ตั้งสติกำหนดรู้ สัญญา แยกสัญญาออกจากจิตนี่ทำได้ใช่ไหม ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 1 กรกฎาคม 2015.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้วแต่ จะ ยังความเมตตาให้เกิดฮับ

    คนในโลก เขาเรียนคำว่า อารมณ์ อย่างไร

    จะ อนุเคราะห์ อนุโลมตาม ที่เขาใช้หรือไม่ ก็ขึ้นกับ เมตตา กรุณา มุทิตาตามที่
    เขาใช้ อุเบกขาจะใช้ตามเขาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

    หรือ ไม่หละ ใช้แบบ เคยู นี่แหละ คนจำนวนมาก จะเข้าใจได้
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต้องขออภัยฮับ จิตไม่เกิดไม่ดับ เนี่ยะ ไม่ใช่ คำสอนพระศาสดา เจ้าของศาสนาแน่ๆ ไม่ใช่มหาโจรที่ไหน

    แต่ สาวกที่ไม่มีสมาธิจิตพอ ทรงธรรมไว้ไม่ได้ ก็อาจจะ ยกอ้างว่า พระพุทธองค์กล่าวไว้ ไปบ้าง ที่ทำแบบนั้นคงไม่ได้หมายจะยืนยันว่าพระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้น
    จริงๆ ที่สำทับอ้างพระศาสดากล่าวไว้ก็เพื่อกำหราบกิเลสบางประการในปัจจุบันธรรม
    มากกว่า(จึงอนุโลมได้ ไม่ถือว่าผิด หรือตู่ เพราะ ธรรมใดเป็นอุบายเพื่อการระงับ
    กิเลส บรรเทา เบาบาง พระพุทธองค์ทรงเคารพอุบายธรรมนั้น และ ยืนยันว่า นั่นคือ คำของศาสดา )

    ส่วน มิจฉาวิมุตติ นี่อีกเรื่องหนึ่ง

    " ธรรมพ้นเหตุปัจจัย ธรรมอันไม่มีสิ่งใดเข้าไปตั้งอยู่ " เหล่านี้คือ "......"

    หาก ทบทวน สอบสวน แล้ว คว่ำ สัทธรรมสองคำนี้เสีย คุณก็ พิจารณาเอาเอง
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เรื่อง จิตเกิดดับ จิตไม่เกิดไม่ดับ จิตกับวิญญาณคนละอันกัน สัทธรรมว่าอย่างไรกันแน่ ยกไว้

    ยังไม่ต้องไปทำความรู้ การเห็นตรงนั้นก็ได้ กลับมา.............


    " แล้วอารมณ์ของวิญญาณก็คือ อุเบกขาเวทนานั่นเอง "

    ถามว่า .............

    อุเบกขาเวทนา อารมณ์ของวิญญาณ ที่คุณบัญญัติขึ้นใหม่นี้ อุเบกขาเวทนา ตัวนั้น
    เกิดในขณะ ทรงอยู่ในสมาบัติ หรือว่า เห็นได้หลังจาก ออกจากสมาธิมาปีมะโว้แล้ว

    งง คำถามไหมฮับ

    ช้อยคำตอบคือ

    ก. อุเบกขาเวทนาเกิด ขณะ ทรงอยู่ในสมาบัติ จมอวิชชาอยู่
    ข. อุเบกขาเวทนาเกิด ยกขึ้นพิจารณาด้วยวิญญาณได้ หลังจากสำเร็จสมาบัติแล้ว ออกจากสมาธิแล้ว กลับมาอยู่กับอวิชชา ข้างนอก



    ปล. คำว่า " จมอวิชชาอยู่ " คำนี้ใช้แทนคำว่า " อนาคามี " [ อนุโลมไปงั้นๆ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  4. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    คือในระหว่างที่ทำมาเพียรมา จนความคิดหมดแล้ว เป็นอนาคามีแล้ว..ก็มาดูอุเบกขาเวทนา....เดินก็ดูได้กินก็ดูได้ นั่งขี้ก็ดูได้ วิ่งก็ดูได้ ถีบจักรยานก็ดูได้ ตักอาหารหมากลอกใส่ถุงก็ดูได้ เหมือนกับเราดูความคิด อารมณ์เกิดดับ....จนอารมณ์ดับเป็นโสดาบันเหลือแต่ ความคิด ก็มาดูความคิดเกิดดับ น้อยลงเป็นสกทาคามี ก็มาดูความคิดเกิดดับอีกหมดไปเป็นอนาคามี...เหลือแต่ว่าง.เดินก็ว่าง กินก็ว่าง นั่งขี้ก็ว่าง คุยกับแม่ กับเตี่ยก็ว่าง......ขับรถก็ว่าง ....ว่างนั่นล่ะอุเบกขาเวทนา.....ก็ดูอุเบกขาเวทนาเกิดดับอีก พอหมด ก็เหลือแต่จิตดวงเดียวที่มีนิพพาน....แต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ยังมีอยู่ แต่อารมณ์ของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ร้อยรัดจิตนั้นได้หมดไป..............จิตดวงนี้ออกมาทำงานทางโลก มาคุยมาสร้างวัดสร้างวา มานั่งกินกาแฟ อเมซอน ก็ยังว่ากาแฟอร่อยอยู่ แต่จิตไม่ติดในอารมณ์กาแฟ มาดูสาวสวยๆๆก็ยังว่าคนนี้ขาวสวย อีห่านี่ดำปิดปี๋....แต่ไม่ติดในอารมณ์สาว มาดูเบนร์สวยๆๆสวยกว่ากระบะนะ แต่ไม่ติดในอารมณ์เบนน์ ......ขัยรถมาเติมน้ำมัน ก็ยังเลือกอยู่ว่า เอา E20ดีกว่าเพราะมันถูกกว่า แต่ก็ไม่ติดใจอะไรในอารมณ์ของE20

    ประมาณนั้น
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอิ่ม ถ้า อะไรประมาณนี้ ก็ประมาณนี้...

    แต่ ตรงที่ปรารภ ขั้นโน้น ขั้นนี่ อันนั้น ไม่ขอเออออหอหมกด้วยนะฮับ

    แม้นจะแปล่งๆ ตรง อาการที่ว่า ".....จนเหลือ......." กลายเป็น สังขตธรรม ธรรม
    เกิดจากปัจจัยการ .....ฟงัแล้วป้อแป้ๆ เหมือน จมสังสารวัฏ อยู่ ก็ตาม แต่โดยรวมๆ
    เนี่ยะ มันเป็นการ ปรารภความเพียร

    การปรารภความเพียรเนี่ยะ อันนี้ ตำหนิไม่ได้ ก็เลยต้อง....ประมาณนั้น ว่ากันไป
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [ame]www.youtube.com/watch?v=5r7et0-Y0n8[/ame]


    อยากจะคุยต่อด้วย แต่ไม่รู้จะยกอะไรคุยดี
    งั้นชวนฟังธรรมะละกัน
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮี้ๆ ก็กำหนดรู้ไปเลย จิฮับ ปัญญาธรรม เป็นของเกิด แล้วก็ดับ

    ไม่ใช่ สิ่งที่เอาไว้ฝั้นเฝือ

    มีเหตุ จึงเกิด

    หมดเหตุ ย่อมดับ ไม่มี ธุระ นอกจาก ปฏิสันฐาน ผ่านๆ ไปงั้นๆ


    ยกเห็นอย่างนี้ได้ ก็จะ เห็นปัญญาธรรมเป็นสิ่งถูกรู้ถูกดู ทำปัญญาให้ทุรพล
    เป็นกะเขา พอจิตเบา กายเบา พระพุทธองค์แนะว่า ให้น้อมไปในญาณทัศนะบ้าง
    [ ทำความปราถนา ไว้บ้าง วาสนาวิบากที่มี จะได้ซ้อมใช้ พอมีเหตุให้ใช้
    จะได้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก .....ถ้าไม่ซ้อมไว้ พอเจอเหตุให้แก้ ก็จะเอา
    แต่เห็นข้าง รู้เห็นยาก รู้เห็นยาก แล้ว ทอดธุระ เสียหมด ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........................อธิบาย พระอริยะบุคคลต่างกัน เพราะ ละสังโยชน์ได้ต่างกัน---พระวจนะ" ภิกศุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก สี่จำพวกเหล่าใหนบ้าง สี่จำพวก คือ 1 บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายที่ยังละไม่ได้ มีสังโยชน์ตัวเหตุที่ต้องให้เกิดอีกที่ยังละไม่ได้ และมีสังโยชน์ ตัวเหตุให้มีภพ ที่ยังละไม่ได้ 2 บุคคล บางคนในโลกนี้ ละสังโยชนืเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว แต่ตัวสังโยชน์ตัวเหตุที่ต้องให้เกิดอีก ที่ยังละไม่ได้ มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้ 3 บุคคล บางคนในโลกนี้ ละสังโยชน์ส่วนเ้บื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว ทั้งยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้มีการเกิดอีกด้วย แต่มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องมีภพที่ยังละไม่ได้ 4 บุคคลบางคนในโลกนี้ ละสังโยชนเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว ละสังโยชน์ตัวเหตุที่ต้องเกิดได้อีกแล้ว และยังละสังโยชน์ตัวเหตุที่ต้องให้มีภพ ได้อีกด้วย ภิกษุทั้งหลาย พระสกิทาคามี นี่แหละ เป็นผู้ละสังโยชน์ส่วนเบื่องต่ำไม่ได้ทั้งหมด ละตัวสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกยังไม่ได้ และละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องมีภพ ยังไม่ได้ ---- ภิกษุทั้งหลาย พระอนาคามีพวกที่มีกระแสในเบื้องบนไปสู่ อกนิฐภพ นี้แล เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้งหมด แต่ยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่ได้ และละสังโยชนตัวเหตุให้ต้องมีภพยังไม่ได้------- ภิกษุทั้งหลาย พระอนาคามี พวกที่จักปรินิพพานในระหว่าง นี้แล เป็นผู้ละสังโยชนืเบื้องต่ำได้ดวย ละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดได้อีกด้วย แต่ยังละสังโยชนตัวเหตุให้มีภพ ไม่ได้ -----ภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตื ขีณาสพ นี้แล เป็นผู้ที่ละ สังโยชนืเบื้องต่ำทั้งหลายได้ ละสังโยชน์ตัวเหตุที่ต้องเกิดได้อีก และยังละ สังโยชน์ตัวที่ทำให้ต้องมีภพได้ด้วย ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ คือ บุคคล สี่จำพวก ที่มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก --จตุกก.อํ.21/181/131..:cool:
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    --------------พระวจนะ" อุปาทานขันธิ์เหล่านี้มีอยู่ ห้าอย่าง ห้าอย่างอย่างไรเล่า ห้าอย่างคอ รูปปาทานขันธิ์ เวทนูปาทานขันธิ์ สัญูปาทานขันธิ์ สังขารูปาทานขันธิ์ และ วิญญูปาทานขันธิ ...ภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่ง รสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และวึ่งอุบายเครื่องออก แห่งอุปาทานขันธิทั้งห้า เหล่านี้ ดังนี้แล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะไม่มีความ ยึดมั่น ภิกษุทั้งหลาย ภิกาษุนี้เราเรียกว่า เป็นพระ อรหันต์ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรมจรรยืแล้ว ทำกิจที่ควรสำดร็จแล้ว มีภาระอันปลงแล้ว มี ประโยชนืตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปหมดแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ดังนี้แล...ขนธ.สํ.17/196/279..:cool:
     
  10. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    ...ยังมีบุรุษคนหนึ่งอีกกลัวตายน้ำใจฝ่อ มาหาแล้วพูดตรง ๆ น่าสงสาร
    ถามว่า ท่านพากเพียรมาก็ช้านาน เห็นธรรมที่จริงแล้วหรือยังที่ใจหวัง
    เอ๊ะทำไมจึงรู้ใจฉัน บุรุษนั้นก็อยากอยู่อาศัย ท่านว่าดี ๆ ฉันอนุโมทนา จะพาดูเขาใหญ่ถ้ำสนุกทุกข์ไม่มี คือกายคตาสติภาวนา ชมเล่นให้เย็นใจหายเดือดร้อน หนทางจรอริยวงศ์ จะไปหรือไม่ไปฉันไม่เกณฑ์ ใช่หลอกเล่นบอกความให้ตามจริง

    แล้วกล่าวปฤษณาท้าให้ตอบ


    ปฤษณานั้นว่า ระวึง คืออะไร
    ตอบว่า วิ่งเร็ว คือวิญญาณอาการไว เดินเป็นแถวตามแนวกัน สัญญาตรงไม่สงสัย ใจอยู่ในวิ่งไปมา สัญญาเหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต ทำให้คิดวุ่นวายเที่ยวส่ายหา หลอกเป็นธรรมต่าง ๆ อย่างมายา


    ถามว่า ห้าขันธ์ใครพ้นจนทั้งปวง
    แก้ว่า ใจซิพ้นอยู่คนเดียว ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติดสิ้นพิษหวง หมดที่หลงอยู่เดียวดวง สัญญาลวงไม่ได้หมายหลงตามไป


    ถามว่า ที่ว่าตายใครเขาตายที่ไหนกัน
    แก้ว่า สังขารเขาตายทำลายผล


    ถามว่า สิ่งใดก่อให้ต่อวน
    แก้ว่า กลสัญญาพาให้เวียน เชื่อสัญญาจึงผิดติดยินดี ออกจากภพนี้ไปภพนั้นเที่ยวหันเหียน เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น


    ถามว่า ใครกำหนดใครหมายเป็นธรรม
    แก้ว่า ใจกำหนดใจหมายเรื่องหาเจ้าสัญญานั้นเอง คือว่าดีคว้าชั่วผลักติดรักชัง


    ถามว่า กินหนเดียวไม่เที่ยวกิน
    แก้ว่า สิ้นอยากดูรู้ไม่หวัง ในเรื่องเห็นต่อไปหายรุงรัง ใจก็นั่งแท่นนิ่งทิ้งอาลัย


    ถามว่า สระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ
    แก้ว่า ธรรมสิ้นอยากจากสงสัย สะอาดหมดราคีไม่มีภัย สัญญาในนั้นพรากสังขารขันธ์นั้นไม่กวน ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ไม่มีพร่อง เงียบระงับดวงจิตไม่คิดครวญ เป็นของควรชมชื่นทุกคืนวัน แม้ได้สมบัติทิพย์สักสิบแสน ก็ไม่เหมือนรู้จริงทิ้งสังขาร หมดความอยากเป็นยิ่งสิ่งสำคัญ จำอยู่ส่วนจำไม่ก้ำเกิน ใจไม่เพลินทั้งสิ้นหายดิ้นรน เหมือนดังว่ากระจกส่องเงาหน้าแล้วอย่าคิด ติดสัญญา เพราะว่าสัญญานั้นเหมือนดังเงา อย่าได้เมาไปตามเรื่องเครื่องสังขาร ใจขยับจับใจที่ไม่ปน ไหวส่วนตนรู้แน่เพราะแปรไป ใจไม่เที่ยงของใจใช่ต้องว่า รู้ขันธ์ห้าต่างชนิดเมื่อจิตไหว

    แต่ก่อนนั้นหลงสัญญาว่าเป็นใจ สำคัญว่าในว่านอกจึงหลอกลวง คราวนี้ใจเป็นใหญ่ไม่หมายพึ่ง สัญญาหนึ่งสัญญาใดมิได้หวง เกิดก็ตามดับก็ตามสิ่งทั้งปวง ไม่ต้องหวงไม่ต้องกันหมู่สัญญา

    เปรียบเหมือน ขึ้นยอดเขาสูงแท้แลเห็นดิน แลเห็นสิ้นทุกตัวสัตว์
    แก้ว่า สูงยิ่งนัก แลเห็นเรื่องของตนแต่ต้นมา เป็นมรรคาทั้งนั้นเช่นบันได


    ถามว่า น้ำขึ้นลงตรงสัจจังนั้นหรือ
    ตอบว่า สังขารแปรแก้ไม่ได้ ธรรมดากรรมแต่งไม่แกล้งใคร ขืนผลักไสจับต้องก็หมองมัวชั่วในจิต ไม่ต้องคิดขัดธรรมดาสภาวะสิ่งเป็นจริงฯ ดีชั่วตามแต่เรื่องของเรื่องเปลื้องแต่ตัว ไม่พัวพันสังขารเป็นการเย็น รู้จักจริงต้องทิ้งสังขารที่ผันแปรเมื่อแลเห็น เบื่อแล้วปล่อยได้คล่องไม่ต้องเกณฑ์ ธรรมก็เย็นใจระงับรับอาการ


    ถามว่า ห้าหน้าที่มีครบกัน
    ตอบว่า ขันธ์แบ่งแจกแยกห้าฐานเรื่องสังขาร ต่างกองรับหน้าที่มีกิจการ จะรับงานอื่นไม่ได้เต็มในตัว แม้ลาภยศสรรเสริญเจริญสุข นินทาทุกข์เสื่อมยศหมดลาภทั่ว รวมลงตามสภาพตามเป็นจริง ทั้งแปดอย่างใจไม่หันไปพันพัว เพราะว่ารูปขันธ์ก็ทำแก่ไข้มิได้เว้น นามก็มิได้พักเหมือนจักรยนต์ เพราะรับผลของกรรมที่ทำมา เรื่องดีพาเพลิดเพลินเจริญใจ เรื่องชั่วขุ่นวุ่นจิตคิดไม่หยุด เหมือนไฟจุดจิตหมองไม่ผ่องใส นึกขึ้นเองทั้งรักทั้งโกรธไปโทษใคร อยากไม่แก่ไม่ตายได้หรือคน เป็นของพ้นวิสัยจะได้เชย เช่นไม่อยากให้จิตเที่ยวคิดรู้ อยากให้อยู่เป็นหนึ่งหวังพึ่งเฉย จิตเป็นของผันแปรไม่แน่เลย สัญญาเคยอยู่ได้บ้างเป็นครั้งคราว ถ้ารู้เท่าธรรมดาทั้งห้าขันธ์ ใจนั้นก็ขาวสะอาดหมดมลทินสิ้นเรื่องราว ถ้ารู้ได้อย่างนี้จึงดียิ่ง เพราะเห็นจริงถอนหลุดสุดวิถี ไม่ฝ่าฝืนธรรมดาตามเป็นจริง จะจนจะมีตามเรื่องเครื่องนอกใน ดีหรือชั่วต้องดับเลื่อนลับไป ยึดสิ่งใดไม่ได้ตามใจหมาย ใจไม่เที่ยงของใจไหววิบวับ สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่ง เล็กบังใหญ่รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรมมิดผิดที่นี่ มัวดูขันธ์ธรรมไม่เห็นเป็นธุลีไป ส่วนธรรมมีใหญ่กว่าขันธ์นั้นไม่แล..



    คัดลอกบางส่วนจากที่มา ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    ฟัง https://www.youtube.com/watch?v=mhefwqh-TcQ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2015
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    การแยกจิตออกจากสัญญา ก็คือ
    การมีสติรู้เท่าทันความหลงทุกข์จากการมีอุปาทานในสัญญา
    หรือจะว่ามีสติตามระลึกรู้ แยกออกได้ระหว่าง
    อุปาทานขันธ์ ๕ กับการทำหน้าที่ของขันธ์ ๕ จริง ๆ ได้ก็ได้
    พอแยกได้ ก็เกิดปัญญาเห็นทุกข์ตามความเป็นจริง
    ยังผลให้ ทุกข์อุปาทานดับไปชั่วคราว

    ทีนี้ปรากฏการณ์ทุกข์อุปาทานดับไปชั่วคราวนี้จะเป็นอย่างไร
    ท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ท่านไม่บัญญัติเรียกว่าคืออะไร
    แค่รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้นเอง ถือว่าจบกระบวนความแล้ว
    การบัญญัติคำเรียกเป็นเรื่องของการกวนสังขารก่ออัตตาขึ้นมาใหม่ทั้งนั้น

    ส่วนการคิดบัญญัติคำใหม่เพื่อใช้สอนไม่ใช่งานของพระสาวก
    บรรดาพระสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จะกล่าวสอนธรรมตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ให้แล้วเท่านั้น
    ไม่เกินเลยไปจากนี้ ด้วยพระธรรมที่ทรงประทานไว้ให้ครอบคลุมหมดแล้วนั่นเอง
     
  12. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    ขอถามผู้รู้ทั้งหลายว่า

    จริงหรือไม่การเป็นโสดาบันนั้น ยากนัก แต่พอเป็นแล้ว การเป็น สกทาคามีนั้นง่ายนัก แต่ๆๆๆๆกว่าจาขึ้นอานาคามีนั้นยากมากอีกหล่ะ แต่พอเป็นแล้ว อรหันต์นั้นเป็นเพียงลัดนิ้วมือ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตอบแบบ พระป่า

    " มรรคมีหนึ่งเดียว " ไม่ได้มีหลายมรรค ............ตรงนี้หมายถึง มรรคญาณ
    การกำหนดรู้ลงปัจจุบัน ด้วยจิตตั้งมั่น เป็นกลาง ต่อการเห็นความแปรปรวนของสรรพวังขาร
    ไปตามความเป็นจริง


    ส่วนเรือง แทงตลอด ตามธรรมนิยาม ที่บัญญัติเรียกว่า โสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแบบ ตรรกศาสตร์ แต่ก็เป็น ธรรมนิยาม ที่จะต้องมี มรรค4ผล4 นิพพาน1

    บุคคลบางประเภท ไม่จำเป็นต้อง แทงตลอดทีละขั้น สามารถพรวดเดียว ลมหายใจสุดท้ายก็
    เป็น ปรินิพพายีบุคคลได้

    จึงไม่ควร ไปหลงเชื่อ ความคิด ตรรกศาตร์ เรื่อง ขั้น แค่น หากมันปรากฏ จงรู้เท่าเอาทัน
    สังขารที่มันลวง หลอก ปลิ้นปล้อน สร้างความแตกต่าง หลอกให้สำคัญตัว หน้าที่ของมันคือ
    หลอกให้เกิดความพอใจ แล้ว ขุดตน


    " ผู้รู้จริง จึงนิ่งเป็นใบ้ " ( เจ้าคุณ ณ ราชมานิต ฝากไว้ )
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าเอาแบบ พระพุทธองค์

    ก็จะ เน้นไปที่ " ธรรมความไม่ประมาท "

    ต่อให้สำเร็จอรหันต์ ก็ ต้องหมั่นประกอบ วิหารธรรม หยุดไม่ได้

    เคย ถอดจิต ก็ต้องหมั่นฝึก ถอดจิต อยู่อย่างนั้น แต่ก็อย่า จม กรรมฐานกองเดียว

    พระพุทธองค์ ทรงสลับวิหารธรรม ตลอดเวลา แม้น ในยาม ปรินิพพาน พระพุทธองค์
    ก็ทรงสลับวิหารธรรมให้ดูเป็นตัวอย่าง ในความไม่ ประมาท จมอยู่ใน วิหารใดวิหารหนึ่ง

    กัลยาณธรรม จึงชื่อว่า มรรค ไม่ใช่การเข้าหา โลกแบ่งเป็นสอง มีผู้มาทีหลัง มีผู้อยู่มาก่อน
     
  15. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    เยี่ยมมาก เข้าใจง่าย เพราะหลงไปยึดว่าขั้นนั้น ขั้นนี้ ก็เลยเพิ่มอัตตาตัวตน ซ้อนเข้าไปอีก แทนที่จะลุธรรมได้เร็ว กลับช้าลงไป สาธุ...จาสำเร็จขั้นไหน ขั้นไหนไม่สำคัญ ถึงเข้าขั้นสุดท้ายก็ต้อง เพียรระวังจิตอยูตลอด เพื่อความไม่ประมาท
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ผม ก๊อปปี้เอาจาก พระพุทธองค์ อะฮับ

    คือ ผมสังเกตว่า หาก พุทธบริษัท นักภาวนาของ พระพุทธองค์

    ปรารภไปในแนว "การบัญญัติ" สำนวนโบราณก็ "เข้าไปส่วนสุด"

    พระพุทธองค์จะ ย้อนแย้งให้กลับมา ปรารภส่วนที่เป็น " มรรคปฏิบัติ "

    นักภาวนาคนนั้น ก็จะ เห็นรอยเท้าตนที่เป็นกลางได้

    แต่ถ้า มีนักภาวนาป้อแป้ๆ ก็อย่าลืม กล่าวบัญญัติเข้าไป ห้ามเว้น
    เพื่ออนุเคราะห์ให้อาจหาญ ร่าเริง
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติ กลับมา ย้อนแย้งกันต่อ

    " ถึงเข้าขั้นสุดท้ายก็ต้อง เพียรระวังจิตอยูตลอด เพื่อความไม่ประมาท "

    ตรงที่พูดตรงนี้ จะเห็นว่า เพลี้ยงพล้ำให้กับ "ทิฏฐิ" ที่ขยับหลอกระหว่างการปรารภ

    มันมีคำว่า " ขั้น " ยุแยงเข้าไปในสาย วจีสังขาร พอไม่ทันมัน เผลอหยิบไปใช้ปั๊ป

    จะกล่าวผิดไปทาง " เพียรระวัง "

    เพียรระวัง เนี่ยะ เราจะถือว่า นักภาวนา ยังมองไม่เห็น มรรคญาณ

    เพราะ ปรารภอย่างคนมี มรรคญาณ จะไม่ใช่ การไปเหลือเสษการจงใจเจตนาจะทำกรรม

    ความไม่ประมาท ตัวแท้ๆ จะเป็นเพียง การเห็น "ทุกข" เป็นสัจจ ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรม
    ชาติของมันอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรอีก ตกกระแสธรรมแล้วไม่ต้องมีกิจอื่นอีก
     
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    วันนี้ได้อ่านธรรมะ มาจากเฟสบุ๊ค เหนือชีวิตคือ ธรรมหลวงตา รู้สึกสลดสังเวชตนเอง กระเทือนใจตัวเองมากครับกับธรรมนี้ ก.ไก่ ก.กา ยังไม่ได้ ไปฟาดเอาดอกเตอร์


    "ความจริงศาสนาเซนคือภาคปฏิบัติขั้นปัญญา ศาสนานี้ต้องใช้ปัญญาทั้งนั้น ใช้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ขั้นของปัญญาขั้นนั้น ก.ไก่ ก.กา ยังไม่ได้ ไปฟาดเอาดอกเตอร์"

    เทศน์หลวงตาเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เรื่อง "ศาสนาเซน"

    "ศาสนาเซนก็เรียกว่าศาสนาพุทธ เราอ่านหมดแล้วเรื่องศาสนาเซน อ่านเต็มกำลังเลย ศาสนานี้ท่านแสดงถึงธรรมฝ่ายสูง ธรรมขั้นสูง ศาสนาเซนให้ใช้ปัญญาๆ ผู้ที่เป็นเซน ผู้ที่บรรลุธรรมผ่านเข้าไปจนถึงกับได้ตั้งศาสนาเซนขึ้นมา นั่นผ่านไปแล้ว ก็คือจากพุทธศาสนานั่นเอง พวกนี้ก็มาตั้งอันหนึ่งขึ้นมาเป็นเนื้อหนังของตัวเอง ว่าเป็นศาสนาเซน

    ความจริงศาสนาเซน คือภาคปฏิบัติ เอาอย่างนี้เลยให้มันเห็นชัดๆ เทียบกันได้ทันที ภาคปฏิบัติขั้นปัญญา ก้าวเข้าถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติ อะไรๆ จะเป็นปัญญาทั้งหมด มองเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม สติปัญญานี้จะก้าวเดินไปตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ จากนั้นก็บรรลุธรรม พอบรรลุธรรมแล้วเขาเลยเอาสติปัญญาขั้นนี้เป็นศาสนาของเขาไปเสีย เขาหาได้รู้ไม่ว่า ศาสนธรรมขั้นละเอียดนี้มาจากพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าแสดงศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม ขึ้นศีล สมาธิ ออกจากสมาธิก็ปัญญา ปัญญานี้ปัญญาขั้นละเอียดเข้าถึงที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วบรรลุธรรมไปเลย

    เขาเลยเอาจุดนี้มาเป็นศาสนาของเขา เป็นศาสนาเซน ความจริงเป็นกิ่งก้านของพุทธศาสนาตอนปลาย ตอนยอดที่จะถึงที่สุด นี่เราพิจารณาแล้ว อ๋อ เขาเอาอันนี้เองไปเป็นศาสนาเซน ก็มันยันกันอยู่นี้ในหัวใจนี่เราจะสงสัยไปไหน เราผ่านมาหมดแล้ว คือธรรมะส่วนละเอียดของพระพุทธเจ้าที่จวนจะบรรลุธรรม จนกระทั่งถึงขั้นบรรลุธรรม คือจุดนี้ แล้วเขาเอาจุดนี้เป็นจุดสุดยอดของเขาไปเลย เขาไม่สนใจ เขาไม่ทราบว่าจุดนี้มาจากอะไร มาจากปัญญา มาจากสมาธิ มาจากศีล เข้าไปเรื่อยๆ

    นี่เราพิจารณาหายสงสัย อ๋อ ศาสนาเซนไปตรงนี้เอง ก็มีสองเท่านั้นที่เชื่อได้อยู่เวลานี้ ตายใจได้เลย แต่ศาสนาเซนใช้ปัญญา ทีนี้ผู้ถือศาสนาเซน ตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา ไปก็ได้ โดดใส่ดอกเตอร์ ดอกเตอร์คือขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ท่านไปถึงขั้นดอกเตอร์แล้วบรรลุธรรม ทีนี้พวกนั้นมาไม่ต้องเรียน ก.ไก่ ก.กา ละ ฟาดใส่ดอกเตอร์เลย ผู้นั้นท่านเดินตามนั้น ไอ้เราไม่รู้เรื่องจะเอาอันนั้นไปปฏิบัติ ทีนี้ใครมาถือศาสนานี้ต้องใช้ปัญญาทั้งนั้นๆ ใช้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ขั้นของปัญญาขั้นนั้น ก.ไก่ ก.กา ยังไม่ได้ ไปฟาดเอาดอกเตอร์"

    :'(
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    งงครับ อ่านแล้ว น่าจะ เชน ไม่ใช่ เซน ชิมิ
     
  20. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    ปล่อยวางกายยังไม่ได้ กามราคะยังไม่ขาด จะข้ามขั้นไปมหาสติมหาปัญญา
    ปัจจุบันมันทุกข์ที่ตรงไหนเกาถูกที่คันรึป่าว ทุกข์เพราะเกิดเป็นคน มีร่างกายอันโสโครก
    แก้ตรงจุดก็ดับเหตุที่ให้เกิด ให้มีร่างกาย มันหลงมันไม่รู้อะไรบ้าง อะไรที่พามาเกิด
    แก้ไม่ตกก็คาไว้ กลับมาแก้ใหม่อะซิๆ
    อย่าหลงตนว่าจะเป็น ขิปปาภิญญา เดี๋ยวจะช้ากว่าเดิม


    “ แก้ให้ตกเน้อ
    แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้
    แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง
    แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย
    คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด

    เวียนกำเนิด ในภพทั้งสาม
    ภพทั้งสาม คือเฮือนเจ้าอยู่ ”
     

แชร์หน้านี้

Loading...