ความรู้แห่งปัญญา+บทเรียนแห่งแสงสว่าง :=: บันทึกลับของนักเรียนโรงเรียนจิตวิญญาณโบราณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย MASTERCLASS, 27 เมษายน 2012.

  1. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เข้ามาอีกรอบ..
    ผมรู้สึกคุ้นๆท่านจข.โพสมากเลยครับ อืมม...เหมือนผมจะเคยคุยกับท่านมาก่อน นานมากแล้ว จำไม่ได้ (เพียงแค่คุ้นๆ เท่านั้นเอง)
     
  2. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    ท่านนั้นที่คุณพูดถึงคือ อวตารบอยไงครับ

    ผมแปลงานคุณอวตารบอย มาให้อ่านกัน

    คุณอวตารบอย เคยเข้ามาในกระทู้ พลังจิตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

    คุณ akiyama รู้จัก คุณ อวตารบอย ใช่ไหมครับ
     
  3. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    อ่านการถามตอบ ของกลุ่ม immortal thailand
    ระหว่าง สมาชิก และ อวตารบอย มาได้ 34 คำถาม

    ติดตามอ่านตั้งแต่ต้น อ่านไป ตื่นเต้น ตื้นตันใจ น้ำตาไหล บอกไม่ถูก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012
  4. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วมีความสุข หัวใจสดชื่นมาทันที
     
  5. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555
    เข้ามาส่งพลังแห่งความสว่างไสวค่ะ

    เมื่อวานนี้ได้ไปร่วมงานมหากฐิน มหาสังฆทาน
    น้อมถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    วันนี้เป็นวันพิเศษค่ะ

    จึงขออวยพรให้ท่านทั้งหลาย
    ตลอดจนถึงดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั้งปวง
    ในทุกชั้นทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า
    ตั้งแต่อเวจีมหานรกจนถึงพรหมโลก
    มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย
    จงได้มีส่วนในมหากฐิน มหาสังฆทาน
    ที่ข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วม
    น้อมถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และรวมถึงในการถวายมหาสังฆทานทุกครั้งทุกคราไป
    ที่ข้าพเจ้าได้มีส่วนน้อมถวายแด่พระพุทธองค์
    เพื่อให้ท่านทั้งหลายมีส่วนในพลังแห่งแสงสว่าง
    ตรงต่อพระสัจธรรม
    ตามองค์คุณพระพุทธะ พระมหาโพธิสัตว์
    โดยทั่วถึงกันด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขอให้กรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นแล้วในสังสารวัฏนี้
    ไม่ว่ากุศลกรรม อกุศลกรรมก็ตาม
    ขอใ้ห้ทั้งหมดทั้งมวลพึงเป็นอโหสิกรรมร่วมกัน
    ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    35 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    ผมต้องการเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง กาลเวลา
    อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ผมเห็นกระทู้ของคุณชยุตเขียนเรื่องนี้
    แล้วเอาความรู้ของคุณอวตารบอยไปอ้างอิง
    รวมทั้งคุณชยุตเอาความรู้ที่อื่นๆมาอ้างอิงและเถียงกับคนอื่นๆด้วย
    ช่วยอธิบายเรื่องกาลเวลา หน่อยครับ
    ไม่เข้าเข้าใจแจ่มแจ้ง
    ไม่ค่อยเห็นแสงสว่าง

    อวตารบอย:
    ผมเป็นคนเขียนเรื่องกาลเวลา
    อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยู่ที่นี้ และตอนนี้
    หรือกาลเวลาเป็นหนึ่งเดียวกัน เองครับ !!! (หัวเราะ)
    ส่วนคนอื่นๆ หรือ คุณชยุตที่เอาไปเขียนนั้นก็ถูกครับ
    แต่ความเข้าใจต่างกันครับ

    ผมเขียนมาจากความรู้ประสบการณ์ตรงจากภายใน
    ที่กลั่นกรองมาแล้ว และถ่ายทอดมาเป็นตัวอักษร
    ส่วนคนอื่นๆ บางคนนะครับ รวมทั้งคุณชยุตด้วย
    ยังไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึง
    เข้าใจจากภายนอกแบบผิวเผินเท่านั้น
    เพียงแต่ได้ค้นคว้าความรู้ที่ต่างๆกันและ
    เห็นว่าเป็นความรู้เหมือนๆกันเลยเอามาเป็นตั้งกระทู้

    ยกตัวอย่างง่ายๆ
    ในยุคที่ไม่มีต้มยำกุ้ง
    หรือยุคที่ยังไม่มีใครรู้จักต้มยำกุ้งกันจริงๆเลยสักคน ( หัวเราะชอบใจ)
    มีเพียงน้อยคนที่รู้สูตรต้มยำกุ้ง
    และเอาไปทำ เอาไปชิม และมีประสบการณ์ตรง
    "ฉันเอาสูตรนี้ ทำต้มยำกุ้งแล้วนะ
    แล้วฉันชิมแล้วนะ รสชาติเผ็ด เปรี้ยว แซ่บ
    อย่าบอกใครเชียวล่ะคุณเอ๋ย!!!" (หัวเราะดังลั่น)
    แล้วมีการเขียนถ่ายทอดลงในหนังสือ
    เพื่อให้ความรู้แก่คนอื่นๆ แต่คนอื่นๆที่ไม่เคยเลยในชีวิตรู้ว่า
    สูตรการทำต้มยำกุ้งเป็นเช่นไร ???
    และไม่เคยทำต้มยำกุ้งกินเอง เลยสักครั้งในชีวิต !!!
    เลยไม่มีประสบการณ์ตรง
    รู้แต่ทฤษฎี รู้แต่ในหัว
    ว่าต้มยำกุ้งรสชาติ
    "เผ็ด เปรี้ยวและแซ่บ อย่าบอกใครเชียวล่ะคุณเอ๋ย"
    (หัวเราะกันดังลั่น)
    แต่เชื่อที่คนอื่นเขียนกันมา
    และมีหลายคนเขียนเรื่องเดียวกัน
    มาจากหลายๆที่เกี่ยวกับต้มยำกุ้ง
    และเป็นความรู้เหมือนกันหมดเลยเลยว่า
    ต้มยำกุ้งมีรสชาติเปรี้ยวและเผ็ด แซ่บอย่าบอกใครเชียว
    (หัวเราะดังลั่น)
    เลยใช้การรวบรวมความคิดและสรุปทางสมองว่า
    มันต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ
    มีหลักฐานจากหลายคนที่เขียนเกี่ยวกับต้มยำกุ้ง
    เลยประมวลความรู้ทางสมองว่า
    มันต้องใช่แน่นอนเลยและถูก
    ความน่าจะเป็นสูงมาก (หัวเราะ)

    แต่...
    แต่อะไรล่ะครับ ???
    แต่ก็คือพวกเขา....
    ไม่เคยมีประสบการณ์ตรง นั้นไงล่ะครับ !!!
    ไม่เคยลองทำ
    ไม่เคยชิมด้วยตนเอง
    เลยต้องอาศัยการอ้างอิงจากภายนอก
    เพราะเขาว่ากันว่ามาอย่างนั้น

    ความรู้ทางจิตวิญญาณก็เหมือนกัน
    หากไม่มีทางประสบการณ์ตรง
    ไปเอาความรู้คนอื่นมาเขียน
    มาอ้างอิง มาเถียง เพื่อให้ตนเองเป็นผู้ถูก
    น้ำหนักและความเข้าใจก็ไม่เหมือนกัน
    ใช่ไหมครับ ??? (หัวเราะ)
    การตีความก็แตกต่างกันไป
    จะให้อธิบายแบบลงลึกรายละเอียดก็ทำไม่ได้
    เพราะความรู้ต่างๆไปคัดลอกเขามาอีกทีหนึ่ง
    ความรู้ความเข้าใจระดับผิวเผินจากภายนอก
    เขาเขียนมาอย่างไรก็ว่าไปอย่างนั้น
    (หัวเราะดังลั่น)

    เวปโน้นเขาว่ามาอย่างโน้น อย่างนี้
    พระเจ้าจากนอกโลกก็ว่าอย่างโน้น อย่างนี้
    มนุษย์ต่างดาวว่าอย่างโน้นอย่างนี้
    มหาเทพองค์โน้น องค์นี้ว่าอย่างโน้นอย่างนี้
    เหมือนกันหมดเลย มันต้องเป็นจริงแน่ๆเลย
    เลยสรุปในหัวสมองว่าจริง ถูกต้อง
    (หัวเราะดังลั่น)

    นี้แหละที่เขาเรียกว่า
    พวกนักปรัชญา พวกนักคิด พวกนักวิชาการ
    รู้แต่ทฤษฎีอยู่ในหัว
    แต่ไม่รู้แจ้ง และไม่รู้ลึก
    เหมือน นักปฎิบัติหรือผู้ที่รู้แจ้งแล้ว
    นึกภาพออกไหมครับ
    นี้คือความแตกต่างกัน

    สมาชิก:
    ผมก็เคยอ่านของคุณอวตารบอยเกี่ยวกับเรื่อง
    ความคิด ความรู้สึก สร้างโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ
    ที่คุณชยุตเอาไปเขียนเหมือนกัน

    อวตารบอย:
    คำตอบผมก็คือคำตอบเดียวกันที่ผมให้มา
    คุณชยุตเก่งในการค้นหาความรู้ด้วยสมองซีกซ้าย
    และเก่งในการแปลมากๆ
    จุดนี้ผมยอมรับเลย
    สามารถแปลบทความยากๆให้มนุษย์อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ
    แต่ไม่เก่งทางด้านปฎิบัติ (หัวเราะ)

    คุณชยุตไม่ค่อยมีเวลามาปฎิบัติ
    ใช้เวลาส่วนใหญ่จดจ่อในการหาจากภายนอก และในการแปล
    อาจเรียกว่าปฎิบัติเหมือนกัน แต่ปฎิบัติจากภายนอก แปลภายนอก

    มนุษย์ทั่วไปจะชอบจุดนี้
    เพราะมนุษย์โดยธรรมชาติแล้ว
    อยากรู้อยากเห็น และชอบอ่าน และพึ่งภายนอก
    แต่หากให้กลับหาความรู้จากภายใน หรือ
    ต้องรับผิดชอบเอง
    มนุษย์ไม่ค่อยชอบและไม่สนใจกันเท่าไหร่นัก
    (หัวเราะดังลั่น)

    คนที่ชอบอ่านข้อเขียน หรือ
    ชอบการอธิบายแบบสไตลย์ของผม
    จะเป็นมนุษย์คนละระดับกับกลุ่มของคุณชยุต
    ของผมจะให้พึ่งภายในเป็นหลัก
    และต้องปฎิบัติ
    และ รับผิดชอบชีวิตเอง
    คือให้เป็นผู้ช่วยตัวเอง
    คนที่ชอบแบบนี้
    จะชอบงานเขียนของผม
    และรักงานเขียนของผม
    และเข้าใจงานเขียนของผม
    คือเอาสมองซีกซ้ายและขวามารวมกันและปฎิบัติจริง


    พูดง่ายๆ กลุ่มโน้น ยังไม่สำเร็จ หรือเข้าไม่ถึง
    รู้จากภายนอกแบบผิวเผิน
    รู้ทฤษฎีแต่ไม่มีประสบการณ์ตรง
    ชอบเก็บสะสมความรู้ให้ดูดีดูสวยเป็นระเบียบเรียบร้อย
    นี้เป็นการทำงานของสมองซีกขวา
    หาเหตุหาผลแล้วประมวลความรู้ต่างๆ

    และนิสัยคุณชยุตก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว
    เมื่อค้นหาความรู้จากที่ต่างๆกัน
    เห็นว่ามีหลักฐานมีน้ำหนักที่จะเชื่อได้ก็เลยสรุปว่า
    น่าจะถูกและเชื่อ
    และหากใครมามีความคิดเห็นขัดแย้ง
    ก็จะเถียงแบบหัวชนฝา (หัวเราะ)
    โดยการอ้างอิงจากที่โน้น ที่นี้
    แล้วแต่ที่สามารถหามาได้เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า
    "ผมถูกนะ"
    นี้เขาเรียกกันว่า
    เป็นการเล่นเกมส์ พึ่งพาอ้างอิงจากภายนอก (หัวเราะดังลั่น)

    ไม่มีอะไรผิดหรือถูกครับ ทุกๆอย่างๆถูกหมดเลย
    จักรวาลอนุญาติทุกๆอย่างให้เล่นตามชอบใจ
    ในโรงเรียนโบราณพวกเราเรียกกันว่า
    พวกนี้รู้ไม่จริงเรียกให้ดูดีหน่อยหนึ่งว่า "นักปรัชญา" (หัวเราะปรบมือ)

    ผมพูดไปถึงไหนแล้วครับเนี้ยะ
    อ๋อจำได้แล้ว (หัวเราะดังลั่น)

    และนี้อีกหนึ่งตัวอย่าง
    หากพวกเราเคยอ่านหนังสือพวกจิตวิทยา หรือ พลังจิต
    หนังสือพวกเดอะซีเคล็ดที่โด่งดังกันนั้นแหละครับ
    พวกเขาทั้งหลายได้เขียนความรู้ เหมือนกันหมดว่า
    "ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก สร้างชีวิต"
    ใช่ไหมครับ ???
    คนเขียนและคนอ่าน รู้ความรู้นี้จากภายนอกกัน
    เข้าใจกันแต่ภายนอก
    มีน้อยคนเข้าใจจริงๆ
    หากเข้าใจจริงๆแล้วก็จะประสบความสำเร็จกันทุกๆคน
    แต่ส่วนใหญ่มีน้อยคนที่ประสบความสำเร็จ
    ที่ทำให้ความคิด เป็นความเชื่อ และสร้างโลกชีวิตส่วนตัวกันจริง
    ใช่ไหมครับ ???
    ใช่ครับ (หัวเราะดังลั่น)

    แต่ทีนี้มาดูหนังสือพวก
    "สนทนากับพระเจ้า หรือ ความรู้จากโรงเรียนโบราณ"
    ก็สอนและพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันว่า
    "โลกและชีวิตส่วนตังของพวกเรา
    สร้างมาจากความคิดและความรู้สึก ความเชื่อของพวกเรากันเอง"
    ฟังดูให้ดีๆนะครับ
    เป็นความรู้ที่พูดมาเหมือนกันเป็ะๆเลยใช่ไหมครับ (หัวเราะปรบมือ
    ผมมาเมืองไทย
    ผมมาเจอภาษาไทยใหม่ๆ
    เลยมาประยุกต์ใช้
    ผมใช้ถูกใช่ไหม ... เป๊ะๆๆ (หัวเราะปรบมือดังลั่น ฮากันดังลั่น)

    โอเคครับ
    กลับมาประเด็นเดิม
    เดี่ยวไม่งั้นผมออกนอกเรื่องอีก (หัวเราะดังลั่น)

    โรงเรียนโบราณ หรือ หนังสือ สนทนากับพระเจ้า
    จะพูดสิ่งเดียวกัน และความรู้เดียวกัน
    แต่ต่างจากหนังสือพวกจิตวิทยา และหนังสือเดอะซีเคล็ด
    ตรงที่ว่า
    ผู้รู้แจ้งเห็นจริง
    รู้มาจากภายใน แล้ว
    ให้ความรู้จากภายใน หรือ
    เข้าใจจากภายใน
    จากประสบการร์ตรง
    แต่ พวกหนังสือจิตวิทยาหรือ หนังสือพวกเดอะซีเคล็ด
    เข้าใจจากภายนอก เท่านั้น
    เห็นข้อแตกต่างกันไหมครับ ???

    ผู้ที่รู้แจ้งจากภายใน
    พวกเขาต้องฝึกการมีสติ และการวิปัสสนา
    การทำสมาธิมาอย่างยาวนาน
    จนสุดท้ายค้นพบความจริง
    และสรุปสั้นๆว่า
    "ความคิด และความเชื่อ สร้างโลกและชีวิตส่วนตัว"
    แต่ผู้ที่ไม่ตรัสรู้หรือไม่รู้แจ้งจากภายใน
    หรือไม่มีประสบการร์ตรงด้วยตนเอง
    แต่อาศัยการอ่าน และการค้นคว้ามามาก
    เอาความรู้นั้นไปเขียนไปใช้
    และความเข้าใจและมุมมองต่างกันไป

    นี้ไงครับเขาเรียกว่า
    ความรู้เดียวกัน
    พูดออกมาเหมือนกัน
    แต่ความหมายและความเข้าใจต่างกัน

    ผู้รู้แจ้งรู้จริง
    รู้ลึกจากภายในเลยถ่ายทอดมาได้เป็นฉากๆๆเลย

    ส่วนผู้รู้ไม่จริง ก็รู้เหมือนกัน
    ใช้คำพูดเดียวกันแต่รู้เฉพาะผิวเผินภายนอกเท่านั้น
    การอธิบายก็เป็นฉากๆเหมือนกัน
    โดยอาศัยการอ้างอิงจากภายนอก (หัวเราะดังลั่น)

    ทีนี้เข้าใจลึก
    และซึ้งกว่าก่อนไหมครับ ???

    เอาอีกแล้วผมยังไม่ได้ตอบเรื่อง "กาลเวลา" เลย
    เดี่ยวกลับมาตอบกันนะครับ
    ขอพักสัก 5นาที
    ใครอยากเข้าห้องน้ำ หรือทำธุระส่วนตัวตามสบายเลยครับ
    เจอกันอีกห้านาที

    {ยังมีคำตอบต่อภาคสอง
    เพราะคำถามที่ถามยังไม่ได้ตอบที... อิอิอิ}


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2012
  7. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    35 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    คำตอบภาคสอง

    อวตารบอย:
    เอาล่ะครับ !!!
    สวัสดี และต้อนรับทุกๆคนกลับมาอีกครั้ง
    หลังจากพักกันมากว่า 10 นาที สบายตัวกันนะครับ

    กลับมาเรื่อง"กาลเวลา" TIME กัน
    ปีนั้นปี 2008 ตรงกับปีของไทยอะไรครับ ???
    โอเค
    ปีของไทยคือปี 2551 ใช่ไหมครับ ???

    โอเค
    ปีนั้นมีกระทู้เดียวในเวปพลังจิตที่ผมเห็นว่า
    มีการถ่ายทอดเรื่องจิตวิญญาณได้อย่างมีคุณค่า
    ในกระทู้นั้นมีคุณมีด MEAD เป็นหัวหน้า และนิสัยดีมาก
    มีอัทยาศัยดีเยี่ยม
    และมีความรู้เรื่องจิตวิญญาณที่เรียกว่าใช้ได้เลยทีเดียว
    รวมทั้งเป็นคนเปิดอกเปิดใจกับความรู้ใหม่ๆ
    เสียอย่างเดียวคือ
    คุณมีด ยังไม่มีประสบการณ์ตรงที่มากพอ ยังน้อยมากๆ
    และส่วนใหญ่เป็นความรู้ทางทฤษฎีเสียมากกว่า
    และความคิดของคุณมีดยังอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า จำกัด

    ผมขอให้พวกเราจำไว้ให้ดี
    ผมเอ่ยชื่อใครไป
    ผมไม่ได้ตั้งใจว่าคนนั้น หรือ คนนี้นะครับ
    แต่พูดจากการสังเกตุและรู้ของผม
    เพื่อเป็นการศึกษา และตอบคำถามเท่านั้น

    ตอนนั้นกลุ่มคุณมีด
    หรือ ห้องวิทย์
    หรือ กลุ่มโนวา อนาลัย NOVA ANALAI
    ถกเถียงเรื่อง "กาลเวลา" TIME กัน
    ผมเห็นว่านักเรียนห้อง กลุ่มโนวา อนาลัย
    ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกาลเวลาที่ "โนวา อนาลัย" ได้สอนไป
    ผมเลยเข้าร่วมแจมด้วย

    พูดง่ายๆว่า
    ผมเสือกเข้าไปแจมด้วย
    แต่เสือกเข้าไปแจมด้วยความตั้งใจดีนะครับ (หัวเราะกันดังลั่น)

    ผมต้องการให้พวกเขารู้ว่า
    กาลเวลาไม่มีอยู่จริง
    เป้นแค่เพียงภาพลวงตา ในโลกมายาเท่านั้นเท่านั้น
    ซึ่งคนทั่วไปเมื่อไม่เคยฝึกสมาธิ
    จะไม่เข้าใจกับคำว่า
    "ไม่มีกาลเวลา มีแต่ที่นี้ และ เดี่ยวนี้เท่านั้น"
    ดังนั้นการอธิบายเรื่องที่ผู้ตรัสรู้ เข้าใจแล้วเป็นการยากมาก
    ต้องทำสมาธิเอง ฝึกเอง แล้วเห็นเอง เข้าใจเอง

    แต่ผมสามารถยกตัวอย่าง
    ให้มันง่ายขึ้นแก่คนธรรมดาทั่วๆไป
    สามารถเข้าใจได้ในระดับสติปัญญาระดับหนึ่ง
    นั้นคือ
    ตัวอย่างการไปดูหนังในโรงภาพยนต์

    พวกเราทุกๆคน
    เคยไปดูหนังกันในโรงภาพยนต์กัน ใช่ไหมครับ ???
    โอเค !!! ทุกๆคนเคยไปดูกัน

    พวกเราเคยสังเกตุไหมว่า
    ฟิล์มหนังที่ฉายกันในโรงภาพยนต์
    ได้ถูกบันทึกไว้หมดเรื่องแล้ว
    ตั้งแต่เริ่มต้น กลางเรื่อง และตอนจบ
    อดีต ปัจจุบัน อนาคต
    ฟิล์มหนังได้ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว ถูกไหมครับ ???

    เอาล่ะทีนี้ !!!
    พวกเราเป็นผู้ดูหนังและไม่เคยดูเรื่องนี้กันมาก่อนเลยนะ
    พวกเราก็มีความอยากรู้อยากเห็น และตื่นเต้นกับ
    เรื่องหนังที่ฉายเป็นอย่างมาก
    "ซื้อตั๋วจ่ายเงินกันมาแล้วนะครับ
    ไม่ใช่มานั่งหลับใน ในโรงภาพยนต์กันนะครับ" (หัวเราะกันฮาครืน)

    สมมุติว่า
    หนังเริ่มเรื่องจาก นางเอก เกิดเป็นทารก
    แล้ว ก็เวลาเปลี่ยนไป ก็เป็นวัยรุ่น
    มีประสบการณ์ชีวิตต่างๆมากมาย
    ได้ไปเที่ยว หลายสถานที่ต่างๆกันไป
    ช่วงปีใหม่ บ้าง สงกรานต์ บ้าง
    แล้วเรียนจบ และหางานทำ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
    แล้วก็เวลาผ่านไปเริ่มมีแฟน ต้องทำงาน
    จนในที่สุดมีสามี และมีลูกที่น่ารักมาเชยชม สองคน
    เวลาผ่านไป ลูกๆก็เติบโต
    และ นางเอกเริ่มแก่ตัวลง สามีนอกใจ
    นางเอกก็อยู่ตัวคนเดียว ด้วยความทุกข์
    จนในที่สุด ตายจากโลกนี้ไป

    เนื้อหาหนังเรื่องนี้ เน่าสุดๆไหมครับ ???
    อืม เน่าจริงๆเลยนะครับ ??? (หัวเราะดังลั่น)
    แต่ไม่เป็นไร
    นั้นเป็นตัวอย่างของหนังที่ผมจะโยงมายังเรื่อง "กาลเวลา"

    สังเกตุกันไหมครับ
    ตอนที่พวกเรากำลังดูภาพยนตร์กันอยู่นั้น
    พวกเราลืมทุกๆอย่างเลยใช่ไหม ???
    หนังเริ่มที่เวลา นางเองเกิด
    พวกเราก็ตั้งใจจดจ่ออินกับเรื่องมาก
    เลยคิดไปว่าเวลานั้นมีจริงๆ
    แล้ว เรื่องดำเนินต่อไปเป็น นางเอกเป็นวัยรุ่น
    ตอนนั้นที่พวกเรากำลังดูกันอยู่
    พวกเราก็เคลิ้มไปกับกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
    และเวลานั้นพวกเราคิดว่าเวลามีอยู่จริง
    ในหนังนางเอกเริ่มเป็นผู้ใหญ่
    พวกเราก็อินไปกับเรื่องในหนัง
    พวกเราอินไปกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปของชีวิต นางเอก
    แล้ว เมื่อนางเอกมีสามีและลูก
    และ ในที่สุด
    นางเอกก็หย่ากับสามีและตายไปในที่สุด
    พวกเราที่กำลังดูหนังเรื่องนั้น
    ก็อินไปกับกาลเวลาในหนังกัน ใช่ไหมครับ ???
    มีอดีต ตอนนางเอกกำลังเป็นเด็กๆ
    เป็นวัยรุ่น ในปัจจุบัน
    แล้วในอนาคต นางเอกก็ตายไป

    ทีนี้กลับมาดูหนังฟิล์มม้วนนั้นกันอีกทีครับ
    เรื่องราวของนางเอก จากอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
    เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมครับ ???
    แสดงว่า
    เวลาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ เวลานี้ ตอนนี้
    ในฟิล์มม้วนนั้น นั้นเอง !!!

    เวลาจริงๆแล้ว ไม่มีครับ
    มีแต่ที่นี้และเดี่ยวนี้ HERE and NOW
    แต่ที่พวกเราคิดว่าเวลามีอยู่จริงๆ
    เป็นเพราะพวกเรา ลืมตัวเราเองไป
    ลืมสังเกตุ ไม่มีสติ
    พวกเราหลงลืมเล่นไปกับเรื่องที่เราดู
    มันดูเหมือนว่า
    เวลาเปลี่ยนไป จากอดีต เป็นปัจจุบัน และ อนาคต

    ทีนี้
    ย้อนกลับมาดูชีวิตของพวกเรากันเองสิครับ
    ตื่นเช้ามา กำลังอาบน้าอยู่
    แต่ในใจนึกขึ้นได้ว่ามีนัดหมายต้องไป
    ทำธุระที่โรบินสัน สาขาบางกะปิพรุ่งนี้
    และนึกขึ้นได้ว่า
    เมื่อวานอดีต เคยไปตีกอล์ฟกับพี่จุ๊บแจงที่สวนสยาม
    เดี่ยวสัปดาห์หน้า
    ต้องไปทานอาหารเย็นกับน้องเอกสุดหล่อที่เชียงใหม่

    นี้คือชีวิตของพวกเรากันเอง
    เรื่องจริงๆไม่ต้องอิงหนังและนิยายกันเลย
    พวกเราเล่นและหลงลืมตัวเราเอง
    เราเป็นผู้เล่นเรื่องราวต่างๆในชีวิตของพวกเรา
    และเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
    จากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    จนพวกเราคิดว่าเวลามันมีอยู่จริงๆ
    ในชีวิตจริงๆของพวกเรา พวกเราเล่นกันจนเพลินไงครับ !!!
    พวกเราอินมากๆกับเรื่องราวในชีวิตของพวกเราเอง !!!

    ทำอย่างไรล่ะ
    ให้เห็นว่าจริงๆแล้วไม่มีกาลเวลา ???
    จะให้ทำอย่างไรล่ะครับ !!!
    ก็หยุดการเล่นสิครับ
    แต่จะให้หยุดการเล่นได้อย่างไรล่ะ ???
    นี้คือชีวิตจริงๆนะ
    "บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ แถมมีกิ้กต้องเอาใจด้วย
    จะให้หยุดเล่นบทบาทในชีวิตได้ไงกัน"
    (หัวเราะกันฮาอีกแล้ว)

    "นี้คือชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ในหนังในละครทีวีนะจะบอกให้"
    (หัวเราะดังลั่นสุดๆ)

    คำตอบคือ
    ตอนเล่น ต้องมีสติรู้ตัวสิครับ
    สังเกตุความคิด
    การกระทำ เรื่องราว ที่เกิดขึ้นในชีวิต
    สักพักพวกเราจะเข้าใจเองว่า
    อ๋อ ที่แท้
    อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต อยู่ที่นี้ เดี่ยวนี้ เท่านั้น
    จริงๆแล้วไม่มี อดีต หรือ อนาคต
    พวกเราเล่นกันเพลินในการเป็นมนุษย์
    เลยหลงไปกับเวลา นั้นเองครับ!!!

    นี้คือโลกมายา
    สำหรับผู้ยังไม่ตื่น
    ยังหลงในมายาของชีวิต กาลเวลาเลยมีอยู่จริง
    สำหรับผู้ที่ตื่นรู้แจ้งแล้ว
    ไม่มีกาลเวลา มีแต่ที่นี้ เดี่ยวนี้ เท่านั้น

    จักรวาลหลอกพวกเราเก่งไหมครับ ผู้ฟังที่รักทุกๆท่าน ???
    เก่งครับ !!! (หัวเราะกันดังลั่น และปรบมือ)


    {หมายเหตุ: ทั้งหมดเป็นความรู้ ความคิดและความเชื่อ และ การดำเนินชีวิต
    ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งบนโลกของพวกเรา
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย}


    [​IMG]
     
  8. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    36 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    หากไม่มีกาลเวลา
    และอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกิดขึ้นพร้อมกันหมดที่นี้ และเดี่ยวนี้
    แสดงว่าประวัติศาสตร์โลก
    จากอดีต และโลกหลังปี 2555 และโลกมิติที่5
    ก็เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วนะสิครับ ???

    ตอนนี้ปี 2553 ยังอีก 2 ปี ใกล้ปี 2555
    พวกเราควรเตรียมตัวอย่างไรดีครับ ???
    อวตารบอย:
    อ่า !!! สุดยอดไปเลย !!!
    เป็นคำถามที่สุดยอด
    และเป็นคำตอบที่สุดยอดไปในตัวเองเรียบร้อย

    เมื่อพวกเรา
    สามารถเอาใจออกนอกกาลเวลา
    หรือ จิตพ้นกาลเวลาได้แล้ว
    จิตที่ออกมาจากช่องว่างและระยะทาง
    สามารถเห็นได้ว่าไม่มีกาลเวลา
    มีแต่ที่นี้และเดี่ยวนี้

    โลกมนุษย์
    ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
    รอเวลาและการแสดงออกมาเป็นจริงบนโลกมนุษย์กันครับ

    โลกก่อนยุคแอตแลนติส ได้เกิดขึ้นแล้ว
    โลกในยุคเวลาแอตแลนติส ได้เกิดขึ้นแล้ว
    โลกยุคปัจจุบัน ได้เกิดขึ้นแล้ว
    โลกหลังปี 2012 ได้เกิดขึ้นแล้ว
    โลกเปลี่ยนจากมิติที่ 3 สู่โลกมิติที่ 5 ได้เกิดขึ้นแล้ว
    จะมีการเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ๋
    พลังงานเก่าๆในโลกมิติที่ 3จะหมดไป
    พวกเราจะเห็นว่ามีการเกิดภัยพิบัติต่างๆ
    และ อาจมีคนลาจากโลกกันเยอะๆ
    ดวงอาทิตย์อาจหยุดส่องแสง
    เข้าสู่ความมืดสักหนึ่งสัปดาห์
    เป็นการปรับปรุงพลังงานใหม่
    เมื่อพลังงานใหม่เข้ามา
    คือพลังแห่งความรักอย่างไร้เงื่อนไขเข้ามา
    โลกจะเข้าสู่มิติที่ 5 ก็ได้ เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
    และโลกจะอยู่ได้อีกหลายพันปีในมิติที่5
    จากนั้น โลกก็จะวิวัฒนาการกันต่อไป
    โลกอนาคตหลังปี 2555 ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ทุกๆอย่างได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในโลกจิตวิญญาณ

    จริงๆแล้วไม่มีอะไรใหม่
    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเรื่องราวต่างๆบนโลกมนุษย์
    ออกมาเป็นส่วนๆ ย่อยๆ เป็นแต่ละเวอร์ชั่น
    เท่านั้นเอง
    พวกเราคือจิตวิญญาณ
    เป็นผู้เล่นและหาประสบการร์การเป็นมนุษย์ กันบนโลกมนุษย์

    โรงเรียนโบราณ
    รู้กันมานานแล้วว่าโลกจะเปลี่ยน
    จากมิติที่ 3 สู่มิติที่ 5 มายี่สิบกว่าปีแล้วครับ
    เพราะฉนั้นไม่มีอะไรใหม่
    เป็นการเล่นของโลกและจักรวาล
    "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป"
    หมุนเวียนกันไป
    เมื่อยุคเก่าถึงจุดสุดยอด ยุคใหม่ก็เข้ามาแทนที่
    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่เป็นอมตะ
    ตลอดกาลและตลอดไปคือ
    "ความว่างเปล่า ความไม่มีอะไรเลย"
    และจิตวิญญาณของพวกเรา

    อย่าไปตื่นตระหนก หรือ กลัวกันมากนักครับ
    ไม่มีอะไรน่าวิตกหรือกังวล
    ตอนช่วงใกล้ สิ้นปี2012
    จะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่สำคัญต่างๆ
    เมื่อเวลานั้นมาถึงขอให้พวกเราอยู่ในปัจจุบัน
    และจดจำประสบการณ์ที่เกิดขึ้น

    จิตวิญญาณของพวกเราที่อยู่ในร่างมนุษย์
    ต้องการมาหาประสบการณ์ และเก็บความรู้สึกว่า
    ตอนที่โลกกำลังเปลี่ยนจากมิติ 3 สู่มิติ 5 เป็นอย่างไร
    เหตุการณต่างๆจะสงบเข้าที่ เมื่อโลกสู่มิติที่ 5
    การดำเนินชีวิตของจิตวิญญาณก็ดำเนินกันต่อไป

    เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง
    จากมิติ 3 สู่ 5 ก็หมดไป
    และเหลือไว้เป็นความทรงจำครั้งหนึ่ง ของพวกเรา
    เมื่อพวกเราแก่ตัวลง
    พวกเราสามารถบอกแก่ลูกๆหลานๆได้ว่า
    ครั้งหนึ่งโลกเคยเป็นมิติที่ 3 นะ
    แล้วพวกเราสามารถบอกคนรุ่นใหม่ และต่อๆไปได้ว่า
    โลกมิติที่ 3 เป็นอย่างไร และ
    ตอนเกิดการเปลี่ยนจากมิติ 3 เข้าสู่ 5 เป็นอย่างไร
    พวกเราทุกๆคนสามารถเก็บประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งในชีวิต
    และเป็นสักขีพยานแก่คนรุ่นใหม่

    เพราะฉนั้นจดจำทุกๆอย่างในโลกมิติที่ 3กันให้ดีนะครับ
    จดจำไว้เป็นความทรงจำในจิตวิญญาณ ตลอดกาลและตลอดไป

    ขอให้สนุกกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
    ช่วงใกล้สิ้นปี 2555 และหลังปี 2555 กันนะครับ

    {หมายเหตุ: ทั้งหมดเป็นความรู้ ความคิดและความเชื่อ และ การดำเนินชีวิต
    ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งบนโลกของพวกเรา
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย}



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2012
  9. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    37 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    สมาชิก:
    ผมได้อ่านหนังสือ "ความลับของโรงเรียนโบราณ" เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
    ผมอยากให้พี่อวตารบอย
    เล่าเรื่องจุดต้นกำเนิด ก่อนโลก จักรวาลเกิดขึ้น และ
    หลังจากที่พวกเราตายไปแล้วจะไปไหน
    โรงเรียนโบราณสอนเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ ???
    อวตารบอย:
    ผมได้เขียนบอกไว้ในหนังสือ อีบุ๊คนั้นแล้วครับ
    แต่มีหลายเรื่องผมยังไม่ได้เขียนไว้
    ที่ผมเขียนไว้ ส่วนใหญ่เป็นเบสิค พื้นฐานเท่านั้น
    หนังสืออีบุ๊คนั้นจริงๆแล้วยังไม่สมบูรณ์พร้อม 100%

    การอธิบายเรื่องจุดกำเนิดของทุกๆสิ่ง
    ต้องใช้เวลายาวนาน ทั้งวันก็พูดกันใหม่หมดครับ (หัวเราะ)
    ผมจะสรุปย่อๆสั้นๆแบบง่ายๆ แบบเด็กๆให้ฟังก็แล้วกัน
    และไขลับคำตอบที่พวกเราถามและสงสัย
    มาหลายยุคหลายสมัย เป็นเวลายาวนาน

    เอาล่ะ
    ผมจะอธิบายจากความรู้ของจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง
    และแบบมุมมองสไตลย์ของโรงเรียนโบราณ
    มนุษย์ยุคแอตแลนติสและลูเมอเรีย ที่เขารู้กันมายาวนาน

    จุดเริ่มต้นของทุกๆสิ่งเริ่มมาจากความไม่มีอะไรเลย หรือความว่างเปล่า
    ในความว่างเปล่ามีศักยภาพแห่งการเป็นไปได้มากมายไม่มีขีดจำกัด
    พวกเราทุกๆคน และทุกๆสิ่งอยู่ในความว่างเปล่า
    แบบไม่มีตัวตน แบบเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า
    เพราะฉนั้นพวกเราทุกๆคนและทุกๆสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันในความว่างเปล่า
    พวกเราอาจเคยได้ยิน ใช่ไหมที่มีคำพูดว่า
    "ทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน"
    นี้แหละ มาจากจุดเริ่มต้นนี้แหละครับ

    ทีนี้วันหนึ่ง
    ความว่างเปล่าต้องการรู้จักตัวมันเอง
    ต้องการเรียนรู้ และ หาประสบการณ์ตัวมันเอง
    หากความว่างเปล่ายังคงเป็นความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น
    ความว่างเปล่าจะรู้จักตัวมันเองได้ไหมครับ ???
    ทำไม่ได้ ใช่ไหมครับ
    เพราะทุกๆอย่างมันว่างหมด ไม่มีอะไเลย !!
    และทุกๆอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า
    ฉนั้นทำอย่างไรให้ความว่างเปล่า รู้จักตัวมันเอง ???
    มันต้องแยกตัวมันเองออกมา ถูกไหมครับ ???
    หากความว่างเปล่ายังอยู่อย่างนั้น
    มันก็ไม่สามารถรู้จักตัวมันเองเลย ถูกไหม ???

    แล้วทำอย่างไรให้ความว่างเปล่าแยกตัวมันออกมาได้ ล่ะครับ ???
    ความว่างเปล่าไม่มีแขน ไม่มีขานะครับ
    ความว่างเปล่าทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากกลับเข้าภายใน
    คิด พินิจจารณาตัวความว่างเปล่าเอง
    แต่สิ่งมหัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น
    ที่หลุดออกมาจากความว่างเปล่า
    มีลักษณะเป็นแสงสว่าง
    และแสงสว่างนี้แหละ
    เรียกว่าจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ อาจเรียกว่าพระเจ้าสูงสุด

    ทีนี้ จิตวิญญาณที่เป็นแสงสว่าง หรือเรียกกันว่าพระเจ้า
    ที่หลุดออกมาจากความว่างเปล่า
    ก็ต้องหาทางช่วยให้ความว่างเปล่าสมความปราถนา
    ว่าทำอย่างไรให้ความว่างเปล่า รู้จักตัวมันเอง
    จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ พระเจ้าสูงสุด ที่เป็นหนึ่งเดียว
    ก็สร้าง และแบ่งแยกจิตวิญญาณต่างๆออกมา
    อย่างมากมายนับไม่ถ้วนกันเลย
    จากหนึ่งดวงแห่งจิตวิญญาณ
    ก็แบ่งแยกออกมามากมายนับไม่ถ้วน
    และจิตวิญญาณพวกเราทุกๆคนก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ทีนี้กลับมาดูที่จิตวิญญาณของพวกเรากัน
    พวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์
    ถูกไหมครับ ???
    จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่า
    ไม่ว่าจะขยายสร้างเพิ่มมากมายเท่าไหร่
    ก็มาจากจุดเดียว คือความว่างเปล่า
    ดังนั้นทุกๆอย่างก็เป็นการขยายหรือถูกสร้างมาจาก
    ต้นกำเนิดหรือความว่างเปล่านั้นเอง

    จิตวิญญาณของพวกเรา
    ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมีวัตถุประสงค์เดียวนั้นคือ
    "ช่วยให้ความว่างเปล่ารู้จักตัวมันเอง"
    ช่วยให้ความเป็นไปได้มากมาย
    ที่อยู่ในความว่างเปล่าที่หลับไหลอยู่ออกมา
    จิตวิญญาณแต่ละดวง
    มีความสามารถคิดและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ

    ตอนเริ่มต้น
    ก็มีการสร้างสถานที่ หรือผมเรียกว่าสวรรค์นะ
    ที่มีความหนาแน่นน้อยสุด และมีพลังงานสูงสุด
    มีการเพิ่ม เวลา ช่องว่าง ระยะทาง เข้าไป
    รวมทั้งสร้างสิ่งต่างๆมากมาย
    และมีการสร้างร่างกายเนื้อละเอียดหรือโปร่งที่สุด
    ผมขอเรียกว่า นี้คือ สวรรค์ชั้น 7 ก็แล้วกัน
    แต่ละดวงจิตวิญญาณก็เข้ามาสวมร่างกายเนื้อละเอียดนี้
    และมาเล่น มาหาประสบการณ์
    เพื่ออะไร ล่ะครับ ???
    จะเพื่ออะไรอีกล่ะครับ ???
    เพื่อให้ความว่างเปล่ารู้จักตัวมันเอง ไงครับ !!!

    หลังจากนั้น
    ก็มีการสร้างกันมาเรื่อยๆ
    เป็น สววรค์ ชั้น หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง
    แต่ละสววรค์ยิ่งต่ำลงมาเท่าไหร่
    พลังงานก็ลดต่ำลงมาเท่านั้น
    ความหนาแน่นมากด้วย
    เวลา ช่องว่าง และระยะทางก็มากเพิ่มขึ้นไปด้วย
    ร่างกายเนื้อก็หนาแน่น หรือ หยาบไป ตามลำดับ

    สวรรค์ชั้นหนึ่ง
    พวกเราเรียกกันว่าโลกมนุษย์
    มีพลังงานต่ำสุด
    มีความหนาแน่นมากที่สุด
    เวลา ช่องว่าง และระยะทางก็มากที่สุด
    และร่างกายมนุษย์ก็หยาบมากที่สุด
    เมื่อเปรียบเทียบกับสวรรค์ชั้นอื่นๆ

    ทุกๆจิตวิญญาณ
    ที่อยู่ชั้นบนสุดสามารถมองเห็นชั้นล่างสุด
    ทุกๆจิตวิญญาณ
    ที่อยู่ชั้นล่างไม่สามารมองเห็นชั้นบนสุด

    นั้นหมายความว่า
    จิตวิญญาณที่อยู่ชั้นสวรรค์ 7
    สามารถมองเห็นทุกๆชั้นที่อยู่ข้างล่าง
    จิตวิญญาณที่อยู่ชั้นหก
    ไม่สามารถมองเห็นสวรรค์ชั้น7
    แต่สามารถมองเห็นทุกๆชั้นที่อยู่ชั้นล่าง

    ฉนั้นสวรรค์ชั้นหนึ่งคือโลกมนุษย์
    เป็นชั้นต่ำสุด
    จึงไม่สามารถเห็นสวรรค์ชั้นอื่นๆที่อยู่บนสุดเลย
    นอกจากต้องใช้ตาวิเศษ
    เคยได้ยินไหม ที่เรียกกันว่า "ตาวิเศษเห็นนะ" (หัวเราะดังลั่น)

    ผมขอให้พวกเรา
    จำรายละเอียดและคุณสมบัติของสวรรค์แต่ละชั้นกันให้ดีนะครับ
    เพราะคำถามทุกๆอย่าง
    ที่พวกเราเคยสงสัยในชีวิตและจักรวาล และโลกหลังความตาย
    สามารถตอบแบบง่ายๆให้เข้าใจ
    ในระดับสมองมนุษย์ทั่วๆไป
    ด้วยโมเดลปิระมิด PYRAMID MODEL นี้แหละครับ

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม
    ผู้รู้แจ้งในยุคอียิปต์สร้างปิระมิดกันขึ้นมา
    ไม่ได้สร้างขึ้นมาเล่นๆ นะครับ (หัวเราะ )
    แต่เป็นการสร้าง
    เพื่อเก็บความลับสุดยอดแห่งจักรวาลเอาไว้
    เพื่อบอกต่อมนุษย์รุ่นหลัง
    เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจุดเริ่มต้น และ จักรวาล และจิตวิญญาณ

    เอาล่ะยังมีต่อ
    ผมขอเบรคสักห้านาที
    ใครกระหายน้ำดื่มน้ำให้หายชื่นใจกันครับ
    เมืองไทยอากาศร้อนมากเลย (หัวเราะ)

    แล้วผมจะกลับมาอธิบายต่อไปอีกมากมาย
    วันนี้พวกเราไม่ต้องถามอะไรกันมากมาย
    ผมจะสรุปสั้นๆ
    แล้วพูดเราสามารถตอบคำถาม
    ที่พวกเราสงสัยกันมายาวนาน
    เอาเองจากปิระมิด
    ดีไหมครับ ??? ( หัวเราะและปรบมือกันดังลั่น ด้วยใจจดใจจ่อ)

    {ผมได้แปลบทความนี้ และ
    ไปหารูปภาพเรื่องปิระมิดมาให้พวกเราที่อ่านกันได้เห็นภาพ
    ที่เป็นภาษาอังกฤษอย่าไปอ่านนะ
    ผมพิมพ์ข้อความที่เป็นไทย
    "พระเจ้าสูงสุด Point Zero ความว่างเปล่า" และตัวเลข "1 - 7"
    เพื่อให้พวกเราที่อ่านไปได้ดูภาพและเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น
    ภาพปิระมิดประกอบอยู่ข้างล่างนี้แล้วครับ ดูเป็นตัวอย่างเสริมการอ่านเพื่อความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น}


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤศจิกายน 2012
  10. Pichart

    Pichart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +21
    เข้ามาให้กำลังใจครับ เดี่ยวมาอ่านต่อ
     
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ไม่ใช่ครับ..ผมไม่รู้จักคุณอวตารบอย. ช่างเถอะๆ ผมคงจำคนผิด
     
  12. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    37 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    คำตอบภาคสอง

    อวตารบอย:
    โอเคครับ
    กลับมาต่อภาคสอง (หัวเราะ)
    ที่เห็นจากปิระมิดโมเดล
    จุดสูงสุดคืออะไรครับ ???
    พระเจ้าสูงสุด หรือ จิตวิญญาณบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์
    หรือ พวกนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียกกันว่า POINT ZERO

    สวรรค์ชั้น 7 อยู่บนสุด
    และมีช่องว่าง ระยะทาง และเวลา น้อยสุด
    ถูกต้องไหมครับ ???

    สวรรค์ชั้น 1 ที่พวกเราอยู่นี้
    มีช่องว่าง ระยะทาง และเวลา ยาวมากที่สุด
    โอเคไหมครับ ???

    ดังนั้นไม่ต้องสงสัยกันเลยว่า
    สวรรค์ชั้น 7
    หากจิตวิญญาณคิดจดจ่อสิ่งใด
    สิ่งนั้นก็ปรากฎรวดเร็วทันใจ ถูกไหมครับ ???
    ถูกครับ (หัวเราะ)
    แล้วสววรค์ชั้นไหน ???
    เมื่อจิตวิญญาณคิดจดจ่อสิ่งใด เกิดปรากฎช้ามากที่สุด
    ใช่แล้วครับ !!!
    สวรรค์ชั้นที่พวกเราอยู่กันนี้เอง
    พวกเราเคยสังเกตุไหม
    พวกเราเคยคิดจดจ่อนานมากแล้ว
    10 ปีที่แล้วโน้น
    เพิ่งมาโผล่ให้พวกเราได้เห็นกัน
    นานมากจนพวกเราลืมกันไปแล้วว่า
    พวกเราเคยคิดอะไรไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (หัวเราะกันดังลั่น)

    นี้แหละครับ
    บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของพวกเรา
    พวกเราไม่เชื่อว่ามาจากความคิดของพวกเราเอง
    เพราะสวรรค์ชั้นที่เราอยู่
    เมื่อพวกเราคิดสิ่งใด สิ่งนั้นจะปรากฎช้าที่สุด
    พวกเราเลยคิดว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับพวกเรา
    มาจากพระเจ้าภายนอก หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
    แต่หาใช่เลย
    มาจากความคิดของพวกเรานานมามากแล้ว
    พวกเราลืมไปนานแล้วว่าพวกเราคิดอะไรในแต่ละวัน
    ไม่ต้องพูดถึงเมื่อ10ปีที่แล้ว (หัวเราะกันดังลั่น)

    นี้เป็นโมเดลปิระมิด
    ใช้ในการอธิบายให้ทุกๆคนเข้าใจกันได้
    ง่ายๆ สั้นๆที่สุด และเร็วที่สุด
    เกี่ยวกับต้นกำเนิด พระเจ้า จักรวาล และจิตวิญญาณ

    ทีนี้สวรรค์แต่ละชั้นก็มี
    พลังงาน คลื่นความถี่ ความหนาแน่น ENERGY FREQUENCY DENSITY
    ช่องว่างระหว่าง ระยะทาง เวลา SPACE TIME
    ก็แตกต่างกันไป
    ถูกไหมครับ ??? ใช่แล้วครับ !!!

    สำหรับร่างกาย
    ที่ใช้เล่นและหาประสบการร์ต่างๆแต่ละชั้น
    ก็มีความหยาบและหนา ต่างๆกันไปใช่ไหมครับ ???
    สววรค์ชั้นไหน
    ที่มีความโปร่งของร่างกายและละเอียดที่สุดครับ???
    ใช่แล้วครับ !!!
    สวรรค์ชั้นเจ็ดจะมีร่างกายที่
    เบา โป่ง สว่าง และ ใส มีความหนาแน่นน้อยที่สุด !!
    พวกเราเคยได้ยินคำโบราณที่บอกพวกเรากันว่า
    "กายทิพย์" ไหมครับ
    อ่า... นั้นแหละ!!!
    กายทิพย์มีแสงอ่อร่าแปร่งประกาย
    ร่างกายของสวรรค์ชั้นหก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง
    มีความหนาแน่น และโปร่งมากกว่าหรือน้อยกว่า สวรรค์ชั้น 7 ครับ???
    ถูกต้องครับ!!!
    ยิ่งสวรรค์ชั้นต่ำๆลงมา
    ความหนาเเน่นของร่างกายก็หนากว่าชั้นแรกๆ
    และ สวรรค์ชั้นหนึ่งที่พวกเราอยู่กันนี้
    ร่างกายแบบเนื้อหนัง ทึบและหนามากๆ
    และ บางคนก็หนักอึ้งเลย !!! (หัวเราะดังลั่น)
    ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่เบา ไม่ลอย
    เหมือนเมื่อก่อนใช่ไหมครับ ???

    ทีนี้ลองทายกันเล่นๆสิครับ
    สวรรค์ชั้นไหนที่มีจิตวิญญาณหลงลืมตัวเอง
    และหลงไปกับวัตถุมากที่สุด
    ครับผมชั้น 1 นี้แหละครับ
    ที่ทำให้จิตวิญญาณแต่ละดวงเมื่อมาเล่นเป็นมนุษย์
    ลืมตัวตน และยึดติดกับโลกวัตถุมากที่สุด

    ยังจำได้ไหม
    พวกเราทุกๆคยเคยอยู่ในความว่างเปล่า
    และออกมาเป็นจิตวิญญาณ
    ก่อนมีการสร้างโลกและจักรวาลเสียด้วซ้ำ
    พวกเราเคยอยู่สววรค์ชั้น 7กันมาก่อน
    แล้วลงมาเรื่อยๆ หก ห้า สี่ สาม สอง และ หนึ่ง

    และสววรค์ชั้น 1นี้แหละครับ
    ที่ทำให้พวกเราติดเหง็กอยู่กับโลกมายาแห่งวัตถุ
    พวกเราหลงลืมตัวตน
    หลงลืมสวรรค์ชั้นต่างๆ
    หลงลืมจักรวาล
    ยิ่งพวกเราหลงลืม
    พลังงานของพวกเราเริ่มลดต่ำลง
    พลังอำนาจของพวกเราก็เริ่มหดหายไป
    พลังความรู้ก็เริ่มดับลงไป
    สติปัญญาของพวกเราก็น้อยลงจนมีความกลัวมาแทนที่
    พวกเราเลยคิดไปในทางพลังงานแห่งความกลัว
    พลังงานด้านลบมากขึ้น
    เมื่อพลังแห่งจิตวิญญาณของพวกเราน้อยลง
    ทำให้พวกเราต้องใช้กายเนื้อมากขึ้น
    ใช้แรงงานมากขึ้นในการให้ได้มาสิ่งใดสิ่งหนึ่งบนโลกใบนี้

    พวกเราติดและหลงเข้าไปลึกมากๆกับโลกวัตถุ
    พวกเราคิดว่าเป็นโลกจริงๆ
    พวกเราเริ่มการแข่งขัน แบ่งแยก และทำสงครามกับจิตวิญญาณอื่นๆ
    พวกเราหลงลืมว่าทุกๆคนและทุกๆสิ่งมาจากจุดต้นกำเนิดเดียวกัน
    ยิ่งพวกเรามีความกลัว
    พวกเราคิดและเชื่อด้านลบมากขึ้น
    ความคิดของพวกเราเริ่มจำกัดลง
    พวกเราเชื่อการ "เกิดแก่เจ็บตาย"
    พวกเราเชื่อเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น
    พวกเราก็ตายไปจริงๆในที่สุด
    แต่จิตวิญญาณของพวกเราไม่เคยตาย
    มีแต่ร่างกายเนื้อหนังเท่านั้นที่ตายไป

    แล้วพวกเราจะไปไหนหลังจากการตาย ???
    พวกเราหลงลืม ความว่างเปล่า
    พวกเราหลงลืมสวรรค์ชั้นเจ็ด
    พวกเราหลงลืมตัวพวกเราเอง
    สวรรค์หลังจากที่พวกเราตายไปเลยไปติดอยู่ที่
    สวรรค์ชั้น 2 3 4
    ส่วนสวรรค์ชั้น 5 6 7 มีจิตวิญญาณน้อยมากที่ได้ไปถึง

    มาดูปิระมิดโมเดลกันอีกทีครับ
    ฟังผมพูดไปแล้วดูปิระมิดประกอบไปด้วย

    สวรรค์ชั้น 7 การตระหนักรู้ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
    สวรรค์ชั้น 6 การตระหนักรู้ ทุกๆสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว
    สวรรค์ชั้น 5 การตระหนักรู้ ความรักอันไร้เงื่อนไข
    สวรรค์ชั้น 4 การตระหนักรู้ ความสงบสุข
    สวรรค์ชั้น 3 การตระหนักรู้ แห่งอำนาจ การแข่งขัน
    สวรรค์ชั้น 2 การตระหนักรู้ ความกลัว ความผิด ความทุกข์ใจไม่สบายใจ
    สวรรค์ชั้น 1 การตระหนักรู้ การสืบพันธ์และการมีชีวิตรอด (มนุษย์โลก)

    จิตวิญญาณของพวกเรามาเล่นเป็นมนุษย์
    ที่สวรรค์ชั้น 1
    เมื่อพวกเราหลงลืมตัวพวกเราเอง
    หลังจากที่พวกเราตายไป
    พวกเราก็ไปไหนไม่ได้ พวกเราก็ถูกดึงดูด
    ไปยังสวรรค์ ชั้น 2 3 4 5 6 7 ขึ้นอยู่กับว่า
    ตอนที่พวกเราหมดลมหายใจ
    พวกเรามีความคิด และ เชื่อ และ
    มีพลังงานความสั่นสะเทือนระดับใด
    หากก่อนพวกเราตาย
    สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึกกลัว รู้สึกผิดพลาด ความทุกข์ใจไม่สบายใจ
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่ 2
    ที่ๆจิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    หากก่อนพวกเราตาย
    สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึกแห่งอำนาจ การแข่งขัน
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่3
    ที่ๆจิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    หากก่อนพวกเราตาย
    สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึกความสงบสุข
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่4
    ที่ๆจิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    หากก่อนพวกเราตาย
    สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึกความรักอันไร้เงื่อนไขแก่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่5
    ที่ๆจิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    หากก่อนพวกเราตาย สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึก
    ตระหนักรู้ว่า ทุกๆสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว ทุกๆสิ่งคือพระเจ้า
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่ 6
    ที่ๆ จิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    หากก่อนพวกเราตาย สภาวะจิตของพวกเรามีความรู้สึก
    ตระหนักรู้ว่า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
    จิตวิญญาณของพวกเราก็ถูกดึงดูดไปยังสววรค์ชั้นที่7
    ที่ๆจิตวิญญาณอื่นๆมีระดับพลังงานและความถี่เดียวกัน

    ส่วนมาก
    หลังจากที่จิตวิญญาณแต่ละดวงลาจากสวรรค์ชั้น 1โลกมนุษย์
    จะไปยังสวรรค์ชั้น2 3 4 เป็นส่วนมาก
    สำหรับสวรรค์ชั้นที่ 5 6 7มีน้อยมาก
    ที่แต่ละดวงจิตวิญญาณเข้าไปถึง
    เพราะแต่ละชั้นมีพลังงานและความถี่แตกต่างกันไป
    พลังงานเหมือนกันดึงดูดพลังงานระดับเดียวกัน
    กฎแห่งการดึงดูดทำงานของมันอย่างสม่ำเสมอ
    ไม่ว่าพวกเราอยู่สวรรค์ชั้นใดๆ

    หลังจากที่พวกเราอยู่สวรรค์ชั้น2 3 4 หรือ 5
    พวกเราก็ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
    ก็คิดจดจ่อกลับมายังโลกมนุษย์
    ด้วยกฎแห่งการดึงดูด
    "คิดเช่นไร ก็ได้อย่างนั้น"
    จิตวิญญาณของพวกเรา
    ก็ถูกดึงดูดให้มาเกิดอีกครั้ง บนโลกมนุษย์
    และพวกเรายิ่งหลงลืมตัวพวกเราเอง
    และหลงไปยึดติดกับโลกแห่งวัตถุมากขึ้น
    สุดท้ายพวกเราก็ตาย
    และ กลับไปยังสวรรค์ที่พวกเรามีพลังานระดับเดียวกันตอนก่อนตาย
    และหมุนเวียนการเวียนว่ายตายเกิด
    แบบนี้มาหลายร้อย หลายพัน หลายล้านปี
    แล้วแต่ระดับพลังงานแห่งการตระหนักรู้ของแต่ละจิตวิญญาณ

    จริงๆแล้ว
    พระเจ้าไม่ได้สร้างนรก หรือ สวรรค์
    อย่างที่พวกเราคิดกัน
    หากพระเจ้าสร้างพวกเรา
    ที่เป็นจิตวิญญาณเพื่อมาจับผิด และ ลงโทษ นั้น
    แสดงว่าพระเจ้าหรือ จักรวาล ไม่ได้รักพวกเรา
    ธรรมชาติของพระเจ้า และ จักรวาลไม่ได้ทำเช่นนั้น
    แต่เป็นเพราะพวกเราหลงลืมตนเอง
    พวกเราตัดสินกันเอง ลงโทษกันเอง
    พวกเราสร้าง สววรค์ นรก ขึ้นมาจากใจของพวกเรากันเอง
    และ มีประสบการณ์กันเอง
    หากประสบการณ์นั้นน่ารื่นรมณ์
    ทำให้พวกเรามีความสุข
    พวกเราอาจเรียกมันว่า "สวรรค์"
    หากประสบการร์นั้นไม่น่ารื่นรมณ์ มีแต่ความทุกข์ไม่สบายใจ
    พวกเราอาจเรียกมันว่า "นรก"

    พวกเราเคยได้ยินไหมว่า
    นรก หรือ สวรรค์ มาจากใจ ของพวกเรานั้นเอง

    ยังมีต่อภาค สาม


    [​IMG]
     
  13. lighter

    lighter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +100
    อ่านโพสสุดท้าย ชักเข้าเค้าครับ..อืมมม..มันต้องเป็นเช่นนี้แหล่ะ พระเจ้าคือตัวตนของเราเอง.(แล้วพระผู้สร้างล่ะครับ? คนละคนกับพระเจ้าใช่ป่าว?)
     
  14. MasterOfSuccess

    MasterOfSuccess Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +44
    สุดยอดแห่งการอธิบายเรื่องการรู้แจ้งของจักรวาลที่ลึกลับ เข้าใจง่าย แบบเด็กๆ ลึกซึ้งแฝงด้วยความรู้ เป็นเหตุเป็นผลดี เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตดี

    ผมเริ่มเห็นแสงสว่างรางๆแล้ว คำถามที่ผมมีมานานเริ่มเข้าใจแล้ว
    มันเป็นความหนาแน่น พลังงาน ความถี่ แตกต่างกันนี้เอง ทำให้พวกเราไม่สามารถเห็นชั้นอื่นๆได้ ไม่สามารถเห็นคนตายไปแล้ว แต่พวกเขาสามารถเห็นพวกเรา อ๋อ มันอย่างนี้ นี้เอง
    ตื่นเต้นมาก รอคอยใจจดใจจ่อมาอ่านต่อครับ
    ขอบคุณสำหรับแสงสว่างปลายอุโมงค์มืด
     
  15. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    37 ถาม-ตอบ
    ข้างล่างนี้เป็นการถามตอบระหว่างสมาชิกกับพี่อวตารบอย (เป็นการส่วนตัว)
    (ที่ได้อัดเทปบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่แล้วตอนพี่เขามาประเทศไทย)

    คำตอบภาคสาม

    อวตารบอย


    นี้คือ
    การดินทางของจิตวิญญาณจากความว่างเปล่า
    และจากสววรค์ชั้นต่างๆ จากชั้นสูงสุด มายังชั้นต่ำสุด
    ผมสรุปแบบสั้นๆ ให้พวกเราเห็นภาพรวมทั้งหมด

    ในสวรรค์ชั้น1
    จิตวิญญาณในร่างมนุษย์เมื่อหลงลืมตัวตนที่แท้จริง
    ก็เลยเกิดความกลัวต่างๆนาๆ
    ยิ่งกลัวมาก พลังแห่งความคิดเลยเป็นไปทางด้านลบ
    ทำให้จิตวิญญาณในร่างมนุษย์นี้
    มีชีวิตที่เป็นทุกข์ ลำบากอยากเข็ญ

    ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้สร้างชีวิตโลกส่วนตัวขึ้นมาเอง
    เลยคิดไปว่า
    คงมีพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
    เป็นผู้กำหนดลิขิตชีวิตชะตาของตนให้เป็นโชคดี หรือ โชคร้าย
    คงเป็นเพราะเทวดาฟ้าดิน
    ที่ทำให้ชีวิตตนเอง เป็นแบบนี้ เป็นแบบนั้น
    คงเป็นเพราะผีสางนางไม้ ภูตผีปีศาจ
    เป็นตัวนำโชคร้ายมาสู่ชีวิตตน
    คงเป็นเพราะดวงดาวโน้น ดวงดาวนี้
    ที่ทำให้ชีวิตตนรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลวหมดตัว
    คงเป็นเพราะเครื่องรางของขลัง วัตถุนิยมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย

    แต่สิ่งหนึ่งที่จิตวิญญาณในร่างมนุษย์ลืมคิดไป
    ผู้ที่สร้างชะตาชีวิตของตนจริงๆแล้ว
    นั้นคือ ตนเอง (หัวเราะ)
    พวกเราเล่นเกมส์ โทษทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างภายนอกหมดเลย
    ยกเว้น ตัวพวกเราเอง (หัวเราะดังลั่น)

    จิตวิญญาณในร่างมนุษย์หลงลืมพระเจ้าในตนเอง
    เลยเอาใจออกห่างและหาทางออกไม่ได้
    จึงมองหาที่พึ่งจากภายนอก
    เมื่อพวกเราหลงลืมตัวพวกเราเอง
    พวกเราพยายามมองหาที่พึ่งทางใจจากภายนอก
    ใครว่าอะไรดี ก็ดิ้นรนไปหามาให้ได้
    อะไรศักดิ์สิทธิ์ ก็เชื่อ และ ศรัทธาไปหมด
    หมอดูที่ไหนแม่น ก็ดิ้นรนไปพบเจอให้ได้
    นี้แหละครับ
    คือจุดเริ่มต้นแห่งการเกิด
    ความเชื่อ ความรู้ ปรัชญา และศาสนาต่างๆ
    บนโลกมนุษย์ของพวกเรา

    ผมมีเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้พวกเราฟังกัน
    เป็นเรื่องที่เล่ากันมาหลายรุ่นแล้วในโรงเรียนโบราณ
    นี้เป็นเรื่องจริงนะครับ
    แต่ผมขอเล่าแบบสรุปสั้นๆ แต่ยาวสักหน่อย (หัวเราะดังลั่น)

    มีจิตวิญญาณดวงหนึ่ง
    เคยอยู่ในความว่างเปล่า เหมือนกันกับ ดวงจิตวิญญาณดวงอื่นๆ
    แล้วก็มาเล่น มาหาประสบการณ์บนสวรรค์ชั้นต่างๆ
    และลงมาสววรค์ชั้น 1 คือโลกมนุษย์เหมือนกัน
    จิตวิญญาณในร่างมนุษย์นี้ก็หลงลืมตน และ
    ได้เวียนว่ายตายเกิดเหมือนๆกับจิตวิญญาณดวงอื่นๆ
    ชีวิตในแต่ละชาติของจิตวิญญาณดวงนี้
    มีทั้งสุขแสนสบายและทุกข์ยากเย็นเข็ญใจ

    ในชาติก่อนที่จะเป็นชาติสุดท้าย
    หลังจากลาโลกนี้ไปก็ถูกกฎดึงดูดพาไปสวรรค์ชั้นที่ 5
    สวรรค์ชั้นที่ 5
    เป็นสวรรค์มีคุณสมบัติเป็นเช่นไรครับ ???
    ดูโมเดลปิระมิดประกอบไปด้วยเลยครับ
    ใช่แล้วครับ !!!
    สววรค์ชั้นที่5
    เป็นสวรรค์ชั้นที่จิตวิญญาณมีการตระหนักรู้
    และมีความรู้สึกรักทุกๆอย่างอย่างไร้เงื่อนไข
    สวรรค์ชั้นที่5
    มีระดับพลังงานสูงกว่าโลกมนุษย์
    และมี ความถี่ต่ำและมีความหนาแน่นน้อยกว่าโลกมนุษย์
    สวรรค์ชั้นที่5
    มีแต่ความน่ารื่นรมย์กว่าโลกมนุษย์
    จิตวิญญาณดวงใดคิดเช่นไร
    สิ่งนั้นก็ปรากฎรวดเร็วทันใจกว่าในโลกมนุษย์
    คิดอยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้น

    จิตวิญญาณดวงนี้ในร่างกายของสวรรค์ชั้นที่ 5
    ก็มีความสุขมากกับสวรรค์ที่ตนเองได้เข้ามา
    จนวันหนึ่ง
    จิตวิญญาณดวงนี้เริ่มถึงจุดอิ่มตัว
    เพราะได้ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างที่ตนปราถนา
    และชีวิตความเป็นอยู่ในชั้นนี้ช่างน่ารื่นรมย์เสียเหลือเกิน
    แต่มีสิ่งหนึ่ง
    ที่ดวงจิตวิญญาฯดวงนี้มีคำถามในใจ
    คำถามนั้นคือ "แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า"
    "เราได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในสวรรค์ชั้นนี้
    ตามที่เราปราถนามากมายแล้ว
    แต่เราอยากตามหาพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า"

    เมื่อคิดดังนั้น
    ก็มีคุรุแห่งจิตวิญญาณปรากฎตัวขึ้นและตอบคำถาม
    ดวงจิตวิญญาณจึงถามคำถามแก่คุรุแห่งจิตวิญญาณผู้นี้ว่า
    "เราได้ทุกสิ่งทุกๆอย่างที่เราปราถนาบนสวรรค์ขั้นนี้
    ทุกๆอย่างช่างน่ารื่นรมย์และสุขสบายเสียเหลือเกิน
    แต่เรายังไม่เห็นพระเจ้าเป็นผู้ให้สิ่งที่เราต้องการเลย
    เราอยากตามหาพระเจ้าและขอบคุณ
    ถึงแม้เราจะกลัวพระเจ้าอยู่บ้างก็ตาม
    แต่เราอยากเจอพระเจ้าตัวเป็นๆ
    ที่ทำให้ชีวิตเราในสวรรค์ชั้นนี้มีแต่ความสุขสบาย
    ท่านพอจะช่วยเราหน่อยได้ไหม??? "

    คุรุแห่งจิตวิญญาณท่านี้
    จึงได้แสดงเรื่องราวชีวิตต่างๆของจิตวิญญาณดวงนี้
    ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ ก่อนตายมาสู่สวรรค์ชั้นห้า
    เรื่องราวต่างๆในชีวิตบนโลกมนุษย์ของจิตวิญญาณดวงนี้
    ใช้ชีวิตเป็นคนดี รักลูกรักเมีย
    และเป็นผู้ทรงอำนาจ แต่ไม่เคยใช้อำนาจในทางที่ผิด
    จิตวิญญาณดวงนี้ ก็พูดกับคุรุแห่งจิตวิญญาณว่า
    "ชีวิตของเราช่างดีจริงๆบนโลกมนุษย์"
    คุรุแห่งจิตวิญญาณผู้นี้ก็ตอบว่า
    "ถูกต้องแล้ว ชีวิตของท่านดีจริงๆ ยกเว้นอย่างเดียว...
    ท่านยังไม่รู้จักว่า "พระเจ้าคือใคร" ???
    ถึงท่านจะเป็นคนดีบนโลกมนุษย์
    แต่ท่านยังไม่ได้ตระหนักรู้ว่า "ใครคือพระเจ้า" ???

    "ท่านได้แบ่งแยก
    ตัวท่านเองออกจากพระเจ้า และจากทุกๆสิ่งในชีวิต
    ชีวิตบนโลกมนุษย์ของท่าน
    ท่านได้ให้ความรักแก่เมียและลูกของท่านเป็นอย่างมาก
    ยกเว้นอย่างเดียว
    ท่านไม่สามารถรักตัวเองเพียงพอ
    เพื่อให้เมียของท่านให้ความรักแก่ท่านได้
    ท่านรักและให้แก่คนอื่นๆ
    แต่ท่านไม่สามารถรับได้หากคนอื่นให้ความรักแก่ท่าน
    ท่านไม่สามารถรักตัวท่านเอง
    หากท่านต้องการตามหาพระเจ้าที่ท่านรัก
    เราขอเสนอแนะว่า
    จงกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกสักครั้งหนึ่งเถิด
    แล้วเรียนรู้ในการรักตัวท่านเอง
    แล้วก็แสดงออกความรักของตัวท่านเองจากภายในของท่าน
    และจงมองดูพระเจ้าให้เห็นในทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง"

    "ท่านลองตัดสินใจดูว่าท่านต้องการอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้
    หรือต้องการกลับไปเกิดบนโลกมนุษย์
    เราให้เวลาท่านในการตัดสินใจ ลองคิดและตัดสินใจเองเถิด"

    จิตวิญญาณดวงนี้กลับมานั่งคิดไตร่ตรอง
    "สวรรค์ชั้นนี้เราได้ทุกๆอย่างที่ใจเราปราถนา
    หากเรากลับไปเกิดบนโลกมนุษย์อีก
    เราคงต้องเสียทุกๆอย่างไป
    แต่ติดปํญหาเดียว
    เราอยากเห็นพระเจ้า เราอยากเจอพระเจ้า
    และขอบคุณพระเจ้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต
    ที่เป็นผู้ทำให้เรามีความสุขสบายในสวรรค์ชั้นนี้เสียเหลือเกิน
    ถึงแม้สวรรค์ชั้นนี้
    มีความสุขช่างน่ารื่นรมย์เสียเหลือเกิน
    แต่เราต้องการเจอพระเจ้าและอยากขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง"

    จิตวิญญาณดวงนี้เลยตัดสินใจ
    จะไปเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
    เพื่อตามหาพระเจ้าผู้ทรงทำให้
    จิตวิญญาณดวงนี้มีความสุขสบาย

    จิตวิญญาณดวงนี้เลยพูดกับคุรุแห่งจิตวิญญาณผู้นี้ว่า
    "เราตัดสินใจจะกลับไปเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
    เราจะทิ้งทุกๆอย่างบนสวรรค์ชั้นนี้ให้หมด
    แต่เราไม่รู้ว่าจะไปเกิดบนโลกมนุษยืได้อย่างไร"

    คุรุแห่งจิตวิญญาณเลยตอบกลับว่า
    "จงเลือกวัน เวลา และ สถานที่ ที่ท่านต้องการจะไปเกิด
    แต่หากท่านต้องการกลับไปเกิด
    กับครอบครัวชาติที่แล้วของท่านอีกครั้งในอดีต
    จะเป็นการดีมาก เพราะท่านจะได้เรียนรู้
    จากครอบครัวของท่านเมื่อชาติที่แล้ว
    และท่านสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้เร็วขึ้น
    นี้เป็นข้อเสนอแนะเท่านั้น
    แต่ท่านต้องตัดสินใจเลือกเอง"

    จิตวิญญาณดวงนี้
    ได้คิดพิจารณาอีกทีแล้วถามกลับต่อคุรุแห่งจิตวิญญารผู้นี้ว่า
    "โอ้ คุรุแห่งจิตวิญญาณ
    เรามีอีกหนึ่งคำถามที่จะถามท่าน
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า เราได้เจอพระเจ้าแล้ว ??
    เราจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร เมื่อเราได้เจอพระเจ้า ???

    คุรุแห่งจิตวิญญาณได้ตอบกลับเป็นนัยๆว่า
    "เมื่อใดท่านรู้จักตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักพระเจ้า"

    คุรุแห่งจิตวิญญาณก็พูดขึ้นว่า
    "จงมองดูนี้สิ ท่านได้เห็นอะไร ???" จิตวิญญาณดวงนี้ก็ตอบว่า
    "เราได้เห็นลูกชายของเราในชาติที่แล้ว
    ตอนนี้เป็นหนุ่มเนื้อแน่น กำลังมีเพศสัมพันธ์กับหญิงงามนางหนึ่ง"

    คุรุแห่งจิตวิญญาณก็บอกว่า
    "นี้เป็นโอกาสดีทีเดียว
    ที่ท่านสามารถได้กลับไปเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
    โดยไปเป็นลูกชายของลูกชายของท่านเมื่อชาติที่แล้ว" ( หัวเราะ)

    จิตวิญญาณดวงนี้ก็ตกใจ
    "จะให้เราไปเกิดเป็นลูกชายของลูกชายของเราเอง
    ในชาติที่แล้วได้อย่างไรกันเล่า ???
    เราเป็นพ่อนะ
    จะให้เราไปเกิดเป็นลูกชายของลูกชายของเราเอง
    และลูกชายของเราจะเป็นพ่อเราหรือ ??? " (หัวเราะดังลั่น)

    คุรุแห่งจิตวิญญาณได้ตอบกลับ
    "แน่นอน
    เมื่อชาติก่อนๆ ลูกชายท่านเคยเป็นพ่อของท่านมาก่อน
    และท่าเองนก็เคยเกิดเป็นลูกชาย
    เห็นไหมล่ะ
    ทุกๆอย่างเป็นการเล่นหมุนเวียนอย่างนี้เอง"

    จิตวิญญาณดวงนี้พูดว่า
    "แต่เรารักเมียของเรานะ
    แล้วเราจะไปเป็นหลานของเมียของเราอย่างนั้นหรือ ???"
    (หัวเราะดังลั่น)

    ในที่สุด คุรุแห่งจิตวิญญาณได้ตัดบทและบอกว่า
    "เมื่อท่านพร้อมแล้ว
    จงเป็นส่วนหนึ่งของแสงสว่างของลูกชายของท่าน
    ที่อยู่บนโลกมนุษย์เถิด"

    จิตวิญญาณดวงนี้ได้จดจ่อและเป็นส่วนหนึ่ง
    ของแสงสว่างของลูกชายที่อยู่บนโลกกมนุษย์
    ลูกชายที่อยู่บนโลกกมนุษย์
    ไม่รู้ว่าพ่อในอดีตจะมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
    แต่มีความรู้สึกและคิดถึงพ่อของตนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    จิตวิญญาณดวงนี้ได้มาเกิดอีกครั้งบนโลกมนุษย์
    มีความรู้สึกราวกับว่าทุกๆอย่างคุ้นเคย
    และจิตวิญญาณดวงนี้ได้เรียนรู้
    ความรักจากครอบครัวเป็นอย่างดีบนโลกมนุษย์
    มีความสุขสนานบันเทิงใจ
    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังขาดหายไปตือพระเจ้า
    " พระเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า ???"

    จิตวิญญาณดวงนี้ในร่างมนุษย์
    ได้สังเกตุ
    "การเกิด แก่ เจ็บตาย ของมนุษย์โลก
    แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน เราอยากตามหาความจริงของชีวิต"
    เลยหนีจากครอบครัว
    ไปเรียนกับผู้รู้อาจารย์ในยุคนั้นมามากมาย
    แต่ก็ไม่สามารถตอบปัญหาชีวิตที่ได้สงสัยมานานในจิตใจ

    ท่านมีความตั้งใจอย่างสูง
    และมีความต้องการอย่างแรงกล้าเพื่อให้ได้รู้ความจริง
    จนร่างกายผ่ายผอมซูบซีด
    จนท่านได้ตระหนักรู้ว่า
    นี้ไม่ใช่หนทางในการที่ทำให้รู้ได้
    ท่านเลยเลือกทางสายกลาง
    ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป
    และเริ่มกินอาหารเพื่อความอยู่รอด
    จนมาวันหนึ่งท่านมีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว
    ยอมตายสู้ไม่ถอย
    หากไม่รู้แจ้ง ไม่สามารถเจอพระเจ้าได้แล้ว
    "เราขอนั่งและขอยอมตายไปเลย" NOW OR NEVER

    ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
    เอาใจกลับเข้าในตนเอง
    ท่านได้สำเร็จที่ท่านได้ตั้งใจเอาไว้
    ท่านได้รู้แจ้ง
    ท่านรู้หมด
    และมากกว่านั้น
    ท่านรู้เกี่ยวกับ "ความว่างเปล่า " ด้วย

    อาจกล่าวได้ว่า
    ท่านคือจิตวิญญาณในร่างมนุษย์ดวงแรก
    ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
    ที่ได้หลงลืมตน และได้เวียนว่ายตายเกิด
    ที่สามารถรู้แจ้งบนโลกมนุษย์
    รู้แบบหมดเปลือก ทะลุปรุโปร่ง
    จากสวรรค์ชั้น สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด และความว่างเปล่า

    นักเรียนโบราณทึ่ง
    กับความสามารถและความตั้งใจอย่างสูง
    รวมทั้งความพากเพียร ความอดทน
    และในที่สุด
    ท่านได้รู้ความจริง
    และรู้ว่าพระเจ้าคือใคร???
    ท่านได้เจอพระเจ้าของท่านแล้ว !!!

    แต่ท่านไม่ได้สอนคนอื่น
    เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า หรือ พูดถึงเลย
    โดยไม่เอ่ยเรื่องพระเจ้า

    ท่านมีวิธีสอนแบบของท่านเอง
    ท่านได้ทิ้งคำคมสั้นๆไว้ให้พวกเรามาอย่างยาวนาน
    ไม่ว่าพวกเรา "เกิด แก่ เจ็บตาย "
    มากี่รอบแล้วก็ตาม (หัวเราะ)

    "ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน"
    "เราถึงแล้ว แต่ท่านยังไม่ถึง"
    "จงอย่าประมาท ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีประโยชน์"

    หวนกลับไป ที่สวรรค์ชั้น 5
    พวกเราจำได้ไหมคุรุแห่งจิตวิญญาณผู้หนึ่ง
    ได้บอกกับจิตวิญญาณดวงนี้
    ตอนที่อยู่สวรรค์ชั้น 5 เป็นนัยๆว่าอะไร ???
    ใช่แล้วครับ !!!
    "เมื่อท่านรู้จักตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักพระเจ้า"

    ผมก็ขอทิ้งคำคมนี้
    แก่พวกเราทุกๆคนที่นั่งกันอยู่ที่นี้
    ด้วยคำคมนี้ด้วยเช่นกัน
    "เมื่อท่านรู้จักตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักพระเจ้า"

    ผมไม่ต้องบอกพวกเราอีกแล้วว่า
    จิตวิญญาณดวงนี้ที่ผมเล่ามาเป็นใคร
    ภาษาอังกฤษ เรียกท่านว่า BUDDHA พุทธะ
    คนไทยรู้จักท่านในนามว่า "พระ - (พุทธ) - เจ้า"

    {หมายเหตุ: ทั้งหมดเป็นความรู้ ความคิดและความเชื่อ และ การดำเนินชีวิต
    ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งบนโลกของพวกเรา
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย}

    [​IMG]
     
  16. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    กระทู้แห่งแสงสว่าง ส่องสว่างไสวมาก
    ความเชื่อ ความรู้ เก่าๆในอดีตถูกตีแตกกระจุยไปเลย
     
  17. รุ่งนภางาม

    รุ่งนภางาม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +9
    อ่านแล้วชอบตรงที่ว่า...

    จิตวิญญาณดวงนี้
    ได้คิดพิจารณาอีกทีแล้วถามกลับต่อคุรุแห่งจิตวิญญารผู้นี้ว่า
    "โอ้ คุรุแห่งจิตวิญญาณ
    เรามีอีกหนึ่งคำถามที่จะถามท่าน
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า เราได้เจอพระเจ้าแล้ว ??
    เราจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร เมื่อเราได้เจอพระเจ้า ???


    คุรุแห่งจิตวิญญาณได้ตอบกลับเป็นนัยๆว่า
    "เมื่อใดท่านรู้จักตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักพระเจ้า"


    ทำให้สะกิดใจ คิดได้ขึ้นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  18. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    The Conversation With Lord Buddha :
    Lord Of World : PART 1
    การสนทนาลับกับพระพุทธเจ้า...พระเจ้าแห่งโลกมนุษย์ : ภาคหนึ่ง
    จากชั้นเรียน "มาสเตอร์ คลาสส MASTER CLASS"


    (บทความส่วนตัวนี้เป็นของท่านหนึ่ง
    และ ได้ถูกส่งและเผยแพร่ ไปยังทั่วโลก
    นี้คือแค่บางส่วนที่ผมได้แปลมา)


    สวัสดีทุกๆคน...
    ฉันเป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ได้อาสาสมัคร
    มาเกิดเป็นมนุษย์ยุคปัจจุบัน
    มาช่วยยกระดับจิตวิญญาณของโลกมนุษย์
    ฉันได้ทำการสื่อสารทางจิตกับพระพุทธเจ้า (Lord Of World)
    ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลจิตวิญญาณของโลกมนุษย์ท่านหนึ่ง
    กับอีกหลายๆองค์ ((อยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณ))

    ฉันได้ถามคำถามและโต้เถียงกับพระพุทธเจ้า
    เกี่ยวกับกลุ่มพวกฉันไม่ดีพอ
    ที่ไม่สามารถช่วยการขัดขวางของพวกกลุ่มมืดในปลายปี 1960 1970
    และมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว

    ฉันไม่มีเวลาไปประท้วงในปี 1960 1970
    ฉันต้องทำงานและมีครอบครัว และ
    ลูกๆต้องดูแลและรับผิดชอบในการเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
    พระพุทเจ้าเตือนฉันว่าฉันได้เลือกมาเกิดบนโลกมนุษย์เอง
    บางคนที่ได้เกิดมาลืมว่าพวกเราเกิดมา
    เพื่อช่วยยกระดับจิตววิญญาณโลกมนุษย์
    พวกเราได้หลงลืมและ หลงเล่นเกมส์เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป
    "ไปโรงเรียนแล้วหางานทำและมีครอบครัว แล้วก็แก่และตาย"
    แต่ลึกๆในใจของฉันรู้ว่า
    ฉันควรทำได้ดีกว่านี้
    และฉันคิดว่าพวกคุณก็ควรทำได้ดีกว่าที่เราเคยทำเช่นกัน

    สวัสดีทุกๆคน... ฉันคือพระพุทธเจ้า
    นี้คือครั้งแรกที่ฉันได้ติดต่อสื่อสารกับเธอผู้นี้
    มีปัญหาเล็กน้อยในการติดต่อสื่อสาร
    ในระหว่างที่เธอผักผ่อนฉันได้ส่งข้อความ
    ไปที่ดวงตาที่สามเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าฉันต้องการสื่อสารกับเธอ
    ในที่สุดฉันก็ได้รับการติดต่อกับเธอ

    พระสานานดา (พระเยซู) ได้บอกฉันว่า
    เธอผู้นี้เก่งในการโทรจิต
    และ พระสานานดา (พระเยซู)ปราถนาให้เธอติดต่อกับฉัน

    ฉันคือพระพุทธเจ้า
    ฉันเป็นพระเจ้าแห่งโลกมนุษย์ (Lord Of World) ของพวกคุณ
    (ได้ถูกคัดเลือกมาจากกลุ่มรัฐบาลของโลกแห่งจิตวิญญาณ)
    หน้าที่นี้คือการดูแลการพัฒนาทางจิตวิญญาณของมนุษย์โลก

    ฉันได้รับหน้าที่นี้ต่อจากพระเจ้าแห่งวีนัส
    ซึ่งได้เลื่อนระดับขั้นไปเป็น
    พระเจ้าแห่งระบบสุริยะจักรวาล (Lord Of Solar System)

    นั่นหมายความว่าหน้าที่ของฉันคือ
    เป็นหัวหน้าดูแลโรงเรียนแห่งจิตวิญญาณหลายโรงเรียน
    ซึ่งพวกคุณได้เข้าเรียนตอนกลางคืนในโลกแห่งจิตวิญญาณ
    ฉันมีหน้าที่รัผิดชอบการกลับมาของพระเจ้า (The Second Coming)
    หรือโลกยุคใหม่ และฉันก็เป็นหนึ่งในครูผู้สอนด้วย

    ฉันจะไม่กลับมาปรากฎตัวบนโลกมนุษย์
    เหมือนกับพระเจ้าผู้ตรัสรู้องค์อื่นๆ
    (พระเยซู พระมูฮัมมัด พระศรีอาริย์
    จะมาปรากฎตัวและเดินบนโลกมนุษย์เมื่อยุคทองมาถึง)

    ฉันจะไม่ทำงานโดยตรงกับโลกมนุษย์
    แต่ฉันทำงานอยู่เบื้องหลังในโลกจิตวิญญาณ
    และเป็นผู้ประสานงานโรงเรียนการสอนแห่งจิตวิญญาณ

    ฉันได้รับหน้าที่และตำแหน่งนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
    ฉันเป็นหัวหน้าของแสงรุ้งทั้งเจ็ด
    (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมระดับขั้นจากบทความที่ 65)

    พระสานานดา (พระเยซู) ไม่ได้ทำงานภายใต้การดูแลของฉัน
    พระสานานดา (พระเยซู) ทำงานโดยตรงกับ
    "รัฐบาลแห่งจิตวิญญาณระดับจักรวาล"
    ขึ้นตรงกับพระบุตรผู้สร้างจักรวาลใบนี้
    และเป็นเจ้าชายของโลกใบนี้ซึ่งนี้คือตำแหน่งหนึ่งของ
    "รัฐบาลแห่งจิตวิญญาณระดับจักรวาล"

    ถึงแม้ว่าฉันเป็นหัวหน้าของ
    "รัฐบาลแห่งจิตวิญญาณระดับโลกมนุษย์"
    แต่ฉันไม่ได้เป็นหัวหน้า
    "รัฐบาลแห่งจิตวิญญาณระดับจักรวาล"

    ฉันคือพระพุทธเจ้า
    ผู้ซึ่งมาเกิดบนโลกใบนี้เมื่อ 2500 ปีที่แล้ว
    ฉันได้เป็นผู้เลื่อนขั้นแห่งจิตวิญญาณแล้ว (Ascended Master
    การสอนของฉันในยุคนั้นบนโลกมนุษย์
    ไม่ได้วุ่นวายเหมือนกับยุคพระเยซูและพระมูฮัมมัด
    ยุคที่ฉันมาสอนตอนนั้นเป็นยุคที่สับสน
    ระหว่างศาสนาและความเชื่อต่างๆมากมาย
    ความเชื่อในยุคนั้นเป็นของฮินดูและของพระกฤษณะ

    พุทธศาสนาเป็นการสอนแบบง่ายๆ
    และชัดเจนในการดำรงชีวิตที่ดีงามและถูกต้อง
    สำหรับ คำว่า "นิพพาน" (NIRVANA)
    คือการเชื่อมต่อกับจิตระดับสูง
    (HIGHER MIND/UNIVERSAL MIND)

    ซึ่งตอนนี้มนุษย์กำลังค้นหากันอยู่
    ฉันสอนเรื่องพระเจ้าเล็กน้อยเท่านั้นในยุคนั้น
    เพราะจริงๆแล้วไม่มีพระเจ้าบนท้องฟ้าสั่งการโน้นนี้
    และควบคุมชีวิตมนุษย์ตามที่เหล่าพวกบุกรุกโลกมนุษย์
    (ชื่อว่าAnunnaki)
    ใด้ชี้ชักชวนเรื่องพระเจ้าไปในทางที่ผิดในยุคนั้น

    ด้วยเหตุผลข้างต้น
    ฉันเลยไม่สอนเกี่ยวกับพระเจ้าในยุคนั้น
    แต่สอนให้หา "นิพพาน"
    และความสุขสงบจะเกิดขึ้น
    เมื่อหาจิตระดับจักรวาลเจอ ในตัวตน
    (THE UNIVERSAL MIND/HIGHER MIND)

    การค้นหาจิตจักรวาลสามารถทำได้บนโลกมนุษย์
    และฉันได้สอนให้มนุษย์ปฏิบัติตาม
    แต่มนุษย์ยุคนั้นเหมือนกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน
    เลือกที่จะเชื่อรูปปั้นเทพเจ้า และพระเจ้าต่างๆข้างนอกตนเอง
    (ไม่ยอมเชื่อพระเจ้าที่มีอยู่ภายในตน)

    ดังนั้น "นิพพาน"
    ที่ฉันสอนได้ค่อยๆเสื่อมและหายไป
    แต่คำสอนพื้นฐานในการใช้ชีวิตที่ถูกวิธีและเรียบง่าย
    ได้กระจายไปทั่วโลก และทำให้โลกดีและน่าอยู่ขึ้น

    ศาสนาพุทธยุคปัจจุบัน
    เสื่อมและแตกต่างจากศาสนาพุทธยุคโบราณ
    ยังไงก็ตามคำสอนเรื่อง
    "การใช้ชีวิตด้วยความสงบ" ยังคงอยู่
    และไม่มีใครในอดีตใช้ศาสนาพุทธ
    เป็นข้ออ้างในเรื่องทำสงคราม
    แต่ผู้ฝึกศาสนาพุทธในยุคปัจจุบัน
    ก็ยังไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังค้นหาอะไรกันอยู่

    หนังสือ ( ในร้านหนังสือ) ที่สอนให้หาพุทธะ
    และเป็น กระทำและเชื่อ ให้เหมือนพระพุทธเจ้า
    ที่มีจำหน่ายค่อนข้างยาวและสับสนมาก
    ที่จริงแล้วมนุษย์ควรค้นหาจากภายในตัวเอง
    แสงสว่างภายใน (พระเจ้าภายใน / พุทธะภายใน
    และนั้นคือสิ่งที่ฉันได้สอน
    และมีหลายคนก็ยังค้นหาจากผู้อื่น (ภายนอก)
    ฉันคิดว่า "ความจริงแห่งจักรวาล" (UNIVERSAL TRUTH)
    ไม่ได้ถูกแสดงอย่างถูกต้องบนโลกมนุษย์
    คำสอนในยุคปัจจุบันมีความเสื่อมของความเสื่อมและไร้สาระั้ทั้งสิ้น

    ฉันชอบผู้ปฏิบัติมากกว่า
    ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคำสอนที่ไร้สาระ
    มันเป็นการเสียเวลาไปกับการติดตามเรื่องไร้สาระ
    และฉันอยากบอกพวกคุณ
    ที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง NEW AGE
    (กลุ่มจิตวิญญาณ เชื่อเรื่องผีสาง เทวดา ต่างๆนอกโลก)
    ที่ไร้สาระ
    คุณก็เหมือนกันได้ถูกหลงให้เชื่อและปฏิบัติที่ผิดๆเช่นกัน...

    ติดตามภาคสองในบทความถัดไป >>>


    [​IMG]
     
  19. staystill

    staystill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +112
    เป็นกำลังใจให้กับคุณ Dorado ในการเผยแพร่เรื่องราวบันทึกลับของนักเรียนโรงเรียนจิตวิญญาณโบราณคะ

    (^_^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  20. I AM ONENESS

    I AM ONENESS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +589
    ขอบคุณครับ

    1 บทเรียน "มาสเตอร์ คลาสส"

    2 บทความ ถามตอบ ของ "สมาชิก และ คุณ อวตารบอย"

    3 บทความ สนทนาลับกับ "พระพุทธเจ้า"

    ทั้งหมดมี 3 ตอน
    ต้องรอหน่อยนะครับ ยาวมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...