ติดตามสถานะการณ์

Canada: กลุ่มผู้ประท้วงชาวแคนาดาเรียกร้องรัฐบาลให้ถอนตัวออกจากองค์การนาโต และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น

กลุ่มผู้ประท้วงยึดถนนหลายสายในเมืองแฮมิลตัน เพื่อเรียกร้องรัฐบาลแคนาดาให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต และหยุดส่งอาวุธช่วยยูเครนด้วย รวมถึงนำงบประมาณกองทัพมาใช้แก้ไขปัญหาภายในประเทศ และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น

‘เอวิน’ ผู้ประท้วงคนหนึ่ง บอกว่า ชาวแคนาดาต้องการสันติภาพ และเมื่อแคนาดาเป็นสมาชิกนาโต แคนาดาจะไม่มีสันติภาพ ขณะที่ ‘กัล’ ผู้ประท้วงอีกคน กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องนั่งโต๊ะเจรจา เพื่อหยุดส่งอาวุธ และค่าใช้จ่ายด้านอาวุธจะต้องนำไปใช้เพื่อที่อยู่อาศัยและอาหาร

ส่วน ‘เคน สโตน’ ผู้จัดงานชุมนุม เปิดเผยว่า ทุกวันนี้โรงพยาบาลไม่มีพยาบาลอย่างเพียงพอที่จะออกมาปฏิบัติหน้าที่ในการนำผู้ป่วยฉุกเฉินภายนอก ไปยังโรงพยาบาล แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในเมืองแฮมิลตัน และเงินมักถูกนำไปใช้ในสงคราม รัฐบาลใช้จ่ายเงินเพื่ออาวุธและเครื่องกระสุน แต่ไม่มีเงินเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนและเด็ก

ดังนั้น แคนาดาจะต้องถอนตัวจากนาโต และถึงเวลาแล้วที่แคนาดาจะเป็นประเทศอิสระ เหมือนอย่างเป็นประเทศเอกราช ที่ใช้เงินและทรัพยากรเพื่อประโยชน์ของประชาชนมากกว่าเครื่องจักรกลสงครามของสหรัฐฯ

เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐมนตรีกลาโหมแคนาดา ประกาศว่า แคนาดาจะบริจาคความช่วยเหลือทางทหารช่วยยูเครน รวมถึงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร กว่า 20,000 นัด และเมื่อ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมแคนาดา ประกาศส่งกระสุนปืนใหญ่ให้ยูเครน รวมถึงปืนใหญ่ M777 มูลค่าราว 9 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือ 254 ล้านบาท
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #แคนาดา #นาโต #ประท้วง
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Japan: ญี่ปุ่นเตือนประชาชนประหยัดพลังงาน เตรียมรับมือวิกฤตไฟฟ้า เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดและฤดูฝนสิ้นสุดแล้ว

อุณหภูมิในพื้นที่ใจกลางกรุงโตเกียว เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา อยู่ที่ 34.7 องศาเซลเซียส ขณะที่ อุณหภูมิในเมืองซาโนะ อยู่ที่ 38.6 องศาเซลเซียส เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่น เตือนว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง ลดลงต่ำสุดที่ 3.7% ในเขตกรุงโตเกียว และ 8 จังหวัดโดยรอบ

ด้านโยชิฮิโกะ อิโซซากิ รองหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ทางการสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด พร้อมแนะนำให้ปิดไฟ และจำกัดการใช้เครื่องปรับอากาศ รวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากโรคลมแดด

ส่วนภาพรวมของอุปสงค์และอุปทาน ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพอากาศและปัจจัยอื่น ๆ ยังคงคาดว่า จะต่ำกว่า 5% ของอัตราส่วนสำรอง หากอุณหภูมิพุ่งขึ้น และความต้องการเพิ่มขึ้นอีก การจ่ายกระแสไฟฟ้าจะต้องผันผวนอย่างทันที และอัตราส่วนสำรองจะต้องต่ำกว่า 3%

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ฤดูฝนในญี่ปุ่นได้สิ้นสุดลงแล้ว รวมถึงในเขตกรุงโตเกียวด้วย ถือว่าปีนี้ ฤดูฝนในญี่ปุ่นสิ้นสุดเร็วที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลเมื่อปี 1951
————
ภาพ: Getty Images

#TNNWorldNews #ญี่ปุ่น #ไฟฟ้า #อากาศร้อนจัด
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

India: ผู้ประสบภัยจากเหตุน้ำท่วมในรัฐอัสสัมของอินเดีย กำลังเผชิญกับการระบาดของโรคที่มาจากน้ำเสีย

ดร. เอ็ม อาลี แพทย์ประจำค่ายผู้อพยพในรัฐอัสสัม อินเดีย ออกมาระบุว่า ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในรัฐอัสสัม กำลังเผชิญกับการระบาดของโรคที่มากับน้ำเสีย มีผู้คนจำนวนมากที่มีอาการของโรคผิวหนังแสดงให้เห็นชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยหลายคนที่มีไข้ขึ้นสูงและมีอาการไอ รวมถึงมีอาการท้องร่วง

ขณะนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐอัสสัม ยังคงเผชิญกับน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด จึงไม่สามารถเดินทางเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยด้วยรถยนต์ได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีการ นำเฮลิคอปเตอร์บรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ จำพวกอาหาร น้ำดื่มและของใช้จำเป็น ส่งมอบให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ด้วยวิธีการโยนลงมาจากบนอากาศ

ข้อมูลจากรัฐบาลท้องถิ่น ระบุว่า ผู้คนราว 5,500,000 แสนคน ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม ในจำนวนนี้มีราว 3,700,000 คน ย้ายไปพักอยู่ที่ค่ายผู้อพยพชั่วคราวที่รัฐบาลจัดตั้งให้ตามจุดต่าง ๆ

ขณะที่ สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิต เพิ่มขึ้นเป็น 126 รายแล้ว ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 17 ราย ที่เสียชีวิตจากเหตุดินถล่ม
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #อินเดีย #น้ำท่วม #โรคระบาด
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

Canada: แคนาดาประกาศค้นพบ ซากลูกแมมมอธขนยาวอายุกว่า 3 หมื่นปี ถูกฝังอยู่ใต้เหมืองทองคำในสภาพเกือบสมบูรณ์

รัฐบาลประจำดินแดนยูคอนของแคนาดา ได้ร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น ออกมาประกาศเรื่องการค้นพบซากลูกแมมมอธขนยาวเพศเมีย อายุกว่า 3 หมื่นปี ที่ถูกฝังอยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็งภายในเหมืองทองคำแห่งหนึ่งของดินแดนยูคอน ซึ่งสภาพของมันเรียกได้ว่า เกือบจะสมบูรณ์เลยทีเดียว ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากคนงานขุดเหมืองที่กำลังขุดหาแร่ทองคำเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา

ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบดูแล ได้ตั้งชื่อให้กับซากลูกแมมมอธตัวนี้ว่า “นุน โช กา” เป็นภาษาท้องถิ่นที่แปลว่า “ลูกของสัตว์ขนาดใหญ่” โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการพบซากลูกแมมมอธขนยาว ที่อยู่ในสภาพเกือบจะสมบูรณ์แบบนี้ ในพื้นที่อเมริกาเหนือ

ขณะที่ สื่อท้องถิ่นแคนาดา รายงานว่า “นุน โช กา” มีความยาวตั้งแต่หัวถึงหางประมาณ 140 เซนติเมตร โดยมีอายุประมาณ 30-35 วัน และคาดว่า มันน่าจะเคยมีชีวิตอยู่เมื่อราว ๆ 35,000-40,000 ปีก่อน
————
ภาพ: Reuters

#TNNWorldNews #แคนาดา #แมมมอธ
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok

 

ได้รับการยืนยันแล้วว่ากองกำลังรัสเซียได้ยึดครอง Severodonetsk และบริเวณโดยรอบเรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ที่ชานเมือง Lysychansk ได้เกิดขึ้นแล้ว นอกจากนี้ รัสเซียได้กำหนดเป้าหมายขนาดใหญ่ต่อไปแล้ว: Sloviansk

https://m.facebook.com/story.php?st...aK6hFsfLRVR5w6vq1RV7iRKPCl&id=100047348086288

 

วันนี้ มีรายงานว่า ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงกรณีราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยได้ตามความสมัครใจว่า เรื่องนี้ประกาศเพื่อบอกว่าไม่ได้บังคับให้สวมหน้ากากแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าต้องถอดออก โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5
.
โดยเชื่อว่าประชาชนจะระวังตัวมากขึ้น เพราะยังต้องเฝ้าติดตามความรุนแรงของโรค โดยคาดว่า อีก 2 สัปดาห์จะเห็นภาพชัดเจนของ BA.4 และ BA.5 มากขึ้น สำหรับสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 และ BA.5 พบข้อมูลมาหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะประเทศทางยุโรปที่พบอัตราติดเชื้อกลับมาสูงขึ้นเป็นหมื่นรายต่อวัน
.
ซึ่งข้อมูลตอนนี้พบว่า สายพันธุ์ย่อยเริ่มไปทดแทนสายพันธุ์ย่อย BA.2 เนื่องจาก BA.4 และ BA.5 แบ่งตัวเร็วกว่า แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารุนแรงมากกว่า เพราะยังไม่มีหลักฐานการป่วยจนเข้า รพ. อาการรุนแรงถึงเสียชีวิตที่ชัดเจนแต่ยังต้องเฝ้าติดตาม อีกทั้งการที่มีการแพร่ระบาดเร็วขึ้นมองได้ 2 แง่ ได้แก่

1. ตำแหน่งการกลายพันธุ์

2. คนเริ่มผ่อนคลายมาตรการหน้ากากอนามัย จึงมีโอกาสที่แพร่กระจายได้มากขึ้น รวมถึงกิจกรรมสังคมที่มากขึ้นด้วย ซึ่งหลายประเทศก็ไม่ได้ตรวจหาเชื้อกันแล้ว ดังนั้น ที่เห็นผลตรวจเป็นหมื่นรายแสดงว่า ยอดจริงต้องมากกว่านั้น
.
สิ่งที่ต้องย้ำ คือเรื่อง

1. วัคซีน เพราะข้อมูลการศึกษาของ BA.4 และ BA.5 มีแนวโน้มว่าอาจจะเกาะเซลล์ปอดได้มากกว่า BA.2 แต่ยังไม่ต้องไปเทียบกับเดลต้า เพราะไม่มีหลักการว่าจะรุนแรงมากกว่า จากคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ศึกษาข้อมูลประชากรกว่า 5 แสนคน พบว่า การฉีดวัคซีนเข็ม 3 ป้องกันติดเชื้อได้ 25% แต่ถ้าฉีด 4 เข็มก็จะเพิ่มสูงถึง 70-75% สำหรับตนแนะนำให้ฉีด 4 เข็มในกลุ่มคนทั่วไป และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเป็นเข็ม 5 ได้เลย ซึ่งหลายคนได้รับแล้ว

2. คนไทยต้องกระชับตัวเอง เพราะเราบังคับนักท่องเที่ยวได้ยาก
.
ดังนั้น เราต้องป้องกันตนเองด้วยมาตรการเดิม สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ เพราะเรายังมีเด็กต่ำกว่า 5 ขวบที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ขณะที่คนเคยติดโควิดจะติดเชื้อซ้ำได้ใน 4-6 เดือน ก็อาจจะสั้นกว่านั้นเพียงแต่คนไม่ได้ตรวจ
.
ศ.นพ.ประสิทธิ์ ย้ำว่าโอกาสที่โควิดจะกลับมาระบาดมากแบบระลอกเดลต้าไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะคนฉีดวัคซีนกันมาก ระวังตัวมากขึ้น ซึ่งขอเน้นย้ำว่า เรายังคงต้องป้องกันตัวเองให้มากขึ้น หากพบว่าเริ่มมีสัญญาณรุนแรงมากขึ้น เราก็เตรียมกลับมาตั้งรับ
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://www.prachachat.net/covid-19/news-964209
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube :

 

สื่อต่างประเทศรายงานว่า ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศล่าสุดที่เตรียมทบทวนทางเลือกด้านพลังงาน โดยกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการกลับมาเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งปิดใช้งานไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงเปลี่ยนผ่านพลังงานระบุว่า พวกเขากำลังทบทวนกลับมาเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่แซงต์-อาโวลด์ ทางตะวันออกของฝรั่งเศสในฤดูหนาวนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ในยูเครน และผลกระทบของสงครามในยูเครนที่มีต่อตลาดพลังงาน จึงเปิดกว้างในความเป็นไปได้ในการกลับมาเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าแซงต์-อาโวลด์ ในกรอบเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้งานในช่วงฤดูหนาวที่กำลังมาถึง
.
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงระบุว่าฝรั่งเศสจะยังคงผลิตไฟฟ้าผ่านพลังงานถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% และจะไม่มีการใช้ถ่านหินจากรัสเซีย พร้อมเน้นย้ำว่าความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ในการปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินทุกแห่งของฝรั่งเศส ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยแซงต์-อาโวลด์ เพิ่งปิดใช้งานไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดปฏิบัติการในฝรั่งเศส อยู่ที่เมือง Cordemais ทางตะวันตกของประเทศ
.
ที่ผ่านมา กำลังผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสมาจากพลังงานนิวเคลียร์ คิดเป็นสัดส่วน 67% ในปี 2020 และในปีเดียวกัน การผลิตไฟฟ้าพลังงานถ่านหินคิดเป็นสัดส่วน 0.3% เท่านั้น ก่อนหน้านี้ทั้ง ออสเตรีย เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ต่างแถลงว่า พวกเขาจะหันกลับมาใช้พลังงานถ่านหินเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องจากผลกระทบจากปฏิบัติการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งสงครามผลักให้ราคาพลังงานทั่วโลกพุ่งสูง และเพิ่มแนวโน้มอุปทานขาดแคลน หากมีการตัดขาดทางอุปทาน
.
โดยก่อนหน้านี้ ก๊าซพรอม รัฐวิสาหกิจทางพลังงานของรัสเซีย ได้หยุดจ่ายก๊าซป้อนประเทศยุโรปหลายชาติในนั้นรวมถึงโปแลนด์ บัลแกเรีย ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของรัสเซียที่ขอให้ชำระค่าก๊าซเป็นสกุลเงินรูเบิล ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวของรัสเซียถูกกำหนดออกมา เพื่อพยุงค่าเงินรูเบิล รับมือมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมาของตะวันตก
.
ในรายงานระบุว่า การหวนกลับสู่เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ก่อความกังวลแก่คณะกรรมาธิการยุโรป และบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยพวกเขาชี้ว่ามันเสี่ยงทำให้สหภาพยุโรปพลาดเป้าหมายในการปรับลดการพึ่งพาทรัพยากรทางพลังงานที่ก่อมลพิษ และมีความเป็นไปได้ที่มันอาจก่อผลลัพธ์หายนะสำหรับสภาพภูมิอากาศ

-------------------------------
แหล่งข่าว

https://www.france24.com/en/live-ne...-france-to-rethink-coal-power-station-closure

https://mgronline.com/around/detail/9650000060803
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

 

BRIEF: จีนแก้ไขกฎหมายให้สามารถโต้ตอบได้ หากถูกเหยียดหยามในระหว่างการแข่งขันกีฬานานาชาติ
.
การกระทบกระทั่งกันระหว่างแข่งขันกีฬาอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยและอาจไม่ใช่เรื่องร้ายแรงในทุกๆ กรณี แต่รัฐบาลจีนอาจไม่คิดเช่นกัน เพราะล่าสุด จีนเพิ่งแก้ไขกฎหมายให้สามารถโต้ตอบได้ หากเผชิญกับการเหยียดหยามในกิจกรรมการแข่งขันกีฬา
.
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 มิ.ย. 65) คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (The Standing Committee of the National People’s Congress) เพิ่งแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกีฬา ที่อนุญาตให้มีมาตรการต่อต้านได้ หากประเทศหรือองค์กรใดพยายามทำลายอธิปไตย ความมั่นคง และ ‘ศักดิ์ศรีของชาติในงานแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ’
.
ทั้งนี้ ยังไม่มีรายละเอียดว่าพฤติกรรมใดจะถือเป็นการละเมิดเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติ และกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
.
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมักจะตอบโต้ต่อการวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ เช่น กรณีที่เตโวโดรส อัดฮาโนม (Tedros Ghebreyesus) ผู้อำนวยการ WHO บอกว่านโยบาย Zero Covid ของประเทศจีนไม่ยั่งยืน ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนก็ออกมาโต้ตอบทันทีว่า ให้ระงับการพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ และให้ลองพยายามเข้าใจข้อเท็จจริงให้มากขึ้น
.
และตอนนี้ นโยบายการโต้ตอบของรัฐบาลจีนได้เข้ามามีอิทธิพลในโลกของการกีฬาแล้ว และการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายในการทำให้ประเทศจีนกลายเป็นมหาอำนาจทางการกีฬาอีกด้วย
.
นอกจากการแก้ไขกฎหมายให้โต้ตอบได้หากถูกเหยียดหยามระหว่างการแข่งกีฬา การแก้กฎหมายครั้งนี้ยังระบุให้รัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุนพื้นที่และกิจกรรมทางการกีฬา และระบุให้นักเรียนต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวันที่โรงเรียน
.
.
อ้างอิงจาก

https://www.bloomberg.com/news/arti...it-back-at-insults-at-sports-events#xj4y7vzkg

http://english.news.cn/20220625/20aad4d90cc34cd8a047102072c963d6/c.html

#Brief #TheMATTER

 

BRIEF: อังกฤษเดินหน้าใช้กฎหมายใหม่ ขับรถชนคนตาย มีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต
.
ภายหลังการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหม่ สหราชอาณาจักรก็จะมีการบังคับใช้บทลงโทษแบบใหม่สำหรับข้อหาขับรถชนคนตาย โดยมีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต จากเดิมที่มีโทษสูงสุดคือ จำคุก 14 ปี
.
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมายที่เรียกว่า Police, Crime, Sentencing and Courts Act 2022 ซึ่งจะมีผลในวันอังคารที่ 28 มิ.ย. 2565 นี้ ครอบคลุมพื้นที่อังกฤษ สก็อตแลนด์ และเวลส์ แต่ไม่รวมไอร์แลนด์เหนือเนื่องจากมีกฎหมายจราจรแยกต่างหาก
.
ภายใต้กฎหมายใหม่ ผู้พิพากษาสามารถตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ไม่ว่าจะมาจากการขับรถเร็ว แข่งรถ ใช้โทรศัพท์ เมา หรือใช้สารเสพติด นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มโทษให้กับข้อหาขับรถชนคนบาดเจ็บสาหัสด้วย
.
โดมินิก ราบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวไว้เมื่อครั้งประกาศร่างกฎหมายใหม่นี้เมื่อปี 2560 ว่า “พิจารณาจากความร้ายแรงของคดีที่เลวร้ายที่สุด ความเจ็บปวดของครอบครัว และโทษสูงสุดของข้อหาร้ายแรงอื่นๆ เช่น ฆ่าคนตาย
.
“เราจึงตั้งใจจะบังคับใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตสำหรับผู้ที่พรากชีวิตผู้อื่น ด้วยการขับรถโดยประมาท เมา หรือใช้สารเสพติด”
.
อย่างไรก็ดี รัฐบาลระบุด้วยว่า ถ้ามีหลักฐานว่ามีการใช้ยานพาหนะในการฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นสาหัส สำนักงานอัยการ (Crown Prosecution Service) ก็ยังสามารถตั้งข้อหาฆาตกรรม (murder) หรือฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (manslaughter) ได้
.
แต่สำหรับกฎหมายใหม่ของอังกฤษ ถ้าเทียบกับข้อหาเดียวกันของไทย ก็จะเห็นว่ามีความรุนแรงต่างกันมาก มาตรา 291 ในประมวลกฎหมายอาญาของไทยระบุไว้ว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
.
.
อ้างอิงจาก

https://www.bbc.com/news/uk-61940351

https://news.sky.com/story/new-law-will-allow-judges-to-jail-killer-drivers-for-life-12640527

https://www.gov.uk/government/news/life-sentences-for-killer-drivers

#Brief #TheMATTER

 

BRIEF: ยืนขาเดียว 10 วินาทีได้ไหม? งานวิจัยชี้ ความสามารถในการทรงตัวเชื่อมโยงกับการมีชีวิตที่ยืนยาว
.
คุณสามารถยืนขาเดียวได้ถึง 10 วินาทีหรือไม่? ล่าสุดเพิ่งมีงานศึกษาวิจัยที่เผยข้อมูลว่า คนวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุที่ไม่สามารถทรงตัวบนขาข้างเดียวได้ใน 10 วินาที มีโอกาสเกือบ 2 เท่าที่จะเสียชีวิตภายใน 10 ปีข้างหน้า
.
การยืนขาเดียวใน 10 วินาทีไม่ได้ อาจหมายถึงการมีปัญหาด้านการทรงตัว และสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณอันตรายกว่าที่คิด งานวิจัยชิ้นนี้จัดทำโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ พวกเขาศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถทางการทรงตัวและความตาย โดยวิจัยมาแล้ว 12 ปี (ตั้งแต่ปี 2551-2563) และเพิ่งได้รับการตีพิมพ์ผ่านวารสารทางการแพทย์ British Journal of Sports Medicine เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา
.
งานวิจัยนี้ มีผู้เข้าร่วม 1,702 ราย โดยทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 51-72 ปี และอาศัยอยู่ที่ประเทศบราซิล ในปี 2551 พวกเขาถูกขอให้ทรงตัวด้วยขาข้างเดียวเป็นระยะเวลา 10 วินาที โดยในการยืน จะต้องแนบแขนสองข้างชิดลำตัว และมองตรงไปด้านหน้า
.
ผลก็คือ ผู้เข้าร่วมวิจัย 1 ใน 5 (หรือคิดเป็น 21%) ไม่สามารถยืนขาเดียวใน 10 วินาทีได้ จากนั้น ผู้วิจัยก็ติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นระยะเวลา 7 ปี ซึ่งในระหว่างนั้นพบว่ามีผู้เสียชีวิต 123 ราย
.
ที่น่าทึ่ง คือ สัดส่วนการเสียชีวิตของผู้ที่ยืนขาเดียวได้ไม่ถึง 10 วินาที สูงกว่าการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ที่ทรงตัวด้วยขาเดียวได้มากกว่า 10 วินาทีอย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้น งานวิจัยนี้จึงสรุปว่า ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบการทรงตัวจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 85% ที่จะเสียชีวิตจากสาเหตุใดก็ตาม
.
อย่างไรก็ดี งานวิจัยชิ้นนี้เป็นเพียงการวิจัยที่ใช้วิธีการสังเกตการณ์ และไม่ได้พิจารณาถึงกลไกทางชีววิทยาที่อาจอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างความสามารถในการทรงตัวกับการเสียชีวิต ทั้งยังไม่ได้ระบุสาเหตุของสิ่งนี้
.
และทางผู้วิจัยเองก็ระบุว่า งานศึกษานี้อาจยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับคนเชื้อชาติอื่นได้ เพราะผู้เข้าร่วมงานวิจัยเป็นคนผิวขาวชาวบราซิลทั้งสิ้น
.
.
อ้างอิงจาก

https://edition.cnn.com/2022/06/21/health/balance-on-one-leg-longevity-wellness/index.html

https://www.theguardian.com/society...ne-leg-useful-health-test-later-life-research

https://news.sky.com/story/can-you-...be-part-of-your-regular-health-check-12637860

#Brief #TheMATTER

 

#รู้หรือไม่: กุ้งไกปืน- มือปืนแห่งท้องทะเล ขยับก้ามครั้งเดียวส่งเสียงกว่า 200 เดซิเบล สร้างความร้อนกว่า 8,000 องศา
.
ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิด และเราก็ไม่ได้โม้ มีสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ขนาดนี้อยู่จริงๆ มือปืนจิ๋วแต่แจ๋วตัวนี้มีชื่อว่า กุ้งไกปืน หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า pistol shrimp หรือ snapping shrimp
.
ที่ต้องบอกว่าจิ๋วแต่แจ๋วเพราะเจ้ากุ้งตัวนี้มีขนาดแค่ประมาณ 5 ซม. เท่านั้น แต่ขนาดของเจ้ามือปืนตัวนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาในการออกล่าหาอาหารเลย ได้ชื่อว่ากุ้งไกปืนแสดงว่ามันจะต้องยิงได้ และใช่แล้วกุ้งไกปืนสามารถยิงกระสุนฟองออกมาจากก้ามของมันได้ ฟังแล้วอาจดูหน่อมแน้ม แต่ด้วยก้ามใหญ่กว่าครึ่งลำตัวที่มีลักษณะพิเศษและแข็งแรง ทำให้มันสามารถขยับก้ามเข้าหากันได้อย่างรวดเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อก้ามของมันประกบเข้าหากันจึงทำให้เกิดฟองขึ้น และฟองที่ถูกส่งออกมานั้นก็ไม่ทำธรรมดาเลย
.
ฟองที่ออกมานั้นส่งเสียงดังมากกว่า 218 เดซิเบล ซึ่งดังกว่ากระสุนปืนกลเสียอีก และเมื่อฟองนั้นแตกออกจะปล่อยความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 8,000 องศาฟาเรนไฮต์ (4,427 องศาเซลเซียส) หรือร้อนกว่าลาวาถึง 4 เท่า! โชคดีที่มนุษย์อย่างพวกเราจะไม่รู้สึกถึงเสียงและความร้อนจากเจ้ากุ้งมากนัก เนื่องจากทั้งหมดนี้เกิดในระยะเวลาประมาณ 0.001 วินาทีเท่านั้นเอง แต่สำหรับเหยื่อของเจ้ากุ้งไกปืนก็หมดหนทางที่จะเล็ดรอดไปได้อย่างแน่นอน
.
ที่น่าแปลกคือมือปืนที่เก่งฉกาจตัวนี้สายตาย่ำแย่จนเรียกได้ว่าตาเกือบบอด พวกมันจึงต้องพึ่งพาอาศัยกับปลาบู่ขนาดเล็ก คอยขุดรูที่อยู่อาศัยให้กับปลาบู่ แลกกับการพวกปลาบู่เป็นหูเป็นตาให้
.
เมื่อถูกโจมตีกุ้งไกปืนสามารถสลัดก้ามข้างที่ทรงพลังของมันทิ้งไปแล้วรอการงอกใหม่ และก้ามข้างที่เล็กกว่าก็จะงอกเป็นก้ามที่ไว้ใช้โจมตีแทน เพื่อความรวดเร็วให้ทันใช้งาน
.
กุ้งไกปืนไม่ได้มีดีแค่ยิงฟองน้ำเพชฌฆาตเท่านั้น รู้หรือไม่ว่า ความสามารถของมันในการสร้างความร้อนมหาศาลในชั่วพริบตาสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ในการผลิตพลังงานสะอาด จากแนวคิดพลังงานฟิวชั่น (กระบวนการที่ทำให้ดวงอาทิตย์ร้อน) ซึ่งกุ้งไกปืนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่มีความสามารถนี้โดยธรรมชาติ
.
สมกับชื่อมือปืนแห่งท้องทะเล ก้ามของกุ้งไกปืนไม่ได้แค่น่าอัศจรรย์ใจเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างประโยชน์เป็นแรงบันดาลใจให้กับมนุษย์ในการสร้างพลังงานสะอาดอีกด้วย เล็กพริกขี้หนูของจริง เก่งจริง ๆ เลยนะตัวแค่เนี้ย~
.
อ่านเรื่องนักวิทฯศึกษาแนวทางการสร้างพลังงานฟิวชั่น ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกุ้งไกปืน
https://eng.ox.ac.uk/news/universit...h-inspired-by-pistol-shrimp-s-knockout-punch/
.
ที่มา
https://today.line.me/th/v2/article/QQVVqj

https://animals.howstuffworks.com/marine-life/pistol-shrimp.htm

 

LIFE: งานศึกษาพบว่าการผสมสาหร่ายในอาหารวัว ช่วยลดมีเทนที่มาจากหมักย่อยอาหารของวัวได้ถึง 52% หวังเป็นทางเลือกลดมีเทนจากฟาร์มปศุสัตว์ในระดับใหญ่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การแปรรูปสาหร่ายยังมีอุปสรรคตรงที่ใช้พลังงานเยอะ
.
ฟาร์มโคนมออร์แกนิก Straus Family Creamery ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ได้พัฒนา Brominata อาหารเสริมสำหรับวัว ซึ่งมีส่วนผสมของสาหร่ายสีแดง Asparagopsis taxiformis โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ฟาร์มแห่งนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังจากที่พวกเขาประกาศว่า จะเริ่มทำการทดลองอาหารสูตรใหม่นี้
.
พวกเขาพบว่า Brominata สามารถช่วยลดมีเทนที่มาจากหมักย่อยอาหารของวัวได้ 52% นอกจากนี้ยังพบอีกว่า วัวตัวหนึ่งผลิตก๊าซมีเทนน้อยลงไปถึง 92% ดังนั้น มันจึงเป็นสัญญาณที่ดีว่า อาหารสูตรนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยมีเทนได้ในระดับใหญ่
.
แม้ว่าสัดส่วนของมีเทนในชั้นบรรยากาศจะน้อยกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงกว่า เพราะสามารถกักเก็บความร้อนได้เยอะกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า ภายในระยะเวลา 20 ปี โดยวัวหนึ่งตัวจะผลิตมีเทนออกมาประมาณ 100 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการเผาน้ำมันเบนซิน 4,091 ลิตร
.
ความจริงแล้วเมื่อเดือนมีนาคม California Air Resources Board ได้จัดให้อาหารเสริมผสมสาหร่าย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักเพื่อพิชิตเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มนมแล้ว แต่อุปสรรคใหญ่ของการนำสาหร่ายมาใช้ก็คือ กระบวนการแปรรูป ซึ่งใช้พลังงานเยอะ และทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนการรับรองผลิตภัณฑ์

ที่มา
https://inhabitat.com/seaweed-additives-in-animal-feed-to-curb-livestock-emissions/

https://insideclimatenews.org/news/14062022/cow-seaweed-methane/

 

CLIMATE: อ่างเก็บน้ำที่ใหญ่สุดในแคลิฟอร์เนีย 2 แห่ง เผชิญระดับน้ำต่ำขั้นวิกฤต ส่งสัญญาณฤดูร้อนที่แห้งแล้ง
.
ทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำ 2 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย กำลังเผชิญระดับน้ำที่ต่ำขั้นวิกฤต ซึ่งเป็นสัญญาณของฤดูร้อนที่จะเผชิญความแห้งแล้ง
.
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รายงานว่าทะเลสาบ Lake Oroville ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่สุดอันดับ 2 ของรัฐ มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 55% ทั้งที่แตะระดับสูงสุดของปีเมื่อเดือนที่ผ่านมา ขณะทะเลสาบ Shasta Lake อ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุด มีระดับน้ำอยู่ที่ 40% เมื่อเดือนที่ผ่านมา
.
ระดับน้ำที่ต่ำลงดังกล่าว เป็นสัญญาณที่น่ากลัวของแคลิฟอร์เนีย ที่เผชิญปัญหาการจัดการจากภัยแล้งที่รุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากที่พึ่งพาน้ำดังกล่าวในการใช้สอย
.
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังกังวลว่าน้ำในอ่างเก็บน้ำเหล่านี้ จะลดลงตื้นและร้อนเกินอันส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ
.
ที่มา

https://www.theguardian.com/us-news/2022/jun/24/california-drought-reservoirs-water-levels

 

ด่านตรวจสัตว์ป่าฯ สุวรรณภูมิ รวบ 2 สาวอินเดีย ซุกสัตว์ป่า 109 ตัว ในกระเป๋าเดินทาง เม่นขาว เต่า กิ้งก่า งู และอาร์มาดิลโล (armadillo)
.
วันที่ 27 มิถุนายน 2565 นายประเสริฐ สอนสถาพรกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายสธน คงเงิน หัวหน้าด่านตรวจรายงานว่า เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ด่านตรวจประมงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกันจับกุม หญิงชาวอินเดีย จำนวน 2 คน กำลังขนย้ายสัตว์ป่า ได้แก่ เม่นขาว เต่า กิ้งก่า และงู จำนวนมาก ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทาง จำนวน 2 ใบ เพื่อเดินทางไปกับเครื่องบินโดยสารการบินไทย ไปที่สนามบิน CHENNAI ประเทศอินเดีย
.
เจ้าหน้าที่ตรวจค้นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประจำจุด DIR-EAST ตรวจค้นด้วยเครื่อง X-RAY พบวัตถุต้องสงสัยอยู่ในกระเป๋า 2 ใบเป็นสัตว์ป่า จึงประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ผู้ต้องสงสัย 2 คนชื่อ Mrs.NITHYA RAJA อายุ 38 ปี ชาวอินเดีย และ Mrs.ZAKIA SULTHANA EBRAHIM อายุ 24 ปี ชาวอินเดีย และตรวจพบสัตว์ป่า เม่นขาวจำนวน 2 ตัว อาร์มาดิลโล (armadillo) จำนวน 2 ตัว เต่า จำนวน 35 ตัว กิ้งก่า จำนวน 50 ตัว และงู จำนวน 20 ตัว รวมทั้งสิ้น 109 ตัว
.
คณะเจ้าหน้าที่ ได้พิจารณาแล้ว เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 23 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 31 และ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242,244 จึงจึงร่วมกันตรวจยึดของกลางทั้งหมดและจับกุมหญิงชาวอินเดียทั้ง 2 คน โดยได้แจ้งสิทธิต่างๆตามระเบียบแล้ว และมอบหมายให้หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่า นำเรื่องราวไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนืนคดีตามกฎหมายต่อไป
.
ที่มา

 

ฝ่ายสืบสวนเร่งหาพยาน ยืนยันหม้อแปลงระเบิด เรียกเจ้าหน้าที่ กฟน.สอบไฟไหม้สำเพ็ง

MGR Online - “จิรสันต์” เผย พฐ.ยกหม้อแปลงต้นเหตุเพลิงไหม้สำเพ็ง ไปตรวจพิสูจน์ สอบพยานเห็นเหตุการณ์แล้ว 5 ปาก ถึงคิวเรียกเจ้าหน้าที่ กฟน.สอบ ประมาทหรือไม่

วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.ในฐานะโฆษก บช.น.กล่าวถึงกรณีไฟไหม้อาคารพาณิชย์ย่านสำเพ็ง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คาดว่า ต้นเพลิงมาจากหม้อแปลงไฟฟ้า ว่า เมื่อช่วงเช้าพนักงานสอบสวน สน.จักรวรรดิ ได้ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจพิสูจน์ที่เกิดเหตุ และนำหม้อแปลงที่สันนิษฐานว่า เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ไปตรวจพิสูจน์ ที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) วัดเลียบ

ขณะนี้สอบปากคำพยานที่อยู่ร้านค้า และเห็นควันไฟมาจากหม้อแปลงไปแล้ว 5 ปาก อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานว่า เหตุดังกล่าวเกิดจากความบกพร่อง หรือละเลยของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฯ จนมีหลักฐานยืนยันว่า เป็นความประมาทหรือไม่ พนักงานสอบสวนเตรียมเชิญเจ้าหน้าที่ กฟน.เพื่อสอบปากคำ ส่วนกระแสข่าวก่อนเกิดเหตุเห็นเจ้าหน้าที่ กฟน.มาที่หม้อแปลงแล้วเดินออกไปก่อนระเบิดนั้น ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างหาพยานเพื่อมายืนยัน เบื้องต้นจากการประสาน กฟน.ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าได้มีการตรวจสอบ

กรณีมีผู้ถ่ายคลิปเอาไว้จะเชิญเข้ามาให้ข้อมูล ถือว่าเป็นหลักฐานส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นหลักฐานที่บอกแค่ว่าทำให้เกิดการเกิดเหตุ แต่หลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นความประมาทของใคร เป็นสิ่งที่ตำรวจจะต้องมาตรวจสอบอีกครั้ง.

ที่มา : NEWS1

 

กองทุนน้ำมันฯติดลบทะลุแสนล้านบาทก.พลังงานดิ้นหาเงินโปะ

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลงล่าสุดติดลบแล้ว 102,586 ล้านบาทโดยอุดหนุนน้ำมันฯสูงถึง 65,202 ล้านบาทหลังราคาดีเซลผันผวน เร่งหาเงินกู้ รีดเงินโรงกลั่นหวังนำมาโปะสภาพคล่อง ล่าสุดค่าการตลาดผู้ค้าตกหนักจับตากบน.เคาะอุดหนุนหรือจ่อขึ้นราคา

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้แจ้งถึงฐานะสุทธิกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2565 ติดลบแล้ว 102,586 ล้านบาทแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 37,384 ล้านบาทซึ่งนับเป็นอัตราการติดลบที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการดูแลระดับราคาขายปลีกดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตรท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนในระดับสูง
“ ราคาน้ำมันค่อนข้างสวิงตัวผันผวนสูงจากช่วงต้นสัปดาห์ก่อนที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นและเริ่มอ่อนตัวลงกลางสัปดาห์จากนั้นกลับมาเพิ่มสูงอีกโดยเฉพาะดีเซลตลาดสิงคโปร์ปิดตลาดเมื่อ 24 มิ.ย. ปรับขึ้น 1.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 171.92 เหรียญฯต่อบาร์เรลเนื่องจากอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”รายงานข่าวระบุ

อย่างไรก็ตามยอมรับหากพิจารณาจากระดับการอุดหนุนดีเซลที่ขณะนี้อยู่เกือบ 11 บาทต่อลิตรแต่จากการที่ราคาดีเซลปรับตัวสูงขึ้นและทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันเหลือเพียง 1.24 บาทต่อลิตร การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบน.) บ่ายนี้คงจะต้องพิจารณาที่จะอุดหนุนเพิ่มเติมหากไม่ต้องการให้ผู้้ค้าปรับขึ้นราคา และหากมองแนวโน้มทั้งเรื่องสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ รวมถึงทิศทางตลาดโลกข้อเท็จจริงดีเซลควรจะปรับขึ้นเกิน 35 บาทต่อลิตรแต่กระทรวงพลังงานพยายามจะตรึงให้ถึงสิ้นมิ.ย.นี้จากนั้นจะขยับราคาภายใต้กรอบการดูแลจากกองทุนน้ำมัน50% จากฐาน35บาทต่อลิตร

สำหรับแผนการกู้เงินล็อตแรกวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทที่จะนำมาเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีความคืบหน้าพอสมควรแล้วคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ส่วนกรณีการหารือโรงกลั่น 6 แห่งกำลังอยู่ระหว่างการหารือถึงแนวทางที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถเดินหน้าได้โดยไม่ผิดระเบียบโดยเฉพาะโรงกลั่นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ต้องตรวจสอบกฏหมายอย่างรอบคอบเพราะอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อไปในอนาคต

ที่มา : NEWS1

 

กองทุนน้ำมันฯติดลบทะลุแสนล้านบาทก.พลังงานดิ้นหาเงินโปะ

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลงล่าสุดติดลบแล้ว 102,586 ล้านบาทโดยอุดหนุนน้ำมันฯสูงถึง 65,202 ล้านบาทหลังราคาดีเซลผันผวน เร่งหาเงินกู้ รีดเงินโรงกลั่นหวังนำมาโปะสภาพคล่อง ล่าสุดค่าการตลาดผู้ค้าตกหนักจับตากบน.เคาะอุดหนุนหรือจ่อขึ้นราคา

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้แจ้งถึงฐานะสุทธิกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2565 ติดลบแล้ว 102,586 ล้านบาทแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 37,384 ล้านบาทซึ่งนับเป็นอัตราการติดลบที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการดูแลระดับราคาขายปลีกดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตรท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนในระดับสูง
“ ราคาน้ำมันค่อนข้างสวิงตัวผันผวนสูงจากช่วงต้นสัปดาห์ก่อนที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นและเริ่มอ่อนตัวลงกลางสัปดาห์จากนั้นกลับมาเพิ่มสูงอีกโดยเฉพาะดีเซลตลาดสิงคโปร์ปิดตลาดเมื่อ 24 มิ.ย. ปรับขึ้น 1.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 171.92 เหรียญฯต่อบาร์เรลเนื่องจากอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”รายงานข่าวระบุ

อย่างไรก็ตามยอมรับหากพิจารณาจากระดับการอุดหนุนดีเซลที่ขณะนี้อยู่เกือบ 11 บาทต่อลิตรแต่จากการที่ราคาดีเซลปรับตัวสูงขึ้นและทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันเหลือเพียง 1.24 บาทต่อลิตร การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบน.) บ่ายนี้คงจะต้องพิจารณาที่จะอุดหนุนเพิ่มเติมหากไม่ต้องการให้ผู้้ค้าปรับขึ้นราคา และหากมองแนวโน้มทั้งเรื่องสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ รวมถึงทิศทางตลาดโลกข้อเท็จจริงดีเซลควรจะปรับขึ้นเกิน 35 บาทต่อลิตรแต่กระทรวงพลังงานพยายามจะตรึงให้ถึงสิ้นมิ.ย.นี้จากนั้นจะขยับราคาภายใต้กรอบการดูแลจากกองทุนน้ำมัน50% จากฐาน35บาทต่อลิตร

สำหรับแผนการกู้เงินล็อตแรกวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทที่จะนำมาเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีความคืบหน้าพอสมควรแล้วคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ส่วนกรณีการหารือโรงกลั่น 6 แห่งกำลังอยู่ระหว่างการหารือถึงแนวทางที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถเดินหน้าได้โดยไม่ผิดระเบียบโดยเฉพาะโรงกลั่นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ต้องตรวจสอบกฏหมายอย่างรอบคอบเพราะอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อไปในอนาคต

ที่มา : NEWS1

 

คนเชียงใหม่ผวาสายไฟฟ้ารกรุงรังยุ่งเหยิงหวั่นเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอย "สำเพ็ง"-ครวญร้องเป็นสิบปียังไม่แก้ไข

เชียงใหม่ - ชาวบ้านเชียงใหม่หวั่นเกิดเหตุสูญเสียซ้ำรอยไฟไหม้สำเพ็ง ชี้เป้าถนนวังสิงห์คำพบสายไฟฟ้าและสายสัญญาณรกรุงรังยุ่งเหยิงมาเป็น 10 ปีตลอดระยะทางร่วม 5 กิโลเมตร ตั้งแต่หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ผ่านตลาดเมืองใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงชุมชนป่าตัน-บ้านท่อ ระบุเคยเกิดไฟลุกไหม้มาแล้วหลายครั้ง ยังดีช่วยกันดับได้ทัน วิงวอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่ตรวจสอบแก้ไขก่อนเกิดเหตุโศกนาฏกรรม หลังเคยร้องเรียนแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

จากกรณีวานนี้ (26 มิ.ย. 65) เกิดเหตุหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด พร้อมไฟลุกไหม้สายไฟฟ้าและสายสื่อสารลุกลามไหม้อาคารพาณิชย์ ย่านสำเพ็ง กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ รวมทั้งทรัพย์สินเสียหายมูลค่าหลายล้านบาทนั้น รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า ประชาชนที่มีอาคารบ้านเรือนที่พักอาศัยและเปิดร้านอยู่ย่านถนนวังสิงห์คำ-ป่าตัน-บ้านท่อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ต่างเกิดความวิตกกังวลใจอย่างยิ่งและเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนั้นขึ้น เนื่องจากถนนเกือบตลอดทั้งสายตั้งแต่ช่วงหน้าสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ ผ่านตลาดเมืองใหม่, ชุมชนวังสิงห์คำ, ชุมชนป่าตัน ไปจนถึงชุมชนบ้านท่อ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ต่างเต็มไปด้วยสายไฟฟ้าและสายสัญญาณสื่อสารที่ทั้งรกรุงรังและห้อยระโยงระยางไม่เป็นระเบียบ โดยเฉพาะจุดที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้านั้นมีสภาพคล้ายกับที่เกิดเหตุที่สำเพ็งวานนี้ด้วย

โดยจากการสุ่มตรวจสอบที่บริเวณริมถนนช่วงผ่านชุมชนวังสิงห์คำ ใกล้กับซอยข้างร้านเทนคาราโอเกะ พบว่าตรงหัวมุมเสาไฟฟ้ามีสายไฟฟ้าและสายสัญญาณพันกันยุ่งเหยิง มีร่องรอยของไฟไหม้ และยังมีสายไฟที่ฉนวนหุ้มถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วจนเหลือเพียงสายโลหะข้างใน แต่ยังไม่มีการรื้อถอนออกไป นอกจากนี้ผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียงบอกว่ายังมีการนำสายสัญญาณมาติดตั้งเพิ่มเข้าไปอีกโดยไม่มีการรื้อของเก่าที่เสียหายออกไปด้วย ยิ่งทำให้สายต่างๆ เพิ่มขึ้นแทบทุกวัน และเป็นเช่นนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว ขณะที่จุดใกล้เคียงที่เป็นห้องแถวบ้านเรือน และร้านค้าของชาวบ้านก็มีสายต่างๆ มากกว่า 100 เส้นพันห้อยพาดกันสาดของตัวบ้านอย่างอุจาดสายตาผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง และถัดกันไปยังพบว่ามีหม้อแปลงไฟฟ้าและสายต่างๆ ห้อยระโยงระยางกับหลังคาและกันสาดอีกด้วย

นายสุรีย์ ฉอสันเที๊ยะ เจ้าของร้านตะวันสูท ซึ่งเปิดร้านตัดเสื้อผ้าและอยู่อาศัยมานานกว่า 10 ปี เปิดเผยว่า ทั้งสายไฟฟ้าและสายสัญญาณสื่อสารที่พาดผ่านรกรุงรังและพันกันไปมาอย่างยุ่งเหยิงนั้นไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าสายอะไรเป็นอะไรบ้าง สายใดยังใช้งานอยู่หรือไม่ใช้งานแล้ว และสายใดมีกระแสไฟฟ้าอยู่หรือไม่ ซึ่งมีสายอยู่หลายเส้นที่ฉนวนหลุดออกไปหมดจนเหลือแต่สายโลหะ ทำให้เกรงว่าอาจจะมีคนได้รับอันตราย โดยที่ผ่านมาเคยร้องขอและแจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาตรวจสอบแก้ไข ทั้งการไฟฟ้าฯ, ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์ แต่ไม่เคยได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจังเลย แถมพบว่ามีจำนวนสายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเคยเกิดเหตุไฟลุกไหม้แล้วหลายครั้ง โดยที่ชาวบ้านต้องช่วยกันดับไฟเอง ซึ่งโชคดีที่ไม่ลุกลาม แต่ก็ต้องอยู่กันอย่างหวาดผวาและเสี่ยงอันตรายตลอด

ขณะเดียวกัน นายสุรีย์บอกว่า โดยเฉพาะหน้าบ้านของตัวเองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีสายต่างๆ ห้อยอยู่จำนวนมาก และยิ่งเห็นกรณีเหตุไฟไหม้ที่สำเพ็งแล้ว ยิ่งทำให้ตัวเองและครอบครัวยิ่งหวาดกลัวว่าจะเกิดเหตุกับบ้านตัวเองหรือไม่ เพราะหม้อแปลงไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ทุกวันนี้นั้น ติดตั้งอยู่บ้านหลังถัดไปแบบแทบจะชิดตัวบ้านและมีสายต่างๆ รกรุงรังเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงวิงวอนไปยังหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องให้ลงพื้นที่มาสำรวจตรวจสอบ และจัดการปรับปรุงแก้ไขปัญหาสายไฟฟ้าและสายสื่อสารโดยเร็ว หากสายใดที่ไม่มีการใช้งานแล้วอยากให้รื้อถอนออกไป ส่วนหม้อแปลงและสายที่ใช้งานอยู่ก็ขอให้ตรวจสอบสภาพการใช้งานและความปลอดภัย ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้มีการเคลื่อนย้ายออกห่างจากตัวบ้าน โดยอยากให้เร่งแก้ไขก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายและความสูญเสียจะดีกว่า

ที่มา : NEWS1

 

ลาว : นาย พันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีลาวแถลงต่อสภาตามรายงาน สถิตินำเข้าน้ำมัน
⛽ จากข้อมูลลาวมีการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง 1,200 ล้านลิตร /ปี
นำเข้าจาก เวียดนาม และ ไทย แต่จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุด ลาวมีการนำเข้าน้ำมันถึง 1900 ล้านลิตร/ปี แสดงว่าอีก 700 ล้านลิตรเป็นการนำเข้าผิดกฏหมาย
หลีกเลี่ยงภาษี โดยเป็นการร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้นำเข้า ที่ฉวยโอกาสไม่รายงานตัวเลขต่อทางการทำให้เกิดความเสียหาย

*ปกติลาวใช้น้ำมันเดือนละ 120 ล้านลิตร

 

จีน : มณฑลเหอหนาน
ประท้วงธนาคาร อายัดบัญชีทำธุรกรรมไม่ได้ และ พวกเขาอาจสูญเงินทั้งหมด

ธนาคารขนาดเล็ก 4 แห่งในมณฑลเหอหนานจีน ลูกค้ากว่า 1 ล้านรายไม่สามารถถอนเงินได้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2565 ต่อมาจำกัดการถอน และทำธุรกรรมต่างเมืองไม่ได้ รวมทั้งแต่ละวันเอทีเอ็มไม่สามารถกดได้คนต่อแถวยาวเพื่อรอถอนเงินสด ตามข้อมูลล่าสุดข้อกล่าวหาผู้บริหารยักยอกเงินทุนของประชาชนอย่างผิดกฎหมายผ่านการสมรู้ร่วมคิดภายในและภายนอก โดยอาศัยแพลตฟอร์มของกลุ่มบุคคลที่สามและโบรกเกอร์กองทุน อยู่ระหว่างสอบสวน มีผู้เสียหายมากกว่า 400,000 บัญชี มูลค่าความเสียหายประมาณ 2 แสนล้านบาท

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายคนกังวลหวั่นลุกลามไปยังธนาคารอื่นๆ รวมทั้งก่อนหน้าข่าวเกี่ยวภาคอสังหาของจีนที่ไม่ค่อยดีนัก