คลีนิคธรรมะ โดย"หมอคลิก"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 5 มิถุนายน 2007.

  1. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,069
    ค่าพลัง:
    +13,915
    ขอบพระคุณครับ

    ขอบพระคุณครับ ที่คอยเตือนให้คิดถึง ระลึกถึง [b-wai][b-wai][b-wai]
     
  2. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    อ่านบทความของพี่คลิกได้ความรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น
     
  3. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    หายใจเข้า ก็รู้ว่าเข้า
    หายใจออก ก็รู้ว่าออก

    พี่คลิกบอกมาดูเหมือนจะง่าย แต่ด้วยความเลวของเรา ยังติดๆ หลุดๆ อยู่เลย
    ขอบคุณที่ช่วยย้ำอีกทีเจ้าค่ะ ^/|\^
     
  4. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    สาธุ ... ตรงใจเลยครับ ติดแหง่กอยู่แถวๆนี้แหละ
     
  5. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ตอนเข้าห้องผ่าตัด พอถูกฉีดยาชา หลุดลืมกำหนดลมหายใจ เพราะไปพะวงกับการฉีดยาชา พลาดจนได้ มันก็เจ็บซิครับ อิๆๆ
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ใช่ๆ..
    ตอนเจ็บนี่ล่ะ มักจะลืมหมด
    ความกลัวอีกอย่างจิตตกหมด
    กระทู้นี้ยกให้พี่คลิกเป็นที่ปรึกษาทางจิตนะครับ
    พวกเราเป็นเหมือนคนไข้ มาหาหมอที่คลีนิก
    มาให้พี่คลิกจับฉีดยาซะดีๆ อิอิอิ
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เป็นโอกาสอันดียิ่งของพวกเราที่พี่คลิกมาช่วยสอน ช่วยแนะนำในการปฏิบัติครับ สาธุ.
     
  8. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    เคยไปธุดงค์ที่วัดท่าซุงครับ ช่วงนั้นจิตเป็นฌาณดีมาก ไปกราบที่มณฑปหลวงปู่ปาน บอกท่านว่าอยากฝึกกสิน ก็ปรากฏเป็นดวงสว่างมาต่อหน้า ก้มกราบหลวงปู่บอกหลานจะรักษาเท่าชีวิต สามารถทรงนิมิตรได้ตลอดเวลาที่อยู่วัด พอกลับบ้านจิตไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์อื่น นิมิตที่หลวงปู่ให้ไม่สามารถรักษาได้อีก จากนั้นมืดสนิท ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ดี คิดว่าเป็นเพราะไม่รักษา สัจจะ ที่ให้ไว้กับหลวงปู่ปาน

    มาเล่าความเลวของจิตให้ฟังครับ ...
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    หัวชื่อกระทู้เปลี๊ยนไป๋....นึกว่ากระทู้ใหม่ 555+[​IMG]
     
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ตั้งแต่เกาะติดลมหายใจเข้า-ออก ด้วยพุทโธ ช่วง3-4 วันมานี้
    ทำให้ฝันเห็นครูบาอาจารย์ เมื่อคืน ฝันถึงหลวงปู่พุทธะอิสระ
    มาหาที่บ้าน ผมได้ถวายยาอม ที่ท่านชื่นชอบ และได้
    ติดตามท่านอย่างใกล้ชิด มีความสุขมากๆ

    อานิสงค์ของการเดินลมหายใจรู้อยู่ตลอดเวลา
    น่าจะให้ผลดีได้มากกว่านี้หลายเท่า ผมว่านะ

    อย่าลืม จับลมหายใจ ตามที่อาจารย์หมอคลิก ว่า
    ทำความรู้สึกให้เกิด ยิ่งมากยิ่งดี ให้ชำนาญ
    แล้วท่านจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน[​IMG]
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    คุณชยุต ท่าจะกดปุ่มผิด
    กดอนุโมทนา เป็น ไม่เห็นด้วย[​IMG]..........[​IMG]
     
  12. ksuchet

    ksuchet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +6,060
    โอ้โห..โมทนากับอาจารย์คลิกสุดๆเลยครับ โดนจุด...คี่หมึง..พอดีเลย
    มองเห็น...ตัวโง่...สิงสถิตเต็มไปหมดทั่วตัวเลยครับ แต่คิดว่าศิษย์น้อย
    ยังไม่สมควรตายในตอนนี้ขอโอกาสแก้ไขก่อนครับ
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=shout_top_28408><TR><TD class=thead align=left>12-06-2007 06:27 AM kob </TD></TR><TR><TD class=alt1 id=shout_28408 align=left width="1%"><INPUT class=bginput id=shout_message_editor_28408 style="WIDTH: 50%" value="แจ้งให้ทราบคะ ประมาณสิ้นเดือนนี้ทางเว็บพลังจิตจะเปลี่ยนserver ใหม่แล้วค่ะ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมช่วยสนับสนุน ให้กับทางเว็บพลังจิต ด้วยค่ะ ช่วงนี้เว็บอาจมีหนืดบ้าง ช้าบ้างนะคะ ขอให้ทุกท่านอดทนรออีกนิดนะคะ"> <INPUT class=button onclick=Shout.Save() type=button value=Save> แจ้งให้ทราบคะ ประมาณสิ้นเดือนนี้ทางเว็บพลังจิตจะเปลี่ยนserver ใหม่แล้วค่ะ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมช่วยสนับสนุน ให้กับทางเว็บพลังจิต ด้วยค่ะ ช่วงนี้เว็บอาจมีหนืดบ้าง ช้าบ้างนะคะ ขอให้ทุกท่านอดทนรออีกนิดนะคะ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    อาการป่วยด้วยโรคอืดของเว็บ จะถูกแก้ไขในปลายเดือนนี้แล้วครัย ไชโย
    ได้หมอดี[b-nurse]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2007
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    คุณ Falkman เปลี่ยนชื่อกระทู้รับ serverใหม่ (ดีคับ)
    ขอบคุณครับพี่เมาท์ที่มาแจ้งข่าวดี ต่อไปนี้เวปคงหายอืดแล้ว

    ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ จองคิวกันไว้นะคับ
    อย่าลืมจับลมตามที่คุณหมอสั่งด้วยคับ
     
  15. ksuchet

    ksuchet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +6,060
    คุณ ชยุต ..เปลี๊ยนไป๋..อิ...
     
  16. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <CENTER>[SIZE=+2]หลวงปู่สอนว่า[/SIZE]</CENTER>
    <TABLE borderColor=#000000 borderColorDark=#000000 width="74%" bgColor=#808000 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#c8ffc8>[SIZE=+1]<CENTER>เกิดมาภพใดชาติใดก็ทุกข์แย่เต็มประดา
    ทุกข์ตั้งแต่วันเกิดถึงวันแก่ ทุกข์จากวันแก่ถึงวันแตกดับวันตาย
    ทุกถ้วนหน้าไม่มีใครข้ามมันไปได้
    จึงให้เรามาสนใจในการรวมจิตใจของเรา มาให้สงบระงับ ตั้งมั่น เที่ยงตรง
    อยู่ภายในดวงใจให้ได้ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก
    จนกระทั่งจิตใจสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาให้ได้
    (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
    </CENTER>[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งมั่นอย่างได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น <HR width="50%" color=#0000ff>กิเลสกองไหนที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่มมัว ให้รีบตัด รีบละออกไปเลิกไม่ได้ ละไม่ได้ก็ให้นึกถึงความตาย ใครจะดุร้าย ป้ายสี ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย เราคือกายกับจิตก็ต้องตายจากกันไป จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง มายึดหน้าถือตา ยึดอะไรต่อมิอะไรไปทำไม จงปล่อยวางให้มันหมดสิ้นไป <HR width="50%" color=#0000ff>โลกธรรม 8 ประการ มีความสบายกายสบายใจ ก็มีความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือมีสุข มีทุกข์อยู่อย่างนี้ มีสรรเสริญ ก็ต้องมีติเตียนนินทาเป็นธรรมดาของโลกอย่างนี้ มีลาภเสื่อมลาภได้ เป็นธรรมดาอย่างนี้ มียศเสื่อมยศมันมีเป็นธรรมดาอย่างนี้ จิตผู้รู้ผู้ภาวนาไปอยู่ที่ไหน ทำไม่ไม่เร่งภาวนาให้มันหลุดพ้นไปเสียที <HR width="50%" color=#0000ff>เกิดแล้วต้องตายไม่ตายวันนี้วันหน้าก็ตาย ไม่ตายเดือนนี้เดือนหน้าก็ตาย ไม่ตายปีนี้ปีต่อ ๆ ไปก็ตายได้ ให้รู้ไว้ ให้เข้าใจไว้ แล้วจิตใจอย่าได้มัวเมา หลงไหลไปกับกิเลสกาม วัตถุกาม มาหลงร้องไห้ หัวเราะอยู่นี้ไม่มีที่สิ้นสุด ก้อนทุกข์ กองทุกข์เต็มตัวทุกคน จงภาวนาดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญา ไม่ใช่คนอื่นจะมาทำให้ ปฏิบัติให้ ไม่มีตัวเองนั่นแหละปฏิบัติตัวเอง
    หมายเหตุ - กิเลสกาม คือกิเลสที่ทำให้เกิดความอยาก ได้แก่ ราคา โลภะ อิจฉา เป็นต้น
    - วัตถุกาม ได้แก่ กามคุณทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันน่าปรารถนา <HR width="50%" color=#0000ff>อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนทำบาปตนก็ได้รับทุกข์เอง ตนทำบุญบุญก็ให้ความสุขแก่บุคคลผู้นั้น บุญ-บาป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ใครทำบาป บาปย่อมให้ผล ใครทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมตามให้ผล แต่ว่าบางอย่าง บางประการนั้น ไม่ทันกับใจกิเลสมนุษย์ ก็เลยเข้าใจว่าทำบุญก็ไม่เห็นผล แต่ว่าบาปนั้นไม่ทำก็เห็นผล <HR width="50%" color=#0000ff>อบรมจิตใจด้วยการบริกรรมภาวนา ด้วยการนึกถึงความทุกข์ความเดือดร้อนในโลกนี้ นึกถึงความแก่ความชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมันมาถึงแล้ว มันมีความเจ็บปวด ทุกขเวทนา ต้องฝึนฝนอบรมจิตใจของเราในทางสมาธิภาวนา ทำใจให้สงบระงับด้วยการนึกน้อมเอาพุทธคุณคือ คุณพระพุทธเจ้ามาเป็นอารมณ์ แม้เราจะนึกพุทโธ พุทโธอยู่ก็ตาม ก็ให้ถือว่า ธัมโมก็อยู่ที่นั่น สังโฆก็อยู่ด้วยกัน <HR width="50%" color=#0000ff>กิเลสมาร หมายถึงจิตใจที่เรายังเลิกละ ปลดปล่อย กิเลส ราคะ ตัณหาไม่ได้ ราคะ ตัณหานั่นแหละคือตัวมาร ที่คอยหลอกลวงอยู่ในใจนั้น ถ้าผู้ใดใจไม่มั่นคง ก็หลงไหลไปตามการหลอกลวงของมารกิเลส ไม่ยอมละ ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมปล่อยวาง กิเลสก็ติดอยู่ในตัว ติดอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจ คือ ใจเราไปติดกิเลส ไม่ใช่กิเลสมาติดอยู่ในใจของเรา จิตใจของเราไม่ภาวนาละกิเลส แต่ภาวนาเอากิเลส กิเลสก็มาอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจของเราเต็มไปหมด <HR width="50%" color=#0000ff>ไฟ คือราคะ ไฟ คือโทสะ ไฟ คือความหลง เมื่อมีไฟ 3 กองนี้อยู่ในใจ มันก็ร้อนเป็นไฟ นั่งที่ไหน นอนที่ไหนก็ร้อนระอุด้วยไฟ เพราะไฟนั้นเป็นของเร่าร้อน ผูกมัดรัดรึงจิตใจคนเราให้หลงให้ติดข้องอยู่ เวลาภาวนาท่านจึงให้ละออกไป ปล่อยออกไป ให้หลุดไป สิ้นไป เอาให้หลุด ให้พ้น ให้สงบระงับ แม้ยังไม่หลุดพ้นก็ให้ภาวนาทุกคน ให้ใจสงบระงับตั้งมั่นทุก ๆ คืนไป จนมีกำลังความสามารถอาจหาญ ก็จะตัดละได้ด้วยตนเอง <HR width="50%" color=#0000ff>ธรรมดากิเลสเป็นมาร เป็นภัยอันตราย คำว่ามารก็คือว่าเป็นผู้ฆ่าผู้ทำลาย ใครไปหลงกลมารยาของมารแล้วก็เสียทุกครั้งไป ฉะนั้นเราทุกคนจงอย่าได้ปล่อยจิตใจให้คิดนึกไปภายนอก จงนึกเตือนใจของตนอยู่ทุกเวลาว่า พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ธัมโม สังโฆ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา คือให้ใจมาสงบตั้งมั่นอยู่ภายใน ไม่ให้ไปตามอาการภายนอก <HR width="50%" color=#0000ff>อย่าไปคิดว่าเวลาเราแก่ หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือใกล้ ๆ จะแตก จะตาย แล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นอันว่าคิดผิดเพราะ เวลาอยู่ดีสบายนี้แหละเป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนาให้ได้ให้ถึง กิเลสอะไรที่ยังไม่ออกจากจิตใจเรา ก็จะได้ละกิเลสนั้นเสีย <HR width="50%" color=#0000ff>ให้พากันตั้งใจภาวนากันจริง ๆ เอาจิตใจดวงผู้รู้ภายในมาจี้จุดหลงของใจเรา ความหลงของใจไม่ใช่อื่นไกลที่ไหน หลงในรูป หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ บ้านเรือน เคหะสถานอันใดก็ตาม ถ้าจิตไปหลงก็จะไปข้องอยู่กับที่นั่นถ้าจิตไม่หลงก็วางเฉยได้ จิตใจก็เย็นสบายเป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อนประการใด เราทุกคนควรปฏิบัติบูชาภาวนาอย่างนี้ให้ได้ทุก ๆ คืน ไม่มีใครจะช่วยเราได้เท่ากับตัวเราเอง <HR width="50%" color=#0000ff>การภาวนาอย่าเข้าใจว่ามันเป็นของยาก ไม่ว่ากิจกรรมการงานอะไร อย่างหยาบ ๆ ก็ดี ถ้าเราไม่ทำไม่ประกอบก็ยิ่งเป็นอุปสรรค แต่ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ แล้ว มันมีทางออก ภาวนาไปรวมจิตใจลงไป จนกระทั่งจิตใจเชื่อตามความเป็นจริง เชื่อต่อคุณพระพุทธเจ้าจริง ๆ เชื่อต่อพระธรรมจริง ๆ เชื่อต่อคุณพระอริยสงฆ์สาวกจริง ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นก็มีทางที่จะได้บรรลุมรรคผล เห็นแจ้งในธรรม ในปัจจุบันชาตินี้ <HR width="50%" color=#0000ff>อะไร ๆ ทุกอย่าง ถ้าคนเราลงทำลงแล้ว มันต้องได้ไม่มากก็น้อย ถ้าไม่ทำ เลิกล้มความเพียร ชอบสบายอยู่เฉย ๆ แต่เราอย่าเข้าใจว่าเราจะอยู่เฉยได้ ในเมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วย ปัจจุบันกระทันหันขึ้นมา จะเฉยอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อความเจ็บมา อุบายธรรมไม่ทัน เราก็หลงยึดไปถือไปวุ่นวายไป ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน ปล่อยวางได้ทุกลมหายใจเข้าออก จิตใจก็เย็นสบายเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนประการใด <HR width="50%" color=#0000ff>อุบายธรรมต่าง ๆ ที่กำหนดจดจำไปประพฤติปฏิบัติ ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าเราทำมามากหรือไม่ บุญบารมีใหม่ ใจปัจจุบันของเราตั้งมั่นหรือไม่ ใจปัจจุบันเป็นหลักสำคัญที่เราทุกคน ทุกดวงใจจะประมาทไม่ได้ พระพุทธเจ้า พระองค์เตือนว่า ผู้ไม่ประมาทย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ผู้ประมาทมัวเมาเป็นไปเพื่อความเสื่อม <HR width="50%" color=#0000ff>วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไปมันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้นให้ภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง <HR width="50%" color=#0000ff>เรามัวเพลิดเพลินอะไรอยู่ไปมัวเสียอกเสียใจอย่างไรอยู่ ทำไมไม่ภาวนา ทำไมไม่ละกิเลส ภาวนาให้มันหมดสิ้นไป เวลาความแก่มาถึงเข้า หรือเวลาความเจ็บไข้มาถึงเข้า จิตก็ว้าวุ่น ยิ่งความตายจะมาถึง เราละกิเลสไว้ก่อนหรือยัง ก็ตอบได้ด้วยตนเองว่ายังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดเรามัวไปทำอะไรอยู่ ชีวิตของคนเราหมดไป เหมือนจุดเทียนขึ้นมาแล้ว ไฟมันก็ไหม้ไส้เทียนจนหมด เราทำอะไรอยู่ ไม่พินิจพิจารณา ต้องเตือนใจของตนเองว่าเราภาวนาแล้วหรือยังอย่าประมาทคือภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก <HR width="50%" color=#0000ff>เราทุกคนก็ต้องโอปนยิกธรรม น้อมเข้ามา รวมเข้ามา สอนตัวเองเข้ามาให้ได้อยู่ทุกวันเวลาแล้ว มรรคผล นิพพาน ก็ไม่ต้องไปหาที่อื่น มันอยู่ที่ความเพียร ความหมั่น ความขยัน ในการภาวนาไม่ให้ขาด นั่งก็ภาวนา นอนก็ภาวนา หลับแล้วก็แล้วไป ตื่นขึ้นก็ภาวนาต่อให้เป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา จิตใจย่อมมีกำลัง มีความสามารถอาจหาญไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ
    หมายเหตุ- โอปนยิกธรรม หมายถึง พระธรรมที่ควรน้อมนำเข้ามาไว้ในใจ <HR width="50%" color=#0000ff>
    บทความส่วนหนึ่งจากหนังสือ "หลวงปู่สอนว่า..." หลวงปู่สิม พุทธาจาโร​
     
  17. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,069
    ค่าพลัง:
    +13,915
    น่าคิดเหมือนกันนะครับ

    ถ้า "ไม่ได้กดผิด" แล้ว...
    ตรงนี้น่าสนใจน่าคิดนะครับ ว่าคุณชยุตมีนัยยะสำคัญอะไร อ้าว เพิ่งเห็น สงสัยคีบอร์ดค้าง...อิอิ ไม่ได้มีเจตนาให้แตกแยกนะครับ แต่สันดานมันเป็นงี้ชอบคิดว่ามันจะชอบคิด ว่า ถ้า........แล้ว........หรือ........อะไรทำนองนี้ เป็นยังงี้ตั้งแต่เกิดๆ ตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว
    (555)(555)(555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2007
  18. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center" cellSpacing=4 cellPadding=4 width="90%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD colSpan=2>
    สรุปวิเคราะห์หนังสือพลังแห่งจิตปัจจุบัน : หนทางสว่างสู่แสงแห่งปัญญา

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE width="50%" align=center><TBODY><TR><TD rowSpan=3>
    [​IMG]
    </TD><TD>เขียนโดย : เอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ
    </TD></TR><TR><TD height=52>แปลโดย : พรรณี ชูจีรวงศ์ </TD></TR><TR><TD>บทวิเคราะห์โดย : ชุติมนฺตํ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>คุณไม่ใช่ ความคิด ของคุณ

    การตั้งมั่นอยู่ในจิตปัจจุบัน ทำให้คุณสามารถสัมผัสกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงซึ่งยากที่จะเข้าถึงด้วยความคิดได้ การยึดติดอยู่กับความคิด และการไม่สามารถหยุดคิดได้นั้น เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เนื่องจากคนเรามักไม่ได้เป็นผู้ใช้ความคิด แต่มักถูกความคิดหลอกใช้ โดยผลลัพธ์ที่ตามมา คือ แนวความคิด คำจำกัดความ ภาพลักษณ์ ซึ่งปิดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับคนอื่น หรือ ตัวเรากับธรรมชาติ ในความเป็นจริง ก็คือ แม้รูปภายนอกจะต่างกัน แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งเดียวกันทั้งสิ้นทั้งปวง
    วิธีการเป็นอิสระจากความคิดได้นั้นต้องเริ่มด้วยการออกจากความคิด ไม่ได้เป็น “ผู้คิด” ตามด้วยการ “จับตาดูผู้คิด” ซึ่งหมายถึงเมื่อไรก็ตามที่มีเหตุการณ์ให้ต้องนึกถึงเรื่องราวในอดีต หรือ จินตนาการถึงอนาคตในเชิงลบ เช่น กังวลใจ คาดเดา บ่น ไม่ชอบ เปรียบเทียบ ที่มีลักษณะเป็นเสียงดังก้องเกิดขึ้นในหัว ให้ฟังเสียงเหล่านั้นอย่างไม่มีอคติ อย่าด่วนตัดสินหรือรีบตำหนิสิ่งที่ได้ยิน ด้วยวิธีการนี้ เราจะไม่ได้รู้เฉพาะเสียงที่ได้ยินเท่านั้น แต่เรายังรับรู้ว่า ตัวเรากำลังสังเกตการณ์อยู่ด้วย และเมื่อใดที่ความคิดเป็นรอง เราจะได้สัมผัสกับ “จิตว่าง” ในครั้งแรกอาจสัมผัสได้เพียงชั่วครู่ แต่ต่อไปจะเริ่มสัมผัสได้นานขึ้น เรียกว่า “สุขภาวะทางจิต” ซึ่งไม่ใช่สภาวะการนิ่งอย่างไม่รู้ตัว แต่จะรู้ตัวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เป็นสภาวะ “ ไร้ตัวตน” พาเราไปยังสิ่งที่เหนือกว่าเมื่อก่อนที่เราเรียกความคิดว่า “ตัวเรา”
    นอกจากนั้นเรายังสามารถทำจิตให้ว่างได้ด้วยวิธีง่าย ๆ อีกวิธีหนึ่ง โดยการควบคุมความสนใจให้อยู่ในปัจจุบันขณะ และตั้งมั่นอยู่แต่ในจิตปัจจุบัน วิธีนี้ช่วยให้มีสติ และหลุดออกจากกิจกรรมทางความคิดเข้าสู่จิตว่าง เราจะรู้ตัวยิ่งกว่าเดิม หรือเรียกอีกอย่างว่าการทำสมาธิ ซึ่งสามารถฝึกทำในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ เช่น การกำหนดจิตในขณะเดินขึ้นลงบันได หรือการกำหนดจิตในขณะหายใจเข้าออก เป็นต้น
    ความคิดในที่นี้ ยังหมายถึง อารมณ์ ตลอดจนปฏิกิริยาทั้งหมดที่ตอบสนองทางอารมณ์ต่อความคิดอย่างไม่รู้ตัว เพราะอารมณ์เกิดขึ้นในจังหวะที่ความคิดกับร่างกายปะทะกัน ซึ่งเป็นการแสดงความคิดผ่านทางร่างกายนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ความคิดอยากโจมตีหรือเป็นศัตรูจะปล่อยพลังในร่างกายออกมาที่เรียกว่า “ความโกรธ” ร่างกายพร้อมจะต่อสู้ หรือ ความคิดว่าถูกคุมคามไม่ว่าทางกายหรือทางใจทำให้ร่างกายเกิดภาวะหดตัวหรือที่เรียกว่าความกลัว (S-O-B-C)


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>ฉะนั้น จงสังเกตที่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเรา แล้วตั้งคำถามกับตัวเองจนเป็นนิสัยว่า “เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา?” โดยไม่ต้องวิเคราะห์ แต่ให้เฝ้าดูอย่างมีสติจดจ่ออยู่ภายในให้ลึกลงไปถึงสนามพลังงานในกายเรา นี่คือ ประตูสู่ “สิ่งที่เป็นอยู่จริง” และเราจะพบว่า เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อหยุดยึดติดกับความคิดในใจของตัวเอง สัมผัสได้ถึงสภาวะเหนืออารมณ์ คือ ความเกษม ความสงบ

    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>สติ หนทางพ้นทุกข์

    ความเข้มข้นของความทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ อย่างคือ ระดับความรุนแรงของการต่อต้านปัจจุบันขณะ และระดับของยึดติดกับความคิดว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราไม่ต้องการสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองและผู้อื่น จงอยู่กับปัจจุบันและลดความสำคัญของอดีตกับอนาคตลง เพราะทุกข์จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราขาดสติความรู้ตัวและยึดติดอยู่กับมัน มนุษย์มักมีแรงขับในใจให้แสวงหาสิ่งปรนเปรออัตตาให้พอใจ ส่วนอัตตาจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้ครอบครองซึ่งเงินตรา ความสำเร็จ อำนาจ การยอมรับ และความสัมพันธ์พิเศษ เพื่อให้ตน รู้สึกดี รู้สึกเต็ม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะได้ทุกสิ่งมาครอบครอง อัตตาก็ยังพบว่ามีรูโหว่อยู่ และเป็นรูกลวงที่ไม่อาจอุดได้เสียด้วย ตราบใดที่อัตตานำพาชีวิตเรา เราจะไม่สามารถอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างแท้จริง ยกเว้นช่วงสั้นๆ เมื่อเราได้สิ่งที่เราต้องการ ฉะนั้นเราควรเรียนรู้และฝึกฝนที่จะปล่อยวางมันไปไม่เร็วก็ช้า


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>ก้าวลึกลงสู่ปัจจุบัน

    ปัญหาของความคิดไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับของความคิด การศึกษาความซับซ้อนของใจทำให้เรากลายเป็นนักจิตวิทยาที่เก่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เราอยู่เหนือมัน การตั้งมั่นอยู่ในจิตปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถปล่อยความคิดให้เป็นไปอย่างที่มันเป็นโดยที่เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ (เวลาที่คิดถึงความทรงจำในอดีตหรือการวางแผนสำหรับอนาคต เราใช้เวลาปัจจุบันในการคิด ) กุญแจสำคัญอยู่ที่การปิดฉากภาพลวงตาของกาลเวลาเสีย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอดีต และไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต มันเกิดขึ้นที่นี่เดี๋ยวนี้ (เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน นั่นแสดงว่าเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน) ตัวอย่างที่ดีของการ อยู่กับปัจจุบัน เช่น การปีนเขา การแข่งรถ ฯลฯ
    จงใช้โสตประสาททั้งหมดอย่างเต็มที่ อยู่ในที่ที่คุณอยู่ มองดูรอบกาย มองอย่างเดียวไม่ต้องตีความ (สร้างความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่านทางอายตนทั้ง ๖ คือ ตาหู จมูก ลิ้น กายใจ)สัมผัสความเป็นอยู่อย่างสงบนิ่งของสรรพสิ่ง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เป็น ฟังเสียงเหล่านั้นอย่าด่วนตัดสิน ฟังความเงียบที่ซ่อนอยู่ในเสียงเหล่านั้น หยิบจับอะไรก็ได้สักอย่างและสัมผัสถึงความจริงแท้ของมัน สังเกตจังหวะลมหายใจของคุณ สัมผัสอากาศที่คุณหายใจเข้าออก สัมผัสพลังแห่งชีวิตที่อยู่ในกายคุณ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปทั้งภายในและภายนอก ปล่อยให้ “ความเป็นไป” ของสรรพสิ่งดำเนินไป และคุณก็จะก้าวลึกลงมาสู่ปัจจุบัน


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>กลวิธีของใจ (ความคิด) เพื่อหลีกหนีปัจจุบันพลังแห่งจิตปัจจุบัน

    ในจิตที่ไร้สติความรู้ตัวแบบธรรมดา มักจะต่อต้าน หรือ ปฏิเสธสิ่งที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจ จนเป็นนิสัย เมื่ออัตตาถูกท้าทายหรือถูกคุกคาม จนการต่อต้านเริ่มรุนแรงขึ้น อัตตาจะปล่อยพลังลบออกมา เช่น ความโกรธ ความกลัวอย่างที่สุด ในขณะเดียวกัน หากเรายังยึดติดกับสภาวะทุกข์ที่บังเกิดนั้น จิตที่ไร้สติความรู้ตัวแบบฝังลึกก็จะกระตุ้นให้เกิดการกระทำรุนแรงทางกาย ดัชนีวัดระดับความมีสติรู้ตัวที่ดีที่สุด ก็คือ วิธีการที่เราเลือกใช้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาในชีวิต โดยคนที่ขาดสติมักจะขาดสติรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมีความท้าทาย ส่วนคนที่มีสติก็มักจะมีสติมั่นคงมากขึ้น เราสามารถใช้ความท้าทายเป็นตัวปลุกเร้าให้ “ตื่น” หรือฉุดกระชากลงสู่การหลับลึกก็ได้

    </TD><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>จิตปัจจุบัน

    จิตปัจจุบันในทุกขณะจะช่วยให้เราเข้าถึงรากลึกภายในตัว หมายถึง การ “อยู่” ในตัวเราเองอย่างเต็มตัว เพ่งความสนใจอยู่กับสนามพลังภายในกายเราตลอดเวลา รู้สึกถึงร่างกายภายใน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การรับรู้ทางกายอยู่ตลอดเวลาจะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ในจิตปัจจุบัน และเมื่อไรก็ตามที่เราสังเกตใจเราเอง โดยเป็นเพียงผู้เฝ้าดู จิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วที่เหนือตัวตนจะแกร่งขึ้น และรูปแบบทางใจ(ความคิด) จะอ่อนแรงลง

    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>กายภายใน

    กุญแจ คือ อยู่กับกายภายในอย่างมั่นคง รู้สึกถึงกายภายในตลอดเวลา ยิ่งเพ่งความรู้สึกตัวทั่วพร้อมลงไปในกายภายในมากเท่าไร ความรู้ชัดจะสูงขึ้น ถ้าเราให้ความสนใจกับร่างกายได้มากที่เราจะทำได้ เราจะหยั่งรากลงไปในปัจจุบัน อย่าละความสนใจออกไปสู่ความคิด และโลกภายนอก ตั้งสติให้มั่นกับทุกสิ่งที่เรากำลังทำ แต่รู้สึกถึงกายภายในไปด้วยถ้าเป็นไปได้ โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องท้าทายเข้ามาต้องทำทันทีเดี๋ยวนั้น จิตเราจะนิ่งสงบ และอยู่กับปัจจุบัน และหากเจอสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมีการโต้ตอบ มันจะมาจากระดับที่ลึกกว่า (ปัญญาญาณ)
    ความตั้งใจ(วิริยะกับสมาธิ)เป็นกุญแจสำคัญสู่การแปรรูป และความตั้งใจยังหมายถึงการยอมรับ(ศรัทธา)ด้วย ความตั้งใจเปรียบเสมือนแสงสว่าง(ปัญญา) พลังแห่งความมุ่งมั่นจากสติความรู้ตัวจะแปรทุกอย่างมาเป็นพลัง (พละ๕)
    </TD><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าถึงกายภายใน จงเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ การกำหนดลมหายใจเป็นวิธีทำให้เกิดพลังสมาธิขึ้นในตัวเอง (การเจริญมรรค) หากต้องการใช้ใจ (ความคิด) เพื่อจุดประสงค์ใดโดยเฉพาะ จงหยุดคิดสักครู่ เพ่งจิตไปที่สนามพลังในกาย ทำจิตให้นิ่ง เมื่อเริ่มคิดอีกครั้ง ความคิดจะใหม่สดและสร้างสรรค์ และเมื่อไหร่ที่เราต้องฟังใครสักคน อย่าฟังด้วยใจ (ความคิด) ฟังด้วยกายทั้งหมดในตัวเรา รู้สึกถึงสนามพลังของกายภายในขณะฟัง เอาความสนใจออกจากความคิด จะทำให้ฟังได้อย่างถูกต้อง (รู้ตัวทั่วพร้อม) คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักฟังเพราะมัวใส่ใจกับความคิดที่รบกวนทางจิตใจ มากกว่าการฟัง

    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>ประตูสู่สิ่งที่ยังไม่เห็น (สติใช้ในการเจริญกรรมฐานมี ๒แบบ คือ สมถะ กับ วิปัสสนา)

    จิตปัจจุบัน เป็นประตูหลัก ที่พาไปสู่ประตูทุกบาน รวมทั้งกายภายในด้วย เราไม่สามารถอยู่ในกายภายในได้ ถ้าไม่ตั้งมั่นอยู่ในจิตปัจจุบัน
    ประตูอีกบาน คือ การหยุดคิด วิธีนี้เริ่มจากการปฏิบัติง่ายๆที่อธิบายมาแล้วในข้างต้น คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออก อาจมองไปที่ดอกไม้อย่างมีสติ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ใจแสดงความคิดเห็น (สมถะ-ใช้สติเป็นฐานให้เกิดพลังสมาธิเพื่อข่มกิเลส)
    การยอมจำนน หรือการปล่อยวางความรู้สึกต่อต้านทางใจ (ความคิด) ต่ออารมณ์สิ่งที่เป็นอยู่ เป็นประตูอีกบานที่จะนำพาไปสู่สิ่งที่ยังไม่เห็น คือ สิ่งที่เป็นอยู่จริง (วิปัสสนา-ใช้สติเป็นฐานให้ปัญญาเฝ้าสังเกตทุกข์จนเห็นจริงตามความเป็นจริง)


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>ความสัมพันธ์อย่างมีสติ

    การหลุดพ้น เป็นสุขภาวะทางจิต ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลกภายนอก แต่เกิดขึ้นจากการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน การหลุดพ้นที่แท้ คือ การเป็นอิสระเหนือความกลัว ความทรมาน ความไม่รู้จักพอ และจากกิเลสตัณหาทั้งปวง อย่าให้ตัวทุกข์เป็นตัวกำหนดชีวิตคุณ แต่ใช้มันเพื่อเป็นหนทางไปสู่แสงสว่างทางปัญญา แปรทุกข์ให้เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>เหนือไปกว่าความสุข และไร้สุข (ทุกข์) มีความสงบสุข

    ทำในสิ่งที่คุณต้องทำ ในขณะเดียวกัน ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่ การยอมรับจะปลดปล่อยคุณออกจากใจที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน และนำคุณกลับมาหาสิ่งที่เป็นอยู่จริงอีกครั้ง การดับสลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเกิดใหม่ (ไตรลักษณ์) ไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่ได้โดยไม่มีสิ่งอื่น (อิทัปปัจจยตา)
    เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าเรื่องร้ายเกิดขึ้นในตัวคุณ แม้จะบอกได้หรือบอกไม่ได้ว่าเกิดจากปัจจัยภายนอก ความคิด หรือเกิดจากอะไร จงจ้องดูมันราวกับได้ยินเสียงว่า “อยู่กับที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว!”
    ทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้เชิงลบหายไป ก็คือการจินตนาการว่า ตัวเองกำลังโปร่งแสงไปจากสาเหตุภายนอกของปฏิกิริยานั้น(สิ่งที่มากระทบ) ทุกสิ่งสามารถกลายเป็นการฝึกจิต ด้วยการกำหนดให้ตัวเองโปร่งแสงโดยปราศจากความแข็งขืนของร่างกาย ปล่อยให้สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในทางลบได้ผ่านไป


    </TD></TR><TR bgColor=#e3e9f1><TD colSpan=2 height=4></TD></TR><TR><TD>ความหมายของการยอมจำนน (วิปัสสนาภาวนา)

    การยอมจำนน คือ การยอมรับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อจำกัด เป็นการปลดปล่อยกระแสต้านภายในต่อสิ่งที่มันเป็น คุณต้องฝึกที่จะยอมรับมันถ้าคุณต้องการขจัดความทุกข์ และความเศร้าออกจากชีวิต การยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ในทันทีนั้น จะปลดปล่อยคุณจากใจที่ยึดมั่นถือมั่น และเชื่อมโยงคุณเข้ากับสิ่งที่เป็นอยู่จริง ถ้าคุณรู้สึกเบาสบาย ชัดเจน และลึกอยู่ในความสงบ นั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ผิดพลาดที่จะบอกให้คุณรู้ว่า คุณได้ยอมจำนนอย่างแท้จริงแล้ว
    การไม่ต่อต้านนั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย ความหมายของมันก็คือ การกระทำที่ไม่เป็นการตอบโต้ (การเรียนรู้ปัญหา โดยอยู่กับปัญหา)
    ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีหายนะเข้าถาโถม หรือ อะไรที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ความพิการ การสูญเสีย ความสัมพันธ์ใกล้ชิดแตกหัก ความตาย หรือ ความทรมานต่อการจากไปของคนรัก จงรู้ไว้ว่า ยังมีอีกด้านหนึ่งที่คุณสามารถก้าวเพียงก้าวเดียวออกมาจากสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่น่าเชื่อ เราเรียกว่า การยอมจำนน
    แสงแห่งปัญญาจะปลดปล่อยสิ่งที่ยึดคุณไว้กับอดีตและอนาคต และทำให้ปัจจุบันกลายเป็นจุดสนใจ
    หลักของชีวิต หมายถึง การเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบันมากกว่าอยู่ในมิติอื่นๆ แห่งกาลเวลา เมื่อคุณยอมจำนนต่อสิ่งที่เป็นอยู่และตั้งมั่นในจิตปัจจุบัน อดีตจะหมดพลังลง ปัจจุบันเท่านั้น คือ กุญแจไขปริศนาสู่ความจริงแท้


    </TD></TR><TR><TD><HR></TD></TR><TR><TD>
    ก. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ = เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ = เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
    ข. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ = เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ = เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
    ศึกษาตัวอย่างประสบการณ์การยอมจำนนในทัศนะของผู้เขียนที่มีนัยถึงการยอมรับความจริงโดย ไม่ต่อต้าน ได้จาก กำพล ทองบุญนุ่ม, จิตสดใส แม้กายพิการ
    (กรุงเทพมหานคร : ธรรมดา, ๒๕๔๗) และ ฐิตินาถ ณ พัทลุง, เข็มทิศชีวิต (กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ด, ๒๕๔๗).​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.tipawandhammasathan.com/article/palanghangjit.htm
     
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ระหว่างที่หมอใหญ่ไม่อยู่ จ่ายยาคนละเม็ดสองเม็ดครับ


    การชำระหว่านไถใจให้บริสุทธิ์
    คือการ"มีสติ"สำรวจใจตนทุกเวลา
    พืชพันธ์ของตถาตคอันประเสริฐในโลก
    เพราะมีศรัทธาเป็นเมล็ดพันธุ์ มีศีลเป็นฝน
    มีปัญญาเป็นจอบเสียม...พิจารณาตนเองเป็นด้ามจับเสียม
    เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นเชือก ภาวนาชำระจิตให้บริสุทธิ์เป็นแส้
    เพื่อคอยกำราบความเผลอเรอ.. ให้สติสำรวมอินทรีย์
    มีการถ่ายทอดธรรม และค้นคว้าหาแสงสัจธรรมไปในตัว
    สัจธรรมนี้ ดุจมีดอันคมกริบ คอยตัดกิเลสที่เหมือนหญ้ารก
    มีความสงบสุขเป็นที่ตั้ง เอาสติเป็นวัวควายคอยลากไถไปข้างหน้าเงียบๆ
    ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด..ก็ปราศจากความเศร้าหมอง
    นี่คือการหว่านไถของตถาคต ที่มีนิพพานอันเป็นสุขเย็นเป็นผล
    การไถเช่นนี้สามารถดับทุกข์ทั้งปวงได้โดยสิ้นเชิง​

    จากหนังสือสุญญตาสถาน+นักรบแห่งแสงสว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2007
  20. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    เมื่อไรที่คุณมีดจะใส่ชุดเหมือนในรูปมาอวดพวกเราสักที นึกว่าเจอตัวแล้วจะเป็นเหมือนในรูป อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...