ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียรวบหัวหน้ากลุ่มช่วยเหลือคู่รักขัดประเพณี “Love Commandos” ฐานขู่กรรโชก เผยแพร่: 31 ม.ค. 2562 16:08 ปรับปรุง: 31 ม.ค. 2562 20:18 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001123101.jpg

    เอเอฟพี - หัวหน้ากลุ่มเลิฟคอมมานโด (Love Commandos) องค์กรที่จัดหาที่พักพิงให้เหล่าคู่รักที่หลบหนี ถูกจับกุมในเดลีฐานขู่กรรโชกและข่มเหงคู่รักหลายคู่ เจ้าหน้าที่ เผยในวันนี้ (31)

    เลิฟคอมมานโดมีชื่อเสียงจากการให้ที่พักปลอดภัยและคำแนะนำทางกฎหมายแก่คู่รักที่ท้าทายแรงกดดันทางครอบครัว ศาสนา และชนชั้นวรรณะเพื่อแต่งงานกันในประเทศอนุรักษนิยมแห่งนี้

    ผู้ก่อตั้งเลิฟคอมมานโด ซานจอย แซชเดฟ ถูกจับกุมเมื่อคืนวันอังคาร (29) หลังตำรวจบุกหนึ่งในที่พักพิงพร้อมกับสมาชิกจากคณะกรรมการสตรีแห่งเดลี (Delhi Commission of Women : DCW) และปล่อยตัวคู่รัก 4 คู่

    “เป็นที่แน่ชัดว่า แซชเดฟกำลังกระทำการกักขังและขู่กรรโชกคู่รักเหล่านี้เบื้องหลังฉากหน้าของการจัดหาที่พักให้กับเหยื่อ” DCW หน่วยงานของทางการ ระบุในถ้อยแถลง

    คู่รักทั้ง 4 คู่ที่ถูกพบในระหว่างการบุกตรวจ กล่าวว่า พวกเขาถูกบังคับให้จ่ายเงินตามที่กลุ่มนี้เรียกร้องในฐานะค่าธรรมเนียม และถูกข่มขู่หากพวกเขาพยายามที่จะหลบหนี ถ้อยแถลง ระบุเสริม

    562000001123102.jpg


    อดีตผู้สื่อข่าว แซชเดฟ ก่อตั้งกลุ่มเลิฟคอมมานโดขึ้นในปี 2010 หลังจากให้ความช่วยเหลือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกครอบครัวฝ่ายหญิงที่เขาต้องการแต่งงานด้วยกล่าวหาว่ากระทำการข่มขืน

    การแต่งงานส่วนใหญ่ในอินเดียถูกจัดการโดยครอบครัว และคู่รักที่ฝ่าฝืนธรรมเนียมเพื่อแต่งงานนอกวรรณะและศาสนาจะเผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรง

    ในแต่ละปีมีคนหลายร้อยคนตกเป็นเหยื่อของ “การฆ่าเพื่อเกียรติยศ” โดยคนใกล้ชิดในครอบครัวเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

    “คู่รักที่เผชิญกับการขู่ฆ่าเพื่อเกียรติยศในประเทศของเราผ่านความบอบช้ำมามากมาย” สวาตี มาลิวัล หัวหน้า DCW กล่าว

    “สำหรับกลุ่มเอ็นจีโอที่ขู่กรรโชกและข่มเหงวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้โดยอ้างการช่วยเหลือพวกเขานับเป็นเรื่องน่าอับอายและน่าสลดใจอย่างยิ่ง”

    https://mgronline.com/around/detail/9620000010884
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Clip: ศรีลังกาสั่งห้ามนำเข้า “แป้งเด็กจอห์นสัน” จนกว่าจะทดสอบว่าปลอดมะเร็งจริง เผยแพร่: 31 ม.ค. 2562 19:53 ปรับปรุง: 31 ม.ค. 2562 20:11 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001128801.jpg
    รอยเตอร์ - แหล่งข่าวรัฐบาลศรีลังกา 2 ปาก และผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่น เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลโคลอมโบได้สั่งห้ามนำเข้าแป้งเด็กจอห์นสัน จนกว่าทางบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า ในการทดสอบครั้งใหม่ผลิตภัณฑ์แป้งเด็กนั้นปลอดสารแร่ใยหิน (asbestos) ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง

    รอยเตอร์รายงานพิเศษวันนี้ (31 ม.ค.) ว่า สต๊อกเก่าของแป้งเด็กจอห์นสันที่ยังคงเหลืออยู่ภายในศรีลังกายังได้รับอนุญาตให้จำหน่ายได้ต่อไป แต่จะไม่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ของแป้งเด็กจอห์นสันที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วประเทศศรีลังกา และส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย จนกว่าทางบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อินเดีย หรือ เจแอนด์เจ อินเดีย ซึ่งทางศรีลังกาได้นำเข้า จะสามารถให้การยืนยันผ่านผลการทดสอบครั้งใหม่ว่าปราศจาการแร่ใยหิน (asbestos) ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง

    ทั้งนี้ คามาล จายาซิงห์ (Kamal Jayasinghe) หัวหน้าสำนักงานกำกับยาแห่งชาติศรีลังกา NMRA (National Medicine Regulatory Authority) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงสาธารณณสุขศรีลังกาได้กล่าวว่า ทางหน่วยงานได้แจ้งผู้จัดจำหน่าย เอ.บาวเออร์ แอนด์ โค (A.Baur & Co) ว่าจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อที่ทางบริษัทจะยังคงสามารถนำเข้าแป้งเด็กจอห์นสันได้ต่อไป

    “ทางเราได้ระงับการต่ออายุการจดทะเบียนของพวกเขาไว้ และแจ้งไปยังผู้จัดจำหน่ายให้ส่งรายงานตรวจสอบคุณภาพจากห้องแล็บที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีไม่สารแร่ใยหินในผลิตภัณฑ์พวกเขา” จายาซิงห์กล่าวให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์

    ทั้งนี้ พบว่า ใบอนุญาตในการนำเข้าของเอ.บาวเออร์ แอนด์ โคได้หมดอายุลงในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แหล่งข่าวรายที่ 2 จาก NMRA กล่าว

    ในขณะที่ ชาลูธา เพอเรรา (Shalutha Perera) หัวหน้าแผนกผู้บริโภคประจำบริษัท เอ.บาวเออร์ แอนด์ โคได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า ทางบริษัทได้แจ้งเรื่องนี้แก่จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน อินเดียแล้ว ถึงการถูกระงับใบอนุญาต

    เขากล่าวว่า “ทางเจแอนด์เจ อินเดีย จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการกำกับ”

    และ เพอเรรา ชี้ว่า ทาง NMRA ได้ติดต่อ เอ.บาวเออร์ แอนด์ โค ในเดือนธันวาคมเกี่ยวข้องกับการทดสอบแร่ใยหินครั้งใหม่

    อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ชี้ว่า โฆษกหญิงของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อินเดีย ไม่ยอมแสดงความเห็นในการห้ามการนำเข้าแป้งเด็กจอห์นสันของรัฐบาลโคลอมโบ แต่กล่าวเพียงว่า ทางบริษัททำตามข้อกำหนดในปัจจุบันภายใต้การกำกับของอินเดียสำหรับการผลิตและการทดสอบผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นเด็กของเรา

    “เราให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แก่รัฐบาลอินเดีย และรอคอยผลการทดสอบจากพวกเขา”

    ซึ่งทางโฆษกหญิง กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ถูกทดสอบอย่างสม่ำเสมอจากซัปพลายเออร์และแล็บอิสระเพื่อทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์แป้งเด็กจะปราศจากแร่ใยหิน




    https://mgronline.com/around/detail/9620000011017
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พอมเพโอเผยซัมมิตทรัมป์-คิม จะจัดขึ้นที่ไหนสักแห่งในเอเชีย
    เผยแพร่: 31 ม.ค. 2562 20:03 ปรับปรุง: 31 ม.ค. 2562 20:09 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001137401.jpg

    เอเจนซีส์ - ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุ เมื่อวันพุธ (30 ม.ค.) ว่า ได้ส่งทีมงานไปเตรียมการสำหรับการประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ซึ่งจะจัดขึ้นที่ไหนสักแห่งในเอเชีย ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้

    ในการให้สัมภาษณ์กับ Fox News Channel พอมเพโอ ได้ระบุว่า ทางเกาหลีเหนือเห็นพ้องเรื่องการประชุมซัมมิตครั้งที่สอง ระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ โดยจะจัดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ไหนสักแห่งในเอเชีย

    “ผมได้ส่งทีมงานไปที่นั่นแล้ว พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปเพื่อเตรียมการวางรากฐานให้กับการประชุมที่ผมหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่มั่นคง ไม่ใช่แค่ปลดนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเท่านั้น แต่จะเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับชาวเกาหลีเหนือ” พอมเพโอ กล่าว

    พอมเพโอไม่ได้เอ่ยชื่อสถานที่จัดประชุมซัมมิต ส่วนทางเวียดนามก็ออกมาระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ไม่เคยมีการแจ้งอะไรเกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่สำหรับใช้จัดประชุมซัมมิต คิม-ทรัมป์ แต่หลายฝ่ายค่อนข้างมั่นใจว่าเวียดนามจะเป็นสถานที่จัดประชุมซัมมิตครั้งนี้

    บรรดาเจ้าหน้าที่และนักการทูตระบุไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ว่า ทางเวียดนามนั้นอยากจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว แถมแหล่งข่าวสองรายยังบอกรอยเตอร์ด้วยว่า เวียดนามกำลังเตรียมพร้อมรับการเดินทางมาเยือนของผู้นำเกาหลีเหนือ

    สิงคโปร์ ที่ทรัมป์และคิมเคยใช้เป็นสถานที่ซัมมิตครั้งก่อน กับกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ก็ถูกพูดถึงว่ามีความเป็นไปได้สำหรับใช้เป็นสถานที่จัดประชุมซัมมิต

    https://mgronline.com/around/detail/9620000011021
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวเวเนฯชุมนุมขอทหารเข้าข้าง 'กวยโด'อ้างหารือลับกับฝ่ายความมั่นคง ขณะ'มาดูโร'โวยถูก'ทรัมป์'สั่งลอบสังหาร เผยแพร่: 31 ม.ค. 2562 22:35 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001145101.jpg

    ผู้ชุมนุมเดินขบวนที่เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเวเนซุเอลา ออกมาร่วมการประท้วงรัฐบาลประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ตามคำเรียกร้องของ ฮวน กวยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติซึ่งประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีรักษาการ ณ กรุงการารัส วันพุธ (30 ม.ค.)

    เอเจนซีส์ – ชาวเวเนซุเอลานับหมื่นชุมนุมในหลายเมืองทั่วประเทศเรียกร้องให้กองทัพทิ้งประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร และอ้าแขนรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ขณะที่ ฮวน กวยโด ผู้นำฝ่ายค้านที่ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาล อ้างว่าได้หารือลับและมีทหารบางส่วนยอมรับว่า ไม่อาจปล่อยให้บ้านเมืองเผชิญวิกฤตการณ์ต่อไป ด้านมาดูโรเผยพร้อมพบกับกวยโด หรือแม้แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สั่งการให้รัฐบาลโคลอมเบียตลอดจนมาเฟียของประเทศนั้นลอบสังหารตน

    ประชาชนหลายหมื่นคนชุมนุมบนท้องถนนในกรุงการากัสและอีกหลายเมืองทั่วเวเนซุเอลานาน 2 ชั่วโมงเมื่อวันพุธ (30 ม.ค.) ตามคำชักชวนของฝ่ายค้าน เพื่อเรียกร้องให้กองทัพทิ้งมาดูโรซึ่งเป็นเผด็จการแย่งชิงอำนาจ และหันมาสนับสนุน กวยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติที่ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาลเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว

    กวยโดส่งข้อความถึงกองทัพไม่ให้ทำร้ายประชาชน รวมทั้งยังเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า การสนับสนุนจากกองทัพเป็นกุญแจสำคัญสำหรับความพยายามในการขับไล่มาดูโร พร้อมอ้างว่าได้หารือลับหลายครั้งกับพวกสมาชิกฝ่ายความมั่นคง โดยที่สมาชิกกองกำลังความมั่นคงส่วนใหญ่ที่ร่วมประชุมลับเห็นด้วยว่า ไม่อาจปล่อยให้ประเทศเผชิญวิกฤตการณ์ต่อไป

    อย่างไรก็ดี แม้ทหารกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านมาดูโรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และทูตทหารเวเนซุเอลาประจำวอชิงตันประกาศให้การสนับสนุนกวยโด แต่ขณะนี้บรรดานายทหารระดับผู้บัญชาการยังคงภักดีกับมาดูโร

    กวยโด วัย 35 ปี พยายามกดดันให้มาดูโร วัย 56 ปี ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวและจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วจากอเมริกาและหลายประเทศในละตินอเมริกา พร้อมกันนี้ 6 ประเทศสำคัญของยุโรปยังขีดเส้นตายให้มาดูโรจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในสุดสัปดาห์นี้ ไม่เช่นนั้นจะให้การยอมรับกวยโดในตำแหน่งประธานาธิบดีเฉพาะกาล

    562000001145102.jpg

    562000001145103.jpg

    ฮวน กวยโด ผู้ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีรักษาการของเวเนซุเอลา พูดกับพวกผู้สื่อข่าวขณะเข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร เมื่อวันพุธ (30 ม.ค.) ที่กรุงการากัส

    ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ทวิตหลังหารือทางโทรศัพท์กับกวยโดเมื่อวันพุธว่า การประท้วงขนาดใหญ่ทั่วเวเนซุเอลาเพื่อต่อต้านมาดูโรบ่งชี้ว่า การต่อสู้เพื่อเสรีภาพเริ่มต้นขึ้นแล้ว

    ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวแถลงในเวลาต่อมาว่า ทรัมป์และกวยโดตกลงคงการติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ หลังจากทางการเวเนซุเอลาเปิดการสอบสวนที่อาจนำไปสู่การจับกุมกวยโด

    ความวุ่นวายทางการเมืองทำให้สถานการณ์โดยทั่วไปในเวเนซุเอลาปั่นป่วนยิ่งขึ้น ทั้งที่ประเทศนี้มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลกแต่เศรษฐกิจกลับล่มสลาย เงินเฟ้อรุนแรง และขาดแคลนสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ประชาชน 2.3 ล้านคนหนีออกนอกประเทศ กลายเป็นวิกฤตผู้อพยพครั้งใหญ่ในอเมริกาใต้

    การประท้วงเมื่อวันพุธเกิดขึ้นหลังจากมีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คน และถูกควบคุมตัว 850 คนจากการปะทะกับกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    ต้นสัปดาห์นี้ วอชิงตันออกมาตรการแซงก์ชันน้ำมันเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงรัฐบาลมาดูโร

    จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เตือนเมื่อวันพุธไม่ให้ธุรกิจอเมริกาซื้อขายน้ำมัน ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ “มาเฟียมาดูโร” ปล้นมาจากชาวเวเนซุเอลา ภายหลังฝ่ายค้านเวเนซุเอลากังวลว่า เครื่องบินของสายการบินรัสเซียที่ไปถึงการากัสเมื่อต้นสัปดาห์อาจบ่งชี้ว่า รัฐบาลมาดูโรกำลังเตรียมขนย้ายทองคำสำรองออกนอกประเทศ หลังจากเมื่อปีที่แล้วส่งทองคำมูลค่า 900 ล้านดอลลาร์ไปยังตุรกีเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธนาคารกลาง

    วอชิงตันยังเรียกร้องให้กองทัพเวเนซุเอลายอมรับการถ่ายโอนอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างสันติ และไม่ยืนยันว่า จะไม่ใช้ทางเลือกในการแทรกแซงทางทหาร

    ระหว่างให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บิลด์ของเยอรมนี กวยโดเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป เพิ่มมาตรการแซงก์ชันรัฐบาลมาดูโร และเผยว่า รัฐบาลเฉพาะกาลกำลังดำเนินการเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยเร็วที่สุด

    562000001145104.jpg

    ผู้เดินขบวนที่เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ตะโกนคำขวัญ “เลือกตั้งอย่างเสรี” ขณะเดินอยู่ในย่านการเงินของกรุงการากัส

    562000001145105.jpg

    กลุ่มผู้ประท้วงยืนอยู่ข้างๆ ตำรวจปราบจลาจล ระหว่างออกมาเดินขบวนต่อต้านประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในกรุงการากัส วันพุธ

    ขณะเดียวกัน เม็กซิโกและอุรุกวัยประกาศว่า จะร่วมกันจัดประชุมนานาชาติในหมู่ประเทศที่เป็นกลางเพื่อหารือวิกฤตเวเนซุเอลาที่กรุงมอนเตวิเดโอ ของอุรุกวัยในวันพฤหัสฯ หน้า (7) ตามที่อันโตนิโอ กูเตียเรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ริเริ่มการเจรจา

    ทางด้านมาดูโรให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอาร์ไอเอของรัสเซียที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธว่า กองทัพยังคงภักดีต่อตน เช่นเดียวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

    ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาสำทับว่า ทรัมป์สั่งให้รัฐบาลและมาเฟียโคลอมเบียลอบสังหารตน อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่า ตนเองได้รับการอารักขาอย่างดี แต่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวที่ว่า รัสเซียส่งบริษัททหารรับจ้างไปคุ้มกัน

    มาดูโรยังบอกว่า พร้อมพบกับผู้นำสหรัฐฯ ไม่ว่าที่ไหน แต่คิดว่า คงเป็นไปได้ยากเนื่องจากบรรดาที่ปรึกษาทรัมป์พยายามขัดขวาง เขายังยินดีเจรจากับฝ่ายค้านเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และว่า เท่าที่รู้ยังไม่มีการดำเนินการเพื่อสอบสวนและจับกุมกวยโดแต่อย่างใด

    กระนั้น มาดูโรปฏิเสธเสียงเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ โดยยืนยันว่า การเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วบริสุทธิ์ยุติธรรม แม้ถูกกล่าวหาอย่างกว้างขวางว่า มีการโกงซ้ำยังห้ามไม่ให้ผู้นำฝ่ายค้านหลายคนลงแข่งขันก็ตาม

    562000001145106.jpg

    พวกผู้สนับสนุนประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “โกเลกติโวส” ขี่จักรยานยนต์กันเป็นขบวน ขณะพวกผู้สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจัดการเดินขบวน ในวันพุธ ณ กรุงการากัส

    https://mgronline.com/around/detail/9620000011068
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Clips: มาดริดร้องให้ “เวเนฯ” ปล่อยตัวนักข่าวสเปนทันที หลังคาราคัสจับนักข่าวต่างชาติ เผยแพร่: 31 ม.ค. 2562 21:05 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001134401.jpg

    เอเอฟพี - มาดริดในวันนี้(31 ม.ค) ออกข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเวเนซุเอลาให้ปล่อยตัวนักข่าวที่ทำงานให้กับสำนักข่าวสเปน EFE ทันที หลังจากคาราคัสได้ออกกวาดล้างสื่อต่างประเทศ และได้มีการจับกุมนักข่าวต่างชาติ ซึ่งนอกเหนือจากนักข่าวสเปนแล้ว ยังรวมไปถึงนักข่าวฝรั่งเศส 2 คน และนักข่าวชิลีอีก 2 คน

    เอเอฟพีรายงานวันนี้(31 ม.ค)ว่า ในแถลงการณ์ที่ออกมาจากกระทรวงต่างประเทศสเปนในวันพฤหัสบดี(31) ระบุว่า รัฐบาลสเปนขอประณามอย่างรุนแรงในการควบคุมตัวในกรุงคาราคัสที่มีต่อสมาชิก 4 คนของสำนักข่าวสเปน EFE จากฝีมือของสำนักงานข่าวกรองเวเนซุเอลา Sebin

    “ทางรัฐบาลของเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งยังคงมีประสิทธิภาพ เพื่อปล่อยตัวพวกเขาทันที รัฐบาล ซึ่งเป็นอีกครั้ง ที่ร้องต่อเจ้าหน้าที่เวเนซุเอลา ให้เคารพความเป็นนิติรัฐ สิทธิมนุษยชน และหลัการพื้นฐานเสรีภาพ ซึ่งเสรีภาพของสื่อเป็นศูนย์กลางของสิ่งเหล่านี้” รายงานจากแถลงการณ์

    ทั้งนี้พบว่านักข่าวสำนักข่าว EFE จำนวน 3 คน ประกอบไปด้วย นักข่าวสเปน 1 คน นักภาพวิดีโอชาวโคลอมเบีย และช่างภาพชาวโคลอมเบีย ถูกจับกุมพร้อมกับคนขับรถชาวเวเนฯในวันพุธ(30) อ้างอิงจาก EFE

    นอกจากนี้ยังรวมไปถึงนักข่าวชาวฝรั่งเศส 2 คนจากสถานีโทรทัศน์ TMC ถูกเวเนฯควบคุมตัวในวันอังคาร(29) ระหว่างที่คนเหล่านี้กำลังบันทึกภาพทำเนียบประธานาธิบดีเวเนซุเอลาในกรุงคาราคัส และไม่ได้ยินข่าวจากคนเหล่านี้นับตั้งแต่นั้น อ้างอิงจากสหภาพนักข่าวเวเนฯ SNTP ซึ่งเป็นถือเป็นสหภาพนักข่าวใหญ่ในประเทศแดนลาติน

    และในวันอังคาร(29) นักข่าวชาวชิลีอีก 2 รายถูกจับกุมเช่นกัน โดยถูกจับกุมใกล้กับทำเนียบของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร และถูกเนรเทศออกนอกประเทศไปในวันพุธ(30) เอเอฟพีชี้











    562000001134402.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9620000011039
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธนาคารกลางปท.ต่างๆ กว้านซื้อทองคำ 651.5 ตันเมื่อปีที่แล้ว สูงสุดในรอบ 50 ปี ผวาสงครามการค้า-เบร็กซิตที่ยังวุ่นวาย เผยแพร่: 1 ก.พ. 2562 00:08 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001116001.jpg

    เอเอฟพี/MGRออนไลน์ – ธนาคารกลางต่างๆ เมื่อปีที่แล้วพากันกว้านซื้อทองคำกันเป็นปริมาณมากที่สุดในรอบระยะเวลาเกือบ 50 ปี สืบเนื่องจากคุณค่าในฐานะเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยของโลหะชนิดนี้ สภาทองคำโลก (World Gold Council หรือ WGC) ระบุในรายงานซึ่งนำออกเผยแพร่วันนี้ (31 ม.ค.) ท่ามกลางความตึงเครียดทางด้านการค้า และความไม่แน่นอนในเรื่องสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิต)

    ในรายงาน “แนวโน้มอุปสงค์ทองคำ” (Gold Demand Trends) ทางสภาทองคำโลกระบุว่า ปี 2018 ทองคำสำรองอย่างเป็นทางการของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ได้เพิ่มปริมาณขึ้น 651.5 ตัน สูงขึ้นกว่าเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้นถึง 74% อีกทั้งถือเป็นปีที่พวกธนาคารกลางกว้านซื้อทองคำสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 เท่าที่มีบันทึกกันมา ทั้งนี้ปีที่สูงสุดเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นปี 1967 เมื่อทองคำสำรองของพวกธนาคารกลางต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น 1,404 ตัน

    รายงานของ WGC ระบุด้วยว่า เวลานี้พวกธนาคารกลางเหล่านี้ถือครองทองคำเอาไว้รวมกันเป็นปริมาณเกือบๆ 34,000 ตัน

    สำหรับอุปสงค์ทองคำโดยรวมทั้งหมดในปี 2018 นั้น รายงานฉบับนี้บอกว่าขึ้นไปอยู่ที่ 4,345.1 ตัน เพิ่มขึ้น 4.0%

    “การ (ที่อุปสงค์ทองคำ) เพิ่มขึ้นในรอบปี (2018) เช่นนี้ มีแรงขับดันมาจากการเข้าซื้อของพวกธนาคารกลางที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบระยะเวลาหลายสิบปี ตลอดจนการเร่งตัวของการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำระหว่างช่วงครึ่งหลังของปี (2018)” รายงานของ WGC ระบุ โดยที่ครึ่งหลังของปีที่แล้วเป็นระยะเวลาที่เกิดความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนในเรื่องเบร็กซิต ได้กลายเป็นสาเหตุสร้างความปั่นป่วนผันผวนไปทั่วตลาดการเงิน นอกจากนั้นยังมีความวิตกเกี่ยวกับการที่อัตราเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกทำท่าชะลอตัวลงอีกด้วย

    รายงานฉบับล่าสุดของ WGC นี้บอกว่า ในปี 2018 อุปสงค์ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.0% หรือคิดเป็นปริมาณ 1,090 ตัน

    สำหรับในสหราชอาณาจักร การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำในรอบปีที่แล้ว พุ่งขึ้น 12% มาอยู่ที่ 11.6 ตัน “ขณะที่พวกนักลงทุนมองล่วงหน้าไปยังวันที่ 29 มีนาคม 2019 อันเป็นวันที่สหราชอาณาจักรมีกำหนดจะถอนตัวอกจากอียู ด้วยความรู้สึกอกสั่นหวั่นไหว” รายงานกล่าว

    ในยุโรปโดยรวมนั้น อุปสงค์ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำได้ลดลงมา 11% ในปี 2018

    อลิสแตร์ เฮวิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวกรองตลาด ของ WGC กล่าวว่า “ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวในอัตราการเติบโตของทั่วโลก, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มทวีขึ้น, และความปั่นป่วนผันผวนของตลาดการเงิน ทำให้อุปสงค์ของพวกธนาคารกลางพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ... ปี 1971” ทั้งนี้ปี 1971 คือปีซึ่งสหรัฐฯยุติการปฏิบัติตามข้อตกลงเบรตตันวูดส์ ที่ให้นำเงินดอลลาร์มาแลกคืนเป็นทองคำได้

    562000001116002.jpg

    รัสเซียคือแชมป์กว้านซื้อทองคำ

    รายงานฉบับล่าสุดของ WGC แจกแจงว่า การซื้อทองคำของพวกธนาคารกลางต่างๆ ในปี 2018 มีแบบแผนทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ นั่นคือการกว้านซื้อส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการของธนาคารกลางของชาติต่างๆ ไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะรัสเซีย, ตุรกี, และคาซัคสถาน

    “รัสเซียซึ่งกำลังอยู่ใน ‘กระบวนการลดการใช้เงินดอลลาร์’ มาเป็นทุนสำรองของตน ได้ซื้อ (ทองคำ) เป็นจำนวน 274.3 ตันในปี 2018 โดยใช้เงินเกือบทั้งหมดที่ได้มาจากการขายพอร์ตพันธบัตรคลังสหรัฐฯของตน” รายงานนี้ระบุ พร้อมกับชี้ว่า ปริมาณที่ซื้อในปีที่แล้วถือเป็นระดับการซื้อสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และก็เป็นปีที่ 4 ต่อเนื่องกันแล้วซึ่งรัสเซียซื้อมากกว่าปีละ 200 ตัน จากการที่ทุนสำรองทองคำของรัสเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกันมา 13 ปีแล้ว ทำให้ ณ สิ้นปี 2018 มีปริมาณยอดรวมทั้งสิ้น 2,113 ตัน สูงขึ้น 1,726.2 ตันในช่วง 13 ปีดังกล่าว

    ขณะที่ธนาคารกลางของตุรกีมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 51.5 ตันในปี 2018 ถือเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องกันที่มีการซื้อสุทธิ ถึงแม้ปริมาณที่กว้านซื้อจะต่ำลงกว่าระดับ 85.9 ตันซึ่งซื้อในปี 2017 อันเป็นปีที่แบงก์ชาติตุรกีเข้าสู่ตลาดอีกครั้งภายหลังหายหน้าไปเกือบ 25 ปี

    สำหรับทองคำสำรองของธนาคารกลางคาซัคสถาน รายงานนี้ระบุว่าเพิ่มขึ้น 50.6 ตันในปีที่แล้ว เป็น 350.4 ตัน โดยที่ปี 2018 ถือเป็นปีที่ 8 ต่อเนื่องกันซึ่งคาซัคสถานมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น

    ในส่วนของจีน รายงานนี้กล่าวว่าหลังจากหยุดไปนับแต่เดือนตุลาคม 2016 จีนประกาศว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2018 ว่า ทุนสำรองทองคำของตนได้เพิ่มขึ้นเกือบๆ 10 ตัน ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 1,852.2 ตัน โดยที่ทองคำคิดเป็น 2.4% ของทุนสำรองทั้งหมดของแดนมังกรในตอนสิ้นปี สูงขึ้นจากระดับ 2.3% เมื่อสิ้นปี 2017 ขณะที่ทุนสำรองในรูปเงินตราต่างประเทศในปี 2018 ได้ลดลง 67,000 ล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์

    รายงานของ WGC บอกว่า ถึงแม้ในปี 2018 รัสเซีย, คาซัคสถาน, และตุรกี ยังคงคิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากในอุปสงค์ความต้องการทองคำของพวกธนาคารกลาง แต่ปรากฏว่าส่วนแบ่งของพวกเขาได้ลดลงเหลือ 58% จากที่เคยเป็น 94% ของยอดรวมการซื้อทองคำของพวกธนาคารกลางเมื่อปี 2017 ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารกลางแห่งอื่นๆ พากันเพิ่มทองคำสำรองของพวกเขาขึ้นมาอย่างสำคัญ ซึ่งเสริมส่งความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อการเป็นทุนสำรอง

    https://mgronline.com/around/detail/9620000011083
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    hVmz7vyfpDO53jV7M_HRjwID2sceLJy_cmgHZhiodkGYVF3DCmO6egUDop-eUtsDA1B-nk4g&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    (Feb 1) ทาง2แพร่งเทรดวอร์มะกัน-จีน ทุบส่งออกไทยต่ำ 5% : ลุ้นเส้นตายวันที่ 1 มีนาคมสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน คงภาษี 10% หรือเพิ่มเป็น 25% ม.หอการค้าไทยชี้เสี่ยงทั้ง 2 กรณี ฟันธงจีนไม่ยอมนำเข้าสินค้าสหรัฐ 1 ล้านล้านดอลล์ ส่งออกไทยดีสุดปีนี้โตแค่ 4-5%

    เส้นตายวันที่ 1 มีนาคม 2562 หากการเจรจาเพื่อคลี่คลายสงครามการค้าไม่เป็นที่พอใจ สหรัฐอเมริกาประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีน 5,745 รายการ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯจากอัตราภาษี 10% เพิ่มเป็น 25% ท่ามกลางกระแสข่าวก่อนการเจรจาสหรัฐฯ-จีนในวันที่ 30-31 มกราคมนี้ที่กรุงวอชิงตันดี.ซี. จีนยอมจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯที่มีกับจีนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2567 แต่ทุกอย่างยังเป็นแค่ข่าวลือ ยังไม่มีความแน่นอน แต่ที่แน่ๆ ทิศทางออกได้ทั้ง 2 รูปแบบคือ สหรัฐฯขึ้นภาษีจีนเป็น 25% หรือคงไว้ที่ 10% ซึ่งจะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีแรงกระเพื่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกต่อไป

    นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยวิเคราะห์ผ่าน "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า กรณีผลการเจรจาไม่เป็นที่พอใจสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 25% จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะลดต่ำลงไปอีก จากเดิมในปีนี้คาดจะขยายตัว 3.5% จะเหลือ 3.2% เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงไปอีก และมีโอกาสจะขยายตัวต่ำกว่า 6% และอาจทำให้ส่งออกไทยปี 2562 ขยายตัวได้ต่ำกว่า 4%

    กรณีที่ 2 ผลการเจรจาเป็นที่พอใจ สหรัฐฯ ไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 25% แต่คงไว้ที่ 10% จะเป็นทั้งผลบวกและผลลบ ผลบวกคือช่วยประคองเศรษฐกิจโลกให้ดีขึ้น จากการตอบโต้ทางการค้าลดลง สหรัฐฯพอใจจากการช่วยลดการขาดดุล แต่ในแง่ลบหากจีนนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่ม การส่งออกสินค้าไทยในหลายกลุ่มที่เคยส่งไปจีนก็จะได้รับผลกระทบด้วยจากมีสินค้าสหรัฐฯหลายรายการที่จะเป็นคู่แข่งสินค้าไทยในตลาดจีน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้จะทำให้การส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัวได้ที่ 5%

    "จีนยอมนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ขึ้นกับการเจรจาที่เหลืออยู่อีก 1 เดือนว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ แต่จากสถานการณ์ไม่น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเท่าไหร่ เพราะประเด็นของหัวเว่ยจะกลายเป็นกรณีที่ทำให้การเจรจาสหรัฐฯ-จีนจะไม่ราบรื่น"

    ทั้งนี้ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศคาดการณ์ส่งออกไทยปี 2562 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 3.2-4.6% หรือเฉลี่ยที่ 4.4% บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เศรษฐกิจโลกโต 3.5% อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนกับสหรัฐฯตกลงกันได้ในวันที่ 1 มีนาคม แต่ยังคงเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ 10% เหมือนเดิม

    "ผู้ประกอบการไทยควรขยายการส่งออกไปที่อินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และอาเซียน โดยเฉพาะอาเซียนควรหันมาเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมให้มากขึ้น และหันมาซื้อสินค้ากันเองมากขึ้น รุกและจัดกิจกรรมงานแสดงสินค้าในตลาดให้มากขึ้น เพราะคนในหลายประเทศรู้จักสินค้าไทยน้อยมาก"

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    &url=https%3A%2F%2Fassets.bwbx.io%2Fimages%2Fusers%2FiqjWHBFdfxIU%2FiCCv35Y6Yu5U%2Fv0%2F1200x800.jpg
    (Feb 1) ธนาคาร Barclays เตรียมย้ายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 166 พันล้านปอนด์สเตอร์ลิง (190 พันล้านยูโร) จากกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักรไปยังกรุงดับลินของไอร์แลนด์ : ศาลสูงสหราชอาณาจักรมีคำตัดสินรับรองให้ธนาคาร Barclays สามารถดำเนินการย้ายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 166 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 190 พันล้านยูโร จากกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักรไปยังกรุงดับลินของไอร์แลนด์เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่อง “Passporting Right ” หรือใบอนุญาตการประกอบธุรกิจการเงินภายในสหภาพยุโรปภายหลัง Brexit ในวันที่ 29 มี.ค. 2019

    ธนาคาร Barclays ต้องการที่จะยังสามารถให้บริการด้านการเงินแก่กลุ่มลูกค้าในสหภาพยุโรปได้ต่อไปอย่างราบรื่นภายหลัง Brexit ซึ่งการย้ายสินทรัพย์ดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนเตรียมการรองรับสถานการณ์ no-deal Brexit ของธนาคาร โดย Barclays ระบุว่า "cannot wait any longer" เนื่องจากสถานการณ์ Brexit ในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น

    Barclays มีแผนจะย้ายฐานธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าในยุโรปทั้งด้านธุรกิจ Corporate Banking, Investment Banking และ Private Banking ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Barclays ลอนดอน ให้ไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Barclays ดับลิน เพื่อให้สามารถใช้ใบอนุญาต EU-based bank subsidiary ที่มีอยู่เดิมในการให้การบริการแก่ลูกค้าในสหภาพยุโรปได้ต่อไป ซึ่งการเคลื่อนย้ายดังกล่าวจะครอบคลุมลูกค้าของธนาคารที่อยู่ในยุโรป อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส และ สวีเดน

    การย้ายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 166 พันล้านปอนด์สเตอร์ลิง จากกรุงลอนดอนไปยังกรุงดับลินของธนาคาร Barclays ดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนสินทรัพย์ประมาณร้อยละ 15 ของสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคาร ซึ่งอาจครอบคลุมกลุ่มลูกค้าของธนาคารจำนวนกว่า 5,000 ราย และธนาคารอาจจำเป็นต้องปรับเพิ่มจำนวนพนักงานที่กรุงดับลินอีกประมาณ 150 -200 ตำแหน่ง โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการจ้างงานใหม่และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นการย้ายพนักงานมาจากสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ธนาคารคาดว่าการเคลื่อนย้ายดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 29 มี.ค. 2019

    Source: BOTSS

    - Barclays May Transfer 5,000 Clients to Ireland in $217 Billion Brexit Move :
    https://www.bloomberg.com/news/arti...q6hxiRmNR_D-SOQJ_sHvyJNThj9rNHJ988rDtdUGPRKfU
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    om%2F__origami%2Fservice%2Fimage%2Fv2%2Fimages%2Fraw%2Fhttp%253A%252F%252Fprod-upp-image-read.ft.jpg

    (Feb 1) ทรัมป์เตรียมพบกับสีจิ้นผิงปลายเดือน ก.พ. และหวังบรรลุข้อตกลงกับจีน: วานนี้ ประธานาธิบดี Trump ได้เข้าพบกับนาย Liu He, รองนายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นผู้นำในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทั้งนี้ นาย Liu เสนอให้ประธานาธิบดี Trump ได้พบหารือกับประธานาธิบดี Xi Jinping อีกครั้งในช่วงปลายเดือน ก.พ. ที่เกาะไห่หนาน ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงภายหลังจากที่ประธานาธิบดี Trump มีแผนที่จะประชุมสุดยอดกับนาย Kim Jong Un, ผู้นำเกาหลีเหนือ

    ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Trump ระบุว่าตนเปิดกว้างสำหรับการพบกับประธานาธิบดี Xi อีกครั้ง พร้อมทั้งกล่าวว่าจะไม่มีข้อตกลงขั้นสุดท้ายใดๆ เกิดขึ้น จนกว่าตนและประธานาธิบดี Xi จะได้พบปะหารือและเห็นชอบในประเด็นสำคัญที่ได้เจรจามาอย่างยาวนาน

    นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Trump ยังได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนพร้อมที่จะยอมรับข้อตกลงการค้าบางส่วนภายในกำหนดเส้นตาย 1 มี.ค. และจะยอมขยายระยะเวลาสำหรับการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ comprehensive มากขึ้น

    อนึ่ง ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดี Trump ทวีตข้อความระบุว่าตนต้องการให้ทางการจีนเปิดตลาดภายในประเทศมากขึ้น ไม่เฉพาะแต่ด้านบริการทางการเงิน แต่ยังรวมถึงภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และอุตสาหกรรมธุรกิจด้านอื่นๆ ด้วย

    Source :BOTSS

    - https://www.ft.com/content/8cddb4d4...2az71eJKe54Gwfy8M9vV2FV6XYaZwnc0uVN3J5i23ASww

    เพิ่มเติม
    - ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงขายทำกำไรฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 15.19 จุด ขณะ S&P500,Nasdaq พุ่งรับผลประกอบการ : https://www.ryt9.com/s/iq18/2948218

    - สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงสุดรอบ 1 ปีครึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว
    : https://www.ryt9.com/s/iq28/2948217
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics&Clips: ยอดเหยื่อเขื่อนบราซิลแตกพุ่ง 110 ราย สูญหาย 238 คน ศาลแรงงานสั่งแช่แข็งทรัพทย์สินบริษัทเหมืองต้นเหตุ เผยแพร่: 1 ก.พ. 2562 11:46 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001151001.jpg

    รอยเตอร์ - ตัวเลขผู้เสียชีวิตเขื่อนบราซิลแตกล่าสุดที่ได้รับการยืนยันเมื่อวานนี้(31 ม.ค) อยู่ที่ 110 ราย ส่วนผู้สูญหายมีจำนวน 238 คน ด้านศาลแรงงานบราซิลออกคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวทรัพย์สินบริษัทเวล( Vale )รอบใหม่ที่ 219 ล้านดอลลาร์ เพื่อต้องการใช้เป็นค่าชดเชยให้กับเหยื่อ เกิดขึ้นหลังจากในช่วงสุดสัปดาห์ที่มีคำสั่งศาลสั่งแช่แข็งทรัพย์สินจำนวน 3.1 พันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในการกู้ภัยและความเสียหาย

    รอยเตอร์รายงานวันนี้(1 ก.พ)ว่า ประชาชนในพื้นที่ต่างเศร้าโศกถึงสถานการณ์เขื่อนเหมืองของบริษัทเวล( Val)e แตก ที่เชื่อกันว่าอาจมีตัวเลขผู้เสียชีวิตเกิน 300 คน ซึ่งในวันพฤหัสบดี(31 ม.ค) ชาวบราซิลมีปฎิกริยาที่ต่างกันออกไป และจำนวนมากมีความโกรธแค้นต่อบริษัทต้นเรื่อง ซึ่งทางบริษัทได้ประกาศยอมที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับเหยื่อ และทำการปรับปรุงด้านความปลอดภัย

    เอสตาโด เดอ มีนาส(Estado de Minas) กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในรัฐมีนัสเชไรส์ (Minas Gerais) ได้แสดงความเห็นว่า “สายไปเสียแล้ว” เกิดขึ้นหลังจากบริษัทเวล ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวว่า จะลดการผลิตลง10% รวมไปถึงจะใช้เงิน 1.36 พันล้านดอลลาร์ในการยกเลิกการทำงานของเขื่อน 10 แห่งซึ่งล้วนอยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขื่อนที่เกิดเหตุในเหมือง Corrego do Feijao เมื่อวันศุกร์(25 ม.ค)ที่ผ่านมา

    รอยเตอร์ชี้ว่า มีตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันล่าสุดอยู่ที่ 110 ราย และมีผู้สูญหายอีก 238 คน อ้างอิงตัวเลขจากหน่วยงานดับเพลิงบราซิลในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี(31 ม.ค) ซึ่งวิกฤตเขื่อนแตกล่าสุดกลายเป็นวิกฤตเหมืองครั้งร้ายแรงเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์แดนลาตินแห่งนี้

    และไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัทเวลประกาศพร้อมยังคงจ่ายภาษีในส่วนของการทำเหมืองที่ใช้การไม่ได้ และจะบริจาคอีก 100,000 เรอัลบราซิลให้กับครอบครัวของเหยื่อแต่ละราย

    อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเงินจำนวนก้อนนี้ที่ทางบริษัทเวลเสนอให้จะไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

    โดยดิลสัน เมเนเซส โอลิเวรา(Dilson Menezes de Oliveira) วัย 58 ปีที่ได้สูญเสียลูกพี่ลูกน้องชายวัย 32 ปีไป หลังจากเขาเสียชีวิตภายในบ้านพักของตัวเองเมื่อกองโคลนขนาดใหญ่และขยะพิษได้ไหลลงมาทับตัวบ้านและฝังเขาไว้ โดยโอลิเวรากล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับเวล”

    และเสริมต่อว่า “มีผู้บริสุทธิจำนวนมากต้องจบชีวิต และในเวลานี้เงินชดเชยจำนวน 100,000 เรอัลบราซิล มันไม่ได้ช่วยอะไรทั้งนั้น”

    ในวันพฤหับดี(31 ม.ค) ศาลแรงงานประจำรัฐได้ออกคำสั่งห้ามการเคลื่อนไหวทรัพย์สินจำนวนมากกว่า 219 ล้านดอลลาร์ หรือ 800 ล้านเรอัลบราซิลของบริษัทเวล เพื่อใช้สำหรับเป็นค่าชดเชยให้กับเหยื่อ และคำสั่งนี้เกิดขึ้นตามมาหลังก่อนหน้าในช่วงสุดสัปดาห์ที่มีคำสั่งศาลห้ามเคลื่อนไหวทรัพย์สินบริษัทจำนวน 3.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 11.8 พันล้านเรอัลบราซิล เพื่อถูกกันไว้สำหรับการกู้ภัยและความเสียหาย

    รอยเตอร์ชี้ว่า สำหรับบริษัทเหมืองแร่เวลนั้น พบว่ามีเงินสดราว 24 พันล้านเรอัลบราซิล และเทียบเท่าในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 3

    ในขณะที่ความพยายามระดับรัฐมนตรีที่นำการประชุมโดยประธานาธิบดีบราซิล ฌาอีร์ โบลโซนารู ได้เริ่มต้นร่างแผนมาตรการเพื่อปรับปรุงความปลอดภัย การตวจสอบ และการให้ใบอนุญาตเขื่อน

    ซึ่งแหล่งข่าวที่รู้ในเรื่องนี้โดยตรงกล่าวว่า มาตรการเสนอนั้นจะรวมไปถึงคำสั่งบริหารและร่างกฎหมายในสภาคองเกรส และต้องใช้เวลาอย่างน้อย7-10 ปีในการเตรียมการ

    รอยเตอร์รายงานว่า ชาวบ้านในเมืองบรูมาดินโญ (Brumadinho) ยังคงต้องเรียนรู้ต่อผลของสถานการณ์จากการไหลของโคลนถล่ม

    รัฐบาลรัฐมีนัสเชไรส์ ออกแถลงในวันพฤหัสบดี(31 ม.ค)ว่า แม่น้ำพาเราเปบา(Paraopeba) ที่ปนเปื้อนโคลนพิษ พบว่าผลการทดสอบออกมาชี้ว่า น้ำในแม่น้ำนั้นเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ โดยในวันพุธ(30 ม.ค)กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนยูเอ็นได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการถึงเหตุเขื่อนแตก

    ในขณะที่ซีอีโอของบริษัทเหมืองแร่เวล ฟาบิโอ สชวาร์ตสแมน ( Fabio Schvartsman ) กล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทต้องการจ่ายค่าเยียวยาให้กับครอบครัวของเหยื่อให้เร็วที่สุด และเขายังได้ถกเถียงในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมกับอัยการรัฐบาลกลางบราซิล

    ส่วนหัวหน้าการเงินลูเซียโน ซีอานี( Luciano Siani ) กล่าวว่า บริษัทเวลวางแผนที่จะจ่ายราว 80 ล้านเรอัลบราซิลให้แก่เมืองบรูมาดินโญใน 2 ปีถัดไป ซึ่งอยู่ในส่วนการเสียภาษีสำหรับการทำเหมืองที่ถูกสั่งให้หยุด





    562000001151002.jpg


    562000001151003.jpg


    562000001151004.jpg


    562000001151005.jpg


    562000001151006.jpg


    562000001151007.jpg


    562000001151008.jpg


    562000001151009.jpg


    562000001151010.jpg


    https://mgronline.com/around/detail/9620000011177
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    c.com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F01%2F23%2F105695475-1548267959128rts2bwy1.1910x1000.jpg
    (Jan 31) 1 ประเทศ 2 ประธานาธิบดี ปฏิวัติเงียบบี้'เวเนซุเอลา' : "1 ประเทศ 2 ประธานาธิบดี" คำนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงการเมืองโลก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังจำกัดอยู่ที่บางประเทศในแอฟริกาเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่กับยุค 2019 ในประเทศอย่าง "เวเนซุเอลา" ประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก และเป็นระบอบสังคมนิยมฝ่ายซ้ายที่อยู่ยั้งยืนยงที่สุดแห่งหนึ่งในลาตินอเมริกา ณ วันนี้

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จู่ๆ เวเนซุเอลาก็มีประธานาธิบดีคนที่ 2 เพิ่มเข้ามา เมื่อ "ฮวน ไกวโด" หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและประธานรัฐสภาในกรุงคาราคัส วัย 35 ปี ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีที่ชอบธรรมของเวเนซุเอลา โดยอาศัยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ประธานสภาสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ หากไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

    ดังนั้น เมื่อฝ่ายค้านอ้างว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลาเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา มีการโกงครั้งใหญ่เกิดขึ้น ประธานาธิบดี "นิโคลัส มาดูโร" จึงชนะมาอย่างไม่ชอบธรรมและไม่ถือว่าเป็นประธานาธิบดีที่ถูกต้อง ฮวน ไกวโด ในฐานะประธานรัฐสภา จึงประกาศตนขึ้นเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 23 ม.ค. โดยอ้างว่าจะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและการทูตเพื่อฟื้นประชาธิปไตยในเวเนซุเอลาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

    สิ่งที่ต่างออกไปจากปัญหาการเมืองภายในของประเทศอื่นๆ ก็คือ ประธานาธิบดีคนที่สองนี้ได้แบ็กใหญ่หนุนหลังจากทั่วโลก จนราวกับว่าเป็นการปฏิวัติเงียบที่อิมพอร์ตโดยตรงมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ "สหรัฐ" ที่ประกาศให้การรับรองผู้นำคนใหม่ของเวเนซุเอลาตามมาทันทีภายในวันเดียวกัน

    ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั้งสองขั้วตอบโต้กันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และกำลังมีการปลุกระดมประท้วงครั้งใหญ่ทั้งประเทศ ทั่วโลกจึงต้องจับตาว่าการปฏิวัติเงียบครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปีของเวเนซุเอลา นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ครองอำนาจในปี 1999 และทำให้เกิดกระแสสีชมพูไปทั่วลาตินอเมริกา หรือไม่ หากวัด "ขุมพลัง" ของทั้งสองฝ่ายในเวลานี้ อาจยังไม่สามารถตัดสินผู้ชนะหรือผู้แพ้ได้ชัดเจนพอ

    ฝ่ายของไกวโดอาจเป็นขั้วใหม่ที่ดูหวือหวาเพราะได้รับการสนับสนุนแบบสุดตัวจาก "สหรัฐ" แบบไม่มีการอ้อมค้อมท่าที รวมไปถึง "ออสเตรเลีย แคนาดา และอิสราเอล" ส่วนในลาติน อเมริกาด้วยกันนั้น ได้รับแรงหนุนจาก "บราซิล โคลอมเบีย และอาร์เจนตินา" ส่วนในยุโรปมี "อังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส" ที่แถลงเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ว่า จะให้การรับรองไกวโด หากมาดูโรไม่ยอมประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายใน 8 วัน หรือภายในวันที่ 3 ก.พ.ที่จะถึงนี้

    นอกจากสหรัฐจะให้การรับรองแล้ว ก็ยังเป็นกำลังหลักที่ช่วยตัดท่อน้ำเลี้ยงฝ่ายตรงข้ามให้ ด้วยการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซุเอลา PDVSA ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินหลักของรัฐบาลมาดูโร เพราะการส่งออกน้ำมันแทบจะเป็นรายได้หลักเพียงอย่างเดียวของประเทศนี้ไปแล้ว ในภาวะที่ระบบเศรษฐกิจแทบจะล่มสลาย และภาวะเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นไปเกือบ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ ล่าสุดสหรัฐยังระงับบัญชีทรัพย์สินของรัฐบาลเวเนซุเอลาที่ฝากอยู่ในธนาคารที่สหรัฐ และให้อำนาจไกวโดในการดูแลบัญชีทรัพย์สินเหล่านี้แทนในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

    แต่ลำพังแรงหนุนจากต่างประเทศนั้นอาจยังไม่พอ ฝ่ายประชาชนที่สนับสนุนไกวโดคือกลุ่มชนชั้นกลางขึ้นไป ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับมาดูโร โดยปกติอยู่แล้ว แต่ล่าสุดนี้เริ่มมีรายงานว่ากลุ่มชนชั้นแรงงานที่เป็นฐานเสียงของมาดูโรเริ่มหันเข้าหาไกวโดมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งได้เข้าร่วมตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีรายงานว่าทหารฝ่ายกำลังพลเริ่มหันเข้าหาขั้วการเมืองใหม่มากขึ้น

    อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ฝ่ายมาดูโรยังไม่ถึงขั้นแพ้ก็เพราะยังได้รับการสนับสนุนจาก "กองทัพ" ที่ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญในการดำรงอยู่ของรัฐบาล ซึ่งกองทัพเองที่ได้ประโยชน์จากรายได้น้ำมันและบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็กลัวเสียผลประโยชน์หากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ มาดูโรยังได้แบ็กดีอย่าง "รัสเซีย"

    และ "จีน" 2 ประเทศใหญ่ที่ช่วยคานเสียงของสหรัฐใน 5 ชาติถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ส่วนใน ลาตินอเมริกายังได้เสียงสนับสนุนจากรัฐบาลฝ่ายซ้ายด้วยกันใน "โบลิเวีย" และ "คิวบา" โดยที่เม็กซิโกซึ่งกำลังบาดหมางกับสหรัฐอยู่หลายเรื่อง ขอวางตัวเป็นกลาง

    โดยปกติแล้ว มาดูโรมักจะสวมเสื้อสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังประชาชนทุกครั้งที่ต้องการแสดงพลังทางการเมืองขู่ฝ่ายตรงข้าม แต่ครั้งนี้ มาดูโรเลือกที่จะสวมเสื้อสีเขียว และถ่ายภาพที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยรัฐมนตรีกลาโหมและบรรดาผู้คุมเหล่าทัพกำลังพล เพื่อส่งสัญญาณว่าแม้อาจเพลี่ยงพล้ำเรื่องพลังมวลชนไป แต่ตนยังสามารถกุมกำลังทหารได้ และทำให้การโค่นล้มรัฐบาลคงไม่ใช่เรื่องง่ายโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

    ฝ่ายมาดูโรนั้นยังขู่จะจัดตั้งกองทัพมวลชนขึ้นมาต้านทานการรุกรานจากต่างชาติ ภายหลังมีภาพข่าวจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศสายเหยี่ยวของประธานาธิบดีสหรัฐ ถือสมุดบันทึกที่ระบุข้อความว่า "ส่งทหาร 5 หมื่นนายไปโคลอมเบีย" (โคลอมเบียเป็นพันธมิตรของสหรัฐ) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นกลยุทธ์การ "บลัฟ" อย่างหนึ่งว่า การปะทะกันทางทหารก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ยังเป็นไปได้เช่นกัน

    สถานการณ์ในเวเนซุเอลาหลังจากนี้จึงทวีความตึงเครียดทุกขณะ เมื่อความรุนแรงต่อตัวบุคคลสำคัญหรือเหตุการณ์ปะทะกันอาจกลายเป็นข้ออ้างที่นำไปสู่ความวุ่นวายใหญ่ตามมาได้ โดยฝ่ายค้านนั้นกำลังระดมการประท้วงใหญ่ 3 วันทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า จะเกิดความรุนแรงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 2 ทศวรรษ และทำให้คลื่นสีชมพูเริ่มเลือนหายไปจากลาตินอเมริกาได้หรือไม่

    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ

    Source: Posttoday

    - What next for Venezuela? Everything you need to know about the country with two presidents
    https://www.cnbc.com/2019/01/30/ven...pwlm7qZhoQY8Dw6zq74UpI8K_voOFVVcAnN6TT-1EXmgg
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ons%2Fcnbc.com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2017%2F07%2F06%2F104570977-RTSQ747-gold.1910x1000.jpg
    (Jan 31) สภาทองคำโลกเผยธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำในปีที่แล้วสูงสุดเป็นอันดับ 2 : WGS ระบุว่า ธนาคารกลางต่างๆได้ซื้อทองคำสุทธิ 651.5 ตันในปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้น 74% จากปี 2560 ซึ่งในปีดังกล่าว ธนาคารกลางต่างๆได้ซื้อทองคำสุทธิ 375 ตัน และ WGS คาดการณ์ว่า ขณะนี้ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำในทุนสำรองเกือบ 34,000 ตัน โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นธนาคารกลางซึ่งถือครองทองคำมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของทุนสำรองเงินตราของสหรัฐ

    ทั้งนี้ ธนาคารกลางต่างๆได้ซื้อทองคำในปีที่แล้วคิดเป็นปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2510 และเป็นปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันตัดสินใจยกเลิกระบบผูกติดค่าเงินดอลลาร์กับทองคำในปี 2514

    เมื่อพิจารณาราคาทองในตลาดสปอตซึ่งอยู่ที่ระดับ 1,321.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ธนาคารกลางทั่วโลกได้ซื้อทองคำในปีที่แล้วคิดเป็นมูลค่า 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์

    WGS ยังระบุว่า ธนาคารกลางรัสเซียได้ซื้อทองคำมากที่สุดในปีที่แล้ว หลังจากที่ได้ขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจนเกือบหมดในทุนสำรอง และได้หันมาซื้อทองคำจำนวน 274.3 ตัน

    ส่วนธนาคารกลางอื่นๆที่ได้ซื้อทองคำจำนวนมากในปีที่แล้ว ได้แก่ ตุรกี คาซัคสถาน อินเดีย อิรัค โปแลนด์ และฮังการี

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

    - Central bank gold buying hits highest level in half a century:
    https://www.cnbc.com/2019/01/31/wor...WERMSlDYR22jNReEUoZIFmjcX867P7pr5esin1qBZhPPA
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ic%2Fimages%2Fmethode%2F2019%2F01%2F31%2F5a08b922-2511-11e9-9177-bd3ae24bba4f_image_hires_180209.jpg
    (Jan 31) เปิดคีย์แมนเจรจา'สหรัฐ-จีน' : ผ่านไปแล้ววันแรกสำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่กรุงวอชิงตัน ยังต้องรอลุ้นกันอีกวันว่า ผลการเจรจาจะออกมาเป็นอย่างไร ระหว่างที่รอผลมาดูกันว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งใครมาทำงานนี้ บางทีอาจจะเห็นเค้าลางการเจรจาได้บ้าง

    เริ่มกันที่ฝ่ายจีนนำทีมโดย รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ หัวหอกเศรษฐกิจ วัย 67 ปี เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจผู้ทรงอิทธิพลต่อรัฐบาลปักกิ่งนับตั้งแต่ประธานาธิบดีสี ขึ้นครองอำนาจ

    หลิวเผยตัวจากเงามืดเมื่อเดือน ก.พ.ปีก่อน ตอนที่เขาถูกส่งมากรุงวอชิงตันเพื่อหลีกเลี่ยง ไม่ต้องทำสงครามกับประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากนั้นหลิวได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในเดือน มี.ค. รับผิดชอบกำหนด นโยบายเศรษฐกิจจีน

    ประวัติของหลิวนั้นตรงข้ามกับ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนโดยทั่วไป เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยความเป็นนักปฏิบัติหลิวถูกมองว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจจีน ให้หันมาเน้น การบริโภคภายในประเทศ รวมถึงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและการบริการ แทนเน้นการส่งออกเหมือนในอดีต

    อี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี)นักปฏิรูป วัย 60 ปี เขาเป็นตัวแทนเจรจาที่โดดเด่นคนหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม เคยอยู่ในสหรัฐ 15 ปีตอนทำปริญญาเอกด้านเศรฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ และสอนที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง

    อี้ทำงานกับพีบีโอซีตั้งแต่ปี 2540 ขึ้นเป็น รองผู้ว่าการฯ เมื่อปี 2551 ก่อนก้าวสู่ตำแหน่งผู้ว่าการฯ เมื่อปีก่อน ซึ่งตำแหน่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอย่างเข้มงวด

    ระยะหลัง อี้รับผิดชอบงานทยอยเปิดเสรี อัตราดอกเบี้ยและผ่อนคลายอัตราแลกเปลี่ยน เงินหยวน เขาเคยแสดงทัศนะนิยมตลาดเสรี อยู่หลายครั้ง แม้ยังปกป้องเรื่องเพิ่มการเปิดเสรีให้กับนักลงทุนต่างชาติอยู่ก็ตาม

    คราวนี้มาดูกันที่ฝ่ายสหรัฐ เริ่มต้นจาก โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ (ยูเอสทีอาร์) ที่ปรึกษาการค้าประธานาธิบดีทรัมป์ วัย 71 ปี ผู้นำ ทีมเจรจาแทนที่จะเป็นวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ หรือสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ผู้ไม่เคยสร้างผลการเจรจาใหม่ๆ

    ไลท์ไฮเซอร์เก็บตัวเงียบๆ แต่เขา ไม่ไว้ใจจีนเหมือนกับทรัมป์ โดยเชื่อว่าจีนเป็นภัยคุกคามอำนาจเศรษฐกิจของสหรัฐ เขาผงาดขึ้นมาเป็นสายแข็งในการเจรจาการค้า มุ่งมั่นบีบให้จีนเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ

    ผลงานโดดเด่นล่าสุดของไลท์ไฮเซอร์คือการเป็นผู้นำทีมเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) รอบใหม่ จนกลายเป็น ข้อตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา(ยูเอสเอ็มซีเอ)

    ส่วนการเจรจากับจีนรอบนี้เป้าหมายของไลท์ไฮเซอร์อยู่ที่ต้องการบีบให้ยักษ์เอเชียยุตินโยบายการค้าที่สหรัฐมองว่า ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการขโมยหรือบังคับ ให้ถ่ายโอนเทคโนโลยีอเมริกัน สั่งการให้บริษัท สหรัฐต้องตั้งบริษัทร่วมทุนกับหุ้นส่วนจีน และรัฐให้การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม

    ผลงานในอดีตก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นยูเอสทีอาร์ในเดือน พ.ค.2560 ไลท์ไฮเซอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศมานานกว่า 30 ปี มีประสบการณ์เจรจาการค้ากับญี่ปุ่นในทศวรรษ 80

    ปีเตอร์ นาวาร์โร หัวหอกต้านจีน นักเศรษฐศาสตร์จากฮาร์วาร์ด วัย 69 ปี ต้านภัยคุกคามจากรัฐบาลปักกิ่งมานานแล้ว ผลงานหนังสือ "ตายด้วยฝีมือจีน" เมื่อปี 2554 เรียกความสนใจจากทรัมป์ให้ดึงเขามาเป็นที่ปรึกษา ตั้งแต่ทรัมป์เริ่มหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงจีนว่าเป็นจอมขี้โกง รัฐอุดหนุนอุตสาหกรรมเน้นส่งออก และปั่นค่าเงิน

    นาวาร์โรผลักดันทรัมป์ให้เจรจานาฟตา รอบใหม่ หนุนการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ผลงานเข้าตาจนสิ้นปี 2559 ทรัมป์ ต้องแต่งตั้งให้เขาเป็นประธานสภาที่ปรึกษาการค้าแห่งชาติของทำเนียบขาวหน่วยงานเพิ่งตั้งใหม่


    แต่ความเห็นขวานผ่าซากในการประชุม ที่ผ่านๆ มารวมทั้งในรายงานข่าวที่นาวาร์โร แตกต่างจากเจ้าหน้าที่สหรัฐคนอื่นๆ ทำให้ ในการเจรจาบางรายการเขาต้องลดบทบาท ลงบ้าง

    สตีเวน มนูชิน เคยเป็นผู้นำคณะเจรจา สหรัฐไปกรุงปักกิ่ง เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2551 แต่ไม่ค่อยได้เนื้อหาอะไร บทบาทในการเจรจาของเขาจึงลดน้อยลงตั้งแต่นั้น

    อดีตผู้บริหารโกลด์แมนแซคส์ วัย 56 ปี รายนี้ ถูกมองว่ามีจุดยืนตรงข้ามกับนาวาร์โร สายแข็ง เขาสนับสนุนการค้าเสรีและมีท่าทีผ่อนคลายกับจีนมากกว่า เมื่อวันอังคารขุนคลังสหรัฐเผยว่า การเจรจาสัปดาห์นี้คืบหน้าไปมาก..

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    ความคืบหน้า
    - Treasury Secretary Steven Mnuchin upbeat after first day of US-China trade war talks in Washington
    https://www.scmp.com/news/china/dip...nq3B3n_ZoME9Lp9jRaTA8jiTgW6ZaeB-CuskST81qp3tM

    - ทรัมป์เตรียมพบสี จิ้นผิงเดือนหน้า หวังปลดล็อกการค้า ก่อนเส้นตายเดือนมี.ค.
    : https://www.ryt9.com/s/iq38/2948200
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    50866882_2366060900080055_6883951265378729984_o.png?_nc_cat=103&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Jan 31) เงินเฟ้อต่ำ V ค่าครองชีพสูง :ปัญหาอัตราเงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพ สูง เริ่มเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการ ถกเถียงกันหนัก เพราะภาคเอกชนมักจะใช้อัตราเงินเฟ้ออ้างอิงในการขึ้นค่าจ้าง รวมทั้งนำไปเป็นส่วนในการพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะประชาชนทั่วไป มีความรู้สึกว่าสินค้าแพง แต่ทางหน่วยงานดูแลเศรษฐกิจก็จะยืนยันว่าไม่จริง ด้วยการนำเอาตัวเลขอัตราเงินเฟ้อมา ชี้แจง

    เรื่องนี้ เชาว์ เก่งชน กรรมการ ผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า โดยหลักการของอัตราเงินเฟ้อนั้นทางกระทรวงพาณิชย์เก็บข้อมูลครอบคลุมทุกพื้นที่ตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่ทำมาต่อเนื่องยาวนาน สถิติเหล่านี้นำมาคำนวณเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคและประกาศเป็นเงินเฟ้อรายเดือน เป็นตัวเลขที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

    สำหรับค่าครองชีพนั้นเป็นระดับบุคคล การที่เห็นว่าเงินเฟ้อต่ำค่าครองชีพสูงอาจจะเป็นได้ 2 กรณี คือประชาชนบอกค่าครองชีพสูงอาจสะท้อนประเด็น ที่เป็นระดับจุลภาค ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ตัวเลขเอาไปทำเป็นค่าเฉลี่ยของดัชนีแล้วประกาศออกมาว่าเดือนนี้อัตราเงินเฟ้อเท่าไรก็จะมีทั้งสินค้าที่มีราคาสูงและราคาต่ำนำมาเฉลี่ย ตะกร้าเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์มีสินค้าจำนวนมากกว่า ก็มีบวกลบเฉลี่ยกันไป ภาพมันก็เป็นตัวที่แพงอาจถูกกลบด้วยตัวที่ถูกกว่า ในขณะที่ครัวเรือนซื้อของมาไม่มีอะไรมาเฉลี่ย ก็เจอราคาที่ซื้อมาเลย

    นอกจากนี้ ประเด็นค่าครองชีพมันมีประเด็นเรื่องการเปรียบเทียบของบางทีก็ไม่ได้เปลี่ยนไป หรือเปลี่ยนไม่มาก แต่ถ้าครัวเรือนมีความรู้สึกทางเศรษฐกิจ เช่น รู้ว่างานที่ทำลำบากหรือโอทีได้น้อยลงก็อาจจะกังวลเรื่องรายได้ หรือการมีงานทำ คนรู้สึกงานลำบากขึ้น ของนิดหน่อยก็จะรู้สึกว่าแพง เงินจะมีค่าขึ้นทันที

    "อันนี้ตอบความรู้สึกทำไมตัวเลขเงินเฟ้อถึงไม่ตรงกับในความรู้สึกของคน ค่าครองชีพเป็นปัญหาไหม อยู่ที่คนตอบอยู่ในสภาพเศรษฐกิจยังไง ถ้าเห็นว่าโบนัสน้อยลง ค่าครองชีพน้อยลง เขาจะไปในโหมดประหยัด หรือวิถีชีวิตการทำงานต้องการความสะดวกรวดเร็ว ก็ต้องยอมจ่ายแพงซื้อเวลา เช่น ขึ้นรถไฟฟ้าแทนรถเมล์ ดื่มกาแฟจากร้านค้ามากกว่าจะชงดื่มเอง" เชาว์ กล่าว

    ทั้งนี้ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อของประเทศไทยต่ำมาตลอด แนวโน้มเหมือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยทำการศึกษาไว้ เงินเฟ้อของไทยมี แนวโน้มลดลง เงินเฟ้อที่เป็นสถิติ เขาอธิบายด้วยเหตุผลหลักๆ อย่างแรก เทคโนโลยีในการจัดส่งสินค้าโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าที่เราสั่งซื้อออนไลน์ การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่สังคมผู้สูงอายุ กำลังซื้อมันเปลี่ยนตามวัย พอเกษียณรายได้คือเงินออม ต้องใช้อย่างระวัง ก็ต้องใช้อย่างประหยัดที่สุด ดังนั้นเมื่อเข้าสู่สังคมสูงอายุ มีผู้สูงอายุมากๆ ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงซึ่งไม่ได้หมายความว่าค่าครองชีพลดลง ก็อยู่ที่แต่ละคนสัมผัส

    ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าค่าครองชีพคนไทยสูง เหตุไลฟ์สไตล์เปลี่ยนจากกินน้ำแข็งไสเปลี่ยนเป็นกินบิงซู แนะสร้างภูมิคุ้มกัน

    ประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่คนไทยรู้สึกว่าค่าครองชี พสูงนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เกิดจากการที่ราคาสินค้าจำเป็นต่อชีวิตปรับตัวสูงขึ้นมากจนเกินไป เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีการแข่งขันในตลาด ราคาขึ้นลงตามภาวะกลไกตลาด แต่ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเกิดจากพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต

    "ที่บอกว่าไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนแปลงไป เช่น อดีตเราอาจจะกินน้ำแข็งไสถ้วยละ 15-20 บาท แต่ปัจจุบันคนหันไปกินบิงซูถ้วยละ 150 บาท หรืออดีตคนอาจกินกาแฟโบราณ โอเลี้ยง แก้วละ 20-25 บาท ปัจจุบันคนหันไปกินกาแฟสดที่มีให้เลือกหลายยี่ห้อ แก้วละ 70-100 บาท เป็นต้น เพราะมีบริการเสริมภายในร้านอย่างฟรีอินเทอร์เน็ต หรือบรรยากาศภายในร้านไว้ถ่ายรูปลงโซเชียลเข้ามาด้วย ดังนั้นสินค้าอย่างบิงซูหรือกาแฟสดภาครัฐคงไม่ได้ไปดูแลราคา เพราะเป็นสินค้าทางเลือกที่ผู้ประกอบการทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่"

    ทั้งนี้ สินค้าทางเลือกเหล่านี้ภาครัฐคงไม่สามารถไปควบคุมราคาได้ แต่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นหลัก ที่สำคัญผู้บริโภคควรสร้างภูมิคุ้มกันในเรื่องเหล่านี้ หรือต้องรู้จักเลือกการบริโภคสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับราคาและรายได้ของตนเอง ในส่วนของภาครัฐก็ต้องเข้ามาดูแลเรื่องค่าครองชีพในกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เพราะถือว่าเป็นสินค้าที่มีผลกระทบต่อคนกลุ่มใหญ่ ตรงจุดนี้ทางกรมก็ดูแลอยู่และมีการตรวจสอบหากมีการจำหน่ายเกินราคาเหมาะสม ก็พร้อมใช้กฎหมายเข้าไปจัดการ

    ขณะที่รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มรายได้ให้กับภาคประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นตามสถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของประเทศ ที่ขณะนี้เงินเฟ้อยังขยายตัว ไม่สูงมากนัก

    โดย ชลลดา อิงศรีสว่าง และ อรวรรณ จันทร์ธิวัตรกุล

    Source: Posttoday
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    50983167_2371212819564863_6563371028049821696_n.png?_nc_cat=102&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    51000290_2371213032898175_4762750081336082432_n.png?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    51321710_2371213239564821_6345212158569086976_n.png?_nc_cat=107&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    51043302_2371213359564809_6471994314632200192_n.png?_nc_cat=102&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    51674587_2371213589564786_1311672369269440512_n.png?_nc_cat=103&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    51124174_2371213722898106_8116395755918327808_n.png?_nc_cat=100&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    51158953_2371214032898075_5648475773468672000_n.png?_nc_cat=103&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png


    (Jan 31) เศรษฐกิจธันวาคมโตต่อเนื่อง : "แบงก์ชาติ" เผยเศรษฐกิจไทยเดือนธันวาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่อง เติบโตในทุกหมวดการใช้จ่าย ขณะที่การส่งออกหดตัวเล็กน้อย

    เมื่อวันที่ 31 ม.ค.62 นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า ในเดือนธ.ค.2561 ในส่วนของเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวต่อเนื่องจากระยะเดียวกันปีก่อนในทุกหมวดการใช้จ่าย แม้ชะลอลงบ้างเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานที่สูงในปีก่อนในหมวดบริการและหมวดสินค้าคงทนเป็นสำคัญ

    สำหรับปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อโดยรวมปรับดีขึ้นตามรายได้ครัวเรือนในภาคเกษตรกรรมที่กลับมาขยายตัวจากด้านผลผลิตโดยเฉพาะข้าวขาว ขณะที่รายได้รวมลูกจ้างนอกภาคเกษตรกรรมทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสอดคล้องกัน โดยเฉพาะการผลิตในหมวดยานยนต์ และหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สอดคล้องกับยอดจำหน่ายยานยนต์ในประเทศที่ขยายตัวดี

    เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน จากเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตามยอดจำหน่ายเครื่องจักรในประเทศที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องในหลายหมวด และยอดจดทะเบียนรถยนต์เพื่อการลงทุน ขณะที่เครื่องชี้การลงทุนในหมวดก่อสร้างหดตัวตามพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง แต่ยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างยังขยายตัวได้

    จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ขยายตัวที่ 7.7% จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในตลาดสำคัญ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และรัสเซีย ประกอบกับในเดือนนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลังจากเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ต สะท้อนสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้น

    ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปิดเส้นทางบินตรงใหม่มายังไทยเพิ่มเติม ประกอบกับได้รับผลดีจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม visa on arrival ที่เริ่มมีผลเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ เมื่อขจัดผลของฤดูกาลแล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียเป็นสำคัญ

    มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัว 1.6% จากระยะเดียวกันปีก่อน และหากหักทองคำหดตัว 2.0% โดยเป็นการหดตัวในหลายหมวดสินค้าจาก 1) ผลของฐานสูงจากระยะเดียวกันปีก่อนในหลายหมวดสินค้า อาทิ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ โทรศัพท์มือถือ สินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปโดยเฉพาะข้าวและน้ำมันปาล์ม และเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะแผงโซล่าเซลล์และเครื่องซักผ้า และ 2) ผลของอุปสงค์ในตลาดโลก ที่ชะลอลงจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภาวะเศรษฐกิจในหลายประเทศชะลอตัวและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางหดตัว

    อย่างไรก็ดีการส่งออกสินค้าที่มูลค่าเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันดิบ ขยายตัวจากด้านปริมาณเป็นสำคัญ และการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ขยายตัวตามการส่งออกยางล้อรถยนต์ไปสหรัฐฯ ที่ได้รับผลดีจากการทดแทนสินค้าจีนเป็นสำคัญ

    ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้า หดตัวที่ 6.7% จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการนำเข้าทองคำที่หดตัวสูง และหากหักทองคำขยายตัว 2.5% โดยเป็นการขยายตัวใน 1) หมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ตามการนำเข้าน้ำมันดิบที่ขยายตัวจากทั้งด้านราคาและปริมาณ 2) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ตามการนำเข้าสินค้ากึ่งคงทน สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว และ 3) หมวดยานยนต์และชิ้นส่วน ตามการนำเข้ารถยนต์นั่งและชิ้นส่วนยานยนต์ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง

    การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอน หดตัวเล็กน้อยจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามรายจ่ายลงทุนที่หดตัวจากการชะลอการเบิกจ่าย เพื่อทบทวนแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวจากรายจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรเป็นสำคัญ

    ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.36% ชะลอจาก 0.94% ในเดือนก่อน ตามราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประกอบกับราคาอาหารสดปรับลดลงเล็กน้อย ตามราคาผักและผลไม้เป็นสำคัญ

    นายดอน ยังกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปี 2561 ว่า ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3 โดยอุปสงค์ในประเทศขยายตัวตามเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในทุกหมวดการใช้จ่าย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวตาม ด้านเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวตามการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์

    อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวตามรายจ่ายลงทุนเป็นสำคัญ ด้านอุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวชะลอลงตามการส่งออกสินค้า ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูงขึ้นแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนหดตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากไตรมาสก่อน ตามราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ปรับลดลง อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลทรงตัวจากไตรมาสก่อน สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/825802
    เพิ่มเติม
    1. แถลงข่าว รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนธันวาคม 2561 (เผยแพร่วันที่ 31 มกราคม 2562) :
    https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...cF_eFckEE0OdYHSsmNl9p-V2tTY-IyIZZqwKp6F-TA0xQ

    English Version: https://www.bot.or.th/English/Monet...GR3h25uuYNR7ap5iqtq7wEOVkRtz767SpF5irOjq7xdXM

    2. ตารางดัชนีเศรษฐกิจเดือธันวาคม 2561 (เผยแพร่วันที่ 31 มกราคม 2562): https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...U0HhhHlKhdrSSwyVpbErM0rcOBv3dFss_zasOgywznR8g

    English Version: https://www.bot.or.th/English/Monet...QOmQq2LWwmJNDnr54OGhcgTO9Nh-rSwrYsN1XrlAOsxyY

    3. รายงานภาวะและแนวโน้มสินเชื่อของสถาบันการเงินไตรมาส 4 ปี 2561 (เผยแพร่วันที่ 31 มกราคม 2562): https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...Pp_yPkIRTVHW09ck9AD8_McM-AjUMllwlgEU41zQbOO2Y

    English Version: https://www.bot.or.th/English/Monet...tV3B9gh8fe2XOsDcP8arbuzoBU9WrEtWgLJnRbrvE7gZ4

    4. รายงานแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 4 ปี 2561 (เผยแพร่วันที่ 31 มกราคม 2562): https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...1T_w3goCOvQGspa9f1OwB0hyMRS58F6MGDA-cZZ3G6mYg

    English Version:
    https://www.bot.or.th/English/Monet...Z489KVTU5ofaqI1McVFUz1HvXHE8JHAteqNyZpVCfWIEk
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    51042647_2372323182787160_642704609890009088_n.png?_nc_cat=110&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png
    (Feb 1) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ : ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท MRR เป็นรายแรก ประมาณร้อยละ 0.125 ต่อปี เป็น 7.875 มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.62)

    นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย CIMBT กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นไปตามภาวะต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังจากที่ธนาคารปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 9 เดือน ขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี สำหรับเงินฝากไม่เกิน 2 ล้านบาท มาเป็นร้อยละ 1.3 , 1.55 และ 1.55 ต่อปี ตามลำดับ รวมทั้งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.10 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 1.65 ต่อปี สำหรับเงินฝากไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 ก.พ. 62 เช่นเดียวกัน

    ขณะเดียวกันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามภาวะต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น และตามกลไกของตลาดหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นมาที่ ร้อยละ1.75 ต่อปีในช่วงปลายปีก่อน

    โดยที่ผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ในครั้งนี้ ธนาคารมองว่าอาจจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารบ้าง ซึ่งในส่วนของลูกค้าเดิมที่กู้กับธนาคารอยู่แล้วจะมีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละหลักร้อยบาท ต่อการกู้ยืม 1 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะกระทบกับลูกค้าที่ใช้สินเชื่อบ้าน

    Source: สำนักข่าวไทย
    https://www.tnamcot.com/view/5c52d509e3f8e40ae43d389a
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    OFfQ6xbcnhxa&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fmpics.mgronline.com%2Fpics%2FImages%2F562000001115802.jpg
    (Jan 31) ธปท.ผ่อนเกณฑ์ต่างชาติประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ : ธปท. เปิดเสรีส่งเสริมการประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ ลดสัดส่วนถือหุ้นคนไทยเหลือ 1 ใน 4 จากเดิม 3 ใน 4 และโอนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้โอนไม่ต้องมาแสดงตน เพื่อส่งเสริมบริการ E-payment ที่ช่วยลดค่าธรรมเนียมและต้นทุน

    นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ธปท. เปิดเสรีการประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศมากขึ้น โดยได้ผ่อนคลายคุณสมบัติของผู้ประกอบการจากเดิมคนไทยต้องมีสัดส่วนถือหุ้น 3 ใน 4 เหลือ 1 ใน 4 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ๆ สามารถเข้ามาให้บริการได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้น และจะช่วยลดค่าธรรมเนียมโดยรวมลง เพราะในปัจจุบันค่าธรรมเนียมการโอนเงินของประชาชนรายย่อยผ่านธนาคารพาณิชย์และตัวแทนโอนเงินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% แต่ในการโอนไปยังบางประเทศอาจสูงถึง 10% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

    ทั้งนี้ การประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ การเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมในหลายประเทศ จะช่วยให้เกิดการแข่งขันและมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาให้บริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยโดยรวม

    การเปิดเสรีการประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนรายย่อย เช่น คนไทยที่ทำงานในต่างประเทศที่ต้องส่งเงินกลับให้ครอบครัว แรงงานต่างด้าวในไทยที่ต้องส่งเงินกลับ ผู้ประกอบการ SME ด้านท่องเที่ยว โรงแรม หรือ SME ที่ค้าขายผ่าน E-commerce รวมทั้งผู้ที่ค้าขายตามแนวชายแดน มีต้นทุนการโอนเงินและการทำธุรกิจที่ถูกลง รวมทั้งจะส่งเสริมให้การค้าชายแดนของประเทศมีความคล่องตัวและเติบโตมากขึ้น

    นอกจากการเปิดเสรีข้างต้น ธปท. ได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องมาแสดงตน ณ สถานประกอบการ ซึ่งจะทำให้การทำธุรกรรมสะดวก คล่องตัว ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น

    การเปิดเสรีครั้งนี้เป็นหนึ่งในมาตรการของ ธปท. เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยได้รับบริการทางการเงินด้วยต้นทุนถูกลง สะดวก และทั่วถึงมากขึ้น เช่นเดียวกับการส่งเสริมบริการ E-payment ที่ผ่านมาที่ทำให้การโอนเงินในประเทศถูกลงอย่างมาก

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9620000010773

    ข่าว ธปท.
    https://www.bot.or.th/Thai/Pressand...PtJ0cg9ekEwCLyxVABvAl0U9g51CYViKh27PvYqW_g5X8
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    50911469_2370829142936564_822747319655989248_n.png?_nc_cat=103&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Jan 31) คอลัมน์ Big Data Analysis: เลือก'เครื่องฟอกอากาศ'แบบมือโปร : ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่นจิ๋ว กำลังคุกคามสุขภาพคนกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอย่างหนัก ฝุ่นละออง ขนาดเล็กมากเหล่านี้สามารถทะลุทะลวงเข้าไปถึงปอด หรือถุงลมได้แม้ร่างกายของคนเราจะพยายามขับออกแต่ก็ใช้เวลานาน ทำให้เกิดการสะสมขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบทำให้ถุงลมมีความผิดปกติ กลายเป็นถุงลมโป่งพอง ไม่ต่างอะไรกับการสูบบุหรี่

    ล่าสุด เว็บไซต์ Iurban.in.th แนะ 5 เทคนิคเลือกเครื่องฟอกอากาศที่พิชิตฝุ่นจิ๋วได้อย่างเห็นผล เริ่มจาก เลือกความละเอียด ของฟิลเตอร์ ควรเลือกฟิลเตอร์ที่เป็น HEPA ถ้าที่พักเป็นคอนโดมิเนียม ควรวางเครื่องฟอกอากาศไว้ในห้องที่มีพื้นที่มากที่สุดเพียงเครื่องเดียว

    ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศหลายรุ่น ที่มีตัวจับเวลาปิด-เปิด ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าควรเปลี่ยนฟิลเตอร์เมื่อใด เลือก เครื่องฟอกอากาศที่มีฟังก์ชันดีๆ เช่น ปล่อยประจุไฟฟ้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค หรือใช้แสงอัลตราไวโอเลตฆ่าเชื้อโรค และควรเลือกเครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นที่มีระบบ เชื่อมต่อ WIFI หรือควบคุมผ่านแอพมือถือ รวมทั้งเครื่องที่วัดปริมาณฝุ่นและเร่งเครื่องทำงานเองได้อัตโนมัติ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Jan 31) แบงก์อู้ฟู่ ค้าเงิน ฟันกำไร 4.7 หมื่นล. : ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนยังผันผวน หนุนผู้ประ กอบการแห่ทำเฮดจิ้ง ป้องกันความเสี่ยง แถมแนวโน้มตลาดส่งออกและนำเข้าชะลอตามการค้าระหว่างประเทศ แต่โอกาสกำไรค้าเงินแผ่วลงจากสิ้นปีโตกว่า 10% เผย Swap Point ขยับเพิ่ม 2 เท่าในปีเดียว
    51294590_2369698169716328_7338681009447108608_n.png?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png
    หลายวันก่อน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เงินบาทของไทยติดอันดับสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในโลกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยพุ่งขึ้นมากกว่า 5% และทิศ ทางยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดเงินบาทเปิดซื้อขายสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม ด้วยการแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 9 เดือน ท่ามกลางแรงขายดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลส่วนใหญ่ โดยตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะชะลอทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลในระยะถัดไป ภายใต้แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนและการลงมติแผน Brexit ฉบับแก้ไขในสภาสหราชอาณาจักร

    เงินบาทที่แข็งค่าและผันผวน ส่งผลต่อกำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ ซึ่งจากรายงานผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 11 แห่งพบว่า มีกำไรสุทธิรวม 120,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,348 ล้านบาทจากปีก่อนที่ 113,245 ล้านบาท ซึ่งนอกจากรายได้ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมและบริการแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นกำไรจากการค้าเงินตราต่างประเทศ โดย 10 ธนาคารมีกำไรจากการค้าเงินเพิ่มขึ้น 9.86% เป็นมูลค่า 37,383 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 33,424 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น ที่ขาดทุนจากการค้าเงินคือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทยขาดทุน 50.90% รองมาคือ ธนาคารธนชาตขาดทุน 34.85% และธนาคารไทยพาณิชย์ ขาดทุน 17.6%

    ทั้งนี้ในรอบปี 2561 เงินบาทปิดตลาดสิ้นปีที่ 32.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.1% จากปิดตลาดสิ้นปี 2560 ที่ 32.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปีนี้นับจากต้นปี เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 9 เดือนที่ 31.44 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม สอดคล้องกับการแข็งค่าของหลายๆ สกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเผชิญกับแรงขายสวนทางการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง


    นายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหาร TMB Analytics เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปีที่แล้วกำไรเพื่อค้าเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ซึ่งเป็นการเติบโตของธุรกรรมเทรดไฟแนนซ์และห้องค้าที่ดีกว่า 1-2 ปีที่ผ่านมาและปัจจัยหนุนมาจากการส่งออกและนำเข้าที่เติบโต โดยที่ทั้ง 2 ขาจะต้องทำธุรกรรมปริวรรตทั้งธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศหรือโอนเงิน ออกหนังสือค้ำประกันต่างๆ สินเชื่อเพื่อการนำเข้าและส่งออก หรือรับซื้อลดตั๋วเรียกเก็บสินค้าออก L/C ซึ่งจะเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐาน แต่ส่วนที่ 2 มาจากส่วนต่างของราคาซื้อและขายอัตราแลกเปลี่ยน (Swap Point) ยิ่งค่าเงินผันผวนมากลูกค้าต้องทำธุรกรรมถี่ขึ้น เพื่อปรับพอร์ตตามความผันผวน และทำฟอร์เวิร์ด เพื่อป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า (Forward) เพิ่มขึ้น ถ้า Swap Point ยิ่งถ่างธนาคารหรือห้องค้าจะมีรายได้ด้วย

    "ปีที่แล้ว ค่าเงินบาทวิ่งเกิน 10 สตางค์เห็นได้จาก 252 วันทำการนั้นมี 125 วันที่ค่าเงินเคลื่อนไหวเกิน 10 สตางค์เทียบกับปี 2560 มีเพียง 90 วันเท่านั้น ยกตัวอย่าง 6 เดือนของปี 2560 Swap Point อยู่ที่ 8 สตางค์ปัจจุบันอยู่ที่ 17.5 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าภายใน 1 ปี สำหรับปี 2562 ทั้งการส่งออกและนำเข้าจะชะลอตามการค้าระหว่างประเทศและโอกาสทำกำไรธุรกรรม เพื่อค้าจะไม่ดีเท่าที่ผ่านมา แต่เงินบาทยังผันผวน โดยสิ้นปีจะอ่อนค่าที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ"

    นายหลี่ หมิงเซี้ย กรรมการ LH Bank และรองประธานกรรมการ CTBC Bank กล่าวว่า ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศหรือเทรดไฟแนนซ์ ประเมินว่า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนยกระดับใช้มาตรการภาษี ซึ่งจีนมีการส่งออก 35% ก็จะเห็นการย้ายฐานสู่ตลาดไทยและเวียดนาม ซึ่งนอกจากธุรกรรมส่งออกและนำเข้าแล้ว ยังรวมถึงบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริหารจัดการเงินสด/โอนเงินต่างประเทศ ดังนั้นระยะแรกจะมุ่งบริการฐานลูกค้าทั้ง 2 ธนาคารคือ CTBC และ LH Bank ที่มีธุรกรรมด้านต่างประเทศและจะขยายฐานใหม่ให้มากขึ้น โดยคาดหวังจะเป็นหนึ่งในธนาคารที่เป็นผู้นำด้านเทรดไฟแนนซ์

    นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ LH Bank กล่าวว่า ธุรกรรมเทรดไฟแนนซ์รายแรกเกิดขึ้นจริงแล้ว 1 รายมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ ซึ่งหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุมัติให้ธนาคารดำเนินธุรกิจเทรดไฟแนนซ์ได้ โดยมีฐานลูกค้าสะสม Test Run 42 ราย ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อแล้ว โดยจะเบิกจ่ายเมื่อถึงรอบที่จะส่งมอบสินค้า โดยเบื้องต้นเตรียมวงเงินไว้ 1 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันจะขยายฐานลูกค้าใหม่และอนุมัติสินเชื่อใหม่อีกและแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในครึ่งปีหลัง

    ทั้งนี้เทรดไฟแนนซ์เป็นโอกาสทางธุรกิจของเรา ด้วยฐานลูกค้าที่มีอยู่ โดยสิ้นปีที่ผ่านมามีพอร์ตสินเชื่อรวม 1.82 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.1% จากปีก่อน โดยเป็นสินเชื่อรายใหญ่ 75.5% ของเงินให้สินเชื่อทั้งหมด รายย่อย 13.5% และเอสเอ็มอี 11.3%

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Noticias 507 y el mundo

    แอฟริกา

    รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในแอฟริกาและเกรงกันว่ามันจะแบ่งทวีปออกเป็นสองส่วน
    50989207_2124686187570309_304683609883672576_n.jpg?_nc_cat=111&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg

    51221306_2124686230903638_8617549256028323840_n.jpg?_nc_cat=106&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    51533561_2124686260903635_7518277042614304768_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...