จริงหรือไม่ ที่ชมพูทวีป สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินพพาน ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อินเดีย

ผมเขียน กระทู้ขึ้นมาเพื่อ นำหลักฐานทางโบราณคดี มาแสดงให้เห็นว่า
ประเทศไทยเราไม่ใช่สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้เราทราบได้ชัดเจนว่า ประเทศไทย ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เขมร ศรีลังกา ตั้งแต่ช่วงพุทธกาลหลัง1000 ปีเป็นต้นมา อันหมายถึง เริ่มเจริญรุ่งเรือง ตั้งแต่สมัยทราวดี เป็นต้นมา จวบจนถึงปัจจุบัน และประวัติศาสตร์ก็บอกไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น พระปฐมเจดีย์ หรือกลักฐานสำคัญหลายจุด โดยเฉพาะรูปแบบการสร้างเมืองโบราณที่ต้องทำคูเมืองล้อมรอบเป็นต้น แต่ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของสมัยทราวดีเป็นต้นมา ทำให้มีหลักฐานมากมาย จนทำให้เราเข้าใจผิดเพี้ยนไปว่า ประเทศไทยเป็นที่กำเนิดพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา นั่นเอง

ส่วนประเทศอินเดีย เนปาลและบริเวณใกล้เคียง สถานที่เหล่านี้คือแดนกำเนิดของพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนา จริง เพราะตามประวัติศาสตร์ จากหลักฐานจากโบราณคดี ต่างๆ มากมายนักที่ค้นพบตรวจพบ โดเฉพาะสถูปและมหาสถูปมากมาย ไม่ต่างกับเจดีย์ที่ค้นพบที่ไทยเรา แต่ทว่าสถูปที่ค้นพบในอินเดีย ก็ทรุดโทรมเสื่อมสลายไปมาก บางส่วนก็ไม่เหลือทราก เพราะผ่านอายุมากกว่า2000ปีมาแล้ว หลักฐานที่หลงเหลือในอินเดีย จึงค้นหาเพิ่มได้ยากยิ่งขึ้น แต่จากหลักฐานที่ค้นพบเดิม ก็มีมากมายจนมีน้ำหนักมากพอ เป็นที่แน่ใจได้แล้วว่า พุทธศาสนาถือกำเนิดในอินเดีย ที่แห่งนี้คือชมพูทวีป อย่างแท้จริง ไม่ใช่สุวรรณภูมิ เหมือนที่บางท่านบางตำรากล่าวอ้าง

ที่กล่าวมาคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่ง ที่ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ขอกล่าวถึง แต่ก็อดไม่ได้ เพราะนี่คือสิ่งหนึ่งแม้จะพิสูจน์ได้ยากแต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เหล่าบูรพาจารณ์ ครูอาจารย์ ผู้ทรงอภิญญา แม้นิมิตของกระผมเองก็เห็นตรงกันคือ
ศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้นในอินเดีย เท่านั้นครับ

ส่วนสุวรรณภูมิเจริญรุ่งเรื่องมากเริ่มตั้งแต่สมัยทราวดี นั่นเอง คือหลัง1000ปี พุทธกาล ซึ่งกระผมก็ได้มาเกิดอีกครั้งเมื่อปี1200-1300ในสมัยนี้อันเป็นช่วงสมัยละโว้ ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ ซึ่งได้มีการขยายการสร้างเมือง มากมายโดยได้รับอิทธิพล จาก อินเดีย เขมร ศรีเทพ และศรีลังกา มาสร้างเมือง สร้างปราสาทพระปรางค์สามยอดเป็นต้น ครับ สาธุ

 

ก็ดีแล้ว tjs ให้มั่นคงในหลัก เอาให้แน่ ^^

เพราะเมื่อก่อน ช่วงปลายปี56 เห็นคุณ ลักปิดลักเปิด ก้ำๆกึ่งๆ แสดงความเห็น เนรมิต ดั้นด้น ไว้ว่า


ที่ไป ที่มา ของข้อความข้างล่าง

v

 

ขอบคุณท่านสูญสุรินทร์อีกครั้ง ที่ใส่ใจและติดตามกระทู้กระผมมาโดยตลอด กระผมจำได้ดีว่าเคยกล่าวอย่างนี้ไว้จริง และพยายามหาข้อความนี้เพื่อจะได้แก้ไขให้เหตุผลหักล้างออกไป เพราะขณะนั้นกระผม อิงหลักฐานที่ไม่ถูกต้องหรือเป็นเท็จจากตำราเหล่านั้นที่พยายามเชื่อมโยง หรือเรียกว่า พยายามหาเหตุผลเพื่อให้เป็นดังสิ่งที่ตนต้องการให้เป็นเพราะคิดไว้แล้วตั้งเป้าเอาไว้แล้ว แต่ในสิ่งที่ถูกต้องคือ เราจะไม่สรุปอะไรลงไปก่อนจนกว่า หลักฐานและพยานต่างๆ มันจะฟ้องออกมาให้เราทราบเอง เข้าใจได้เอง ประกอบกับ เมื่อเราเจริญจิตภาวนา ทุกอย่างต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน เมื่อมันขัดแย้งกัน ย่อมแสดงว่ามีสิ่งหนึ่งผิด ไม่ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงต้องตรวจสอบใหม่และทบทวนใหม่ นั่นคือ
1เจริญภาวนาและทบทวนญาณนิมิต ซึ่งยังยืนยันเหมือนเดิมว่าพระพุทธเจ้าถือกำเนิดในอินเดีย
2 ทบทวนตำราใหม่ว่าที่เขาเขียนไว้มันจริงเท็จอย่างไร แล้วผู้อื่นๆ ตำราอื่นๆละเขาว่าไว้อย่างไร เนื้อหาของแต่ละตำรา แตกต่างกันอย่างไร ความต่างคืออะไร ความจริงคืออะไร รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ลำดับเหตุการ ตามอายุ ตามโบราณสถาน โบราณวัตถุ พิจารณา ด้วยหลักเหตุผล จึงได้คำตอบใหม่ที่ชัดเจนถูกต้องนั้นเองครับ จึงได้ข้อสรุปที่มีความน่าเชื่อถือว่าพระพุทธเจ้าถือกำเนิดในอินเดียนั่นเองครับ

 

เจริญ..พอง !!!

 

ขอแก้ไขความเห็นใหม่ดังนี้คือ
1ประเพณีการเกิดและการสร้างปราสาทสามฤดูที่สอดคล้องกับความเป็นสุวรรณภูมิ
ข้อนี้เนื่องจากเวลาล่วงเลยมา2500ปี มาแล้วฤดูกาลนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับในพุทธกาลสมัยนั้น อินเดีย ประเทศมีสภาพป่าไม้อุดมสมบูรณ์ การตกของฝนจึงเป็นเรื่องปกติ และด้วยสภาพภูมิประเทศที่อยู่บริเวณละติจูด และลองติจูดดังกล่าว ย่อมปรากฏสภาพอากาศหนาวและร้อนในบางช่วงบางเดือน จึงเป็นไปได้ว่า อินเดียในสมัยนั้นมี3ฤดูนั่นเอง จึงมีการสร้างปราสาท3ฤดูจึงไม่แปลกอะไร


2ประเพณีพืชมงคลแรกนาขวัญ อันสอดคล้องกับความเป็นสุวรรณภูมิ
เรื่องประเพณีพืชมงคลแรกนาขวัญ เป็นประเพณีของพราหม์ อินดู อันมีมานานแล้วก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดอีกครับ ซึ่งสุวรรณภูมิก็รับเอาประเพณีนี้มาครับ

3อาหารการกินเป็นแบบสวรรณภูมิไม่ใช่อินเดีย เช่นข้าวยาคู ข้าวทิพย์ และอื่นๆ ไม่เคยมีการกล่าวถึงอาหารแบบอินเดีย
อาหารสมัยก่อนแท้จริงมีการปลูกข้าว และเมล็ดพันธ์ข้าวนานาชนิดมีมานานแล้วครับ เรื่องข้าวยาคูจึงมีการทำมานานแล้ว ไม่เฉพาะสุวรรณภูมิและทุกกลุ่มชนก็มีการปลูกและหุงกินกันมานานซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน เพราะภูมิประเทศใกล้เคียงกัน

4การแต่งกายที่สอดคล้องความเป็นสุวรรณภูมิไม่ใช่อินเดีย
การแต่งกายแท้จริงหากศึกษาจากพระไตรปิฏกก็จะพบว่า มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่หากพิจารณาอย่างละเอียด ก็จะทราบได้ว่ามีความเป็นอินเดีย โดยพิจารณาจากวรรณะแต่ละวรรณะที่มีความโดดเด่นมากว่า ชาวสุวรรณภูมิ

5การทานข้าว ฉันข้าว พระต้องทำคำข้าวให้เป็นคำๆพอดีคำหมายถึงข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวไม่ใช่โรตี
การขบฉันเนื่องจากการหุงข้าว ซึ่งอินเดียก็มีปลูกข้าวมานาน ข้าวที่หุงแล้วเมื่อใส่บาตร ก่อนฉันด้วยความเป็นผู้มีมารยาท ก็ควรทำคำข้าวให้พอดีคำ ซึ่งนั่นหมายถึงการตักข้าวให้พอดีคำ คือให้มือเบิบคำข้าวให้พอดีคำนั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นข้าวเหนียวหรืออะไรครับ แต่เป็นมารยาทในการขบฉันเท่านั้นเอง

6การแต่งงาน พระสิทธิธัตถะ ต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอพระนางพิมพ์พาคือชายไปขอและมีสินสอดของแต่งของหมั่นแบบสุวรรณภูมิมิใช่อินเดีย
ประเพณีการแต่งงาน ด้วยความเป็นมหาราช กษัติย์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงเป็นการให้เกียรติสตรีเพศ และส่วนหนึ่งก็ไม่ได้กล่าวรายละเอียดมากนัก

7 เงินสมัยก่อนเรียกเป็นกหาปณะคือเป็นเหรียญกษาปนั่นเอง ไม่ใช่รูปี
เรื่องเงินตราที่ใช้ความจริงแล้วกหาปนะและรูปิยะ ซึ่งคำว่ารูปิยะ ก็หมายถึงรูปีนั่นเอง นั่นคือต่างก็หมายรวมถึงสิ่งเดียวกันคือเงินตรา นั่นเอง แต่เรียกต่างกันตามจำนวน นั่นเองครับ

8 ภาษามคช เป็นภาษาดั้งเดิมของชนสุวรรณภูมิ มานานแสนนานอันเป็นต้นตำหรับของลายสือไทย
ไม่ใช่ตามที่ฝรั่งอ้างว่าภาษามคชดัดแปลงมาจากภาษาลวะของอินเดีย
เรื่องภาษาแท้จริง หากพิจารณาจากประวัติศสาตร์และลักษณะของตัวอักษร ที่มีความคล้ายคลึงหรือมีส่วนเหมือนกันเพราะอาศัยรากศัพท์เป็นรากฐานจึงเป็นที่มาว่าภาษาปัลวะ ของอินเดียนั่นเองครับ

9 ประเพณีการฌาปณกิจพระบรมศพของพระพุทธเจ้า เหมือนของชาวสุวรรณภูมิจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งแตกต่างจากชาวอินเดียที่มีแบบทั้งเผาและไม่เผาแต่จะต้องเอาไปลอยแม่น้ำ
ยังมีข้อสังเกตุหลายอย่างที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นอินเดีย
ข้อนี้กระผมกล่าวผิดไปจากความจริงเพราะจากพระสถูปต่างๆในอินเดีย ซึ่งมีการเผาสรีระแล้วนำไปบรรจุไว้ในผอบแล้วเก็บไว้ในสถูปพร้อมด้วยของใช้นั่นเองซึ่ง ประเพณีนี้อินเดีย ทำมาก่อนนานแล้วนั่นเองครับ

10 ตลอดจนเราจะพบว่าประเทศไทย พม่า ลาว เขมร มีหลักฐานทางพระพุทธศาสนาเยอะมากๆต่างกับ อินเดีย ซึ่งมีน้อยนิด
อินเดียมีหลักฐานทางโบราณคดีเยอะมากหากแต่เราไม่ทราบนักข้อมูลมีไม่มากแต่หากสืบหาจริงๆก็จะพบหลักฐานมากมายยิ่งกว่าประเทศไทย ส่วนหลักฐานที่พบในประเทศไทยล้วนเป็นหลังพุทธกาลที่สร้างในสมัยทราวดี เป็นต้นมานั่นเอง ครับ

ส่วนที่มีแท้จริง สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดจริงหรือว่าใช่เป็นสถานที่พุทธประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานจริงหรือ
หรือเป็นโบราณสถานของเหล่าลัทธิพราหม์ฮินดู ส่วนเสาหินของพระเจ้าอโศกที่พบ
ท่านมีอะไรแน่ใจว่า จะเป็นจุดที่พระเจ้าอโศกฝังไว้เพื่อแสดงว่าเป็นที่ประสูติ
ข้อนี้ความจริงเรื่องเสาหิน ที่จะต้องมีเพราะเป็นประเพณีปฏิบัติสืบเนื่องกันมาของชนชาวอินเดีย ที่สืบทอดกันมาเมื่อสร้างสถูปนั่นเองครับ


อาจเป็นเพราะเจตนาอย่างอื่นเป็นไปได้หรือไม่ และเสาหิน ที่เหลืออีกมากมายอยู่ที่ไหน การเผยแพร่พระศาสนาด้วยการสร้างพระเจดีย์ ในอินเดียไม่มีปรากฏหรือปรากฏน้อยมาก
อินเดียไม่มีเจดีย์ มีแต่สถูป และมหาสถูป ส่วนที่ไทยแน่นอนต้องมีเจดีย์เพราะสร้างหลังพุทธกาลตั้งแต่ทราวดีเป็นต้นมาครับ

เจดีย์ในอินเดียใช่สถานที่ตรัสรู้หรือไม่ แล้วเจดีย์ในสุวรรณภูมิมีอีกมากมาย ที่พบและยังไม่พบ
นี่คือสิ่งที่เมื่อถึงเวลาทุกอย่างย่อมปรากฏความจริงให้ชาวพุทธได้ทราบครับ

บัดนี้ความจริงปรากฏแล้วครับ อินเดียคือกำเนิดแห่งพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าเป็นบรมศาสดาครับ สาธุ

 

ยังขาดอีกสิ่งหนึ่งที่ยังไม่แก้ไข คือเรื่องราวการอวตาร

เพราะนั่นเป็นทิฏฐิ ในส่วนลึกของtjs ณ บัดนาว

 

ชมพูทวีป ไม่ได้หมายถึงจักวาลนี้หรอกรึ
มันเป็นเรื่องความเชื่อของมหายาน เรื่องทวีปทั้งหลาย ของพระธยานิพุทธะ ที่เป็นสัมโภคกาย เรียกกันว่าพระพุทธเจ้า5พระองค์ อันเริ่มจากพระไวโรจไปจนถึงพระอโมฆสิทธิพุทธะ ซึ่งพระอมิตาภะอยู่ประจำชมพูทวีป

 

================

เรื่องพระพุทธเจ้า คือการอวตาล ของพระนารายน์ ที่อวตาลจิตมาเพื่อสร้างบารมีและที่สุดก็ปราถนาโพธิญาณ และได้สร้างบารมีอย่างยิ่งยวดจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

เรื่องนี้กระผมเคยเห็นเป็นอย่างนี้จริง แต่ความเห็นเช่นนี้ กระผมเข้าใจและหมายความว่า ในการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า นั่นหมายถึงท่านจะต้องสร้างบุญบารมีบุญกุศลนานาประการ ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมสร้างไว้ ทำให้ท่านได้มีความเป็นทิพย์เทพ อันมีหลากหลาย แน่นอนว่าท่านต้องผ่านการเป็น พรหม อรูปพรหม พระอินทร์ หรือมหาเทพ เทพ หรือแม้แต่ความเป็นพระนารายน์ท่านก็ย่อมต้องเคยได้เป็นมาแล้ว กระผมจึงเข้าใจอย่างนั้น

และเมื่อพิจารณาความเป็นพระนารายน์ นั้น แยกเป็นสองส่วนคือ พระนารายน์ตามแบบของพราหมอินดู อันหมายถึงเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ผู้ปกครองมีหน้าที่กำหราบปราบอสูญชั่วร้าย ให้โลกสงบสุข

ส่วนแบบพุทธ พระนารายน์เทพบุตร กระผมหมายถึงมหาเทพผู้สร้างบารมีสั่งสมมามาก ทรงอิทธิฤทธิ์ ปราบมารขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ทั้งปวง ซึ่งท่านมีหน้าที่ เพื่อปกป้องบ้านเมือง สถานที่สำคัญ ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเมืองมนุษย์และสวรรค์


อย่างไรก็ตามกระผมได้ละทิ้งความคิดเรื่องนี้ไปหมดแล้วครับ อันความเป็นพระพุทธเจ้าจะเคยเป็นอะไรมาก่อนนั้น หรือว่า ท่านจะอวตาลมาอย่างไรนั้น เราไม่ควรไปสนใจหรือยึดมั่นอะไร เพราะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรรู้คือ ท่านสร้างบารมีมาอย่างไร ท่านทำอย่างไร เพื่อเป็นบทเรียนแบบอย่างในการปฏฺิบัติเพื่อการสร้างบารมีของเราจะได้ถูกต้องตามแบบอย่างของพระพุทธองค์ครับ

 

เห้อ...กลิ้งไปกลิ้งมา

 

เรื่องแบบนี้ละเอียดอ่อนนะคะพี่ ไม่น่าจะเอามาตั้งกระทู้เลย


ยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ท่านเถิด อย่าไปยึดเลย ว่าท่านจะประสูติที่ใด ...

 

ครับ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือพระธรรม หลักคำสอนที่ จะต้องศึกษาและน้อมนำไปปฏิบัติ

ส่วนภูมิ-ประวัติศาสตร์ ของพุทธศาสนา เป็นเรื่องรองๆลงไป แม้จะไม่ควรไปยึดมั่นมากนัก แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากเรื่องนี้ก็มีมากมายหลายประการ
การที่กระผมเขียนกระทู้นี้ เพราะต้องแสดงให้ทราบเหตุ ผล ทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำหนักมากพอ และ ไม่อยากให้บางสำนักที่ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด บิดเบือนความจริงเรื่องนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด รู้ไม่จริง อันก่อให้เกิดความเสียหายตามมาหลายประการ ครับ

 

=========

ถ้าการอธิบายให้ทราบ วิธีคิด ที่มาที่ไป แสดงเหตุผล ความคิด เป็นอย่างที่กล่าวมา จะทำให้ท่านคิดว่าผมกลิ้งไปมา ก็ไม่เป็นไรครับ ผมได้แสดงความเห็นตามความเป็นจริงในสิ่งที่ผมคิดและเข้าใจแล้ว ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์แล้วครับ

 

ขอขอบคุณ และขอร่วมอนุโมทนากับท่าน โปโล
ที่ได้นำข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มาให้เราท่านได้รับทราบ ศึกษากัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่แสดงหลักฐาน เหตุผล ที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ในความเป็นพุทธประวัติ ที่ถูกต้อง ที่ค้นพบในอินเดียอันเป็นศูนย์กลางของชมพูทวีป เมื่อครั้งพุทธกาลครับ สาธุ

 

ถ้าแก้ความเห็นผิดได้ ก็ดีไป อย่าลืมนะว่า พุทธศาสนาที่ล่มสลายในอินเดีย

ส่วนหนึ่ง ก็แนวความคิด ลัทธิอวตาร นั่นแหละครับ

เคยเอาเรื่องราวการปฏิญานตน 22 ข้อ ของ ดร.อัมเบดก้าร์ มาลงในกระทู้หนึ่ง
หัวใจพุทธะ

อยากจะบอกว่า หายาก ในผู้ที่มีความตั้งมั่น เป็นหนึ่ง ในพระรัตนตรัยจริงๆ บรรไดสู่ความสลัดออก

บ้างก็เขว้ สอดไส้ ไสยะ ไศวะ นอกโลก ไปโน้น งัดเอาของขลังไม่ขลังมาโชว์ ไหนล่ะของดี

สิ่งที่อยากจะบอก ก็ถือว่าเป็นไปตามหน้าที่ เช่นกัน หากใครเป็นชาวพุทธ

เสียดายที่ปราชญ์ ฝ่ายฆราวาส อย่างท่าน อ.เสถียร โพธินันทะ ต้องลาลับ

 

คนที่ได้อภิญญาจริงก็จะเห็นได้ ซึ่งก็คือพุทธคยาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จะมีรุกเทวดาเฝ้าดูแลเป็นพันเป็นหมื่นตนเป็นที่ตรัสรู้ของพุทธองค์

ส่วนสุวรรณภูมิก็คือ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์และศาสนาพุทธได้ผ่านมาถึงรวมหลายๆประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไทย เขมร กัมพูชา เวียดนาม พม่าเป็นต้น ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าเป็นสุวรรณภูมิผืนใหญ่ผืนเดียว

 

เอ้...จริงหรือที่ว่า สุวรรณภูมิ ว่ากันว่า อยู่บริเวณ หนองงูเห่า

ส่วนมนุษย์ ในทวีป4 ก็ว่ากันไปตามกรรม

 

==================

สุวรรณภูมิ จะยังคงรุ่งเรือง และเจริญอยู่ต่อเนื่องยาวนานจวบจนครบ5000ปี พุทธกาล

แต่หลักธรรม ย่อมเสื่อมลง พระอรหันต์ย่อมมีน้อยลง ความเจริญเป็นเพียงวัตถุ ปุชณียวัตถุ ปูชณียสถาน ของความเป็นพุทธเท่านั้น ซึ่ง เจริญอยู่และเสื่อมลงไป ตามกาลเวลา ขอให้เข้าใจว่า เวลานี้หรือเวลาใดก็ตาม การสืบทอดพุทธศาสนา แท้จริง หมายถึงการน้อมนำจิตใจตน เพื่อการสร้างวิชา สร้างปัญญารู้ ฝึกอบรมปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตน อาศัยธรรม เป็นเครื่องพ้นทุกข์นั่นเองครับ

 

================

สุวรรณภูมิ มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ หมายรวมถึง เอเชียอาคะเนทั้งหมดนั่นเอง แต่ใจกลางของสุวรรณภูมิ มีที่ตั้งคือ ประเทศไทยเรานั่นเองครับ ส่วนหนองงูเห่า เป็นการตั้งชื่อเพื่อการพานิชย์ ไม่ได้มีอะไร อย่าไปซีเรียสอะไรครับ

 

<IMG src='http://help.hi5.com/tagged/attachments/tagged/Pets/26918/1/angry-face-emoticon.gif' width=150> <IMG src='http://www.9to5gifs.com/wp-content/uploads/2014/01/laughing-smiley.gif' width=100>

 

ถ้า สามารถพิสูจน์ ว่าสถานที่จริงอยู่ที่ไหนได้ก็ดี ครับ