จริงหรือไม่ ที่ชมพูทวีป สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินพพาน ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 8 มีนาคม 2014.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9 – 10 ปรากฏหลักฐานในวรรณกรรมชาดก และในวรรณคดีเก่าแก่ของพวกทมิฬ ที่เล่าถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนในลุ่มน้ำกฤษณา – โคธาวรี และลังกา เข้ามาแสวงโชคและค้าหาทรัพยากรในภูมิภาคของพม่า ชวาและคาบสมุทรมาลายู และอินโดจีนมากขึ้น

    บางกลุ่มของชาวปัลลวะในอินเดียใต้ อาจรวมถึงชาวพุทธอารยันลูกผสมในอินเดียเหนือ (คุปตะ – วากาฏกะ) ได้เริ่มอพยพออกจากภูมิภาคต่าง ๆ ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา และต้องการลี้ภัยสงคราม หลั่งไหลเข้ามาตั้ง “อาณานิคม” (Colonial) เฉพาะของชาวพุทธในสุวรรณภูมิ ที่มีการใช้ “เสาพระธรรมจักร” เป็นสัญลักษณ์สำคัญในการประกาศอาณาเขต ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามเขตลุ่มแม่น้ำ ที่มีเส้นทางเชื่อมต่ออกสู่ทะเลและเส้นทางบกเป็นเครือข่าย ทั้งในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่กลอง – ท่าจีน ลุ่มน้ำป่าสัก - ลพบุรี ลุ่มน้ำเพชรบุรี และลุ่มน้ำบางปะกง ที่มีลักษณะของภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับเมืองแม่ จนกลืนกลาย ขยายตัวกลายเมืองรูปวงกลมในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 เป็นต้นมา หลายกลุ่มใช้กฎเกณฑ์ของนิกายทางความเชื่อเป็นหลักในการปกครองผู้คนในอาณัติและกลุ่มชนพื้นเมืองที่มา “เข้ารีต”


    จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าผู้คนในยุค ”วัฒนธรรมทวารวดี” นั้นมาจากไหน แล้วทำไมจึงใช้อักษรปัลลวะเป็นอักษรสำคัญ !!!

    วัฒนธรรมทวารวดี ได้ก่อให้เกิดเมืองรูปวงกลมขึ้นมากมายทั่วภูมิภาค ในฐานะของเมืองควบคุมเส้นทางการค้า ควบคุมทรัพยากร ไพร่พลและแรงงานในระบบของรัฐแบบหลวม ๆ ที่ทุกเมืองมีความสัมพันธ์กันแต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมระหว่างกัน (ตามนิสัยของชาวอารยัน) มีกลุ่มบ้านใหญ่ (โคตรตระกูล) กระจายตัวอยู่รอบ ๆ เมือง เมืองที่มีเครือข่ายใหญ่ของกลุ่มบ้านมากหน่อย ก็อาจตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งทวารวดี (ผู้นำแห่งเมืองท่า) ติดต่อค้าขายเชื่อมโยงกับเมืองแม่ที่อินเดียใต้ แต่ก็ไม่อาจรวบรวมเมืองขึ้นเป็นรัฐหรืออาณาจักรใหญ่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

    ในประเทศไทยปรากฏร่องรอยชุมชนอาณานิคมโบราณ “ทวารวดี” ทั้งที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบและเป็นเนินดินที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ประมาณกว่า 500 แห่ง ในทุกภาค

    เมืองโบราณนครปฐม นับว่าเป็นชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีมีความความเก่าแก่และมีขนาดของเมืองรูปวงกลมที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองอาณานิคม “ทวารวดี” ทั้งหมดเลยครับ

    พระสถูปเจติยะ ในยุคแรก ๆ ของอาณานิคม “ทวารวดี” น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงที่มีร่องรอยหลักฐานของการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 อาจเคยมีการสร้างพระสถูปในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งแบบกลมอย่างสถูป “สาญจี – ภารหุต” หรือแบบฐานเหลี่ยมแบบศิลปะ “มถุรา” ที่เมืองนครปฐมเมืองอู่ทองและเมืองศรีมโหสถ อันเป็นเมืองขนาดใหญ่ของแต่ละลุ่มน้ำ ดังที่พบร่องรอยของ “ดินเผารูปนูนต่ำ (Terracotta plaques)รูปพระภิกษุอุ้มบาตร ครองจีวรแบบห่มคลุม เลียนแบบศิลปะอมราวดี และรูป “กินรี” แบบคุปตะ – วากาฏกะ รวมทั้งชิ้นส่วน “ปูนปั้น” (Stucco figures) ประดับศาสนสถานรูป พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิแบบหลวม ๆ บนขนดนาคเลียนแบบศิลปะอมราวดี ที่เมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้วัสดุในพุทธศตวรรษที่ 10 ที่ได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาของลุ่มน้ำกฤษณา – โคธาวรี ในแคว้นอานธระ และศิลปะแบบคุปตะของอินเดียเหนือ
    สอดรับกับการขุดค้นสำรวจทางโบราณคดี ในโครงการสำรวจบริเวณลุ่มแม่นํ้าบางแก้ว – บางแขม ในปี พ.ศ. 2548 และที่โรงเรียนหอเอกวิทยาภายในตัวเมืองโบราณนครปฐมทางทิศเหนือ ในปี 2553 ที่แสดงให้เห็นร่องรอยการตั้งถิ่นฐาน ของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ของชนพื้นถิ่นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 หรือประมาณ 1,800 ปีที่แล้ว และมีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของชาว “อาณานิคม”จากอินเดียใต้ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 โดยมีรูปแบบเฉพาะของภาชนะดินเผาแบบอินเดีย อย่างกุณฑี คนโทและหม้อพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ “กุณฑิกะ” เป็นหลักฐานสำคัญ

    และการขุดค้นสำรวจทางโบราณบริเวณใกล้คลองบางแก้ว ในตัวเมืองโบราณนครปฐมทางทิศตะวันออก ในเขตตำบลธรรมศาลา แสดงให้เห็นว่า ชุมชนโบราณเมืองนครปฐม ได้ขยายตัวขึ้นเป็นเมืองใหญ่ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 และอาจเป็นช่วงที่มีการสร้างพระมหาสถูปประจำเมืองอย่าง พระประโทนเจดีย์ และสถูปธรรมศาลา

    การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง ในปี 2541 ก็ได้ผลสรุปใกล้เคียงกันว่า ถึงแม้จะมีหลักฐานของการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ (ยุคเหล็กตอนปลาย) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 7 – 8 แต่ก็เพิ่งปรากฏการตั้งถิ่นฐานของชุมชนแบบอินเดีย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9 – 11 แล้วจึงค่อยพัฒนาขึ้นเป็นเมืองรูปวงกลมในเวลาต่อมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7192356b.jpg
      7192356b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.1 KB
      เปิดดู:
      73
    • 7192d11f.jpg
      7192d11f.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.5 KB
      เปิดดู:
      60
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ในยุคเก่าแก่แบบคุปตะในพุทธศตวรรษที่ 10 – 11 ที่สร้างยื่นออกมาจากผนังฐานคล้าย”ซี่ฟันเฟือง” แบบที่พบที่พระสถูปจุลประโทนเจดีย์ ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์กลายมาเป็นชั้นของลวดบัวท้องไม้ แคบ ๆ ที่ผูกลายสลับกันระหว่างอิฐยื่นกับช่องที่เจาะไว้ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา

    รูปแบบของฐานอาคารในยุคทวารวดี หลายแห่งนิยมที่จะใช้ฐานยกเก็จเป็นฐานล่างโดยไม่มีฐานแผนผังสี่เหลี่ยมรองรับหรือใช้เป็นเพียงฐานเขียงเรียบ ๆ ทำให้ลานประทักษิณมีความสูงกลายเป็นฐานขนาดใหญ่ อย่างที่วิหารวัดโขลงสุวรรณคีรี เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี ก็มีชุดลวดบัวประกอบชั้นฐานล่างขนาดใหญ่ รองรับวิหารและสถูปที่อยู่ด้านบน ชุดฐานของวิหารวัดโขลง ประกอบด้วยฐานเขียง (ฐานเรียบ ๆ แบบเขียง) ศิลาแลง ถัดขึ้นมาเป็นลวดบัวคล้ายบัววลัย ท้องไม้ ที่ทำเจาะเป็นช่องแบบขื่อปลอม และชุดลวดบัวหน้ากระดาน ถัดขึ้นไปทำเป็นท้องไม้ชั้นสองที่มี การเจาะช่องสลับอิฐ ในช่องนิยมประดับด้วยปูนปั้นรูป “ยักษ์แบก” ด้านบนเป็นผนังประดับด้วยเสาติดผนังขนาดใหญ่ ที่มีซุ้มอาคารจำลองหน้าบัญชรอยู่ตรงกลางระหว่างเสา ซึ่งทั้งหมดก็จะเคยมีการประดับตกแต่งด้วยลายปูนปั้น
    รูปแบบของชุดลวดบัวชั้นฐานที่มีการยกเก็จที่วัดโขลง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 เป็นตัวอย่างอันดีของการปรับเปลี่ยนลวดลาย “พันธเวที” ที่ทำให้ชั้นฐานล่างของอาคารกลายมาเป็น “ผนัง” ที่มีความตื้นลึกไม่มากนักถ้าเทียบกับลวดบัวของฐานในช่วงเวลาก่อนหน้า

    รูปแบบของฐานอาคาร "ที่ใช้ชุดลวดบัววลัยและมีการย่อเก็จ” ยังพบที่โบราณสถานหมายเลข 3บ้านจาเละ และโบราณสถานหมายเลข 9 บ้านวัด เมืองโบราณยะรัง จังหวัดปัตตานี ที่มีรูปแบบของฐานพระสถูปตามแบบศิลปะคุปตะ- วากาฏกะ คือมีแผนผังสี่เหลี่ยม ยกเก็จเป็นกระเปาะขึ้นตรงกลางและแต่ละมุม ชุดลวดบัวของฐานประกอบด้วยชั้นฐานเขียง ชั้นบัววลัย ชั้นขื่อปลอมที่ยังคงมีลักษณะยื่นออกมาจากผนังแบบซี่ฟันเฟือน แต่ก็ยังมีการเจาะช่องลึกเข้าไประหว่างซิอิฐ ชุดลวดบัวคานหลังคาปลอม เหนือขึ้นไปเป็นชุดผนังหน้ากระดานสูง คั่นด้วยเสาอิง ระหว่างเสาไม่มีร่องรอยของซุ้มอาคารยอดบัญชร ซึ่งก็อาจจะตกแต่งผนังด้วยลายปูนปั้น จากรูปแบบของขื่อปลอม ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก พระสถูปที่เมืองโบราณยะรัง จึงน่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 11 -12
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7192919e.jpg
      7192919e.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.5 KB
      เปิดดู:
      68
    • 71925b72.jpg
      71925b72.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.9 KB
      เปิดดู:
      97
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      85 KB
      เปิดดู:
      61
  3. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เลิกผ้าได้แล้ว tjs แนวคิดนี้ไปไม่ถึงฝันสักคน สมัยนั้นห้องวิทย์ฯ

    มีคนหนึ่ง พยามศึกษาเรื่องราว ความเป็นไปได้
    โดยให้กูเกิ้ล วัดแผนที่ระยะทาง และวิเคราะห์ จากคำของพระบ้าง ซากวัตถุบ้าง ตำราต่างๆบ้าง

    จนลุกลามไปถึงพันทิป เขียนเป็นหนังสือ อย่างเชื่อมั่น วางจำหน่าย

    จนบัดนี้ คนๆนั้น เงียบหายไปในเงาแห่งชมพูทวีป พันทิป พลังจิต ไปแล้วไปลับ กู่แล้วไม่รู้จะกลับหรือป่าว

    แนวคิดวิเคราะห์เหล่านี้ ที่เชื่อว่าโดนฝรั่งหลอก และเชื่อมั่นว่า บริเวณพื้นที่ของไทยต่างหาก
    ที่ไหนสักแห่ง เป็นสังเวชนียสถาน อย่างแท้จริง จนมีคนเชื่อว่าสถานที่พระแท่นดงรังเอย เปรียบแม่น้ำโขง
    เป็นแม่น้ำเนรัญชราเอย แถบบริเวณ จ.ขอนแก่น เปรียบเป็นสถานที่ อะไรสักแห่ง จำไม่ได้

    แนวคิดพวกนี้ เป็นแนวคิดศึกษาวิเคราะห์ ของคนระดับโลกๆ เช่น พอได้อ่านคำพระจากบางท่าน
    โดยที่ไม่รู้ว่า จุดประสงค์กุศโลบาย ที่แท้จริง ที่มีต่อศิษย์ในขณะนั้นๆ เป็นอย่างไร
    จนที่มีการเขียนบันทึกจากลูกศิษย์ อีกทอดหนึ่ง นำมาเผยแผ่
    เมื่อคนที่มีความเชื่อเดิม ที่เชื่อว่าอินเดียไม่ใช่แดนพุทธภูมิ ได้อ่านสิ่งเหล่านั้น ก็เลยฮึด อย่างเชื่อมั่น

    หรือบางคนนั่งมาธิ เห็นอะไรแว๊บๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็น น้องๆ อภิสังขารมาร ขันธมาร มันหลอก อย่างเชื่อมั่น เพราะ วิมุติธรรมก็บ่มี

    เรื่องการศึกษาค้นคว้า หาความจริงตามความเชื่อ มันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว
    มันสิทธิส่วนตัวของคนๆนั้น แต่ทำไมจึงเงียบหายไป ทำไมไม่ประสานต่อ หรือว่าในสิ่งที่เผยแผ่นั้น มันพลาด

    มีข้อฉุกคิด ว่าทำไมครูบาอาจารย์บางท่าน บางท่านก็พร้อมด้วยอภิญญาญาณ
    มีอริยธรรมอยู่แล้ว เหตุใดบางท่านต้องนำคณะศิษย์ไปอินเดีย หรือบางท่านก็เดินธุดงค์ไปเอง หลักฐานประวัติเรื่องราว ภาพถ่ายเยอะแยะ


    ปล. ก๊อปปี้ข้อมูลของใครมา เหตุใดทำไมไม่ให้เครดิต เจ้าของข้อมูล

    นิสะยะ!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2014
  4. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อืม มีคลิปหนึ่งมีผู้นำไปตั้งกระทู้ เมื่อดูแล้วสังคมมันเป็นแบบนี้จริงๆ

    มันเกินขอบเขตของความเป็นกุศโลบาย ก็ดี จากในคลิป จะเห็นว่ามีการแฉตนเอง ในสิ่งที่ทำผิดพลาด ต้องการเริ่มต้นใหม่

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับพระองค์ที่1 องค์ที่2 ในคลิปดังกล่าว หรอกนะ

    เพียงแต่เห็นว่า

    สังคมมันถูกมอมเมาในตัวมันเอง มีความเป็นอนิจจตาในตัวมันเอง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

    คลิป
    http://palungjit.org/posts/8833921
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    เมื่อความเห็นบางส่วนมันผิด มันย่อมเกิดความขัดแย้งในเหตุและผลของตัวมันเอง นั่นจึงเป็นที่มาว่า สิ่งที่ถูกต้องที่แท้จริงเป็นอย่างไร แน่นอนด้วยความเข้าถึงความจริง ย่อมทำให้เราคิดทบทวนและใคร่ควร เพื่อหาทางหรือวิธีการเพื่อนำไปสู่ความจริง การคิดว่าสุวรรณภูมิ คือชมพูทวีป อันเป็นต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา นั้นจึงเป็นสิ่งที่ผิด แต่สิ่งที่ถูกต้องนั่นคือ อินเดีย เนปาล และพื้นที่อาณาบริเวณดังกล่าวนั้นแลคือดินแดนที่พระพุทธเจ้าถือกำเนิดและประกาศพระพุทธศาสนา

    ความจริงแล้ว ทำไมสุวรรณภูมิจึงมีเจดีย์มากมาย ก็นั่นเป็นเพราะการได้รับอิทธิพล จาก อินเดีย โดยพุทธศาสนาที่แพร่ขยายเข้ามานั่นเอง
    ส่วนในอินเดีย อันหมายถึงปัจจันตชนบทและมัธยมชนบท นั้นในครั้งพุทธกาลยังไม่มีการสร้างเจดีย์ แต่จะสร้างเป็นสถูปหรืออุโมงค์ครึ่งวงกลมเท่านั้น
    กล่าวโดยสรุปได้ว่า

    1 หลังพุทธกาล1-1000ปี อินเดีย พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก และในสมัยนี้นั้น การสร้างสถูปแบบทรงกลม คือเป็นยุคแรก หลังจากนั้นมา พระเจ้าอโศกมหาราชได้ สร้างเจดีย์ ขึ้น แต่มีลักษณะเปลี่ยนไปคือเริ่มสร้างแบบมียอดแหลม ส่วนฐานของสถูปยังเป็นแบบเดิม และจะต้องทำอุโมงค์ไว้เพื่อบรรจุพระบรมธาตุตลอดจนของใช้ของมีค่าไว้ภายในสถูป
    2 หลังพุทธกาล 1100-2000 พุทธศาสนาในอินเดียล่มสลาย แต่กลับมาเจริญรุ่งเรืองมากในเขตสุวรรณภูมิ อันหมายถึง เขมร ไทย ศรีลังกา พม่า อินโดนีเซีย ลาว ตามลำดับ
    พศ1100-1500ในยุคทราวาดี นี้ การสร้างเจดีย์ ยังคงความเป็นศิลปะแบบอินเดีย ผสมผสานกับ กรีก และเขมร ในยุต้นทราวดี พุทธศาสนาในเขมรเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ถัดมาก็คือประเทศไทยเรา สังเกตุได้ว่า โบราณที่ค้นพบในสุวรรณภูมิ ทุกอย่างล้วนสร้างในสมัยทราวดีเกือบทั้งหมด นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นหรือยุคทองแห่งทราวดีของสุวรรณภูมินั่นเอง
    ในยุคทราวดีการสร้างเจดีย์ จึงเป็นแบบระฆังคว่ำปลายยอดแหลม แบบ พระปฐมเจดีย์ เป็นต้น
    หลังจากนั้นมาจึงก้าวเข้าสู่ยุค ละโว้ ยุคล้านนา ยุคสุโขทัย จวบจนอยุธยาตอนต้น คือพศ1500-2000 นั่นเอง ซึ่งในแต่ละยุคการสร้างเจดีย์ก็เปลี่ยนไปพัตนาแบบใหม่แจตกต่างจากแบบเดิม แต่ก็ยังมีเค้าโครงแบบเดิมอยู่บ้างคือส่วนของฐานของเจดีย์ที่เป็นแบบ4เหลี่ยม และแปดเหลี่ยมเป็นต้น

    ปีพศ2000 - จนถึงปัจจุบันจึงเป็นยุคของอยุธยาตอนปลาย กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์นั่นเองซึ่งก็คือยุคปัจจุบันนั่นเอง

    จากที่รวบรวมข้อมูลมาทั้งหมด จึงยืนยันได้ว่า อินเดียอันประกอบด้วย มัธยมชนบทและปัจจันตชนบท และรอบอาณาบริเวณคือ ชมพูทวีปครับ คือต้นกำเนิดของพุทธศาสนา ที่แท้จริงครับ สาธุ


     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======================

    นี่แหละคือข้อขัดแย้งในจิตกระผมเพราะใน สมาธิ ญาณและญาณนิมิตของกระผมนั้น มันขัดแย้งกันเพราะในนิมิตของกระผม สถานที่นั้นมีเฉพาะอินเดียเท่านั้น
    แม้อตีตังคสญาณนานแล้ว ท่าน ท้าวมหาพรหมปรเมศวร ครูอาจารย์ของกระผมท่านก็กล่าวไว้นานแล้ว อีกอย่างกระผมก็เคยเกิดเป็นหลานชายเจ้าเมืองที่เมือง โกศละนครหรือโกศลชนบท 1ใน7แคว้นแห่งชมพูทวีปเมือ300ปี
    ก่อนพุทธกาลนั่นเอง ครับ

    และด้วยความสัจจริง กระผมได้นำข้อมูลทั้งหมดนี้ อันเป็นเรื่องสถูปเจดีย์และประวัติศาสตร์ มาจาก คุณศุภศรุต ซึ่งได้โพสไว้ เมื่อวันที่13 มิถุนายน 2556 เรื่อง เจติยสถาน ธรรมศาลา ปริศนาทราวดี สถูปเจดีย์จากโลกโบราณ ของ www. okanation.net ครับ

    ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านดูรายละเอียดได้เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ และขอกล่าวขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ไปยังคุณ ศุภศรุต มา ณ โอากาสนี้ด้วยครับ เพราะข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าอย่างยิ่งครับ สาธุ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อความเห็นบางส่วนมันผิด มันย่อมเกิดความขัดแจ้งในเหตุและผลของมันเอง นั่นจึงเป็นที่มาว่า สิ่งที่ถูกต้องที่แท้จริงเป็นอย่างไร แน่นอนด้วยความเข้าถึงความจริง ย่อมทำให้เราคิดทบทวนและใคร่ควร เพื่อหาทางหรือวิธีการเพื่อนำไปสู่ความจริง การคิดว่าสุวรรณภูมิ คือชมพูทวีป อันเป็นต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา นั้นจึงเป็นสิ่งที่ผิด แต่สิ่งที่ถูกต้องนั่นคือ อินเดีย เนปาล และพื้นที่อาณาบริเวณดังกล่าวนั้นแลคือดินแดนที่พระพุทธเจ้าถือและประกาศพระพุทธศาสนา

    ความจริงแล้ว ทำไมสุวรรณภูมิจึงมีเจดีย์มากมาย ก็นั่นเป็นเพราะการได้รับอิทธิพล จาก อินเดีย โดยพุทธศาสนาที่แพร่ขยายเข้ามานั่นเอง
    ส่วนในอินเดีย อันหมายถึงปัจจันตชนบทและมัธยมชนบท นั้นในครั้งพุทธกาลยังไม่มีการสร้างเจดีย์ แต่จะสร้างเป็นสถูปหรืออุโมงค์ครึ่งวงกลมเท่านั้น
    กล่าวโดยสรุปได้ว่า

    1 หลังพุทธกาล1-1000ปี อินเดีย พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก และในสมัยนี้นั้น การสร้างสถูปแบบทรงกลม คือเป็นยุคแรก หลังจากนั้นมา พระเจ้าอโศกมหาราชได้ สร้างเจดีย์ ขึ้น แต่มีลักษณะเปลี่ยนไปคือเริ่มสร้างแบบมียอดแหลม ส่วนฐานของสถูปยังเป็นแบบเดิม และจะต้องทำอุโมงค์ไว้เพื่อบรรจุพระบรมธาตุตลอดจนของใช้ของมีค่าไว้ภายในสถูป
    2 หลังพุทธกาล 1100-2000 พุทธศาสนาในอินเดียล่มสลาย แต่กลับมาเจริญรุ่งเรืองมากในเขตสุวรรณภูมิ อันหมายถึง เขมร ไทย ศรีลังกา พม่า อินโดนีเซีย ลาว ตามลำดับ
    พศ1100-1500ในยุคทราวาดี นี้ การสร้างเจดีย์ ยังคงความเป็นศิลปะแบบอินเดีย ผสมผสานกับ กรีก และเขมร ในยุต้นทราวดี พุทธศาสนาในเขมรเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ถัดมาก็คือประเทศไทยเรา สังเกตุได้ว่า โบราณที่ค้นพบในสุวรรณภูมิ ทุกอย่างล้วนสร้างในสมัยทราวดีเกือบทั้งหมด นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นหรือยุคทองแห่งทราวดีของสุวรรณภูมินั่นเอง
    ในยุคทราวดีการสร้างเจดีย์ จึงเป็นแบบระฆังคว่ำปลายยอดแหลม แบบ พระปฐมเจดีย์ เป็นต้น
    หลังจากนั้นมาจึงก้าวเข้าสู่ยุค ละโว้ ยุคล้านนา ยุคสุโขทัย จวบจนอยุธยาตอนต้น คือพศ1500-2000 นั่นเอง ซึ่งในแต่ละยุคการสร้างเจดีย์ก็เปลี่ยนไปพัตนาแบบใหม่แจตกต่างจากแบบเดิม แต่ก็ยังมีเค้าโครงแบบเดิมอยู่บ้างคือส่วนของฐานของเจดีย์ที่เป็นแบบ4เหลี่ยม และแปดเหลี่ยมเป็นต้น

    ปีพศ2000 - จนถึงปัจจุบันจึงเป็นยุคของอยุธยาตอนปลาย กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์นั่นเองซึ่งก็คือยุคปัจจุบันนั่นเอง

    จากที่รวบรวมข้อมูลมาทั้งหมด จึงยืนยันได้ว่า อินเดียอันประกอบด้วย มัธยมชนบทและปัจจันตชนบท และรอบอาณาบริเวณคือ ชมพูทวีปครับ คือต้นกำเนิดของพุทธศาสนา ที่แท้จริงครับ สาธุ


     
  8. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อืมม..ก็ดีแล้ว นึกว่าจะมีความเชื่อเหมือน คนชื่อ หนึ่ง

    ไม่รู้ตอนนี้ ไปดึงโบว์ อยู่ที่ไหน หลังจากทิ้งลิ้งเมื่อ 2554 เอ้..หรือว่า 2556 นี่ล่ะ เงิบหาย ไปเลย

    แต่อย่าไปใส่ใจ

    ใส่ใจ ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ผู้ผ่านการปฏิบัติ มาอย่าง โชกโชน จะดีกว่า
    เพราะสามารถ กอบกู้ศรัทธา เพื่อความมั่นคง ได้อย่างไม่ต้องลังเล ในหลายๆท่านที่เคยได้ไปอินเดีย เช่น หลวงพ่อกัสปมุนี

    <IMG src='http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/pic-monk/lp-kasapamuni-01.jpg' width=150>

    คลิ๊กที่ภาพ แล้วจะเจอของดีในสิ่งค้างคาใจ

    (ส่วนผู้ที่ใช้กาลามสูตร ทางโลก เอามาวิเคราะห์อย่าใส่ใจ ก็แค่ฟังไว้
    ไม่แน่ว่าจะเข้าข่ายอัพยากตปัญหา เอาทุกข์ไปค้นหา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับบางคน)

    จุดมุ่งหมายของ สังเวชะ... พึงเพื่อให้เห็นความสังเวช ในตน ของคนๆนั้น

    ค้นหาทุกข์ แต่ไม่ใช่เอาทุกข์ไปค้นหาโลกอนิจจา
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    ขอขอบคุณท่านสูญสุรินทร์สำหรับข้อมูลดีๆมาให้ประดับความรู้ครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ลูกขอกราบท่านพระกัสปมุนี ผู้เป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่งด้วยเศียรเกล้าครับ สาธุ
     
  10. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    <IMG src='http://www.pdamobiz.com/forum/uploads/images10/36455/acer14_8B68Z.jpg' width=450>​
     
  11. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นคนไทย ที่เรียกว่าไทยอาหม
    ยืนยันโดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    http://palungjit.org/

    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยไม่ได้เป็นแขกอินเดีย...ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานที่ประเทศไทย
    เมืองกุสินาราสถานที่ปรินิพพานก็อยู่ในเมืองไทย ตอนนี้ก็คือวัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี

    [​IMG]


    สังเวชสถานในอินเดีย แขกอินเดียเขาก็อุปโลกขึ้นมาหลอกลวงชาวโลก
    พอเราได้ยินว่าใครไปสังเวชสถานในอินเดีย เราก็ได้แต่สังเวชเขาเหล่านั้นอยู่ในใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cc1.JPG
      cc1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      4,529
  12. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    บางคนหากไม่มีวิจารณญาณ ไม่รู้จักแยกแยะ ในระหว่างคำว่า "ไทย กับ ไท อาหม" ว่ามีที่มาที่ไป อย่างไร

    มีลักษณะ ชา ติ พันธ์นั้น มีทิฏฐิ มีพื้นฐานอย่างไร ที่จะรองรับช้างเผือก

    เป็นไปได้หรือ ที่พระโพธิสัตว์ก่อนจะประสูติ เพื่อลงมาตรัสรู้ ประกาศธรรมจักร เป็นเอกบุรุษของสามโลก

    ได้พิจารณาแล้ว เกี่ยวกับ "ปัญจมหาวิโลกนะ" ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในนั้น คือเรื่อง ตระกูล

    เป็นไปได้หรือ ที่พระศาสดา จะเป็น คนไทย

    เรื่องนี้ จริงเท็จอย่างไร ก็ต้องไปเปิดบานประตูวัดบวรฯ เข้าช่องให้ถูก

    สอบถามพระท่านหนึ่ง ที่ยังดำรงค์ขันธ์ เคยมากล่าวออกสื่อ ว่าสืบเชื้อสายมาจาก "ศากยะวงศ์"

    แต่ไม่รู้ด้วยนะ ว่านายทวารติดฝิ่น เซี่ยวกาง เค้าต้องการจะให้เข้า ได้หรือป่าว นั่นอีกเรื่อง

    เพราะด้วยพื้นฐานทิฏฐิของบางคน ได้แก้วมา แต่กลับไม่เห็นค่า ในความหมาย

    ในคำบอกเล่าของ "มา สมโณ โน ครูติ" มีอยู่เยอะแยะ

    พอเมื่อได้รับข้อมูลมา จะด้วยความรัก ที่มีต่อศาสนามากส์ จนอยากจะเป็นเจ้าของ หรืออย่างไร ?

    จนมองไม่เห็นความสังเวช ในตนเอง คือความเป็นศาสนาแท้ๆ

    ก็ไม่แปลก ที่ "แดนกิมจิ" (ยังไม่รวมไปถึงทัศนะชาวเนปาล) จะแสดงออกบ้าง ถึงความศรัทธา แฝงไว้ในกุศโลบาย

    เนื่องจากศาสนาหลัก ของอินเดีย คือฮินดู ปากก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นชาวอินเดีย

    แต่ไม่ค่อยได้รับการอุปถัมภ์ จากผู้นำ เพราะผู้นำนับถือฮินดู จึงเป็นที่มา "มา สมโณ โน ครูติ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  13. gnungnun

    gnungnun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +357
    ขอให้ดูกระทู้นี้ประกอบครับ
    ความลับหนังสือของคุณเอกอิสโร

    ผมเคยอ่านหนังสือของคุณเอกอิสโรและลองคำนวณระยะทางต่างๆระหว่างเมืองดู ปรากฏว่าระยะทางผิดพลาดไปเกือบทั้งหมด ซึ่งคุณเอกอิสโรก็ยอมรับ ดังนั้นสมมุติฐานในหนังสือจึงผิดไปเเทบทั้งหมด

    งานเขียนของคุณเอกอิสโรมักจะอ้างถึงการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน แต่คุณเอกอิสโรเข้าใจการเดินทางของท่านผิดไปตั้งแต่เริ่ม การอ้างอิงต่างๆจึงผิดไปหมด

    ความจริงในพระไตรปิฎกมีเขียนไว้และสามารถหักล้างแนวคิดของคุณเอกอิสโรได้ทั้งหมดดังนี้

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
    ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล เข้าอาศัยแนวป่าอันน่ากลัวแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ นี้
    เป็นความน่ากลัวแห่งแนวป่านั้น บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ป่านั้น โดยมาก ขนพอง ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล ในราตรีที่หนาว ฤดูเหมันต์ ตั้งอยู่ระหว่างเดือน ๓ ต่อเดือน๔ เป็นสมัยมีหิมะตก ในราตรีเห็นปานนั้น [เรา] อยู่ในที่แจ้งตลอดคืน กลางวันเราอยู่ในแนวป่า ในเดือนท้ายฤดูร้อน กลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ในแนวป่า ดูกรสารีบุตรเป็นความจริง คาถาอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักนี้ ที่เราไม่ได้ยินมาก่อน .....

    ###################


    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค
    มหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท
    บทว่า อพฺโภกาเส ความว่า พระมหาสัตว์ประทับอยู่ในกลางแจ้ง ตลอดราตรีในสมัยหิมะตก. ลำดับนั้น หยดหิมะทั้งหลายปกคลุมขุมพระโลมาทุกขุมขนของพระมหาสัตว์นั้น ดุจแก้วมุกดา สรีระทั้งหมดเป็นเหมือนคลุมด้วยผ้าหยาบสีขาวฉะนั้น.
    บทว่า ทิวา วนสณฺเฑ ความว่า ครั้นเมื่อหยดหิมะทั้งหลายไปปราศแล้ว เพราะสัมผัสแสงพระอาทิตย์ในกลางวัน แม้พระอัสสาสะพึงมี แต่พระมหาสัตว์นี้ ครั้นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ก็เสด็จเข้าไปสู่ราวป่า. แม้ในราวป่านั้น หิมะละลาย เพราะแสงพระอาทิตย์ก็ตกลงในพระสรีระของพระโพธิสัตว์นั้นเทียว.

    1. ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล ในราตรีที่หนาว ฤดูเหมันต์ ตั้งอยู่ระหว่างเดือน ๓ ต่อเดือน๔ เป็นสมัยมีหิมะตก

    2.หยดหิมะทั้งหลายปกคลุมขุมพระโลมาทุกขุมขนของพระมหาสัตว์นั้น ดุจแก้วมุกดา สรีระทั้งหมดเป็นเหมือนคลุมด้วยผ้าหยาบสีขาวฉะนั้น.


    จากข้อ1. แถบพม่า ไทย ลาว ไม่มีหิมะ บางคนอาจอ้างว่าที่พม่ามีภูเขาลูกหนึ่งติดกับจีนมีหิมะ แต่หิมะที่มีนั้นไม่ได้ตกเป็นช่วงฤดูเหมือนที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกข้างต้น และเดือน3ต่อเดือน4ในแถบไทย พม่านี้อากาศก็ค่อนข้างจะร้อน

    จากข้อ2. หยดหิมะทั้งหลายปกคลุมขุมพระโลมาทุกขุมขนของพระมหาสัตว์นั้น ดุจแก้วมุกดา สรีระทั้งหมดเป็นเหมือนคลุมด้วยผ้าหยาบสีขาวฉะนั้น.

    บางคนพยายามจะให้เป็นน้ำค้างบ้าง ลูกเห็บบ้าง ทั้งๆที่พระไตรปิฎกบอกถึงตอนนี้ว่ามันคือหิมะที่ปกคลุมพระสรีระจนกระทั่งเหมือนผ้าหยาบสีขาว

    ถ้าไม่เลี่ยงบาลีจนเกินไปคงสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานในประเทศพม่าหรือไทยจากเงื่อนไขของการมีหิมะดังกล่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    gnungnun :cool: :cool:
     
  15. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    หลวงพ่อฤษีเคยพาลูกศิษย์จำนวนมากไปอินเดียครับ เป็นสถานที่ตรัสรู้ครับ

    คุณๆ ขอโทษนะครับ อย่ามั่ว หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ทา่นเล่าให้ฟัง

    ในทำนองที่ว่า พระพุทธเจ้า เป็นเชื้อสายไทยอาหม แต่ไม่ใ่ช่ ว่าพระพุทธเจ้า

    ตรัสรู้ที่เมืองไทย ต้องแยกให้อออกนะครับ

    เพราะหลงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤษี ท่านเอง ก็พาลูกศิษย์

    ไปเที่ยวอินเดีย ไปกันคณะใหญ่เลย ท่านเองก็ยืนยันว่า พระพุทธเจ้า

    ตรัสรู้ ประสูตร ที่อินเดีย ลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อหลายทา่นมีพลังจิตสูงก็ได้ไป

    บริเวณที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หลายทา่นบอกว่า พื้นดินแถวนั้น เอามาทำพระ

    เครื่องได้เลย โดยไม่ต้องเข้าพิธืพุทธาภิเสก เพราะพุทธานุภาพ ยังอยู่ เต็ม

    พื้นดินไปทั่วบริเวณ ดินแถวๆนั้น มีแต่พุทธานถุภาพเต็มไปหมด

    ให้หาอ่านเรื่องจริง อิงนิทาน จะมีเล่าอยู่ในนั้นครับ

    (คุณจับนู้นผสมนี่ เอามาปรนกัน ครูบาอาจารย์เสียหายนะครับ

    เป็นการปรามาส ครูบาอาจารย์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  16. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คุณหมูดิน1 รู้ตัวหรือป่าว คุณกำลังมาแย่งซีน กำลังรออยู่ว่า ผู้นั้นจะโพสต่อ ว่าอย่างไร

    จะได้สอยของที่คว่ำอยู่ ให้หงาย เงิบ!! รู้จักความสังเวช ตามข้อมูลที่คุณโพส ^^

    แต่เอาเหอะ คงจะมือสมัครเล่น ไม่ใช่ศิษย์ของจริง ขาดความยำเกรง ขาดความรอบครอบในข้อมูลของชาวบ้าน ^^


    หลวงพ่อไปอินเดีย...ตอนที่ ๒
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  18. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/RyV7o9cdrEw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/MyOwMXUhS-g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/NhRn3isHf3o" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/DpRDomjegzA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...