จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ขอแจมได้ไหมคะ พี่ภูสุดสวาสขาดดิ้นของน้อง >.<

    ธรรมะใดเย็นสบาย ผึ้งว่านั่นแหละธรรมะ ธรรมะใดร้อนดังไฟโลกัณต์ แม้จะเป็นธรรมขั้นสูงหรือธรรมะที่ถูกต้อง ผึ้งว่านั่นไม่ใช่ธรรมะ

    ธรรมะใดผ่อนคลาย ปฎิบ้ติแล้วสุข สุขคือการละไม่ใช่สุขจากการอยาก หรือเลอะเลือนไปชั่วขณะ ผึ้งว่านั่นคือธรรมะ ธรรมะใดตึงเครียด เคร่งครัด วัดผลไม่ได้ ทำให้จิตใจปวดรวดร้าวนั่นไม่ใช่ธรรมะ

    ผึ้งก้อเป็น 1 ดวงจิต ที่มุ่งจะไปสู่ความบรรลุ บางครั้งอาจมองว่าผึ้ง แปะ บางสิ่งลงไป เช่น "เหนื่อย" มีใครตอบได้บ้างว่าเหนื่อย ที่ผึ้งโพส หมายถึงอะไร อุทาน เหนื่อยการงาน เหนื่อยความคิด เหนื่อยใจ หรือแค่ "เหนื่อยกับตัวเองในกิจกรรมประจำวัน" คนที่อ่าน ก้อปรุงแต่งกันไปต่างๆนาๆ รวมทั้ง ด้วยอัตตาในตัวที่มีอยู่แล้ว จึงปรุงแต่งว่า ผึ้งต้องเหนื่อยกับเรื่องนี้ แน่ๆ โอ้พระเจ้า....มันทำให้ผึ้งได้บทเรียน และศึกษา อะไรอีกเพียบเลย ไม่ว่าจะเป็นใคร ก้อแล้วแต่..สามารถ หลุดไปกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่สัมผัส รสชาติที่ลิ้มลอง กลิ่นที่ชวนฝันได้หมด จึงอยากฝากความห่วงใยมากับ พลพล ช่วยดูแลกันและกัน ปะคับปะคอง เราจะไม่ปล่อยใครไว้ข้างหลังค่ะ จิตที่มีเมตตา ย่อมไม่เสื่อม จิตที่รู้จักปัญญาก้อย่อมไม่เสื่อม ธรรมนั้นจะสูงหรือจะน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ปฎิบัติใช้ธรรมนั้นได้จริง ความจริง ก้อคือสิ่งที่ต้องยอมรับ ไม่มีทางสลัดมันไปได้ ขอกล่าวด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ไม่มีความปรารถนาอื่นแอบแฝง ด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ และจะขอเดินหน้าปฎิบัติธรรมอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก้อไม่มีอะไรมาทำลายธรรมะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าได้ค่ะ สาธุ .............[ame=http://www.youtube.com/watch?v=0TyFnD1snS4]ห่วงใย พลพล - YouTube[/ame]
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เฟสบุ๊ค รักแท้ และการเวียนว่ายตายเกิด!!! ​
    (ธรรมะดีๆ)​

    เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือที่อยากอ่าน เปิดรับความรู้สึกเบิกบานกับสิ่งรอบตัวไปตามเรื่องตามราว ปกติแล้วก่อนผมจะเริ่มทำงานไม่ว่าจะเป็นงานเขียนหนังสือ หรือแต่งเพลง ผมจะต้องเช็คข่าวสารความเป็นไปของโลกก่อนเล็กน้อย เพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้คนบนโลกกำลังทำอะไรกันอยู่ เขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร กำลังวิ่งกรูกันไปทางไหน ว่าแล้วจึงเริ่มใส่แอดเดรสส่วนตัวเพื่อเปิดประตูสู่โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีชื่อเรียกว่า “เฟสบุ๊ค”

    บนหน้ากระดานเฟสบุ๊คของผมเต็มไปด้วยเพื่อนฝูงมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้คนที่มีความสนใจในธรรมะแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะผมเป็นคนเขียนหนังสือธรรมะ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นเพื่อนจึงเข้ามาด้วยแรงดึงดูดแห่งธรรมะ บางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ธรรมะจัดสรร” บ่อยครั้งที่มีการแลกข้อมูลดีๆกัน มีการถามตอบปัญหาในการปฏิบัติกัน ทักทายกัน แจ้งข่าวสารงานบุญที่น่าสนใจให้กันและกันได้รับทราบ

    ผมเคยนึกแปลกใจที่สังคมออนไลน์กับสังคมธรรมะนั้นสามารถไปด้วยกันได้ เหมือนดอกไม้ที่ถูกเสียบไว้ในแจกัน ดูเหมือนจะแตกต่าง แต่พอมาอยู่รวมกันกลับสร้างความงดงามไปอีกแบบ หลายครั้งที่ธรรมะหายากจากครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ถูกแชร์ผ่านลิงค์ต่างๆ ให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา นำไปปฏิบัติ ดูเหมือนว่า เฟสบุ๊คจะทำหน้าที่เป็นกาวประสานเชื่อมต่อให้เวลาในอดีตกับปัจจุบันแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว นอกจากคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว ในสังคมออนไลน์แห่งนี้ยังมีเรื่องราวดีๆ อันน่าประทับใจให้เราได้เสพซึ้งกันบ่อยๆ เหมือนเรื่องในวันนี้ที่ผมกำลังจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง

    เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่ผมเข้าเฟสบุ๊คเพื่อเช็คข้อมูลข่าวสารต่างๆ อยู่นั้น สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับภาพๆ หนึ่ง จะว่าไปแล้วก็เป็นภาพที่แปลกตาอยู่ไม่น้อย เพราะถูกถ่ายขึ้นในงานฌาปนกิจซึ่งหลายคนคงไม่ค่อยสนใจเอามาโชว์กัน ด้านหน้าของภาพเป็นพระสงฆ์ชรารูปหนึ่ง ถ่ายออกมาแบบเบลอๆ แต่ไม่ว่าจะเบลอเพียงแค่ไหน ผมก็ยังจดจำได้อย่างแม่นยำว่า ภิกษุชราที่เห็นในภาพก็คือ หลวงตามหาบัว ญานสัมปัญโนนั่นเอง ส่วนลึกเข้าไปในภาพเดียวกัน เป็นรูปถ่ายหน้างานศพของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาสะสวยตามลักษณะของคนยุค60-70 ปีก่อน แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายสุดท้ายที่วางอยู่หน้าโลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามของเธอลดลงแต่อย่างไร

    สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจกับภาพๆ นี้ ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามของภาพ หากแต่อยู่ที่เรื่องราวที่เขียนกำกับไว้ใต้ภาพทำนองว่า ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงตาจะรู้ดีว่า หลวงตาท่านจะไม่รับกิจนิมนต์ไปงานศพ หลายคนแปลกใจเหตุใดท่านจึงเดินทางมาร่วมงานไว้อาลัยของหญิงผู้นี้ หลวงตาจึงไขข้อข้องใจให้ศิษย์ทั้งหลายฟังว่า ผู้หญิงคนนี้ คืออดีตคนรักของท่าน เธอเป็นผู้หญิงที่ท่านรู้สึกหลงรัก และคิดจะแต่งงานอยู่กินด้วย แต่ชีวิตก็พลิกผันทำให้ต้องเข้าสู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เสียก่อน หลวงตามหาบัวเล่าว่า ถ้าท่านไม่ได้อาจารย์ดี สั่งสอนให้มีความเข้าใจทางธรรม ให้เห็นโทษของสังสารวัฏ ท่านอาจจะอยู่กินกับผู้หญิงคนนี้ไปแล้วก็ได้ เมื่อท่านบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็เร่งภาวนาจนเสร็จกิจ หลังจากนั้นท่านก็กลับมาช่วยสอนธรรมให้พระ เณร และญาติโยมอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็แต่งงานมีสามี แต่ก็ยังแวะเวียนมาช่วยงานวัดป่าบ้านตาดเสมอๆ ในฐานะญาติโยมคนหนึ่ง

    เป็นความจริงที่ว่า สัตว์ทั้งหลายในโลกล้วนเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย เคยเกิดมารัก เกลียด ชอบ มีความสัมพันธ์โยงใยต่อกันมาแล้วนับหลายภพชาติ หลวงตามหาบัวเล่าว่า ระหว่างท่านกับผู้หญิงคนนี้มีความผูกพันกันอยู่มาก เนื่องจากเคยเกิดเป็นสามีภรรยากันมา 27 ชาติ ทุกชาติก็มีความหวังดีต่อกันเสมอ และทั้ง 27 ชาติที่ผ่านมานั้น ผู้หญิงคนนี้จะต้องตายก่อนหลวงตาทุกครั้ง ท่านจึงต้องทำหน้าที่จัดงานศพ และเป็นผู้จัดการเผาศพผู้หญิงคนนี้มาตลอดทั้ง 27 ชาติ ในงานฌาปนกิจครั้งนี้ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของหลวงตามหาบัว เมื่อชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายและท่านจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล ท่านจึงพูดกับดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ในระหว่างทำพิธีว่า “เราจะมาเผาแกเป็นครั้งสุดท้าย” และนี่ก็คือสาเหตุที่อรหันต์แห่งยุคต้องเหยียบย่างมาในงานฌาปนกิจของหญิงสามัญชนคนหนึ่ง

    จิตวิญญาณทุกดวงล้วนมีความผูกพันกันมาเมื่อครั้งก่อน ตลอดการเดินทางอันนับเวลาไม่ได้ในสังสารวัฏ เราไม่อาจรู้เลยว่า เคยเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราเคยพบ เคยชอบ เคยรัก เคยเกลียด เคยพลัดกราดกับใครมาแล้วกี่คน เรื่องราวอันน่าประทับใจนี้ ถูกถ่ายทอดจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก และถูกแชร์ไปหลายสิบครั้งในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลายคนคงตั้งคำถามว่า รักแท้ที่สามารถเดินทางข้ามภพข้ามชาติได้จริงหรือ มีหญิงสาวมากมายในโลกที่กำลังรอรักแท้ และมีชายหนุ่มอีกมายมากที่กำลังมองหาคนที่ “ใช่” ทุกชีวิตยังคงตามหาความรักกันต่อไป สำหรับปุถุชนคนธรรมดา เมื่ออ่านเรื่องนี้จบคงพุ่งประเด็นไปที่ความซาบซึ้งกินใจในรักที่สามารถแหวกข้ามภพชาติของหลวงตามหาบัว กับหญิงคนดังกล่าว แต่สำหรับผู้มีความเข้าใจทางแก่นธรรมแล้ว เรื่องนี้คงทำให้เกิดความเข้าใจบางอย่างตามความเป็นจริงว่า…
    "ตราบที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
    การพลักพรากจากของรัก และบุคคลอันเป็นที่รักย่อมเป็นเรื่องที่ต้องพบเจออยู่ร่ำไป…"

    พศิน อินทรวงค์

    (ขมายมาจากน้อง(องค์)ญิงเล็ก อีกทีนึง)


    เคยเกิดเป็นสามีภรรยากันมา 27 ชาติ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2013
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "โลกอันนี้เหมือนความฝัน ชีวิตนี้เหมือนความฝัน
    ระหว่างฝันนั้น อะไรก็เป็นเรื่องเป็นราว
    พอตื่นขึ้นมา เรื่องราวทั้งหมดก็หมดไป
    ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ อะไรต่ออะไรทั้งหมด
    เหมือนกับเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของเราไปเสียทั้งนั้น
    ในเมื่อตายลงไปเมื่อใด อะไรที่ว่าเป็นของเรา
    มันก็หมดไป ...เหมือนความฝัน"

    หลวงปู่แบน ธนากโร
    วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    กระจกเงา กับ การเต้นรำและการปฏิบัติธรรม (เดินมรรค)

    ผู้เรียนเต้นรำ ทั้งหลาย มักจะสังเกตุ จังหวะ ท่วงท่าในการเต้น จากกระจกเงาในห้องเรียน ตลอดเวลา ว่าเต้นถูกจังหวะ ท่วงท่า สวยงาม เคลื่อนไหวพริ้วไปกับ จังหวะเพลง..หรือไม่ ฝึกปรือเช่นนี้ ...นับครั้งไม่ถ้วน จนกว่าจะมั่นใจ ว่าเต้นรำได้สวยงาม พอที่จะออกโชว์ต่อสายตาผู้คนได้แล้ว..นั่นแหละถึงจะไม่ต้องอาศัยกระจกอีกต่อไป..

    เฉกเช่นเดียวกับ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ควรต้องหมั่นสังเกตุตนเอง ในทุกก้าวของการปฏิบัติ ว่าเดินตรงทางพระธรรม คำสอน และผลการปฏิบัติของตนเอง เป็นอย่างไร? ปฏิบัติแล้ว มีอะไรที่ ละ ออกจาก จิต ดวงนี้ ได้บ้าง รัก โลภ โกรธ หลง มันเบาลงไหม?...มีอะไรที่ปฏิบัติแล้ว รู้สึกขัด ต่อธรรมชาติ หรือ ก็คือ ธรรมะ บางไหม ?... รีบสำรวจตัวเอง ด้วยกระจกเงา ด่วน...กระจกเงา นี่ ก็หาได้ง่าย ก็พระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ หรือ _คำสอนของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ท่านปฏิบัติได้สำเร็จแล้ว ถ่ายทอดมาให้พวกเรา ได้เดินตามกัน ..เราก็แค่ มีหน้าที่ ก็อปปี้ ตามท่าน ทำให้จริงจังเหมือนอย่างท่าน ก็เท่านั้นเอง ...ถึงเมื่อไหร่ ก็รู้เอง ปัจจัตตัง....ถ้ายังไม่ถึงไหน.. ยิ่งทำยิ่งเวียนหัว. ไม่มีความสุข ความสงบในจิตเสียที.ก็ต้องรีบหยุดสำรวจตัวเอง แล้วกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่เลย...ทบทวนกันอีกที ..ยังไม่สาย แต่ต้องรีบทำ ไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับ ความตายที่จะมาหาโดย ไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกแต่อย่างใด..

    โมทนาสาธุ ในธรรมทานด้วยค่ะ .. อ.ลูกพลัง ที่ท่านมาเป็น กระจกเงา ให้พวกเรา ...สาธุค่ะ
     
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตที่เป็นกุศลนั้น ไม่ว่าจะพูดจะคิดก็จะออกมาก็ดี เพราะก่อนจะพูดจะคิดจิตนั้นก็จะใคร่ครวญดูก่อนว่าจะมีประโยนช์หรือเป็นโทษนั้นเอง...และความผิดพลาดก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะมีสตินั้นเอง สติจึงจําเป็นมาก เพราะถ้าขาดสติก็จะเหมือนคนที่มีแต่ความรู้เฉยๆก็เหมือนคนบ้านั้นแหละมีแต่รู้แต่ไม่มีสติก็เลยไม่รู้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิดเขาจึงไม่มีความอายเพราะมีแต่รู้เฉยๆ จึงต้องมาฝึกตัวรู้ที่รู้ตัวทั่วพร้อมที่ท่านๆได้กล่าวถึงในที่นี่ก็ฝึกอยู่กับปัจจุบัน...คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทุกขณะว่าเป็นอย่างไร? โกรธ เบื่อ หรือ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รําคาญใจ...อารมณ์พวกนี้ก็เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเรา คือสติก็แค่รับรู้ปล่อยวาง แต่ถ้าผู้ปฏิบัติที่กําลังฝึกใหม่ๆก็จะปล่อยวางได้ช้ากว่าผู้ที่ฝึกได้โดยขั้นเป็นอัตโนมัติแต่ผู้ที่จะได้เร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับกําลังใจ...คือความเพียรนั้นเอง หรือว่ามีความศรัทธามากน้อยแค่นั้นก็อยู่เราๆท่านๆแต่จุดหมายก็ คือการปล่อยวางนั้นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2013
  6. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ กับครูพี่ภู ที่ได้นําเอาเรื่องนี้มาลงเพราะการที่เราได้อ่านข้อความข้างบนนี้ ก็มีความหมายอันลึกซึ้งมากเพราะถ้าเราปฏิบัติเอาจริงเอาจังเราก็จะสามารถหลี่กหนีกรรมเก่าของเราๆท่านๆได้เพราะอย่างองค์หลวงตาท่านได้ปฏิบัติจนท่านได้เอาชนะการเกิดของท่านได้แล้ว และได้เห็นประจักษ์ว่าท่านจะไม่มาเกิดอีกนั้น...ก็หมายถึงถ้าพวกเราได้ปฏิบัติตามรอยของท่าน ก็จะสามารถจะหลี่กหนีกรรมเก่าของเราๆท่านๆได้โดยไม่มาข้องเกี่ยวกับกรรมในอตีดอีกต่อไป... พวกเราที่มีความปรารถนาที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้เอาเป็นตัวอย่างที่องค์หลวงตาท่านได้ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้าจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวพุทธจนถึงชาวโลกได้มากราบไหว้บูชาท่าน จึงขออนุโมทนากับครูพี่ภูอย่างสูง
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเศียรเกล้า
     
  7. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157

    อนุโมทนาสาธุค่ะ ท่านพี่ภู


    [​IMG]
     
  8. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอน เมื่อ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ดังนี้...

    โอวาทในวันมาฆบูชานี้คือ ให้ละอุปาทานขันธ์ ๕ เสียโดยการหมั่นพิจารณาขันธ์ ๕ ให้ทรงอยู่ในจิตเป็นเอกัตคตารมณ์ จึงจักละขันธ์ ๕ ไปพระนิพพานได้ อาทิเช่นดูร่างกายแปรปรวนเอาไว้ให้ดี เอาร่างกายมาพิจารณาว่า มันไม่ใช่เรา ไม่มีในเราได้อย่างจริงจัง จิตจักคลายตัวในการเกาะติดร่างกายลงมาก แล้วจิตจักเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

    รักษากำลังใจที่ต้องการจักไปพระนิพพาน อย่าให้ถอย แล้วเพียรทำปฏิปทาที่จักละ ความโกรธ ความโลภ ความหลงให้ได้อย่างจริงจัง จงเห็นอารมณ์ของจิตที่ยังละอะไร ๆ ได้ไม่จริง เพราะความย่อหย่อนในบารมี ๑๐ บางประการ ให้หมั่นสำรวจบารมี ๑๐ อยู่เสมอ ๆ แล้วทำให้ทรงตัวให้ได้ แล้วกรรมฐานที่ยังบกพร่องอยู่ก็จักดีขึ้นเอง กรณีที่ขาดหรือยกเว้นไม่ได้ คือการพิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง ไม่ว่าจักเป็นธาตุ ๔ อาการ ๓๒ กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน ให้อย่าทิ้งอริยสัจ คือเห็นตามความเป็นจริงเอาไว้เสมอ แล้วความก้าวหน้าในการละของจิตจักมีมากขึ้น​


    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๔
    รวบรวมโดย พล ต.ท.นายแพทย์ สมศักดิ์ สืบสงวน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขยายธรรมะกันอีกสักหนึ่งรอบ
    ขอโมทนาสาธุกับลูกพลังด้วยครับ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเบิ้ลธรรมะนี้ อีกสักหนึ่งรอบ
    ขอโมทนาสาธุกับลูกพลังด้วยครับ
    ที่สามารถแสดงธรรมมานั้น ถูกต้อง เห็นแจ้ง และแทงตลอดสาย ตามนั้นเลย
    นานๆจะออกจากถ้ำมาแสดงธรรมให้พวกเราได้อ่านกัน หูตาจะได้สว่าง โล่ง โพรงกันบ้าง
    จิตนิ่งเท่านั้น จึงรู้ จิตไม่นิ่งก็วิ่งตามความคิด วิ่งตามสิ่งที่มากระมบจิตตนเองไป
    ผลสุดท้ายก็ถึงหัวลำโพงหรือหมอชิต2(กำแพงเพชร) นั่นก็คือ สถานนีทุกข์ นั่นเอง
    เพราะการที่จิตคนเรายังไม่นิ่ง ย่อมปรุงแต่งเป็นธรรม ผลก็ได้ทุกข์มาเป็นธรรมดา
    จิตผู้ใดไม่นิ่งเป็น ก็ยังปรุงแต่งและทุกข์อยู่ร่ำไปอย่างนั้น
    สรุปแล้ว ออกจากทุกข์ของตนเองกันให้ได้เสียก่อน คำว่า นิพพาน จะไกลนักสำหรับจิตผู้ที่นิ่ง ไม่เป็น
    ขอเอาช่วยกันต่อไปฯ

    ใครทุกข์ก็แวะมา ต่อไปนี้เรามีบทเรียนราคาแพงแล้ว
    ย่อมไม่นำพากันไปตายหมู่ เพราะอุปาทานหมู่ ตามที่เขาพูดกันมาจริงๆ

    ขอให้เจริญในธรรม เพราะจิตมีแต่พระพุทธเจ้าทุกลมหายใจ


    (วันนี้ธรรมะผุดมามากมาย แต่ขอ งด! ชั่วคราว ขอปรับปรุงกายใจของตนก่อน)
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ◆ นิวรณ์ ๕ ◆

    ถ้าเราเจริญสมาธิจิต จิตเราบกพร่องในนิวรณ์ ๕ ข้อไหนบ้าง นิวรณ์ ๕ นี่นะ ไอ้นิวรณ์ ๕ นี่อย่าลืมนะ ถ้าเราพูดตามภาษาไทยชัด ๆ ก็หมายถึงจิตที่เลว อารมณ์จิตที่เลว เลวแล้วไปไหน มีอย่างเดียวคือลงนรกนะ ไม่เลวเฉย ๆ เลวเฉย ๆ นี่ไม่เป็นไร อารมณ์ของนิวรณ์ ๕ มีตัวที่หนึ่ง กามฉันทะ ไอ้ข้อหนึ่งนี่มันมี ๕

    ๑.พอใจในรูปสวย รูปคน รูปสัตว์ รูปวัตถุ รูปสีสันวรรณะ
    ๒.พอใจในเสียงเพราะ
    ๓.พอใจในกลิ่นหอม
    ๔.พอใจในรสอร่อย
    ๕.พอใจในอารมณ์สัมผัสระหว่างเพศ

    นี่เป็นข้อหนึ่งเป็นอารมณ์เลว แล้วก็สอง ความโกรธ ความพยาบาท ไอ้ความพยาบาทนี่นะคือมันจะขังโกรธ ด่าแก้มือน่ะ ด่าชดเชยจะมุ่งทำร้าย จะหาทางกลั่นแกล้ง ตัวนี้เขาเรียกพยาบาท อารมณ์แรกมันโกรธ อารมณ์โกรธที่ขังอยู่หวังที่จะทำร้ายเขา อยากกลั่นแกล้งเขาให้ลำบาก อารมณ์นี้เขาเรียกพยาบาท อารมณ์อย่างนี้มันมีอยู่ไหมในจิตเราวันนี้

    แล้วก็สาม ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ถ้าถามขณะนี้สร้างความดี คือจิตน้อมเป็นกุศล กำลังนึกถึงความเป็นกุศล มีความง่วงเข้ามาครอบงำ มีไหม ข้อสี่ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เอ๊ะ..ประเดี๋ยวหน้าเจ้าหนี้โผล่ เอ๊ะ..เจ้าหนี้นี่หว่า นี่มาแล้ว ไอ้นี่ก็ฟุ้ง แต่ว่าภาวนาหรือยังไงก็ตาม หรือว่าพิจารณาไป เห็นอะไรเข้ามาแทรก

    เรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาแทรก นี่เขาเรียกอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ และอีกประการหนึ่งก็มีความรำคาญในอารมณ์ รำคาญในเสียง ภาวนาไปพิจารณาไปแล้วรำคาญใจ ไอ้ตัวนี้ก็เป็นตัวตัดความดีเหมือนกัน แล้วก็ตัวที่ห้า วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราปฏิบัตินี่มันถึงไหน มันแน่หรือไม่แน่ มันดีหรือไม่ดี มันถึงหรือไม่ถึง ทำได้หรือไม่ได้

    บางทีทั้งที่ครูบาอาจารย์เขาสอนไปแล้วก็ยังนั่งสงสัยไปเอง ถ้าอย่างนี้ ถ้าห้าอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีในอารมณ์ของจิต จิตของเราจะเข้าถึงสมาธิไม่ได้ นี่เรื่องสมาธินะ ถ้าหากว่าทางด้านศีลนี่เขาไม่ถือตัวนี้ ทางด้านศีลไม่ถือตัวนี้เป็นสำคัญ ทางด้านสมาธิต้องถือ ๕ ตัวนี้เป็นสำคัญ ถ้า ๕ ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในจิตในขณะที่จิตใช้กำลังสมาธิก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี

    อารมณ์ความดีของสมาธิหรือวิปัสสนาญาณจะเข้าไม่ถึงจิตเลย เพราะตัวนี้มันขวาง ฉะนั้นนะ ขณะที่เราภาวนาพิจารณาต่าง ๆ นี่ยังต้องฝึกอารมณ์

    ◆ นิวรณ์ทำให้ปัญญาถอยหลัง ◆

    นิวรณ์นี่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าแปลว่า เป็นคุณชาติกั้นความดี คือเป็นอารมณ์กั้นความดี แต่ว่าพระพุทธเจ้าแปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ซวยเลย หนักมาก ไอ้กั้นความดี ความดีอยู่ตรงนี้โยม กั้นไม่ให้เข้าประตู อยู่ที่ประตู พระพุทธเจ้าแปลว่า ทำปัญญาให้ถอยหลัง ไอ้ตัวนี้มันอยู่ไกลเลย ไม่ใช่อยู่ใกล้ประตู ใช่ไหม

    นิวรณ์ ๕ ประการจึงเป็นกิเลสร้ายที่สุดเวลาเจริญกรรมฐาน เอาเฉพาะเวลาเจริญกรรมฐาน จะมีไม่ได้แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง เฉพาะเวลานะ เลิกแล้วเป็นของธรรมดา แต่วิธีที่ดีที่จะละนิวรณ์คือ ไม่นึกถึงอารมณ์ของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ เวลาทำกรรมฐานอย่าไปนึกถึงมัน

    หนังสือคำสอน "ทางสายเอก" โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เพียงเราจุดไฟความมืดก็หายไป ...
    อันความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็เหมือนกัน
    เพียงมีสติเข้าไปรู้จิตใจของเรา ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันก็ไม่มี

    ... มันเกิดขึ้นได้เฉพาะตอนที่เราเผลอเท่านั้น ...

    สมมุติว่ามีกองขี้ไก่อยู่กลางบ้านเรา
    เราไปเหยียบมัน มันติดเท้าเรามา มันเหม็นเราก็ไปล้างออก
    แล้วเราเดินไปเหยียบอีก ติดเท้าอีก เหม็นอีก ต้องไปล้างอีก
    ทำไมในเมื่อเราก็รู้ว่ามันเหม็นแล้วยังไปเหยียบอีก
    นั่นเพราะเราเผลอ เราไม่เห็น เราไม่รู้จัก เราไม่เข้าใจ

    ... ถ้าเราไม่ลืมตัว เรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ เราก็จะไม่ไปเหยียบ
    ... ไม่ไปทำให้เราทุกข์ขึ้นมา ...

    หลวงพ่อเทียน
    ที่มา fb ธรรมะวันละนิด ชีวิตจะสดใส แบ่งปันธรรมะ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    รู้ทางโลก! รู้ทางธรรม!

    ความรู้ทางโลก มีตั้งแต่อนุบาล จนถึงป.เอก
    อันนี้เขาเรียกว่า ความรู้เฉยๆ แต่เอาตัวไม่รอด

    ยิ่งพบเจอธรรมละเอียด อย่างมากก็แค่รู้และเข้าใจ แต่เข้าไม่ถึง
    เพราะการที่จะเข้าถึง(จิตถึงใจ) ต้องใช้ปัญญาระดับ ภาวนามยปัญญา
    หรือปัญญาที่ได้จากการภาวนา นั่นเอง

    แต่ความรู้ทางโลกนั้น ส่วนใหญ่ได้ปัญญามาจากสุตมยปัญญา (การสดับตรับฟังหรือการศึกษาเล่าเรียน)
    และได้มาจากจินตมยปัญญา(การคิดหรือตรึกตรอง)
    สังเกตดูได้ง่ายๆ ก็คือ ไม่สามารถทำตามได้ทันที ทันใด เช่น การระงับความโกรธ เป็นต้น

    แต่ผู้เขียนจะขอกล่าวถึง การได้มาของปัญญานั้น ขอเน้น! ปัญญาที่ได้จากการภาวนา
    ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญญาในทางโลก เพราะปัญญาในทางโลกเปรียได้แค่สัญญาในทางธรรม(เท่านั้น)
    ซึ่งไม่เหมาะที่นำมาใช้งาน หรือพิจารณาธรรม ให้เห็นถึงตามความเป็นจริง หรือเห็นแจ้ง แทงตลอด
    แต่ปัญญาดังที่กล่าวไปแล้วนี้ ต้องมาจากจิตที่นิ่งสงบดีแล้ว (เป็นสมาธิหรือฌาน)
    หรือได้จากการเจริญสติภาวนา ตามอริยมรรค หรือมรรคมีองค์ ๘ นั้นเสียก่อน

    เพราะฉะนั้น ผู้เจริญทั้งหลายย่อมรู้แล้วว่า...
    ทุกธรรม ทุกกิเลส หรือทุกความทุกข์ทั้งหมดนี้ จึงหนีไม่พ้นกฎธรรมดาหรือกฎแห่งไตรลักษณ์
    แต่ผู้ปฎิบัติจะปล่อยวางกับสรรพสิ่งหรือรูป-นามสมมุติทั้งปวงได้ด้วยจิตตนเอง เท่านั้น
    แต่ถ้าจิตท่านมีปัญญามากพอ จึงไม่ยากที่จะละปล่อยวางกับทุกสิ่งต่างๆในโลกนี้ได้

    สรุปแล้ว ผู้เจริญทั้งหลาย
    ต้องเจริญสติภาวนา ไปจนกว่าสติจะกลายเป็นสัมปชัญญะ
    สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว+ทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญาที่จะถูกนำไปใช้งาน
    หรือ พิจารณาธรรมหรือสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งมีทั้งรูปและนาม และสิ่งที่ไปรู้ ก็คือ จิต

    สิ่งที่ถูกรู้ เช่น ความคิดต่างๆ สิ่งที่มากระทบจิต เป็นต้น
    และท้ายที่สุด เราต้องปล่อยวาง หรือ รู้แล้วก็วาง

    เมื่อจิตรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หรือจิตเห็นสิ่งสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวง เป็นธรรมดา
    จิตก็ปล่อยวางได้ง่ายดาย ด้วยปัญญา และไม่เป็นทุกข์ หรือร้อนรนจิตใจ อีกต่อไป

    ปล.อย่าเพิ่งงงกับตัวรู้ ผู้รู้ ตัวผู้ถูกรู้ กันนะ ฮ่าๆ
    เพราะถ้าใครมีสติมาก ถึงสติสัมปชัญญะหรือมหาสติ เดี๋ยวก็จะรู้เอง
    ไม่ต้องไปเอาสมองจำ เพราะการท่องจำเป็นสัญญา เด๊่วก็ลืม เพราะกายไม่เที่ยง

    และอีกอย่างนึงก็คือ ภาษาสมมุตินี่มันดิ้นได้ สู้ภาษาจิตไม่ได้ เพราะไม่มีดิ้น ว๊าวแบบซื่อๆ
    ความอัศจรรย์แห่งจิต ก็คือ เมื่อจิตเขารู้+เข้าใจเพียงครั้งเดียว จิตเขาจะจดจำข้ามภพ ข้ามชาติเลย
    ไม่เหมือนสติกับสมองนะ จำได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ลืม
    สังเกตง่ายๆ เช่น ชอบเผลอสติ เป็นต้น

    ผิด-ถูกไม่ว่ากันนะ ไม่ได้มาสอนกันนะ ติ-ชมได้ แค่มาพร่ำเฉยๆ
    คนกันเอง..ไม่ต้องอาย sign in or log in มาเลย

    สตินะ..สติ!!!​

     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มัชฌิมาปฏิปทา อยู่ที่ใด

    ผู้ที่มีสุขหรือทุกข์
    ผู้ที่มียินดีหรือไม่ยินดี
    ผู้ที่มีดีใจหรือเสียใจ
    ผู้ที่มีพอใจหรือไม่พอใจ

    สรุปแล้ว ถ้าผู้ใดยังมีอารมณ์เหล่านี้อยู่ภายในจิตใจของตน
    นั่นแหล่ะ กำลังจมอยู่กับกิเลสแห่งตน
    นั่นแหล่ะ ยังไปไม่ถึงแก่นธรรม
    นั่นแหล่ะ ยังไปไม่ถึงความเป็นกลาง อนัตตา วิมุตติ ฯ

    เริ่มต้นกันใหม่ได้ที่ สติตนเอง เจริญสติให้มาก สมาธิและปัญญาจะได้มากตาม
    ตามที่คุณลูกพลังแนะนำไปก่อนหน้านี้กันว่า เรียนทีละขั้น ขั้นแรกให้เก่งก่อน
    อย่าดันทุรัง อย่าข้ามขั้น เหมือนคนตาบอดเดิน เด๊่วจะตกหลุมกิเลส ตัณหาและอุปาทานตนเอง

    คอยหมั่นเจริญสติภาวนาเป็นนิจ ทำสติให้เป็นสัมปชัญญะให้ได้
    ทำจิตเป็นสมาธิ (จะบอกว่าทรงฌาน เดี๋ยวหาว่าสูงไป เก่งไป)

    สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญหาตรึมส์​

    สอบตกมรรค ลงทะเบียนใหม่ไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเรียนหลงทาง หลงมรรค นิพพานหาย! (ฉิ๊บๆ)
    เพราะวิปัสสนูปกิเลส(กิเลสมาร) จะเข้ามาแทรกได้ เดิมจิตเป็นสัมมาทิฎฐิก็จะกลายเป็น มิจฉาทิฎฐิไปเสีย
    คือเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด เดี๋ยวจะไปไกล กู่ไม่กลับ ใครๆทักก็ไม่ฟัง แทนที่จะนิพพาน ดันไปโผล่นรกภูมิ!
    ด้วยความปรารถนาดี ​


     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตที่ยังไม่ได้ขัดเกลาทางธรรม...ก็ไม่ต่างจากทอนเหล็กที่ยังไม่ได้ตีหรือหล่อหลอมเพราะการขัดเกลาของจิตใจก็เหมือนช่างเหล็กที่หล่อหลอมเหล็กให้ได้รูปทรงตามความต้องการของช่างนั้นๆ แต่ทางจิตใจผู้ที่ทําหน้าที่ตีหรือหล่อหลอมจิตใจก็คือ...ตัวของเราเองเป็นคนทําหน้าที่ตีหรือหล่อหลอมตัวกิเลสที่เข้ามาก่อกวนเราให้แตกกระจายออกจากหัวใจเราๆท่านๆ ผู้ที่หล่อหลอมตัวเองได้แล้วก็จะได้รูปทรงตามที่ต้องการจะใช้จะบังคับหรือ control อารมณ์ของเราไว้ได้ตามใจปรารถนานั้นก็คือ ท่านได้หล่อหลอมจิตใจไว้ดีแล้ว ก็เหมือนช่างที่ตีเหล็กนั้นเอง...
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกันได้​
    ความตาย คือ ความสูญสิ้นสลายไปของกองสังขาร ความตายนี้จัดได้ว่าเป็นสภาพเที่ยง คือ เป็นความเที่ยงแท้แน่นอนว่าสัตว์ทุกจําพวกที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้นจะต่างกันก็ช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่มีใครป้องกันไว้ได้โดยประการต่างๆ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนมิให้ประมาทโดยประการทั้งปวง เหตุที่ทําให้ตายในพระศาสนาจําแนกได้ ๔ อย่างคือ ๑.เพราะหมดอายุ ๒.หมดกรรม ๓.ความชรา และ ๔.เพราะเหตุปัจจุบันทันด่วนหรืออุบัติเหตุ... และทุกคนที่เกิดมาก็มาแต่ตัวเปล่า... ไม่มีใครเลยที่จะเอาสมบัติติดตัวไปได้สักคนเดียว บางคนมีสมบัติมากมายแต่เป็นสมบัติภายนอกที่หามาได้โดยความสุจริตแต่ก็ลืมหาสมบัติภายในคือการสะสมทรัพย์ภายในคือ คุณงามความดีนั้นเองเพราะทรัพย์นี้ติดตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติดังนั้นจงรีบขวนขวายทําคุณงามความดีกันเถิด
    ที่มา หนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความสัตย์นั้นแลทั้งดีกว่ารสทั้งปวง​

    บรรดารสทั้งหมดที่อยู่ในโลกนี้... ไม่ว่าจะเป็นรสหวาน รสเค็ม รสเปี้ยว รสเผ็ด เป็นต้นซึ่งเป็นรสที่ให้สําเร็จเป็นเภสัชกิจ... คือเป็นยาเป็นอาหารกิจ คือเป็นอาหารเท่านั้นไหนเลยจะสู้แห่งรสความสัตย์ได้...เพราะรสแห่งความสัตย์สามารถยังประโยนช์ให้สําเร็จได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้าได้และเป็นปัจจัยให้บําเพ็ญสัตยาธิษฐานให้ถึงอมตธรรมเป็นที่สุด
    ที่มา หนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     

แชร์หน้านี้

Loading...