ติดตามสถานะการณ์

อีโบลาเป็นเหตุก่อจลาจลตาย2ศพที่เซียร์ราลีโอน



ชาวเซียร์ราลีโอน2คนเสียชีวิตจากเหตุจลาจล หลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุขพยายามเข้าไปเก็บตัวอย่างเลือดของหญิงสูงอายุรายหนึ่ง

วันพุธ 22 ตุลาคม 2557 เวลา 22:21 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงฟรีทาวน์ ปรเทศเซียร์ราลีโอน เมื่อวันที่22ต.ค.ว่า เกิดเหตุจลาจลขึ้นที่เมืองกอยดู ทางตะวันออกของเซียร์ราลีโอน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยกลุ่มชาวบ้านนำมีดและพลั่วเป็นอาวุธปะทะกับเจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคงอย่างดุเดือด เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำการเก็บตัวอย่างเลือดของหญิงวัย90ปี มารดาของผู้นำกลุ่มวัยรุ่นซึ่งต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสอีโบลา และได้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากความดันโลหิตสูง

แพทย์ของโรงพยาบาลรัฐบาลประจำเมืองกอยดูเผยว่า เหตุจลาจลเริ่มขึ้นหลังเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้แจ้งขอกำลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพื่อมาคุ้มกันทีมเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้นายอดามู อีซี่ ผู้นำกลุ่มวัยรุ่นเกิดโมโหและปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ซึ่งหาว่ามารดาของเขาติดเชื้ออีโบลา ก่อนเหตุการณ์จะบานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลในที่สุด ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต2ราย และบาดเจ็บ10ราย ทั้งนี้ไม่ทราบว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากกระสุนปืนหรือไม่ เนื่องจากศพทั้ง2รายถูกนำไปฝังและไม่ได้ทำการผ่าพิสูจน์

ด้านตำรวจได้สั่งห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานเป็นเวลา1วัน เพื่อควบคุมกลุ่มวัยรุ่นที่ออกมาก่อจลาจลบนท้องถนน พร้อมกับกำลังติดตามตัวนายอีซี่ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่

เซียร์ราลีโอนเป็นหนึ่งในประเทศในแอฟริกาตะวันตกที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลาอย่างหนัก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก(ฮู)เมื่อวันที่14ต.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะในเซียร์ราลีโอนอย่างน้อย3,410ราย และเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย1,200ราย

อีโบลาเป็นเหตุก่อจลาจลตาย2ศพที่เซียร์ราลีโอน | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

สวีเดนกร้าวใช้กำลังกับเรือดำน้ำ



สวีเดนกร้าว ประกาศเตือนอาจมีการใช้กำลังนำเรือต้องสงสัยว่าเป็นเรือดำน้ำของรัสเซีย ขึ้นเหนือน้ำ ในการตามล่าเรือปริศนาลำนี้นานหลายวัน

วันพุธ 22 ตุลาคม 2557 เวลา 19:10 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงสตอกโฮล์มประเทศสวีเดน เมื่อวันที่22ต.ค.ว่าผู้บัญชาการกองทัพบกสวีเดนเตือนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าสวีเดนอาจต้องใช้กำลังเพื่อนำเรือดำน้ำขนาดเล็กที่ต้องสงสัยว่าเป็นของรัสเซียขึ้นเหนือผิวน้ำหลังจากกองทัพเรือสวีเดนไล่ล่าอยู่หลายวันขณะที่มีการเผยแพร่ภาพใหม่2ภาพของเรือที่อาจเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็กเมื่อวันจันทร์ผู้บัญชาการกองทัพประกาศพร้อมใช้กำลังนำเรือปริศนาขึ้นเหนือน้ำ

สวีเดนได้ระดมเรือทั้งเรือรบเรือเก็บทุ่นระเบิด เฮลิคอปเตอร์และทหารมากกว่า 200นายตามหาเรือดำน้ำลึกลับในพื้นที่ห่างจากกรุงสตอกโฮล์มประมาณ 30-60กิโลเมตรตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากมีรายงานว่าพบวัตถุที่มนุษย์ผลิตขึ้นในน่านน้ำสวีเดน

พลเอกสเวอร์เกอร์โกรันสัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวก่อนหน้านี้ว่า บางทีอาจมีการดำเนินการใต้น้ำนอกชายฝั่งกรุงสตอกโฮล์มซึ่งกองทัพเรือพร้อมที่จะตอบโต้ผู้รุกราน

ทั้งนี้สวีเดนเผยแพร่ภาพที่พร่ามัวของสิ่งที่อาจเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็กเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาแต่รัสเซียก็ปฏิเสธไปแล้วว่ามีเรือดำน้ำอยู่ในบริเวณดังกล่าว


สวีเดนกร้าวใช้กำลังกับเรือดำน้ำ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

มือปืนไรเฟิลบุกรัฐสภาแคนาดา



มือปืนชุดดำก่อเหตุยิงทหารที่อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติแคนาดาเสียชีวิต1นาย ก่อนบุกเข้าไปภายในรัฐสภากรุงออตตาวา ตำรวจไม่แน่ใจว่ามีคนร้ายมากกว่า1คนหรือไม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีแคนาดาปลอดภัย

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/XrGqoISd-do?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 05:09 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ว่า ตำรวจและทหารแคนดา พร้อมด้วยรถหุ้มเกราะและอาวุธครบมือ ทำการปิดล้อมอาคารรัฐสภาในกรุงออตตาวา หลังเกิดเหตุคนร้ายสวมชุดดำใช้ปืนไรเฟิลเป็นอาวุธ บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาขณะประชุมสภา โดยก่อนหน้าคนร้ายได้ยิงทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่ที่อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติแคนาดาได้รับบาดเจ็บ 1 คนและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เหตุยิงกันดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ของวันพุธที่ 22 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น (21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย)



พยานที่ทำงานอยู่ในอาคารรัฐสภาเผยว่า คนร้ายได้วิ่งเข้ามาในอาคารรัฐสภาขณะมีการประชุมสภา จากนั้นตำรวจได้บุกเข้าไปพร้อมกับตะโกนให้ทุกคนหมอบลงและได้ยินเสียงอาวุธปืนตามมาอย่างน้อย 30 นัด มีรายงานว่าคนร้าย 1 คนถูกยิงเสียชีวิตในอาคารรัฐสภา



นายเจสัน แมคโดนัล โฆษกประจำประจำนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายสตีเฟน ฮาร์เปอร์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา หนีออกมาจากตัวอาคารรัฐสภาได้ทันและปลอดภัย



ขณะที่นายมาร์ค ซูซี ผู้กำกับการตำรวจกรุงออตตาวา แถลงว่า เกิดเหตุยิงกันทั้งหมด 3 จุด ได้แก่ อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติแคนาดา จุดที่สองเกิดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา และจุดที่สาม บริเวณใกล้กับห้างสรรพสินค้ารีดูเซ็นเตอร์ ทั้ง 3 จุดอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 ไมล์ ทั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า มือปืนที่ก่อเหตุมีมากกว่า 1 คนตำรวจเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากหน้าต่างและหลังคาเพื่อความปลอดภัย ด้านโรงพยาบาลออตตาวารายงานว่า มีผู้บาดเจ็บ 3 รายถูกนำส่งโรงพยาบาล 2 รายอาการทรงตัว แต่ไม่ยืนยันของผู้บาดเจ็บรายที่ 3



เหตุอุกอาจครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุคนขับรถวัย 25 ปีขับรถพุ่งชนทหารเสียชีวิต 1 นายที่รัฐคิวเบก ก่อนถูกตำรวจยิงเสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลแถลงว่า เป็นการโจมตีโดยกลุ่มก่อการร้ายพร้อมกับยกระดับการเฝ้าระวังจากระดับต่ำเป็นระดับกลางและยกเลิกการจัดงาน 2 แห่งที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่น.ส.มาลาลา ยูซาฟไซ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพชาวปากีสถาน ที่นครโตรอนโต รวมถึงงานมอบสถานะพลเมืองกิตติมศักดิ์



มือปืนไรเฟิลบุกรัฐสภาแคนาดา | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

มือปืนกราดยิงที่แคนาดามีชื่อในลิสต์ก่อการร้าย



ทางการแคนาดาเผยมือปืนซึ่งถูกวิสามัญดับ หลังกราดยิงที่อนุสรณ์สถานและภายในรัฐสภากลางเมืองหลวง มีชื่ออยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย นอกจากนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าคนร้ายมีเพียงคนเดียวหรือไม่

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/MNPdHU1tnJs?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/OLs2H-IBaCU?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 08:04 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ว่านายกรัฐมนตรีสตีเฟน ฮาร์เปอร์ ผู้นำแคนาดา แถลงต่อประชาชน หลังเกิดเหตุคนร้ายสวมชุดดำและใช้ผ้าพันคออำพรางใบหน้า กราดยิงทหารซึ่งรักษาการอยู่บริเวณอนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติเสียชีวิต 1 นาย แล้วบุกเข้าไปภายในรัฐสภาขณะที่ฮาร์เปอร์กำลังแถลงต่อที่ประชุม ก่อนถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิตคาที่ ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับแคนาดา แต่จะยิ่งทำให้ทุกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อร่วมกันเผชิญหน้าและต้องเอาชนะภัยจากการก่อการร้ายครั้งนี้



ด้านสำนักงานตำรวจแคนาดายังไม่ตัดประเด็นเรื่องการมีคนร้ายมากกว่า 1 คน โดยเตือนทุกฝ่ายว่า สถานการณ์ยังอยู่ในขั้นเปราะบางอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เผยข้อมูลมือปืนที่เสียชีวิต ว่าคือนายไมเคิล ซาฮาฟ-บีโบ อายุ 32 ปี มีประวัติพัวพันกับยาเสพติดและมีชื่ออยู่ในบัญชีเฝ้าระวังผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายด้วย ขณะที่ทหารซึ่งเสียชีวิตคือ ส.ท.นาธาน ซิริลโญ และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 3 คน



เบื้องต้นทุกฝ่ายยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุของคนร้าย แต่การที่มีรายงานว่า ซาฮาฟ-บีโบ เปลี่ยนศาสนาก่อนก่อเหตุ ก่อให้เกิดความสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการที่แคนาดาประกาศร่วมมือกับสหรัฐในปฏิบัติการทางทหารต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม ( ไอเอส ) ซึ่งนายจอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงประณามเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย และเผยว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทราบเรื่องแล้ว โดยผู้นำสหรัฐยืนยันพร้อมให้ความช่วยเหลือแคนาดาอย่างเต็มที่ ในฐานะพันธมิตรใกล้ชิดของวอชิงตัน



เหตุกราดยิงทั้งที่อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติและภายในรัฐสภาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังชายวัย 25 ปี ก่อเหตุขับรถพุ่งชนทหารนายหนึ่งเสียชีวิตในรัฐควิเบก แม้พยายามหลบหนีแต่ถูกตำรวจวิสามัญเสียชีวิตในเวลาต่อมา และทำให้รัฐบาลกลางเพิ่มระดับมาตรการเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายจากต่ำเป็นกลาง



มือปืนกราดยิงที่แคนาดามีชื่อในลิสต์ก่อการร้าย | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

4 เจ้าหน้าที่ 'แบล็กวอเตอร์' ผิดจริงคดีฆ่าโหดชาวอิรัก



ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตัดสินให้อดีตเจ้าหน้าที่ของบริษัทกองทัพเอกชน "แบล็กวอเตอร์" 4 คน ผิดจริงฐานกราดยิงชาวอิรักเสียชีวิต 14 ศพเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และอาจต้องรับโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/EGI_Pgp3GPs?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 11:35 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ว่าคณะลูกขุนศาลรัฐบาลกลางสหรัฐในกรุงวอชิงตันมีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ ให้อดีตเจ้าหน้าที่ 4 คนของบริษัทกองทัพเอกชน "แบล็กวอเตอร์" มีความผิดจริงจากการใช้อาวุธปืนกราดยิงสังหารชาวอิรัก 14 ศพ และได้รับบาดเจ็บ 17 คน กลางจัตุรัสในกรุงแบกแดด เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2550 เพื่อเปิดทางให้กับขบวนรถของทางการสหรัฐ

ทั้งนี้ นายนิโคลาส สแลทเทน มีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และอาจต้องรับโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่อีก 3 คน คือนายพอล สลัฟ นายอีแวน ลิเบอร์ตี และนายดัสติน เฮิร์ด มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา และละเมิดกฎหมายว่าด้วยการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งบทลงโทษอาจเป็นการต้องรับโทษจำคุกนานหลายสิบปี

คดีดังกล่าวซึ่งเรียกขานกันจนติดปากว่า "คดีแบล็กวอเตอร์" ทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสหรัฐในสายตาชาวโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในมุมมองของชาวอิรัก โดยในเวลานั้นกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐว่าจ้างแบล็กวอเตอร์ให้อารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่การทูตชาวอเมริกันในอิรัก อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุรัฐบาลสหรัฐยกเลิกสัญญากับแบล็กวอเตอร์ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทอื่นซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อไปแล้ว

4 เจ้าหน้าที่ 'แบล็กวอเตอร์' ผิดจริงคดีฆ่าโหดชาวอิรัก | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

'เคนนี จี' ปฏิเสธเอี่ยวชุมนุมฮ่องกง



"เคนนี จี" ศิลปินนักเป่าแซกโซโฟนชื่อดังชาวอเมริกัน ปฏิเสธมีความเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองในฮ่องกง หลังภาพถ่ายร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วงได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างบนโลกออนไลน์

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/sMiXCZSQ-vc?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 12:11 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่าเคนนี จี หรือเคนเนธ บรูซ กอรีลิก ศิลปินนักเป่าแซกโซโฟนชื่อดังชาวอเมริกัน เผยผ่านทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คของตัวเอง ปฏิเสธความเกี่ยวข้องทุกด้านกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หลังภาพศิลปินคนดังวัย 58 ปี ถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมและเยี่ยมชมค่ายที่พักของกลุ่มผู้ประท้วงในเขตการค้าใจกลางเกาะฮ่องกงได้รับการส่งต่ออย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์

ทั้งนี้ เคนนี จี กล่าวแสดงความหวังว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันหาทางออกจากการชุมนุมครั้งนี้ได้อย่างสงบ โดยยืนยันด้วยว่าไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังของการชุมนุมครั้งนี้และไม่ขอสนับสนุนฝ่ายใด การเดินทางไปตามสถานที่จัดการชุมนุมเมื่อวันพุธ เป็นไปตามความสนใจในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเท่านั้น

การปรากฏตัวของเคนนี จี ตามพื้นที่จัดการชุมนุมในฮ่องกงได้รับการพูดถึงอย่างมาก อย่างไรก็ตามในงานแถลงข่าวเมื่อวันพุธของกระทรวงการต่างประเทศจีน น.ส. หัว ชุนอิง โฆษกหญิงประจำกระทรวง กล่าวเพียงว่าเคนนี จี เป็นบุคคลมีชื่อเสียงระดับโลกรวมถึงในจีน ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งมีจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องการชุมนุมในฮ่องกง ว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย

'เคนนี จี' ปฏิเสธเอี่ยวชุมนุมฮ่องกง | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

สหรัฐถล่มไอเอสในซีเรียครบเดือนดับกว่า 500 ศพ



ผลจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐในซีเรีย ที่เปิดฉากเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ศพ โดยส่วนใหญ่เป็นนักรบของกลุ่มหัวรุนแรงไอเอส

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/KcdUOwpY9Zo?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/dChjbgVpPH4?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 14:35 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ว่าองค์กรผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งซีเรีย ( เอสโอเชอาร์ ) รายงานสถิติของปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐและพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม ( ไอเอส ) ว่านับตั้งแต่เปิดฉากการโจมตีครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ก.ย. จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่อย่างน้อย 553 ศพ ในจำนวนนี้ 464 ศพ เป็นนักรบกลุ่มไอเอส 57 ศพ เป็นนักรบของกลุ่มอัล-นุสรา เครือข่ายในซีเรียของกลุ่มอัล-กออิดะห์ และอีก 32 ศพเป็นพลเรือน

ทั้งนี้ รายงานของเอสโอเชอาร์ระบุด้วยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นนักรบของไอเอสส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวซีเรีย แต่เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาร่วมการสู้รบในสมรภูมิ

ขณะที่กองทัพสหรัฐอยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่า หนึ่งในถุงยังชีพที่ภายในมีอาวุธบรรจุอยู่ และถูกโปรยลงจากเครื่องบินลำเลียงเหนือน่านฟ้าเมืองโคยานี ทางเหนือสุดของซีเรียเมื่อวันจันทร์ ตกไปอยู่ในเมือของกลุ่มไอเอสจริงหรือไม่

สหรัฐถล่มไอเอสในซีเรียครบเดือนดับกว่า 500 ศพ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

สุดแสบแกล้งเป็นอัมพาต2ปีหนีคดี



กลายเป็นเรื่องลวงโลกครั้งใหญ่ เมื่อชายชาวเวลส์วัย 47 ปี ซึ่งทุกฝ่ายเชื่อมาตลอดว่าเป็นอัมพาตตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แท้จริงเป็นการเล่นละครตบตาเจ้าหน้าที่ เพื่อหลบหนีการขึ้นศาลในคดีฉ้อโกง



วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 เวลา 14:46 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงคาร์ดิฟฟ์ เขตการปกครองเวลส์ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่าตำรวจเมืองสวอนซี ทางตอนใต้ของเวลส์ จับกุมนายอลัน ไนธ์ อายุ 47 ปี เมื่อวันพุธ ในข้อหาเจตนาหลอกลวงเจ้าพนักงานและประชาชน จากการแสร้งล้มป่วยเป็นอัมพาตตั้งแต่ลำคอลงไป และอ้างว่าอยู่ในอาการโคมา เพื่อหลบเลี่ยงการขึ้นศาลในคดีปลอมแปลงเอกสาร ฉ้อโกงและลักขโมยรวมกันมากถึง 19 กระทง โดยโจทก์ส่วนใหญ่เป็นคนวัยเกษียณ



หลังถูกจับกุมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไนธ์อ้างเรื่องการประสบอุบัติเหตุขณะปิดประตูโรงรถที่บ้าน ส่งผลให้เป็นอัมพาตตั้งแต่ลำคอลงไป และไม่สามารถเดินทางมารายงานตัวต่อศาลเพื่อเข้ารับการไต่สวนคดีได้ โดยมีภรรยาคือนางเฮเลน ไนธ์ อายุ 33 ปี คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยายามเชิญตัวไนธ์มาขึ้นศาลอย่างน้อย 2 ครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากทุกครั้งไนธ์จะอ้างว่าอาการป่วยแย่ลงจนต้องเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาล



อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์กลับสังเกตเห็นความผิดปกติ นั่นคือไนธ์สามารถรับประทานอาหารและเคลื่อนไหวร่างกายเองได้อย่างคนทั่วไป รวมถึงยังสามารถเขียนและอ่านหนังสือได้ด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่เริ่มสังเกตพฤติกรรมไนธ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของห้างสรรพสินค้าสามารถจับภาพไนธ์และภรรยาเดินซื้อของได้ตามปกติ จึงเข้าทำการจับกุมอีกครั้ง

ในที่สุดไนธ์เดินทางมารายงานตัวต่อศาลด้วยการนั่งรถเข็นและสวมเฝือกคอ โดยในคราวนี้ยอมรับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ไนธ์เป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงที่วางแผนได้อย่างแยบยลและแนบเนียนที่สุดเท่าที่เคยพบมาเลยทีเดียว

สุดแสบแกล้งเป็นอัมพาต2ปีหนีคดี | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

แอพฯ อัจฉริยะ! แค่ใช้กล้องบนสมาร์ทโฟนสแกนโจทย์เลข ได้คำตอบทันที
โดย ข่าวต่างประเทศ 22 ต.ค. 2557 17:55



คณิตศาสตร์คงไม่ยากอีกต่อไป... เผยแอพพลิเคชั่นสุดอัจฉริยะ สามารถตอบโจทย์ยากๆ ทางคณิตศาสตร์ เพียงแค่เปิดหน้ากล้องบนสมาร์ทโฟน แล้วนำไปสแกนเหนือโจทย์คณิตศาสตร์บนหนังสือ ก็จะได้รับคำตอบออกมาทันทีทันใด

สื่อต่างชาติรายงานความก้าวหน้าของแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่ล้ำหน้าไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นบริษัทโฟโต้แมธ (Photo Math) คิดค้นแอพพลิเคชั่นสุดอัจฉริยะ ‘โฟโต้แมธ’ ที่ทำให้อีกไม่นานจากนี้ไป คุณสามารถจะตอบโจทย์คณิตศาสตร์ที่ว่ายากๆ ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เปิดหน้ากล้องบนสมาร์ทโฟนที่มีการติดตั้งแอพฯ โฟโต้แมธ แล้วนำไปสแกนเหนือโจทย์คณิตศาสตร์ในหนังสือ ก็จะได้รับคำตอบออกมาทันที

จากคลิปวิดีโอที่ทางโฟโต้แมธ นำมาเผยแพร่ สาธิตให้เห็นถึงการใช้สมาร์ทโฟนที่มีการติดตั้งแอพพลิเคชั่นสุดล้ำ ในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ หรือคิดคำนวณตัวเลข ด้วยการนำกล้องบนสมาร์ทโฟนไปสแกนเหนือโจทย์นั้น ก็จะได้รับคำตอบออกมาทันที เพียงแต่กว่าที่จะมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ คงต้องรอถึงปีหน้า หรือ พ.ศ.2558

แอพฯ อัจฉริยะ! แค่ใช้กล้องบนสมาร์ทโฟนสแกนโจทย์เลข ได้คำตอบทันที - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

แพทย์มือโปรชี้ เรเน่ เซลเวเกอร์ ทำศัลยกรรมอื้อ จนหน้าเปลี่ยน!
โดย ข่าวต่างประเทศ 22 ต.ค. 2557 15:41



หมอศัลยกรรมมือโปร ชี้สาเหตุที่ทำให้ เรเน่ เซลเวเกอร์ ดาราหญิงคนดังฮอลลีวูด เปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ เป็นเพราะทำศัลยกรรมใบหน้ามาเพียบ ขณะที่ ดาราหญิงออกโรงโต้ หลังโดนเม้าท์สนั่น เปลี่ยนไปเป็นคนละคน



เว็บไซต์ นสพ.เดอะ มิร์เรอร์ ยังคงเกาะติดความเปลี่ยนแปลงของเรเน่ เซลเวเกอร์ ดาราสาวคนดังชาวอเมริกัน ที่ทำให้บรรดาผู้สื่อข่าวบันเทิง ต้องช็อก ตกตะลึงกับใบหน้าและรูปโฉมที่เปลี่ยนไปของเรเน่ ราวกับเป็นคนละคน จนแทบจำไม่ได้ ขณะที่เธอควงแฟนหนุ่มมาในงานของนิตยสารแอลล์ ในฮอลลีวูด เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า แพทย์ศัลยกรรมด้านความงาม ที่มีความเชี่ยวชาญระดับมือโปร กล่าวถึงใบหน้าที่เปลี่ยนไปมากของเรเน่ เซลเวเกอร์ ดาราหญิงฮอลลีวูด วัย 45 ปี เชื่อว่า เนื่องมาจากเธอได้ทำศัลยกรรมใบหน้าหลายแห่ง



เดอะ มิร์เรอร์ รายงานว่า ศาสตราจารย์นายแพทย์ ฟูแอต ยูคเซล ศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า เรเน่ ได้ทำศัลยกรรมใบหน้าหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดเปลี่ยนรูปโครงหน้า, การฉีดฟิลเลอร์บริเวณจมูกและริมฝีปาก รวมทั้งแก้ม


ไม่เพียงเท่านั้น เรเน่ ยังน่าจะฉีดโบท็อกซ์บริเวณหน้าผากและรอบคิ้ว เพื่อทำให้ผิวหนังเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์ลง อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นายแพทย์ยูคเซล เชื่อว่า เรเน่ อาจทำศัลยกรรมมากกว่านี้ก็เป็นได้ อย่างเช่นการผ่าตัดถุงใต้ตา

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นถึงรูปโฉมที่เปลี่ยนไปมากของเรเน่ ทำให้ดาราหญิงคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘บริตเจ็ต โจนส์’ ออกมาตอบโต้แล้ว โดยได้มีคำชี้แจงผ่านไปยังนิตยสารพีเพิล ในสหรัฐฯ ว่า เธอรู้สึกดีใจที่มีเสียงวิจารณ์ว่าเธอดูเปลี่ยนไป พร้อมบอกว่า ตอนนี้เธอกำลังมีชีวิตที่แตกต่างจากเดิม, มีความสุข และมีการเติมเต็มชีวิตให้มากขึ้น นอกจากนั้น เรเน่ เซลเวเกอร์ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า เพื่อนของเธอได้บอกกับเธอว่า ตอนนี้เธอดูสงบ และมีสุขภาพที่ดี


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเว็บไซต์ เดอะ มิร์เรอร์

แพทย์มือโปรชี้ เรเน่ เซลเวเกอร์ ทำศัลยกรรมอื้อ จนหน้าเปลี่ยน! - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

จีนฉุน 'เคนนี จี' เยี่ยมผู้ประท้วงฮ่องกง-โพสต์ข้อความสนับสนุน
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 ต.ค. 2557 02:54



เคนนี จี นักแซ็กโซโฟนชื่อดังเดินทางเยือนค่ายผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง พร้อมทวีตข้อความสนับสนุน สร้างความไม่พอใจแก่รัฐบาลจีนอย่างมาก...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เคนนี จี นักแซ็กโซโฟนแนวเพลงแจ๊ซช่ือดังระดับโลก ชาวอเมริกัน เดินทางเยี่ยมผู้ชุมนุมในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และทวีตข้อความแสดงความสนับสนุนการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย สร้างความไม่พอใจต่อรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งออกมากล่าวโจมตีเขาอย่างรุนแรง

เมื่อวันพุธ เคนนี จี ทวีตรูปตัวเขาเองที่ถ่ายคู่กับผู้ชุมนุมในเขตแอดมิรัลตี้ และรูปตัวเขาชูสองนิ้วยืนอยู่หน้าโปสเตอร์ซึ่งมีข้อความว่า 'ประชาธิปไตยของฮ่องกง' และเขียนข้อความระบุว่า เขาอยู่ในฮ่องกงที่พื้นที่ชุมนุม และเขาหวังให้ทุกคนได้ข้อสรุปที่ดีและสันติ


@เคนนี จี ทวีตภาพนี้บนทวิตเตอร์ของเขา

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา นาง หัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ออกมาแสดงความไม่พอใจการกระทำของเคนนี จี ทันที โดยกล่าวว่า "ผลงานเพลงของได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในจีน แต่จุดยืนของจีนต่อกลุ่มยึดเซ็นทรัลในฮ่องกงนั้นชัดเจนมาก พวกเราจึงหวังว่ารัฐบาลและบุคคลต่างชาติ จะพูดหรือกระทำอย่างระมัดระวัง และไม่สนับสนุนกลุ่มยึดเซ็นทรัล และกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด"

ขณะเดียวกัน สันนิบาตเยาวชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกศิลปินและดาราคนดังของฮ่องกง ที่แสดงท่าทีสนับสนุนการประท้วงในฮ่องกง ว่าเป็นศิลปินไร้ยางอาย และจัดการโหวตในไมโครบล็อกของพวกเขา เพื่อหาวิธีลงโทษศิลปินเหล่านี้ โดยการลงโทษที่มีผู้โหวตมากที่สุดคือ ห้ามศิลปินเหล่านั้นไปเปิดการแสดงหรือเผยแพร่ผลงานในจีนแผ่นดินใหญ่.

จีนฉุน 'เคนนี จี' เยี่ยมผู้ประท้วงฮ่องกง-โพสต์ข้อความสนับสนุน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

แห่สัมผัสหนาวยอด 'อินทนนท์'-อีก 2 วัน ภาคกลางเริ่มเย็น!
โดย ทีมข่าวภูมิภาค 23 ต.ค. 2557 14:04



นักท่องเที่ยวใช้วันหยุดวันปิยมหาราช ขึ้นไปเที่ยวสัมผัสสายหมอกและอากาศหนาวบนยอดดอยอินทนนท์ แม้ว่ายังคงมีฝนตกลงมา อุตุฯ ชี้ อีก 2 วันความกดอากาศสูงจะแผ่ลงมาอีกระลอก อากาศเย็นจะลงมาถึงภาคกลาง

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. วันหยุดวันปิยมหาราช บนดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ นายพรเทพ เจริญสืบสกุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ แจ้งว่า เนื่องจากเป็นวันหยุด ประกอบกับเป็นวันที่เสร็จสิ้นการรับปริญญาบัตรแล้ว จึงมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากต่างจังหวัดพาลูกหลานขึ้นไปเที่ยวบนยอดอยอินทนนท์จำนวนมาก และฝนได้หยุดตกแล้ว สภาพอากาศจึงกลับมาหนาวเย็น ล่าสุด ที่ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุด วัดอุณหภูมิได้ 10 องศาเซลเซียส ส่วนที่จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน วัดได้ 12 องศาเซลเซียส

ขณะที่ นายคุณวัฒน์ สุคันธะกุล นายอำเภอ จอมทอง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า อยากเตือนนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปพักผ่อน หรือสัมผัสอากาศหนาวบนยอดดอยอินทนนท์ ได้ใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะถนนลาดชันและลื่นมาก บางเวลายังคงมีฝนตก อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ รถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถทัวร์ รถบัส ไม่แนะนำให้ขึ้นบนยอดดอยในช่วงนี้ หากมีความต้องการที่จะขึ้นไป ควรใช้รถโดยสารที่รอให้บริการอยู่บริเวณด่านที่ 1 ก่อนทางขึ้นดอยจะปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม อยากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใน อ.จอมทอง นอกจากดอยอินทนนท์แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถที่จะเยี่ยมชมกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือที่มีความประณีตสวยงาม อยู่ที่ตัวอำเภอจอมทอง หรือแวะกราบขอพรพระวัดพระธาตุศรีจอมทอง นอกจากนี้ ยังมีโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ซึ่งมีพันธุ์ดอกไม้เมืองหนาวหลายอย่างในช่วงนี้ เช่น รองเท้านารี รอนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม

ทางด้านศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ รายงานสภาพอากาศช่วงนี้ ว่า บริเวณความกดอากาศจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และทะเลจีนใต้ ประกอบกับคลื่นกระแสลมตะวันตกได้เคลื่อนเข้ามาปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ในช่วงวันที่ 23-24 ตุลาคม 2557 บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นและอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย ส่วนสภาพอากาศอีก 7 วันข้างหน้า คาดหมายว่าในช่วงวันที่ 25-29 ต.ค. บริเวณความกดอากาศสูงอีกระลอกจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง อุณหภูมิจะลดลง และมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า

แห่สัมผัสหนาวยอด 'อินทนนท์'-อีก 2 วัน ภาคกลางเริ่มเย็น! - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

ทร.ภาค 3 ย้ำ หาดภูเก็ตต้องใช้ร่วมกัน ห้ามผู้ประกอบการรุกที่
โดย ทีมข่าวภูมิภาค 23 ต.ค. 2557 14:20



ผบ.ทร.3 ยืนยันไม่มีนโยบายให้ผู้ประกอบการเตียง-ร่มผ้าใบ ลงชายหาดประกอบอาชีพ ชี้เป็นที่สาธารณะที่ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบเร่งช่วยเหลือให้มีงานทำ...

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ จ.ภูเก็ต พล.ร.ท.สายันต์ ประสงค์สำเร็จ ผบ.ทร.3 กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดระเบียบชายหาดให้ยั่งยืน และการจัดระเบียบรถแท็กซี่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง ว่า การติดตามความคืบหน้าการดำเนินการจัดระเบียบชายหาดต่างๆ ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ตามนโยบายของ คสช. ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดระเบียบชายหาด รวมทั้งเพื่อรับทราบผลการดำเนินการ การจัดระเบียบชายหาด เพื่อให้เกิดความยั่งยืนรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางเข้ามาในช่วงไฮซีซั่น ซึ่งจากการประชุมพบว่า หน่วยงานต่างๆ สามารถดำเนินการจัดระเบียบชายหาดในพื้นที่ได้เกือบครบทุกชายหาดแล้ว ยังเหลือพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น คือ พื้นที่หาดในยาง อ.ถลาง และหาดกมลา อ.กะทู้ เนื่องจากทั้ง 2 จุด มีพื้นที่ที่มีการก่อสร้างบางส่วน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการฟ้องร้องระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะต้องรอให้ศาลตัดสินออกมาก่อนจึงสามารถดำเนินการต่อไปได้

ผบ.ทร.3 กล่าวเพิ่มว่า หลังจากที่มีการจัดระเบียบชายหาดต่างๆ แล้ว สิ่งที่ท้องถิ่น หรืออำเภอ เจ้าของพื้นที่จะต้องเร่งดำเนินการคือจะทำอย่างไรให้การจัดระเบียบชายหาดเกิดความยั่งยืน ให้ชายหาดภูเก็ตมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ให้เกิดความหวงแหนชายหาด ซึ่งเป็นที่สาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้คนใดคนหนึ่งเข้ามายึดพื้นที่เพื่อประกอบอาชีพอีก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นการจัดระเบียบที่ผ่านมาเสียเปล่า ชายหาดจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คือ ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขาดความสวยงาม และการที่จะกลับมาจัดระเบียบใหม่จะทำได้ยาก ส่วนกรณีการนำเรือเจ็ตสกีไปจอดบนชายหาดนั้น ที่ประชุมได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งอำเภอ และสำนักงานเจ้าภูมิภาคเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการแล้ว

ด้านนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รอง ผวจ.ภูเก็ต กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า สำหรับการจัดระเบียบชายหาดในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และการทำให้เกิดความยั่งยืนนั้น ได้ออกประกาศถึงแนวทางการดำเนินการ รวมทั้งได้มอบหมายให้อำเภอและท้องถิ่นทุกแห่ง ทำแผนในการบูรณาการ และฟื้นฟูชายหาดต่างๆ ภายหลังจากที่มีการจัดระเบียบไป รวมทั้งการจัดกิจกรรมบริเวณชายหาดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความรักและหวงแหนชายหาด หันมาช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วม ส่วนเรื่องการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระเบียบนั้น จังหวัดได้มีการดำเนินการ เช่น อาชีพหมอนวดได้จัดเข้าไปทำในโรงแรม ซึ่งบางส่วนไม่ยอมที่จะเข้าไปอยู่ในจุดนั้น ต้องการที่จะมาอยู่ที่ชายหาด ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังยืนยันว่า จะไม่มีการอนุญาตให้ผู้ประกอบการ ทั้งเตียง-ร่มผ้าใบ และกิจการอื่นๆ ลงไปประกอบอาชีพบนชายหาด ซึ่งเป็นที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด เพราะชายหาดเป็นที่สาธารณะ เป็นพื้นที่ที่ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่พื้นที่ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเข้าไปยึดครอง ส่วนกรณีเจ็ตสกีที่จอดอยู่บนชายหาดเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปตรวจสอบแล้ว

ขณะที่ พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวถึงการจัดระเบียบที่จอดรถสาธารณะ และการแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำว่า เรื่องรถแท็กซี่ป้ายดำนั้น ตำรวจจะดำเนินการจับกุมต่อเนื่อง และแท็กซี่ป้ายจะต้องสูญพันธ์ุไปจาก จ.ภูเก็ต ส่วนเรื่องการจัดระเบียบที่จอดรถสาธารณะจะต้องดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อคืนที่จอดรถให้กับทุกคน.

ทร.ภาค 3 ย้ำ หาดภูเก็ตต้องใช้ร่วมกัน ห้ามผู้ประกอบการรุกที่ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

Kaokala Fc

22 ต.ค. โรงงานผลิตดอกไม้ไฟระเบิดในอินเดียย่างสด 17 ศพ



เกิดเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรงที่โรงงานผลิตดอกไม้ไฟ“มานีกันตา” ในรัฐอานธรประเทศทางตอนใต้ของอินเดียส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย17คน โดยเหตุระเบิดเมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ผ่านมา ในหมู่บ้านวาคาติปปา เขตอีสต์โกทาวารี ทำให้เกิดเพลิงไหม้โรงงานได้รับความเสียหายทั้งนี้ มักเกิดอุบัติเหตุระเบิดที่โรงงานดอกไม้ไฟซึ่งผลิตดอกไม้ไฟที่ใช้ในงานแต่ง,เทศกาลทางศาสนาและพิธีกรรมอื่น ๆอยู่เป็นประจำในอินเดียและเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เกิดขึ้นก่อนเทศกาล “ทีวาลี”ซึ่งเป็นเทศกาลเล่นไฟของชาวฮินดูส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ยังไม่ทราบ



ทั้งนี้อินเดียมีโรงงานผลิตดอกไม้ไฟผิดกฎหมายกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศและการไม่มีกฎหมายดูแลด้านความปลอดภัยอย่างเพียงพอสำหรับโรงงานเหล่านี้มักก่อให้เห็นอุบัติเหตุร้ายแรงเป็นประจำโดยเมื่อต้นเดือนนี้ก็มีผู้เสียชีวิต 15คน และบาดเจ็บสาหัส7คนหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่โรงงานผลิตดอกไม้ไฟผิดกฎหมายในรัฐเวสต์เบงกอล ทางตะวันออกและรัฐอานธรประเทศทางตอนใต้ของประเทศ



อุบัติเหตุในลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในปี 2555ในรัฐทมิฬนาดูทางตอนใต้ของประเทศ มีผู้เสียชีวิต40คน และบาดเจ็บมากกว่า70คน

Cr. ภาพประกอบจากเพจ Newsmania ค่ะ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=711021372316240&id=157343344350715

โรงงานผลิตดอกไม้ไฟระเบิดในอินเดียย่างสด 17 ศพ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

Kaokala Fc

23 ต.ค. ระทึก! พบ “ไมเคิล ซีฮาฟ-บิบู” มือปืนควิเบกกราดยิงภายในรัฐสภา



แคนาดา(22ต.ค.) “เพิ่งเปลี่ยนมานับถืออิสลาม-แถมพาสปอร์ตถูกยึด”
ไมเคิล ซีฮาฟ-บิบู (Michael Zehaf-Bibeau) มือปืนควิเบก วัย 32 ปี ได้ใช้ปืนไรเฟิลสังหารสิบโทนาธาน ซิริลโล (Corporal Nathan Cirillo)ที่บริเวณอนุสาวรีย์สงคราม เนชันแนล วาร์ เมโมเรียล (National War Memorial) ในออตตาวา ก่อนเปิดฉากยิงใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในรัฐสภาแคนาดาที่ยังมี สตีเฟน ฮาร์เปอร์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาติดอยู่ข้างใน และเป็นผลทำให้เมืองหลวงของประเทศต้องถูกปิดตายเพื่อความปลอดภัยในขณะที่ซีฮาฟ-บิบูถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานว่า เมื่อเช้าวานนี้(22ต.ค.) สิบโทนาธาน ซิริลโล (Corporal Nathan Cirillo) วัย 24 นายทหารที่เฝ้ายามประจำ เนชันแนล วาร์ เมโมเรียล (National War Memorial) ในออตตาวา ถูกไมเคิล ซีฮาฟ-บิบู (Michael Zehaf-Bibeau) ชาวควิเบก วัย 32 ปี ใช้ปืนไรเฟิลสังหารจนเสียชีวิต



และหลังจากนั้นมือปืนควิเบกวัย 32 ปี ได้ถือไรเฟิลผ่านการรักษาความปลอดภัยเข้าไปในรัฐสภาแคนาดา และเปิดฉากยิงก่อนที่จะถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำรัฐสภาที่ติดอาวุธ (House of Commons Sergeant-at-Arms) ยิงตอบโต้และสังหารมือกราดยิงเสียชีวิตคาที่

https://scontent-b-nrt.xx.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/63947_586143081513299_7346985085608393153_n.jpg?oh=6f7288bb1c59df54b88073c7789a3ee9&oe=54AAE65C

สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า มีภาพล่าสุดของซีฮาฟ-บิบูในขณะถือปืนและมีเคฟฟิเญห์(ผ้าโพกหัวชาวอาหรับ)ปกปิดใบหน้า\



นอกจากนี้มีรายงานบันทึกของศาลมอนทริออลการพบการกระทำผิดของซีฮาฟ-บิบูถึง 13 ครั้งย้อนหลังไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2001 จนถึงล่าสุด 2011 ซึ่งมีทั้งข้อหาครอบครองยาเสพติดไปจนถึงปล้น และการครอบครองอาวุธ แต่ทั้งนี้ทางสหรัฐฯยังไม่พบว่าซีฮาฟ-บิบูนั้นมีส่วนเกี่ยวพันกับชาวอเมริกันและกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในการจับตาของสหรัฐฯ ซึ่งทางแคนาดาได้ติดต่อขอให้ทาง FBI สอบสวนซีฮาฟ-บิบูอย่างละเอียดจากความกังวลที่ว่าอาจมีการแก้แค้นจาก IS เนื่องจากในสัปดาห์นี้นักข่าวสหรัฐฯ NBC Newsรายงานว่า ทางการแคนาดาได้ออกเตือนว่า อาจมีความน่าจะเป็นที่แคนาดาจะตกเป็นเป้าก่อการร้ายจากอาวุธ เช่น มีด หรือ ปืน จากการที่แคนาดาได้ข้าร่วมการโจมตีทางอากาศ IS ในตะวันออกกลาง
(อ่านต่อ..In Pics

 

Kaokala Fc

23 ต.ค. บริษัทยาชั้นนำของโลกร่วมมือกันเร่งพัฒนาและผลิตวัคซีนยับยั้ง "อีโบลา"-ปชช.เริ่มรับวัคซีนได้ ม.ค.2015



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายฝ่ายกำลังร่วมกันเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทางการยุโรปเตรียมประกาศมอบเงิน 200 ล้านยูโรให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาวัคซีนอีโบลา ยารักษาอีโบลา ขณะที่บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันของสหรัฐฯ ก็หวังว่า พวกเขาจะสามารถผลิตวัคซีนอย่างน้อย 1 ล้านโดสได้ในปี 2015 หลังมีการหารือความร่วมมือกับบริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ของอังกฤษ ซึ่งพัฒนางานด้านนี้อยู่แล้ว
ด้าน องค์การอนามัยโลก (WHO) หวังว่า ประชาชนหลายแสนคนในแอฟริกาตะวันตก จะเริ่มได้รับวัคซีนอีโบลาในเดือน ม.ค.นี้ หลังนับจนถึงขณะนี้ เชื้อไวรัสดังกล่าวคร่าชีวิตประชาชนในไลบีเรีย เซียร์รา ลีโอน และกินี ไปแล้วกว่า 4,500 ราย

บริษัทยาชั้นนำของโลกร่วมมือกันเร่งพัฒนาวัคซีนยับยั้ง "อีโบลา" - Spring News

 

Kaokala Fc
·
22 ต.ค. เกิดพายุงวงช้าง 9 ลูก เหนือทะเลสาบชิงไห่ ประเทศจีน



วันนี้ (22 ตุลาคม 2557) สำนักข่าวซินหัว มีรายงานว่า เกิดปรากฏการณ์พายุงวงช้างขึ้นบริเวณทะเลสาบชิงไห่ ในมณฑลกวางซู ของประเทศจีน ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ตุลาคม) โดยพายุดังกล่าวเกิดขึ้นมากถึง 9 ลูก ภายในระยะเวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น



ทั้งนี้สำหรับ "พายุงวงช้าง" หรือ "พวยน้ำ" (waterspout) คือ ปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายท่อน้ำขนาดใหญ่เชื่อมต่อระหว่างผืนฟ้าและพื้นน้ำ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากลมพัดวนบิดเป็นเกลียว เห็นได้จากเมฆที่มีลักษณะเป็นลำ หรือเป็นกรวยหัวกลับยื่นลงมาจากฐานของเมฆคิวมูโลนิมบัส (เมฆฝนฟ้าคะนอง) และเห็นได้จากพวยน้ำที่พุ่งขึ้นมาเป็นพุ่ม ประกอบด้วยหยดน้ำพุ่งเป็นฝอยขึ้นจากผิวพื้นทะเล มีลมแรงพัดเข้าหาบริเวณศูนย์กลางของพวยน้ำ ยอดของพวยน้ำอาจเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แตกต่างไปจากฐาน ทำให้แกนเอียงหรือบิดเบี้ยวแล้วหลุดออกจากกันและสลายตัวไป

 

Kaokala Fc

22 ต.ค. เตือนสาวไทยระวังแก๊งสกิมเมอร์ ใช้เฟซบุ๊กตบตาหลอกโอนเงิน



ผบช.ภ.6 เตือนภัยสาวไทยระวังแก๊งสกิมเมอร์ใช้เฟซบุ๊กตบตาหลอกโอนเงิน เผยพบเหยื่อในพื้นที่ภาค 6 แล้วไม่ต่ำกว่า 7 ราย สูญเงินไม่ต่ำกว่าล้านบาท ขณะ จนท. รวบได้ 2 ราย ก่อนหนีออกไทย
วันนี้(22ต.ค.) พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ผบช.ภ.6 เปิดเผยว่าในช่วงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค6 ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายหลายรายกรณีถูกหลอกจากแก๊งสกิมเมอร์ โดยติดต่อให้รู้จักกับชาวต่างชาติผ่านทางโปรมแกรมเฟซบุ๊ก อ้างตัวเองว่าเป็นคนสัญชาติอังกฤษ โดยเข้ามาทำนองเกี้ยวพาราสีจนสนิมสนม บางรายหลอกแม้กระทั่งจะมาอยู่กินที่เมืองไทยด้วยกัน พร้อมกับหลอกส่งสิ่งของและเงินมาจำนวนมากผ่านมาแบบพัสดุ แต่ติดปัญหาเงินดังกล่าวติดอยู่ที่ศุลกากร จากนั้นได้มีหญิงสาวโทรมาหาผู้เสียหายว่าถ้าต้องการพัสดุที่มีเงินอยู่นั้นต้องโอนเงินมาชำระค่าศุลกากรจำนวนมาก ผู้เสียหายหลงเชื่อก็โอนเงินเข้าบัญชีที่แก๊งมิจฉาชีพแอบเปิดไว้ แต่กว่าจะรู้ตัวก็ถูกหลอกโอนเงินไปแล้ว โดยเบื้องต้นพื้นที่ตำรวจภูธรภาค6 มีเหยื่อถูกหลอกแล้ว7รายใน จ.พิษณุโลก 3ราย จ.นครสวรรค์1รายและ จ.เพชรบูรณ์ อีก 3รายเสียเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า1ล้านบาท และคาดว่ามีสาวไทยที่ถูกหลอกแล้วไม่ต่ำกว่าหลายสิบรายที่ยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์
ผบช.ภ.6 เผยต่อว่า จากการสืบทราบ ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเครือข่ายแก๊งหลอกเงินจากสาวไทย หรือแก๊งสกิมเมอร์2ราย แต่ละรายเตรียมเดินทางหนีออกไปทางประเทศมาเลเซียผ่าน ตม.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลาและกำลังติดตามจับกุมเครือข่ายดังกล่าวอีกเร็วๆนี้ เนื่องจากพบว่ามีพฤติกรรมเชื่อมโยงกันอย่างไรก็ตาม ขอเตือนสาวไทยให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อหนุ่มต่างชาติที่มาจีบผ่านโลกออนไลน์ซึ่งไม่มีใครส่งเงินทองมาให้ใช้แบบฟรีๆจึงควรมีการตรวจสอบก่อนที่จะหลงเชื่อจนสุดท้ายอาจจะตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพในที่สุด
เตือนสาวไทยระวังแก๊งสกิมเมอร์ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ผลวิจัยชี้ผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ๆเตรียมทิ้ง “จีน” กลับไปตั้งฐานผลิตในสหรัฐฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2557 15:09 น.



เอเอฟพี – บริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของโลกกำลังหันหลังให้ “จีน” และทยอยย้ายกลับไปตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งหาแรงงานฝีมือได้ง่ายกว่า รายงานจากบริษัทที่ปรึกษา บอสตัน คอนซัลติง กรุป (บีซีจี) เผยวันนี้(23)

จากการสอบถามผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯที่มียอดจำหน่ายสินค้าไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ พบว่า จำนวนผู้ตอบคำถามที่ยอมรับว่าบริษัทของพวกเขากำลังย้ายฐานการผลิตกลับมาสู่อเมริกาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 จากเมื่อปีที่แล้ว

คณะนักวิจัยซึ่งเก็บข้อมูลเมื่อเดือนสิงหาคมได้ตั้งคำถามกับผู้บริหารของบริษัทต่างๆที่มีฐานการผลิตในจีนว่า“เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น ท่านคิดว่าบริษัทของท่านจะย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯหรือไม่”

ผู้ที่ตอบว่า “ใช่ เรากำลังดำเนินการอย่างจริงจังอยู่แล้ว” เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 16 ในแบบสอบถามชุด “เมด อิน อเมริกา, อะเกน” จากสถิติเดิมร้อยละ 13 ในปีที่แล้ว และเพียงร้อยละ 7 ในการสำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012

แฮโรลด์ เซอร์กิน หนึ่งในผู้เรียบเรียงงานวิจัยของ บีซีจี ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า “ตอนนี้เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ย้อนกลับ” หลังจากสหรัฐฯ เคยสูญเสียตำแหน่งงานมหาศาลเพราะบริษัทใหญ่ๆ ย้ายฐานการผลิตไปที่จีนหมด

บีซีจี ซึ่งรับให้คำปรึกษาด้านการจัดการทั่วโลก ระบุว่า การสำรวจออนไลน์ครั้งนี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เรื่อยไปจนถึงเครื่องจักรกลเพื่อการขนส่ง โรงกลั่นน้ำมัน เครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์อาหาร

บีซีจี ระบุว่า แบบสอบถามชุดนี้มีผู้ตอบ 252 ราย เกือบทั้งหมดเป็นผู้บริหารของบริษัทซึ่งมีฐานการผลิตทั้งในสหรัฐฯและต่างประเทศ และวางจำหน่ายสินค้าเพื่อผู้บริโภคชาวอเมริกันและประเทศอื่นๆ ด้วย

ผู้บริหารที่ตอบว่าบริษัทของพวกเขาจะ “พิจารณา” ย้านฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 24 ขณะที่ร้อยละ 54 หรือเกินครึ่งระบุว่าพวกเขา “สนใจ” ย้ายฐานการผลิตกลับมายังอเมริกา ซึ่งเป็นสัดส่วนพอๆ กับเมื่อปีที่แล้ว

กว่าร้อยละ 70 ยอมรับว่า พวกเขาต้องการย้ายฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ เพราะแรงงานฝีมือหาได้ง่ายกว่า ซึ่งจำนวนผู้ที่ตอบเช่นนี้มากกว่าพวกที่อ้างเหตุผลเดียวกันเพื่อย้ายออกจากสหรัฐฯ ถึง 4 เท่าตัว

ผู้ผลิตสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในสหรัฐฯ เกือบ 80% ชี้ว่า การผลิตสินค้าในอเมริกาจะช่วยตัดทอนห่วงโซ่ซัพพลายเออร์ และลดค่าขนส่งได้อีกด้วย

ผู้บริหารร้อยละ 71 บอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกทำให้การประกอบธุรกิจสะดวกง่ายดาย ขณะที่ร้อยละ 75 ชี้ว่า การผลิตสินค้าในอเมริกานั้นเอื้อต่อการควบคุมกระบวนการผลิตและปรับปรุงคุณภาพ

ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 72 มีแผนที่จะลงทุนด้านเครื่องจักรอัตโนมัติและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

“สหรัฐฯอยู่ในจุดที่จะได้รับประโยชน์จากบริษัทซึ่งต้องการสร้างฐานการผลิตในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นทุนในการซื้อเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนเริ่มถูกลง” บีซีจี ระบุ

ในส่วนของการจ้างงานก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน ผู้บริหารร้อยละ 50 คาดว่าตำแหน่งงานในภาคการผลิตของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ภายใน 5 ปีหน้า และมีเพียงร้อยละ 17 เท่านั้นที่มองไปในทางตรงกันข้าม

 

เผยโฉม “สมุดบันทึก” นักสำรวจชาวอังกฤษ หลังถูก “แช่แข็ง” แถบขั้วโลกใต้นานนับศตวรรษ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2557 14:11 น.



เอเอฟพี - มูลนิธิมรดกขั้วโลกใต้ (Antarctic Heritage Trust) ของนิวซีแลนด์ระบุว่า สมุดบันทึกของคณะนักเดินทางสำรวจขั้วโลกใต้ ภายใต้การนำของ โรเบิร์ต สกอตต์ นักเดินทางชาวอังกฤษผู้โชคร้าย ถูกพบภายหลังแช่อยู่ในก้อนน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกาอันเย็นยะเยือกมานานนับศตวรรษ

บันทึกเล่มนี้เป็นของ จอร์จ เมอร์เรย์ เลวิก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ และถูกค้นพบนอกจุดพักแรม เตร์ราโนวา 1991 ของสกอตต์ ขณะน้ำแข็งละลายในฤดูร้อน เมื่อปีที่แล้ว

ไนเจล วัตสัน ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิมรดกขั้วโลกใต้ระบุว่า ลายมือในบันทึกเล่มนี้ยังอยู่ในสภาพที่อ่านได้ โดยปรากฏชื่อของ เลวิก ในหน้าแรกๆ แต่หน้ากระดาษเริ่มหลุดออกจากกัน เพราะชำรุดเสียหายจากการแช่ในน้ำแข็งและน้ำมานานหลายปีดีดัก

เขาชี้ว่า “การค้นพบครั้งนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น สมุดบันทึกเล่มนี้คือส่วนที่ขาดหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์การเดินทางสำรวจอย่างเป็นทางการ”

“หลังจากใช้เวลา 7 ปีสงวนรักษาสถานที่ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สกอตต์ได้ใช้ระหว่างการออกสำรวจครั้งสุดท้ายในชีวิต เราก็รู้สึกยินดีที่ยังได้พบมรดกชิ้นใหม่ๆ”


@ (แฟ้มภาพ) จอร์จ เลวิก เมอร์เรย์ นักสำรวจชาวอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าของบันทึกการเดินทางเล่มดังกล่าว นั่งสูบไปป์และอ่านหนังสือในกระท่อมแถบทวีปแอนตาร์กติกา

วัตสัน กล่าวว่า หน้ากระดาษของสมุดเล่มนี้ถูกส่งไปยังนิวซีแลนด์ และแยกเก็บไว้ต่างหาก จากนั้นจะถูกนำไปเข้าเล่มใหม่ และส่งกลับไปยังทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มูลนิธินี้กำลังดูแลสถานที่ทั้ง 5 แห่งที่นักสำรวจ สกอตต์, เออร์เนสต์ แชกเคิลตัน และเอ็ดมันด์ ฮิลลารีเคยใช้

หลังจากเดินทางไปถึงทวีปแอนตาร์ติกา คณะนักสำรวจของสกอตต์ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มของหัวหน้าคณะเดินทางไปถึงขั้วโลกใต้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1912 แต่ก็ต้องพบว่า โรอัลด์ อามุนด์เซน นักสำรวจชาวนอร์เวย์ เดินทางไปถึงก่อนหน้าพวกเขา 1 เดือนเท่านั้น

เลวิก ซึ่งเป็นเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้นั้น อยู่ในคณะสำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งออกสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ตามแนวชายฝั่ง แต่กลับติดแหงกออกมาจากจุดพักแรมไม่ได้ เมื่อก้อนน้ำแข็งที่จับตัวหนาขวางไม่ให้พวกเขาขึ้นเรือเพื่อร่วมเดินทางไปกับสกอตต์

ในเวลาต่อมา สกอตต์และเพื่อนร่วมทางของเสียชีวิตความหนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร

ส่วนชายทั้ง 6 คนในกลุ่ม เลวิก สามารถเอาชีวิตรอดในฤดูหนาวอันโหดร้ายด้วยการขุดน้ำแข็งให้เป็นโพรง แล้วประทังชีวิตด้วยการกินสัตว์ป่า เช่น เพนกวิน และแมวน้ำ