น และเป็นกระทำเอง โอกาสที่จะยึดว่ามีตัวเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้น ๆ ย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย

    ดังนั้น เมื่อมีตัวเราเป็นผู้กระทำ การที่จะออกจากขันธ์ห้าในขั้นรู้ว่าไม่มีตัวเรา ของเรา ก็จะยากขึ้นไปอีก ก็จะมีการสะสมในบุญกุศลเข้ามาสู่ตัวเรา ก็ต้องขึ้นไปเสวยผลบุญบนสวรรค์ บนวิมาน ตามแรงบุญที่สะสม แล้วก็ยังต้องลงมาเกิดกันอีก เพราะเมื่อยังมีตัวเราเป็นผู้ทำดี ทำชั่ว ก็ยังต้องเกิดกันร่ำไป


    หรือการรับรู้ผ่านทางสมาธิ ทางฌาณ หากรู้ไม่เท่าทันว่าเป็นเรื่องของงานที่ต้องรับข้อมูลเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสยึดมั่นว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเหล่านั้น อาจหลงไปว่าตัวเรามีฤทธิ์ มีเดช มีญาณพิเศษกว่าบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นการเพิ่มอัตตา ตัวตนให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นการสวนทางกับการปล่อยวางขันธ์ห้า ที่ผู้ปฏิบัติจิตขั้นละเอียดแล้ว จะไม่ยึดถือว่าสิ่งที่ได้มาเหล่านั้นเป็นของท่าน เพราะเป็นธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อไม่มีตัวใครของใคร ก็สามารถเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมหลั่งไหลเข้ามาให้ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเอง ไม่ใช่ฤทธิ์เดชใด ๆ


    ดังนั้น การที่ได้รับงานในรูปแบบการฝัน รับการสื่อสารผ่านความฝัน ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ระบบมุ่งหมายเพื่อแจ้งข่าวสารในช่วงวิกฤตการณ์นั้น แต่เป็นรูปแบบที่เอื้อให้มีการปล่อยวางมากกว่า 2 แบบแรกนั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p
    ( จบขั้นตอนแรก รับการสื่อสาร)
    </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ซึ่งหากเป็นการเห็นจากตาเนื้อ หรือรับข้อมูลโดยตรงแบบไม่รู้ตัว ก็มีโอกาสที่จะยึดว่าเราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะมีตัวตนของตนเป็นผู้คิด เป็นผู้เห็น และเป็นกระทำเอง โอกาสที่จะยึดว่ามีตัวเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้น ๆ ย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย

    ดังนั้น เมื่อมีตัวเราเป็นผู้กระทำ การที่จะออกจากขันธ์ห้าในขั้นรู้ว่าไม่มีตัวเรา ของเรา ก็จะยากขึ้นไปอีก ก็จะมีการสะสมในบุญกุศลเข้ามาสู่ตัวเรา ก็ต้องขึ้นไปเสวยผลบุญบนสวรรค์ บนวิมาน ตามแรงบุญที่สะสม แล้วก็ยังต้องลงมาเกิดกันอีก เพราะเมื่อยังมีตัวเราเป็นผู้ทำดี ทำชั่ว ก็ยังต้องเกิดกันร่ำไป


    หรือการรับรู้ผ่านทางสมาธิ ทางฌาณ หากรู้ไม่เท่าทันว่าเป็นเรื่องของงานที่ต้องรับข้อมูลเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสยึดมั่นว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเหล่านั้น อาจหลงไปว่าตัวเรามีฤทธิ์ มีเดช มีญาณพิเศษกว่าบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นการเพิ่มอัตตา ตัวตนให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นการสวนทางกับการปล่อยวางขันธ์ห้า ที่ผู้ปฏิบัติจิตขั้นละเอียดแล้ว จะไม่ยึดถือว่าสิ่งที่ได้มาเหล่านั้นเป็นของท่าน เพราะเป็นธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อไม่มีตัวใครของใคร ก็สามารถเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมหลั่งไหลเข้ามาให้ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเอง ไม่ใช่ฤทธิ์เดชใด ๆ


    ดังนั้น การที่ได้รับงานในรูปแบบการฝัน รับการสื่อสารผ่านความฝัน ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ระบบมุ่งหมายเพื่อแจ้งข่าวสารในช่วงวิกฤตการณ์นั้น แต่เป็นรูปแบบที่เอื้อให้มีการปล่อยวางมากกว่า 2 แบบแรกนั่นเอง

    <O:p
    อ๋อที่แท้มันเป็นเรื่องของงาน ต้องปล่อยวาง มีความรุ้สึกเหมือนคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยได้ยิน เพราะข้อความข้างบนนี้นั่นเอง ที่ทำให้ระลึกได้ถึงความฝันเมื่อคืนก่อน ที่มีคนเดินเข้ามาบอกว่า "อย่าไปยึดติด ให้ปล่อยวาง" ขอบคุณมากค่ะ จะปฏิบัติตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  8. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    หลายท่านที่ติดตามอ่านข้อมูล ของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จากกระทู้นี้มาโดยตลอดนั้น หลายท่านคงพอทราบแล้วว่า มนุษย์ต่างดาวมาโลกเราทำไม และความสงสัยที่ว่า ทำไมมนุษย์ต่างดาวต้องมาฝึกมนุษย์โลก เขาฝึกทำไม? ฝึกเพื่ออะไร ? นั้น ได้มีการแจ้งให้ทราบไปแล้วในค่อนข้างชัดเจนในกระทู้นี้ ว่า
    - มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์ ในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น
    <O:p</O:p
    - เตรียมการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก โดยมีการจัดวางผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับระบบไว้ทั่วโลกประมาณ 5,000 คน เพื่อรับข้อมูลและเทคโนโลยีจากต่างดาว เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

    - ฝึกกลุ่มบุคคลขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่แจ้งข่าวสาร ทำหน้าที่ประสานงานฯ และรับข้อมูลของการเตือนภัย แล้วแจ้งให้สาธารณชนได้รับทราบ
    <O:p</O:p
    มีหลายท่านให้ความสนใจรูปแบบการฝึกของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งคุณ no.9 ได้เล่าให้ฟังไปแล้วในบางส่วนนั้น พี่สุดใจ ก็ขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อยในส่วนของพี่สุดใจ ที่ได้รับประโยชน์จากการฝึกอย่างมาก ซึ่งหลายท่านที่ฝึกสติ ฝึกสมาธิมาแล้วหลายรูปแบบแล้วไม่ได้ผล จิตยังคงซัดส่ายไปมา อาจจะนำรูปแบบเหล่านี้ไปทดลองฝึกบ้างก็ได้ อาจจะถูกกับจริตของท่าน และเห็นผลได้ในเวลาอันรวดเร็ว
    <O:p</O:p
    การฝึกแยกข้อมูลนั้น จะถูกฝึกเดี่ยวของแต่ละคนที่ถนัดในด้านต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน บางคนสงบไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ข้อมูลก็ผ่านมาในความคิดท่ามกลางความสงบนั้น จะเด่นชัด แยกได้ง่าย หรือบางคนมีความฟุ้งซ่านเป็นพื้นฐาน ก็ต้องฝึกสติให้มาก เพื่อที่จะแยกข้อมูลเหล่านั้นออกจากความฟุ้งซ่านของตนเอง
    <O:p</O:p
    พี่สุดใจ อยู่ในส่วนของผู้ที่มีจิตชอบซัดส่ายไปนอกตัว มีแต่ความฟุ้งซ่านเป็นพื้นฐาน ก็คงต้องขอเล่า การฝึกแยกข้อมูลของพี่สุดใจเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน
    <O:p</O:p
    ผู้ฝึกท่านอื่นที่มีความสงบ มีการฝึกสติมาเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนมาฝึกแล้ว ก็สามารถแยกได้ง่าย แต่เพราะพี่สุดใจไม่เคยฝึกสติมาก่อน และมีพื้นฐานของความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวลอยู่เป็นทุนเดิม ชอบวิตกกังวลไปในอนาคตบ้าง คิดฟุ้งซ่านในเรื่องอดีตบ้างอยู่เป็นประจำ ดังนั้นการฝึกพื้นฐานเพื่อให้มีสติเห็นการเกิดขึ้นของความคิดที่ผ่านเข้ามานั้น และแยกให้ออกว่าเป็นสิ่งที่ถูกส่งเข้ามาจากที่อื่นนั้น ก็ค่อนข้างสาหัสสากรรฉ์ทีเดียว

    ดังนั้น ขั้นตอนแรกของการถูกฝึกทั้งกลุ่ม ก็คือการฝึกสติ ให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของ ความคิด ความรู้สึกเป็นพื้นฐานขั้นต้น ในตอนแรก ๆ ก็เหมือนเริ่มเรียนระบบกันใหม่พร้อม ๆ กัน ทุกคนที่มีหมายเลขต้องมาฝึกเหมือนกัน คือฝึกการปล่อยวางความคิด ฝึกเพื่อให้รู้เท่ามันความคิด จะมีสมาธิมาก สมาธิน้อย สติมาก สติน้อย ก็ต้องฝึกแบบเดียวกัน ก็คือฝึกเห็นความคิด ฝึกแยกความคิด เป็นหลัก
    <O:p</O:p
    การฝึกสติมีหลายรูปแบบ พี่สุดใจคงขอเล่าเท่าที่จำได้ก่อนนะคะ

    - นับจากหลังมาหน้า คือจาก 1200 หายใจ 1 ครั้ง นับ 1199 หายใจอีก 1 ครั้ง นับ 1198 ไปจน 0 ต้องมีสติจดจ่อกับตัวเลขอย่างมาก ไม่อย่างนั้นก็จะลืม ดังนั้นเรื่องอื่นที่เคยฟุ้งซ่าน พอความคิดดึงไปนึกถึงเรื่องอื่น ก็ต้องมีสติรีบดึงกลับมาที่การนับให้ไว ไม่อย่างนั้นลืมว่านับไปถึงไหน ช่วงนั้นถือว่ายื้อยุดฉุดกระชากกับความฟุ้งซ่าน ที่คอยแต่จะดึงไปคิดเรื่องอื่น สติก็ต้องดึงกลับมานับเลขต่อ ยื้อกันอยู่อย่างนี้ทั้งคืนจนนับเสร็จ ถึงเช้าพอดี
    <O:p</O:p
    การฝึกรูปแบบนี้จะง่ายสำหรับผู้ที่ฝึกสติมาก่อนแล้ว จะมีสมาธิในการนับไปเรื่อย ๆ แต่แม้ว่าจะค่อนข้างยากลำบากสำหรับผู้ที่ฟุ้งซ่านอยู่เป็นนิจก็ตาม แต่สิ่งที่ได้หลังจากนั้น ก็คือเห็นช่องทางที่จะหาหลักให้สติมีที่เกาะ ก็คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง จากสติที่เคยอ่อนแรงให้ความคิดพาไปโน่นไปนี่ตลอดเวลานั้น ก็เริ่มมีกำลังต้านทานกับความฟุ้งซ่านได้มากขึ้น มีสติวิ่งกลับมาได้เร็วขึ้น ความคิดที่จะหลอกล่อพาไปฟุ้งซ่านสารพัดเรื่องก็เกิดได้ยากขึ้น
    <O:p</O:p
    เหมือนคนที่ออกกำลังกาย วิ่งวันแรก 1 กิโลก็เหนื่อยแทบขาดใจ แต่ถ้ายังมีการออกกำลังกายต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ 1 กิโลก็กลายเป็นวิ่งสบาย และผลพลอยได้ก็คือร่างกายแข็งแรงตามไปด้วยนั่นเอง
    <O:p</O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  9. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    - อีกครั้งหนึ่งก็เป็นการฝึกสติ จากอิริยาบถ 4 คือ การยืน เดิน นั่ง นอน อันนี้มีกติกาว่า ให้เอาสติไปจับยังส่วนที่สัมผัสพื้นแล้วรับน้ำหนักมากที่สุด ให้เอาสติไปไว้ที่จุดนั้น สมมุติว่า กำลังยืนอยู่ สติต้องไปจับอยู่ที่เท้าเพราะเท้าจะรับน้ำหนักตัวติดกับพื้น เราจะรู้ว่าน้ำหนักรวมอยู่ตรงจุดนั้น ก็เอาไว้ที่เท้า เวลาเดิน ก็เอาน้ำหนักไว้ที่เท้าทั้ง 2 ข้าง เพื่อที่จะพูดคุย หรือเดินไปไหน ก็จะมีสติครึ่งหนึ่งอยู่ที่น้ำหนักเท้าที่กำลังก้าวไป หรือนั่งบนพื้น นั่งเก้าอี้ บริเวณก้นจะรับน้ำหนักมากที่สุด เราก็จะรู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่เพราะน้ำหนักอยู่ตรงนั้น ก็จับสติรู้ว่ากำลังนั่ง คุยไป และรู้ตัวว่ากำลังนั่งไป หรือแม้กระทั่งนอน บริเวณแผ่นหลังที่ติดพื้นก็จะรับน้ำหนักตัวมากที่สุด ก็จับสติตรงจุดนั้น นอนไปจับสติไป เพราะจับสติตามจุดต่าง ๆ ทั้ง 4 อิริยาบถเป็นประจำแล้ว เมื่อกระทบเรื่องอะไร ให้โกรธ ให้เสียใจ ให้วิตกกังวล สติมันจะวิ่งไปยังจุดที่รับน้ำหนักก่อน เพื่อตั้งหลักไม่ให้โกรธทันที หรือเสียใจทันที หรือกังวลทันที เมื่อสติวิ่งไปเกาะยังจุดนั้น ๆ แล้ว จึงจะมองเห็นความคิดว่า กำลังคิดสิ่งใดอยู่ กำลังมีอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในขณะนั้น เหมือนกับเป็นการสกัดการพุ่งออกไปกับความคิด และอารมณ์ในขณะนั้น เพราะมีสติยับยั้งมันไว้ในชั้นหนึ่งก่อนนั่นเอง
    <O:p</O:p
    สมมุติว่ากำลังยืนคุยกันอยู่ คนที่เราไม่ชอบเดินผ่านมา เมื่อเห็นความคิดโมโหก็ขึ้นทันที สติมันก็วิ่งลงไปที่เท้าที่กำลังยืนอยู่ทันทีเช่นกัน เราจะรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ ถ้าจะโมโหก็โมโหครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งอยู่กับสติที่เท้า หรือเมื่อสติวิ่งมาอยู่ที่เท้าแล้ว ก็เหมือนตั้งหลักดูว่ามันกำลังรู้สึกอะไร กำลังโกรธเขาอีกแล้ว เมื่อเห็นความคิดนั้นก็อาจหายโกรธไปเลย อยู่กับสติดีกว่า สงบกว่า สบายกว่า
    <O:p</O:p
    นี่เป็นการฝึกขั้นพื้นฐานของการเรียกสติให้ไปยังจุดที่กำหนดโดยไว ที่ระบบต้องเน้นให้ฝึกสติให้มาก ให้เร็ว และแม่นยำนั้น ในขั้นต้นก็คือ
    <O:p</O:p
    - การทำงานเรื่องของภัยพิบัตินั้น ย่อมมีความวุ่นวายในสถานการณ์รอบตัว ผู้ที่ถูกฝึกให้ทำงานเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติ จะไม่ได้มีเวลาที่จะหาที่สงบสำหรับนั่งสมาธิได้ เพราะต้องอยู่กับความวุ่นวายรอบตัวตลอดเวลา จึงต้องมีสติ ไปอยู่ยังจุดต่าง ๆ จึงจะมีความสงบในท่ามกลางความวุ่นวายได้ เพราะส่วนใหญ่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเป็นหลักอยู่ตลอดเวลา สติจึงต้องไปจับอยู่ตามการเคลื่อนไหวของร่างกายตามอิริยาบถต่าง ๆ นั่นเอง

    - เพื่อที่จะหาที่เกาะให้กับจิตที่ชอบแส่ส่ายออกไปนอกตัว คือ เมื่อไม่มีที่เกาะ ถ้ายืนอยู่ไม่เอาสติไปไว้ที่น้ำหนักส่วนเท้า ถ้านั่งอยู่ไม่เอาสติไปรับรู้น้ำหนักขณะนั่ง ความคิดมันก็จะวิ่งไปเรื่อย คิดเรื่องโน้น เรื่องนี้ คิดวิตกกังวล เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย ถ้าคิดเรื่องทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย ทั้ง ๆ ที่เรื่องยังไม่เกิด เพราะไม่หาที่เกาะให้สติมันอยู่ภายในกาย แต่ปล่อยให้มันออกไปอยู่นอกกาย ก็เลยมีโอกาสที่จะสุข จะทุกข์ได้เสมอเพราะความคิด แต่เราทำหลักไว้ให้สติเกาะแล้ว พอเจอเรื่องอะไร กระโดดไปจับยังอิริยาบถที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้นโดยทันที ไปอยู่ที่ขา ที่เท้า หรือจะกำมือ แบมือ ช่วยอีกแรงให้สติไปอยู่ยังจุดนั้นโดยเร็ว คือจับไว้ก่อน แล้วค่อยเอามาพิจารณา คือพอมีสติ ปัญญาก็จะเกิด คราวนี้ก็จะนำมาพิจารณาได้ว่า ควรโกรธดีไหม ? ควรกังวลดีไหม? ควรแก้ไขอย่างไร( ใครที่ฝึกสติแล้วมันคอยแต่จะฟุ้งซ่าน ความคิดลอยไปเรื่อย นั่งสมาธิแล้วมันไม่สงบ ลองทำวิธีนี้ดูได้นะคะ เพราะเป็นการฝึกสติในท่ายืน เดิน นั่ง นอน ซึ่งอิริยาบถ 4 นี้ เราต้องใช้ทั้งวันตั้งแต่ตื่นกระทั่งนอน ถ้าจับสติได้ก็ถือว่ามีสติตลอดเวลา)
    <O:p</O:p
    - เป็นพื้นฐานของการฝึกแยกข้อมูลในขั้นละเอียดต่อไป เพราะในตอนแรก ๆ พอความคิดเข้ามา พี่สุดใจก็จะรีบไปจับสติยังท่านั่ง หรือที่เท้าในท่ายืน เอาสติไปไว้ที่นั่น รู้ว่าฉันกำลังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ข้อมูลก็ยังคงส่งเข้ามาเป็นความคิดที่หนักแน่น ภายในตัวเราจึงมี 2 ส่วน ในขณะเดียวกัน คือส่วนหนึ่งรู้ว่าเรากำลังจับสติอยู่นะ ฉันอยู่ตรงนี้นะ แต่อีกส่วนหนึ่งข้อมูลผ่านความคิดที่ส่งเข้ามาแจ่มชัด แม้จะพยายามจับสติให้หนักขึ้นอีก ข้อมูลนั้นก็ยังคงแจ่มชัด หนักแน่นอยู่เช่นเดิม ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความซ้ำ ๆ วนไปวนมา และเราอยากจะเปลี่ยนคิดเรื่องอื่น ก็เปลี่ยนไม่ได้ ความคิดนั้นมีแรงมากกว่า

    ในตอนแรก ๆ ก็จะฝืนพยายามบังคับให้หยุดคิด แต่ความพยายามของเรามันเบาเหลือเกิน ความคิดที่เข้ามาดังมากกว่า เปรียบเสมือนเราเปิดลำโพงเครื่องขยายเสียง แต่ความคิดของเราเหมือนเสียงเราตะโกนเอง ดังสู้กันไม่ได้ สุดท้ายก็เลยหยุดคิด จับสตินิ่งอยู่ยังอิริยาบถนั้น แล้วให้ความคิดที่เป็นข้อความแปลก ๆ ผ่านเข้ามา เราจะเข้าใจว่าข้อความนั้นบอกเรื่องอะไร ถึงอยากคิดเป็นอย่างอื่นก็คิดไม่ได้ นึกไม่ออก จำได้แต่ข้อความที่ส่งเข้ามาเท่านั้น เหมือนสมองถูกล็อคไว้ให้จำแต่ข้อความนี้ ไม่ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  10. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    มีอยู่ครั้งหนึ่งหนักเหมือนกัน เพราะจู่ ๆ ก็มีเพลงเข้ามาในหัว เป็นเพลงลูกทุ่ง ของพุ่มพวงดวงจันทร์ ที่ร้องว่า หากพี่กลับมาซื้อผ้าตาตาฝากน้องบ้างเน้อ ..... อะไรทำนองนี้ พอเพลงขึ้นมาปุ๊บ พี่สุดใจก็โดดจับสติที่เท้าปั๊บเลยเพราะกำลังยืนอยู่ เพื่อยืนยันว่า เพลงนี้ฉันไม่ร้องแน่ เพราะไม่ชอบเพลงลูกทุ่งเท่าไร เพลงก็ยังดังไปเรื่อย เราก็อยู่กับสติไปเรื่อย เรียกว่าแยกกันอยู่ สติส่วนหนึ่ง เพลงอีกส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกัน แต่ที่ว่าหนักก็คือ เพลงไม่ยอมหยุด เราก็เลยลองร้องสวนกลับไปเป็นเพลงที่เราชอบบ้าง

    แต่ความคิดที่จะคิดให้เป็นเพลงที่เราจะร้องแทนเพลงนั้น มันเบามาก มันไม่มีแรงที่จะคิดเป็นเพลงได้ อย่างที่บอก เหมือนลำโพง กับเสียงตะโกน ยังไงก็สู้ลำโพงไม่ไหว เลยหยุดคิดเพลงนั้น ไปอยู่กับสติอย่างเดิม ฟังเพลงไปเรื่อย จบเพลงก็ขึ้นใหม่ จบเพลงก็ขึ้นใหม่อยู่อย่างนั้น ที่ว่าหนักก็คือดังอยู่ในหัวถึง 2 วันเต็ม ๆ มีเพลงเดียว ไม่เปลี่ยนเพลงเลย เหมือนเปิดเทปออโต้ยังไงยังงั้น ตีกลับไปกลับมา

    นั่นเป็นเรื่องแรก ๆ ที่เจอบทฝึก รำคาญก็ต้องดับทุกข์เอาเอง ตอนนั้นยังอุปาทานเต็มเปี่ยม ว่าตัวเรา เป็นของเรา ความคิดก็เป็นของเรา แล้วคนอื่นเอาไปใช้ได้ไง เลยเจอเสียงอมเลยช่วงนั้น ฟังไปเป็นร้อยรอบเลย ร้องได้สบายมากหลังจากนั้น แต่ก็ยังดียังมีที่ให้สติเกาะ ไม่งั้นคงรำคาญมากกว่านี้ แต่ก็เท่ากับบังคับให้อยู่กับสติไปในตัว แม้ตอนไปกินข้าว คุยกับคนอื่น ข้างในก็ยังเปิดเพลงไว้ตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ชัดที่สุดว่า สิ่งที่อยู่ในหัวเราไม่ใช่ของเราแน่นอน เพราะเขาล็อคข้อมูลมาในรูปของเพลง ก็เป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งที่เป็นระบบคลื่นพลังงานถูกส่งเข้ามา คงไปก๊อปปี้เพลงพุ่มพวงมาใช้ให้ฝึกในตอนนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อีกครั้ง เป็นเสียงพูดเข้ามาในหัว ในขณะที่เรานั่งอยู่คนเดียวในห้อง ว่ามีคนกำลังจะเข้ามา เป็นเสียงผู้หญิงแต่ก้อง ๆ เหมือนพูดในที่แคบ ๆ แล้วสะท้อนไปมา เราก็งง ๆ เงยหน้าขึ้น ก็ไม่เห็นมีใคร แต่สักอีกประมาณนาทีถัดมา ปรากฏว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาจริง ๆ

    และอีกครั้งเอกสารหายหาไม่เจอ ค้นกันทั่วห้องก็ไม่เจอ ก็มีเสียงเดิมก้อง ๆ ดังเข้ามาว่า อยู่ในหนังสือในชั้นวางหนังสือ เราก็เลยลองไปหาดู ก็เจอว่าพับใส่ไว้ในช่วงกลาง ๆ ของหนังสือ และเก็บไว้ในชั้นจริงๆ ซึ่งเดิมหนังสือเล่มนี้เอามาอ่านในห้อง คงจะหยิบเอกสารใส่ไว้ในหนังสือเล่มนั้น แล้วเอาไปเก็บในชั้นนั่นเอง

    มีอีกหลายเรื่องในช่วงนั้น ที่จะมีการบอกเป็นเสียงอยู่ในหัวเรา แม้แต่เงินหาย ไม่รู้หายไปไหน ก็บอกว่าอยู่ใต้โต๊ะ ก็ก้มไปควานหาก็เจอจริง ๆ เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 3 -4 วัน ก็หายไป และการได้ยินเสียงเช่นนี้ก็ไม่มีมาอีกเลย นั่นตั้งแต่ปี 2541 ก็นับ 10 ปีแล้ว
    <O:p</O:p
    ถ้าเราไม่รู้ว่ากำลังฝึก กำลังทำงานกับมนุษย์ต่างดาว และสิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อฝึกเท่านั้น เราก็ย่อมคิดไปเป็นอย่างอื่น เป็นเรื่องราวลึกลับปาฏิหาริย์แล้วแต่จะปรุงแต่งเป็นในรูปแบบใด เพราะสิ่งที่เป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ก็ทำเลียนแบบ ทำได้เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเช่นกัน แต่เมื่อเรารู้เราก็ไม่ไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยี และนำมาใช้งานได้เท่านั้น
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  11. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    อ้อ... แต่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันนี้ หาแผ่นไดร์เวอร์เครื่องคอมไม่เจอ ไม่รู้เอาไปไว้ตรงไหน บนโต๊ะก็มีแผ่นซีดีวางไว้ 10 กว่าแผ่น เขียนชื่อไว้หมดเก็บไว้ในซอง ก็หาดูทั้งหมดแล้วไม่มี ก็เลยเดินไปหายังกล่องที่ใส่ซีดีจำนวนมาก ค้นไปได้นิดเดียว ความรู้สึกก็บอกว่า อยู่บนโต๊ะ(อันนี้ไม่มีเสียง เป็นแค่ความรู้สึก) ก็เดินกลับมาที่โต๊ะเริ่มต้นหาใหม่ มาที่กองแผ่นซีดี 10 กว่าแผ่นกองเดิมนั้น เริ่มต้นหยิบมาอ่านทีละแผ่นอย่างละเอียด ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

    กลับไปยังกล่องเก็บซีดี ที่มีมากกว่า 100 แผ่นนั้นอีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นหา หยิบออกมาได้ 3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  12. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ซึ่งหลังจากที่เล่าในตอนต้นที่ผ่านมานั้นเป็นการฝึกในระยะแรก ต้องทำให้ชัดเจน ใช้ทั้งเสียง ทั้งภาพ ทั้งการคอลโทรลร่างกาย จะเดินไปซ้ายแต่ขาก้าวไปทางขวา อยากจะสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่เสียงที่ออกมาสั่งข้าวผัด อยากจะกินกาแฟเย็น พอสั่งกลับเป็นน้ำส้ม เป็นอย่างนี้มาตลอด เรียกว่าขัดใจทุกเรื่อง จนต้องปล่อยวาง เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง จนชินจะได้กินอะไรก็กิน จะได้นอนเมื่อไรก็นอน เลยกลายเป็นคนกินง่าย อยู่ง่ายไปโดยปริยาย
    ก็เป็นฐานอย่างหนึ่งของการปล่อยวางจากการยึดว่าเป็นตัวเรา ของเรา เพราะการออกจากขันธ์ห้าทางธรรมะก็ต้องหมั่นพิจารณาว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ความคิดนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ไม่ใช่ของเรา สัญญานี้ไม่ใช่ของเรา ก็เพื่อละวางจากอุปาทานว่าเป็นตัวเราของเราเช่นเดียวกัน

    แต่พอระบบเอาขันธ์ห้าไปเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติโดยติดตั้งอุปกรณ์เพื่อรับข้อมูลข่าวสารในการช่วยเหลือ และเราบังคับบัญชาไม่ได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการช่วยให้เราพิจารณาได้ง่ายขึ้นว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่อีก ความคิดก็ยังไม่ใช่อีก ความจำก็ยังไม่ใช่อีก เพราะบางครั้งจำแม่นมาก บางครั้งความจำหายไปอยู่แบบว่าง ๆ แต่พอมีงานต้องทำความจำก็จะใหลเข้ามาเอง จึงเห็นว่าไม่ใช่ของเราอีกเช่นกันเพราะมีการนำมาเพิ่มให้ หรือเอาออกไปเก็บไว้ก่อน เพราะเยอะมากมันเกะกะ จะใช้จึงจะใส่เข้ามาเฉพาะเรื่องนั้น
    <O:p</O:p
    ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อให้เห็นว่า มีการพัฒนาจากการคอลโทรลโดยระบบจากหยาบ มาละเอียดนั้น ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และต้องใช้การฝึกที่เข้มข้น จริงจัง จึงต้องฝึกกันเป็นกลุ่ม มีพยานรู้เห็น และแต่ละคนก็จะมีการฝึกแต่ละรูปแบบตามที่แต่ละคนถนัด จึงมีการฝึกทั้งธรรมะในขั้นการปล่อยวาง ละอุปาทานขันธ์ห้าด้วย และฝึกรับข้อมูล แยกข้อมูล เรียนรู้อุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาวควบคู่กันไปด้วย
    <O:p</O:p
    ที่เล่ามาค่อนข้างยาว และละเอียดทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้เข้าใจ และรับรู้ว่า การที่มนุษย์ต่างดาวมาฝึกมนุษย์โลกที่มีกิเลสเยอะอย่างเช่นพี่สุดใจ หรือผู้ฝึกท่านอื่น ๆ นั้น ซึ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเราอย่างมากนั้น กว่าที่จะพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง บรรเทาเบาบางจากความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของตนนั้น ต้องเคี่ยวเข็ญกันอย่างยิ่งยวด ซึ่งผู้สอนต้องอธิบาย พร้อมทั้งต้องนำอุปกรณ์เทคโนโลยีมาช่วยในการฝึกหลายหลายรูปแบบทีเดียว กว่าจะถึงวันนี้ได้ น่าเหนื่อยแทนท่านผู้สอนจริงๆ
    <O:p</O:p
    จากวันนั้น กว่าจะถึง ซึ่งวันนี้
    ทุกชีวีพลีเพื่อถึง ..... ซึ่งจุดหมาย
    ต้องลดละ ความสนุก สุขเพียงกาย
    สู่จุดหมาย.... เป็นพุทธะ.....พระนิพพาน
    หลักที่พึ่งคือพระธรรม...คำสั่งสอน
    ประนมกรสักการะ อธิษฐาน
    จะสานต่อพระธรรมไว้ ให้ยืนนาน
    นี่คืองาน....ของกลุ่มเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2008
  13. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    พี่สุดใจเล่าค่อนข้างยาวไปสักนิด ในส่วนของอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลของต่างดาว ที่นำมาช่วยในการฝึกให้ ลด ละ เลิก จากการยึดมั่นถือมั่นจากอุปาทานขันธ์ห้า และที่เล่ามานี้ เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่พี่สุดใจ และผู้ฝึกพบเจอมา

    ยังมีเทคโนโลยีจากต่างดาวอีกมากที่ได้นำมาให้บุคคลอื่น ๆ ได้เห็นมาแล้ว ไม่ว่าเป็นการ coppy ตัวเราไปยังจุดอื่น ๆ การย้ายมวลสาร จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การสร้างภาพลวงตา การปรากฏร่างของมนุษย์ต่างดาว ให้มนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ หรือกำลังมองดูดาวที่เต็มท้องฟ้า แล้วหายไปพร้อมกันในพริบตา และอีกมากมายหลายตัวอย่างที่มีผู้พบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยตนเอง เป็นจำนวนหลายท่าน

    ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วในทุกเรื่อง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นแล้ว จึงมีทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลที่จะอ้างถึง ซึ่งคงต้องขอไว้เป็นโอกาสหน้า พี่สุดใจจะนำมาเล่าให้ฟัง หากยังมีท่านที่สนใจจะรับฟังต่อไปอีก

    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  14. ukrin

    ukrin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +1,463
    ช่วง..พักโฆษณา.. "เล่นกับเลข" อุดร จารุรัตน์ เขียน หนังสือต่วย 'ตูน พิเศษ
    เมื่อเอาเลขจำนวนใดก็ได้ (สองหลักขึ้นไป) มาสลับลำดับหน้าหลัง แล้วบวกเข้าด้วยกัน บางทีแค่หนเดียวก็จะได้เลขที่เรียกว่า "ผลบวกพาลินโดรมิก (palindromicsum) ออกมา
    เช่น 38+83=121 เลข 121 ก็คือ พาลินโดรมิก เพราะอ่านจากทางซ้ายหรือขวาก็มีค่าเท่ากัน
    แต่บางทีบวกหนแรกยังไม่ได้ก็ต้องเอาผลลัพธ์มาสลับ
    หน้า-หลังแล้วบวกเข้าไปอีกก็จะได้พาลินโดรมิกออกมา เช่น
    139บวก931 เท่ากับ 1070 บวก0701 เท่ากับ 1771
    หากทว่าเลขบางตัวกว่าจะได้พาลินโดรมิกก็ต้องบวกกันหลายขั้นตอนจนเมื่อย อย่างเช่น เลข 89 คุณจะต้องบวกสลับไปมาถึง 24 ขั้น จึงจะได้พาลินโดรมิก คือ 8,813,200,023,188
    ยิ่งไปกว่านั้น เลขบางตัวให้บวกกันแทบล้มแทบตายก็ใช่ว่าจะโผล่โฉมหน้าพาลินโดรมิกออกมาให้เห็น บอริส เอ.คอร์เด็มสกี้ บอกว่าตัวเลข 196 นั้นเคยถูกป้อนเข้าเครื่องคอมให้คำนวณหลายพันเสต็ป บัดนี้ก็ยังไม่ได้พาลินโดรมิกเลยแหละ
    ถ้าอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็ลองเอาเลขตัวใดตัวหนึ่งมาหาพาลินโดรมิกแก้เซ็งก็ได้ เผื่อมีโอกาสร้อง "ยูเรก้า" หยั่งอาร์คิมิดิสไง ***: bat:
     
  15. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อันนี้ถ้าคิดไปคิดมา กลายเป็นสมาธิ ระงับการฟุ้งซ่านได้เหมือนกัน พอพูดถึงตัวเลข 2 คืนก่อน เขาบอกว่า 3 มันจะเหลือ 1 ตอนฝันก็เข้าใจในความหมายดี เพราะพยักหน้ารับอยู่ พอตื่น ก็งง 3 มันจะเหลือหรือกลายเป็น 1 ได้อย่างไร แต่ก็รู้เดี๋ยวต้องฝันต่อ แต่ถัดมาอีก 1 คืน เราไม่ได้นอนกลับ ตี 4 แต่พอเมื่อคืนนี้ก็รู้เดี๋ยวต้องฝันต่ออีก พอหลับตา แสงแว้บ ๆ นั้นมาเหมือนเดิม เหมือนการรับคลื่นอะไร ก็ลืมตาคราวนี้แน่ใจ หลับต่อเลย ก็ฝันเห็นคนเดิมน่ะแหละเข้ามาบอกว่า 3 มันเอาออก 2 ก็เหลือ 1 คำนี้มันก็วนไปวนมา พร้อมเหตุการณ์ต่าง ๆ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็คิดว่า ไอ้ที 3 ให้เอาออก 2 เหลือ 1 น่ะ มันแปลว่า เราต้องหัดแยกสติสัมปชัญญะ ว่าอะไรคือข้อมูลที่แท้จริง ประมาณที่เห็น 3 ส่วนน่ะ ของจริงคือส่วนเดียวเท่านั้น คราวนี้มันก็จะจำได้แต่ไอ้ส่วนเดียวนี้ ส่วนอื่นไม่ให้จำเลย แต่ชอบนะฝันทีไรผู้ชายคนนี้ยิ้มให้ทุกที ใจดีจัง
     
  16. ปุ้ย อุตรดิตถ์

    ปุ้ย อุตรดิตถ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    คืออะไร?

    เมื่อ 10-15 ปี่ก่อนตอนผมเป็นเด็กอยู่ได้เห็นดวงไฟประหลาดแถวบ้านที่อุตรดิตถ์ขึ้นเหนือยอดเขาสูงกว่าภูเขาที่มองจากระยะไกลประมาณ 300 เมตรผมเคยเห็นสองครั้งคร้งแรกเป็นสีแดง ส่วนครั้งที่สองเป็นสีเขียวมันมีลักษณะเป็นทรงกลมเท่าเหรียณบาทเลยนะเมือมองจากระยะไกลประมาณสัก 15-20 กม. ในความคิดผมคิดว่าไม่ใช่โคมไฟแน่นอน ถ้าเป็นโคมไฟเมื่อโดนลมก็ต้องโอนเอนบ้างแต่ไม่กระดิกเลย มิหนำซ้ำยังขึ้นในป่าทึบอีกคิดว่าถ้าเป็นโคมขนาดนั้นต้องเป็นโคมทีมีขนาดใหญ่สัก 30 เมตรเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ยังไม่ใครทำหรอก แต่ยายบอกว่ามันเป็นดวงแก้วของเจ้าป่าเจ้าเขาอะไรประมาณนั้น
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    รอคุณสุดใจโพสอีก ชอบ เพราะจินตวดีประเภทฟุ้งซ่าน เป็นลิงอยู่ร่ำไป ลองเอาสติไปตั้งที่ร่างกาย ใช้ได้ดี พอโมโหที เท้าเราติดพื้นใช่ไหมเลยไปกำหนดที่เท้าเลย (อันนี้คือกายานุสติปัฐฐานใช่ไหม) เออ มันลดลงได้ เพราะมันไปคิดแต่ที่เท้าเลยลดไป แล้วก็ควบคุมได้ ชอบมากติดใจ เพราะทำงานบริการมันเลยเครียดบ่อย จินตวดีเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไม่เคยเห็นหรอก แต่เชื่อเพราะนั่นก็คือจิตวิญญาณแต่ต่างมิติเท่านั้น เชื่อว่าทุกจักรวาล ทุกนพเคราะห์ก็คือที่เดียวกัน เพียงแต่ต่างมิติ ต่างคลื่นความถี่เท่านั้น จินตวดีฝึกฝนขยายสติสัมปชัญญะในความฝันตามแนวทางโนวาอนาลัยห้องข้าง ๆคุณสุดใจ จินตวยดีเลยได้ประโยชน์ เพราะได้เรียนรู้ความหมายของจิตวิญญาณ และความสามารถที่จิตวิญญาณสามารถมีได้ เป็นได้ เสมอเหมือนตามต้นกำเนิด ไม่รู้ได้ติดอุปกรณ์ และ จะเป็น 1 ใน 5000 คน กับเขาด้วยหรือเปล่า ถึงไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะชอบแนวทางของคุณที่เล่ามาก แต่ก็ฝันอย่างที่คุณสุดใจโพสข้างบน ตอนหลังแค่หลับตานั่งนึกอะไรเท่านั้น ภาพมันผ่านแว้บ ไปเลย แต่มันไปเร็วมาก ตามไม่ทัน ส่วนใหญ่เป็นข้อความ รูปต่าง อันนี้ได้เรียนมาจากโนวาอนาลัยห้องข้าง ๆแล้ว

    ก่อนหน้าที่จะฝันซ้ำ ๆกันนี้ ผู้ชายที่ฝันเห็นบ่อย ๆ เคยมาบอกว่า เราตรวจดูพลังของท่านแล้ว พลังของท่านนั้นยังเป็นรอง แต่ท่านก็มีพลังตัวตนอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าครอบคลุมอยู่ ดังนั้น เราต้องการท่าน ท่านคือคนที่เราค้นหา หลังจากนั้น เลข รูป ภาพ มาเป็นฃุดเลย โฃคดีที่ได้เรียนรู้อย่างที่บอกไว้ เลยพอแยกได้ว่าอะไรคือข้อมูลต่างมิติ อะไรคือภาวะจิต

    สงสัยเราคงแค่มาแจมมั้ง แต่ชอบนะเล่าให้ใครฟัง เขาไม่เชื่อ ไปๆ มาๆ เขาว่าเราเพี้ยน สติแตกไปเสียอีก แต่เราว่าไม่ใช่นะ แต่ก็ขอบคุณสำหรับความใส่ใจเหล่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  18. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ขอบคุณนะคะ ที่ได้ให้ความสนใจติดตามอ่านข้อมูลมาตลอด และหากสิ่งใดที่ได้มีการกล่าวไว้ ณ กระทู้นี้ สามารถเป็นประโยชน์กับท่านได้ พี่สุดใจก็ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

    ได้ติดตามอ่านข้อมูลความฝันของคุณ JINTAWADEE ในส่วนที่ได้มีการนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้รับฟังแล้วนั้น นับว่าน่าสนใจมากทีเดียว และเรื่องราวทั้งหลายนั้นมีการเชื่อมโยง ต่อเนื่องกับอีกหลาย ๆ คน และจะมีคำอธิบาย ขยายความ และคำเฉลยตามมาเสมอ ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความฝันท่านหนึ่งเลยทีเดียว

    คุณ JINTAWADEE อาจเป็นบุคคลที่ต้องทำงานเฉพาะกิจแบบเอกเทศ เป็นอิสระ รับข้อมูลตรงจากแหล่งข้อมูลที่สื่อสารลงมา อาจไม่ได้ขึ้นกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ก็เป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งของการต่อเชื่อมจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ประกอบกันเป็นเรื่องราว เป็นสิ่งที่ยืนยันเชื่อมโยงกับเรื่องการฝันของบุคคลอื่นๆ ดังนั้น การรับข้อมูลจึงมีการผสมผสานกันหลายรูปแบบ ทั้งเวลาที่ลืมตาตื่น มีสติ ก็รับข้อมูลนั้นได้ ทั้งข้อมูล ทั้งภาพ ทั้งเสียง หรือแม้ขณะหลับ ก็จะมีการสื่อสารผ่านความฝันเข้ามา ซึ่งจะต่อเนื่องในเรื่องเดียวกันเสมอ ๆ เหมือนภาพยนตร์เรื่องเดียว แต่มีหลายฉาก หลายตอน ฉายสลับไปสลับมา แล้วฉากเดิมที่ยังค้างคาไว้ ก็จะถูกนำกลับมาฉายใหม่ ต่อเนื่องเรื่องราวจากฉากเดิม จนได้คำเฉลยสิ่งที่สงสัย จึงจะเปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่มาแทน เรียกว่าเรื่องเดียวกัน ฉายให้ดูหลายวันทีเดียว

    จะเป็นเช่นนี้มาตลอดนานแล้ว แม้กระทั่งข้อมูลที่ผ่านมาทางความฝันนั้น ไม่ว่าคุณจะได้รับการสื่อสารมาจากที่ไหน ก็เป็นข้อมูลเดียวกัน หรือคล้ายกันเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องของภาพเหตุการณ์ผ่านความฝัน เรื่องของการตีความ เรื่องของการถอดรหัส ล้วนเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของภัยพิบัติทั้งสิ้น

    นี่คืองานที่ทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เรียกว่าประโยชน์ท่าน เพราะเมื่อถึงเวลานั้น เพราะในช่วงวิกฤตินั้น คุณก็จะเป็นตัวจักรสำคัญในงานช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติยังจุดต่าง ๆ ตามหน้าที่ ตามงาน ตามความเชี่ยวชาญที่ได้เคยผ่านมาแล้ว จะในรูปแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการวางหน้าที่ของคุณไว้ตามงาน ในโครงการที่คุณได้รับการสื่อสารลงมา

    ส่วนประโยชน์ตน นั่นคือ การปล่อยวาง การไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในข้อมูลความฝันที่เป็นงานของเขาส่งเข้ามา นั่นเป็นการถูกต้องแล้ว เพราะหากเราไปรับผิดชอบ หากเกิดจริงตามฝัน เราก็ปลื้ม จิตก็ฟู หากไม่เกิดขึ้นจริงก็จะถูกเขาต่อว่า เราก็หดหู่ จิตก็เศร้าหมอง จิตจึงมีการขึ้นลงตามสถานการณ์รอบนอกเสมอ หากเราไม่ยึดมั่นในงานนั้น ให้เราฝันแบบถูกตรงก็แล้วไป ไม่ถูกตรงก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะเรามิใช่ผู้ที่จะกำหนดฝันนั้น จึงไม่ใช่หน้าที่เรา ที่ต้องไปดีใจเสียใจ กับสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนทำ เมื่อละการยึดมั่นถือมั่นได้มากเท่าไร ความเบาสบายก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นี่คือกลไกของธรรมชาติ

    ดังนั้น จึงเป็นรูปแบบของการฝึกให้ปล่อยวาง ให้เห็นความว่างจากความเป็นตัวตนของตน เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของงาน ในด้านของความฝัน สังเกตได้ว่า แม้จะมีการฝันเรื่องราวมากมาย แต่ในความฝันบางช่วง บางขณะจะมีการให้ธรรมะสอดแทรกไว้เสมอ มีการเตือนสติให้ปล่อยวางแทรกมาเป็นระยะ ๆ ในความฝันนั้น

    เมื่อมีการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นได้ในระดับหนึ่งแล้ว จิตก็จะไม่หวั่นไหวในสิ่งที่มากระทบรอบด้าน ไม่หวั่นไหวในคำครหานินทาต่าง ๆ ซึ่งย่อมมีตามมาจากความไม่เชื่อของคนส่วนมากอยู่แล้ว เพราะยิ่งนับวัน คนที่คิดว่าเราเพี้ยนนั้นก็จะมีมากขึ้น หากเรายังมีการหวั่นไหว ขึ้นลงไปตามเหตุปัจจัยภายนอก จิตก็จะไม่มีวันสงบได้เลย

    และเมื่อมีการทดสอบ ทดลอง จนเห็นว่ามีการปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง ข้อมูลที่ผ่านมาในความฝันขั้นต่อ ๆ ไป ก็จะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างแม่นยำ และเป็นจริงตามนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่น ต้องหลังจากได้มีการฝึกปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความฝัน จนผ่านการทดสอบได้ในระดับหนึ่งแล้ว เพราะไม่อย่างนั้น หากมีความแม่นยำในขณะนี้ ขณะที่ยังมียึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็จะมีโอกาสเพิ่มกิเลส เพิ่มตัวตน เพิ่มความยึดมั่นว่าเราฝันแม่นมากขึ้นไปอีก ประโยชน์ตนที่จะเห็นความว่าง ปล่อยวางตัวตนก็จะช้าลงไปอีกนั่นเอง

    ขออนุโมทนากับคุณ JINTAWADEE ด้วยนะคะ แม้จะต่างรูปแบบ ต่างงาน ต่างสถานที่ แต่ก็มีจุดหมายเดียวกัน คือเรื่องของภัยพิบัตินั่นเอง<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2008
  19. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    ผมว่ากระทู้นี้และงานของกลุ่มเขากะลาเป็นประโยชน์อย่างมากครับ ถึงมนุษย์ต่างดาวและภัยพิบัติจะมีจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยผมอ่านแล้วก็ได้เปิดโลกทัศน์รับรู้อะไรในมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้และได้เรียนรู้วิธีเจริญสติสมาธิแบบใหม่ๆด้วยครับ

    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลและประสบการณ์ที่นำมาแชร์....ผมจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปเรื่อยๆครับ
     
  20. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้เกิดประโยชน์ และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับท่าน ได้นำไปพิจารณาเทียบเคียงกับธรรมะที่ปฏิบัติกันในอยู่ในปัจจุบัน หรือหากนำมาผสมผสานกันแล้วทำให้เข้าใจได้โดยง่าย มีความทุกข์น้อยลง มีการยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีการปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาตินั้น ๆ

    พี่สุดใจคิดว่า หากมีการนำมาพิจารณาประกอบกันแล้วเกิดความเข้าใจ ปฏิบัติแล้วได้ผล โดยวัดจากความทุกข์ที่น้อยลงตามไปด้วย การปล่อยวางที่มีเพิ่มมากขึ้นนั้น นั่นหมายความว่าการฝึกสติ สมาธิแบบนี้อาจจะถูกกับจริตของท่านก็ได้

    ขออย่าได้ไปยึดติด หรือจำกัดรูปแบบ ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น เพราะถ้าลองดูในสมัยพุทธกาล ที่พระภิกษุรูปหนึ่งท่านจำบทสวดมนต์ไม่ได้ จึงคิดว่าชาตินี้คงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ท่านจึงท้อใจจะลาสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้ และได้ให้ภิกษุองค์นั้น นั่งถูผ้าเช็ดหน้าสีขาวพร้อมกับภาวนาคำหนึ่งไปด้วย และเมื่อนั่งถูผ้าไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสกปรก เริ่มดำ ท่านเห็นดังนั้น จึงพิจารณาผ้าผืนนั้น และบรรลุธรรมในขณะนั้นเลย นั่นแสดงว่า รูปแบบการพิจารณาเช่นนั้น ถูกต้องตรงกับจริตของพระภิกษุองค์นั้น นั่นเอง

    ดังนั้น การเจริญสติ การทำสมาธิ จึงมีหลากหลายวิธี นั่นก็เพื่อที่ใครถูกจริตกับวิธีไหน ทำแล้วมีความสงบ มีความเข้าใจก็ให้เลือกทำแบบนั้น

    มนุษย์ต่างดาว ที่กำหนดรูปแบบการฝึกนั้น แม้จะเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างแปลกไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้แปลกแตกต่างจากการปฏิบัติธรรมะเลย สอนแค่ในขันธ์ห้าเท่านั้น ให้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และออกจากขันธ์ห้าที่ยึดติดกันอยู่ ส่วนที่เหลือ ก็เป็นงานการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามกฏของธรรมชาตินั่นเอง

    เพราะมนุษย์ คิด เห็น เชื่อ ตามสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะนำมาใช้กับทางจิตมันยังไม่ถึง ดังนั้นผู้ที่มีความเจริญทางจิตในขั้นสูง ท่านสามารถรู้เห็น ทำในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้อีกมากมาย วิทยาศาสตร์ยังต้องตามรู้ไป ยังห่างไกลกันนัก

    1 + 1 = 2 จริงหรือ ?

    เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า มีสิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมีอีกมากในธรรมชาติ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่คิดคำนวณ

    ครั้งหนึ่งสอนโดยนำทราย 2 กอง มาวางไว้ข้าง ๆ กัน แล้วให้บวกทรายกองหนึ่ง เข้ากับทรายอีกกองหนึ่ง

    1 + 1 = 1

    เพราะเมื่อนำมารวมกันเราก็จะได้ทราย 1 กองเท่านั้น
    ผู้ที่เดินผ่านมาเห็นก็จะเห็นเพียงทรายกองใหญ่ 1 กอง เขาก็จะนับเป็น 1 และเมื่อมีอีก 1 กองมาวางไว้ข้าง ๆ เขาก็จะเริ่มเอามาบวกกันอีก 1 + 1 ก็จะกลายเป็น 1 อีก โดยกองใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

    มันจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่วิทยาศาสตร์คิดคำนวณ มันอยู่ที่เหตุปัจจัยต่างหาก

    ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ 3 ประโยค และเป็นแนวทางการฝึกเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ก็ยังคงทันสมัยเสมอในปัจจุบันนี้ ก็คือ

    เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

    อะไรก็เกิดขึ้นได้

    อย่าตีกรอบ

    ........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...