ที่ว่า จิตไม่เที่ยง คือจิต หรืออาการของจิต....

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย 2ชาติตรัสรู้, 2 ธันวาคม 2009.

  1. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ขั้นตอนนี้....จิตจะอยู่เฉยๆครับ เห็นการเกิดดับ แต่จิตจะไม่ไปยึดเป็นของตัวเอง เพราะจิตรู้เองแล้ว หากออกไปยึดจะเป็นทุกข์ จิตจึงอยู่อีกส่วนหนึ่งโดยไม่ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดดับ

    เมื่อจิตรู้ว่า เกิดอารมณ์แล้่วเป็นทุกข์ จิตจะไม่ปรุงผัสสะให้เกิดอารมณ์ เพียงแค่รู้ว่าจะปรุงให้เกิดอารมณ์ จิตก็หยุดเองครับ โดยไม่ต้องบังคับ

    จิตคือสภาพรู้ จิตรู้ว่าเกิดอารมณ์แล้วเป็นทุกข์ จิตจึงหยุดเองก่อนเกิดอารมณ์

    เห็นตั้งแต่ผัสสะเข้ามาแล้ว จะปรุงต่อให้เกิดอารมณ์ จิตรู้ว่าต่อไปจะเกิดทุกข์ จิตรู้วูปเดียว โดยอัตโนมัติ ตัดทิ้งไป แล้วจะกลับเข้ามาเห็นการเกิดดับ อันต่อไป
     
  2. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อนุโมทนาครับ คำสอนของหลวงปู่ถ้ายึดหลักการปฏิบัติของผม ผมเข้าใจ
    ทะลุปรุโปร่งเลยครับ
    .......แต่ผมลองเอาไปเทียบกับการปฏิบัติของท่าน ผมยังไม่เข้าใจครับ
    ที่ท่านว่า จิตมีดวงเดียว แล้วลองเอามาเทียบเคียงกับของหลวงปู่ ทำให้
    ผมสับสนกับคำว่า" จิตไม่อยู่ในอำนาจของตน"

    ......รบกวนให้ท่านช่วยอธิบายหน่อยครับ
     
  3. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    การทำสมถะตามความคิดผม เป็นการทำให้อยู่จิต อยู่ในสภาวะเดียวอย่างต่อ
    เนื่อง การปรุงแต่งอารมณ์ย่อมไม่มีอยู่แล้ว เพราะท่านปิดกั้นผัสสะที่ก่อเกิด
    อารมณ์ การทำแบบนี้ผิดจากความเป็นจริง ลักษณะนี้เหมือนกับการปฏิเสธที่จะ
    รับรู้ทุกข์ แต่แท้ที่จริงแล้วมันไปปฏิเสธ สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วย
    พูดง่ายๆว่า ตามหลักคำสอนเมื่อมีทุกข์ เราต้องหาเหตุที่มาแห่งทุกข์ แล้วดับ
    เหตุนั้นเสีย เมื่อปฏิเสธที่จะรับอารมณ์ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว จะเรียกว่าดับ
    เหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร เพราะเหตุที่ว่าเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้(รู้ที่ว่าคือรู้แบบ
    ปัจจุบันไม่ใช่สัญญา)

    ......ฉะนั้นรวมความแล้ว เราต้องรู้ก่อนแล้วจึงดับ ไม่ใช่ดับก่อนที่จะรู้ครับ
     
  4. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ความหมายของผมที่ว่าไม่ตั้งเป้าไว้ก่อน คือการกำหนดให้จิตไม่รับอารมณ์
    ที่เกิดจากผัสสะครับ เหมือนกับการตั้งใจไว้ก่อนว่าวันนี้เราจะ ไม่โกรธ ไม่โลภ
    หรือหลง นี่แหละครับเป็นการแทรกแซงจิต ในความหมายของผม

    .....มันมีด้วยหรือครับที่จิตไม่รับรู้อารมณ์ สงสัยท่านจะเข้าใจความหมาย
    ของคำว่าอารมณ์ไม่ดีพอ อารมณ์เป็นได้ทั้งกุศล อกุศลและเฉยๆนะครับ
    .....จิตมีสภาพรู้และไม่อยู่เฉย มันจะวนเวียนกันไประหว่างสภาวะที่กล่าวมาครับ
    คุณสมบัติของจิตที่เป็นตัวรู้ สามารถรู้สภาวะของอารมณ์ได้อารมณ์เดียวครับ
    จิตไม่สามารถรู้อารมณ์ที่เดียวสองอย่างได้ เช่นกุศลและอกุศลต้องมาที่ละ
    สภาวะ หรือแม้กระทั้งตัวอกุศลเองก็ไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้ บางครั้งเรา
    สังเกตุไม่ทัน เพราะมันเกิดเร็วมากเกิดการปรุงแต่งจากความหลงขึ้น เราเลย
    เข้าใจว่า อยู่ในอารมณ์เดียว ฉะนั้นเมื่อเกิดสภาพรู้ขึ้นอารมณ์เก่าต้องหยุดเสมอ
    แต่ไม่นานนะครับ

    ......ดังที่กล่าวมาข้างบน อารมณ์ต้องเกิดที่ละสภาวะ เช่นเมื่อเกิด
    อารมณ์อกุศลขึ้น สังเกตุดูอกุศลเป็นอารมณ์ปัจจุบัน แต่เมื่อเกิดสภาพรู้
    อกุศลขึ้น ตัวตัวสภาพรู้อกุศลเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นกุศล สภาวะ
    ช่วงนี้ครับที่เรียกว่าหยุดอารมณ์อกุศล แต่ท่านอย่าเข้าใจว่ามันจะอยู่ได้นานนะ
    ครับ เพราะสภาพรู้และไม่อยู่นิ่งของจิต
    .......ช่วงการเปลี่ยน สภาวะจากอกุศลมาเป็นกุศล หรือการหยุด
    ของอกุศล ซึ่งสภาวะใหม่ที่เกิดขึ้นคือตัวรู้เป็นกุศลเรียกว่าสติ หรือเรียก
    อีกอย่างว่า ระลึกได้ ถ้าพูดแบบธรรมดาอาจพุดได้ว่า"ระลึกได้ถึงความแตกต่างครับ"

    ที่บอกว่าอารมณ์หยุดคือ ตัวอารมณ์ที่เป็นกุศลหรืออกุศลต่างๆ โดยคุณสมบัติ
    แล้วอารมณ์เกิดสลับกันที่ละตัวครับ
    .....พออธิบายง่ายๆว่า สภาพรู้อารมณ์มันมีตัวรู้อยู่ ตัวรู้นี้ก็เป็นอารมณ์เช่นกัน
    นะครับแต่เป็นอารมณ์กุศล
    .....เมื่อเกิดอารมณ์ใหม่อารมณ์เก่าย่อมต้องหยุดไป จากการที่บอกว่า ณ.
    ขณะจิตหนึ่งจะมีอารมณ์ซ้อนกันไม่ได้ (ความหมายของหยุดในที่นี้ไม่ใช่จะเกิด
    ใหม่ไม่ได้นะครับ)

    ......ที่สำคัญสภาวะที่เกิดที่จิตรวดเร็วมาก มันขึ้นอยู่คุณภาพของจิต
    ที่จะไปตามดูตามรู้ได้ทันมั้ย
     
  5. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    พระพุทธพจน์เปรียบเหมือนแผนที่ชี้ทางเดินที่ถูก
    ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้ให้เราเดินได้ถูกได้ตรงตามพระพุทธพจน์
    ไม่ใช่ให้เดินหนีพระพุทธพจน์


    (smile)
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คำว่า โดยเสด็จ เป็นคำราชาศัพท์ แปลว่า ตามไปด้วย, ร่วม

    คำราชาศัพท์ใช้กับพระเจ้าอยู่หัว ราชวงศ์...ฯลฯ...
    พระสังฆราช เราก็ยังต้องใช้คำราชาศัพท์เช่นกัน

    เมื่อกล่าวถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จึงสมควรที่จะใช้คำราชาศัพท์

    สงสัยจะดูลิเกมากไป เลยไม่ได้รู้อะไรกับเค้าเลย

    (smile)


     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คงจะข้อความนี้กระมัง
    สงสัยจะดูลิเก หรือละครจักรๆวงศ์ๆมากไป เลยไม่รู้จักพลังจิต พลังสติ
    เอ่อ เข้ามาเล่นอยู่เวบพลังจิตแท้ๆ ไหงไม่รู้จักพลังจิตไปได้

    พลัง ก็คือ พละ ก็คือ กำลัง


    (smile)
     
  8. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    จิตคือ ธาตุรู้ ธาตุรู้ยังไงก็เป็นธาตุรู้วันยังค่ำ
    ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ได้

    แต่สิ่งที่ถูกธาตุรู้ รู้ต่างหากล่ะ ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา

    ที่เราพูดออกมาว่า เราไม่รู้ แสดงว่าเรายังรู้อยู่นะว่าเราไม่รู้
    ถ้าเราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ เราจะพูดออกมาได้รึ

    ใครว่าไม่มีการปรุงแต่งล่ะ ไปปรุงแต่งเรื่องอื่น
    เพราะเรื่องที่ถูกรู้นั้น แปรเปลี่ยนตลอดเวลา


    (smile)
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    กลัวใจตัวเองรึไง
    กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองเข้าใจและยึดถือมาตลอดนั้นไม่ถูกไม่ตรงรึไร

    ที่กล่าวไว้ข้างบนนั้น แค่ระดับกัลยาณปุถุชนก็รู้ได้แล้ว
    เพราะตลอดสายของการปฏิบัตินั้น ผู้ปฏิบัติต้องรู้ตลอด
    (ถ้าบอกว่าบางตอนไม่รู้ แสดงว่าตอนนั้นตกภวังค์ หลับไปสิ ไม่มีสติกำกับ)

    จิตไม่เคยดับ แต่จิตเห็นอารมณ์เกิดขึ้นที่จิต ตั้งอยู่ที่จิต และดับไปจากจิต
    อารมณ์แล้วอารมณ์เล่า

    ก็เห็นชอบพูดกันว่า ตอนปฏิบัติอยู่นะเห็นเลยว่าจิตเกิดดับ
    เอ่อ แล้วอะไรเห็น(ว่าจิตเกิดดับ)...
    ตัวเห็นเนี่ยไม่ได้ดับนี่นาถึงบอกออกมาได้ว่าเห็น

    (smile)
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เอาของแท้มาให้อ่านประเทืองปัญญา
    (smile) อ่านเต็มๆ พุทโธคือหลักของใจ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ทุกวันนี้ท่านยังรับรู้ทุกข์ไม่พออีกหรือ ยังต้องรู้ทุกข์อีกเท่าไหร่จึงจะพอ
    ทุกวันนี้ทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น มันก็เกิดเป็นอยู่ของมันแบบซ้ำๆซากๆอยู่แล้ว ยังรู้จักทุกข์ไม่พอรึ???
    การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ก็เพื่อให้ออกจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น
    มีแต่คนบ้าหรือไม่ก็เมาเท่านั้น ที่เห็นทุกข์อยู่ตรงหน้าแล้ววิ่งเข้าใส่ เพราะออกจากทุกข์ไม่เป็น...

    เหตุแห่งทุกข์คืออะไร??? เพราะจิตชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ใช่มั้ย??? ผลจึงเป็นทุกข์
    การละเหตุก็คือการรู้จักระวังรักษาจิตให้รู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งของสติเท่านั้น จึงเท่ากับการละเหตุ(จิตไม่แส่ส่ายออกไป)

    ฉะนั้นจึงรวมความได้ว่า เราต้องรู้ก่อนเกิด เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการตั้งอยู่ ก็ไม่มีการดับไป
    แต่ถ้าต้องมารู้ก่อนค่อยดับ เมื่อเรื่องเกิดขึ้นค่อยมารู้ เรื่องนั้นก็ต้องตั้งอยู่ต่อไป เรื่องนั้นสำเร็จแล้วจึงค่อยดับ....

    ;aa24
     
  13. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418

    ผมต้องขออนุโมทนาท่านขันธ์ ที่ช่วยชี้ทางที่เป็นกุศลให้กระผมเดิน
    ครับ ขอขอบพระคุณครับ
     
  14. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เขากำลังถกกันเรื่องการนำ ข้อปริยัติหรือบัญญัติมาใช้หรือการตีความบัญญัติอยู่
    ดันยกเอาพุทธพจน์มาอ้างอีก
    ......พุทธพจน์หรือพระธรรมที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเถียงหรอก
    ครับ แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า การนำมาถ่ายทอดอีกต่อมันผิดไป
    จากคำสอนที่จริงแท้มั้ย หรือแม้กระทั้งผู้ที่ปฏิบัติไปตีความใน
    บัญญัติผิดๆ อย่างเช่นกำลังพบในกระทู้นี้
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ขอบพระทัยพะยะค่ะ พระสนม

    ขอให้พระชนม์ยื่นยาวหมื่นๆปี
     
  17. dokai

    dokai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +71
    ที่มันเป็นประเด็นถกกันมากมาย มันก็โยงมาจากสิ่งเหล่านี้แหละ ประสบการณ์การประพฤติ กับ หลักการมันคาดเคลื่อน ยักเยื่องด้วยเหตุปัจจัยมากมาย เช่นกัน ถ้าตามหลักการ บอกว่า จิตเกิดดับเป็นขณะๆ พอคนได้ยินจดจำหลักมา ก็คิดว่าจิตเกิดดับเป็นขณะๆ จะว่ามันผิดมันก็ไม่เชิงที่เดี่ยวที่จะคิดว่าเป็นแบบนั้น บอกว่าถูกมันก็ไม่ได้ อรรถรส มันคนละอย่างจากภาษา

    อย่างไรก็ตาม ขอบพระคุณที่ชี้แจ้ง และยินดีที่สนทนาด้วยครับ
    ในประเด็นที่คุยกันมา ผมไม่มีประเด็นสงสัยอะไรอีก หากมีประเด็นใหม่ ก็ขออนุญาติมาสนทนาใหม่ก็แล้วกัน

     
  18. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418

    ผมจะบอกให้นะครับว่าที่ท่านมีความรู้สึกเยี่ยงนี้ก็เพราะ ท่านไม่ได้แยกรูป
    นามออกจากกัน กายต้องอยู่ส่วนกาย จิตต้องอยู่ส่วนจิต
    .....เพราะท่านมัวแต่ไปยึดเอาสัญญาที่เกิดจาก จิตไปเห็นอาการทางกาย
    ซึ่งเราพิจารณาดูดีๆ ก็จะรู้ได้ว่า จิตมีลักษณะใด ก็จะไปชี้นำให้กายมีอาการไปตามที่จิตเป็น

    ......ที่นี้เมื่อเข้าวิปัสนา จากการที่เข้าใจว่าจิตมีดวงเดียวไม่เกิดดับ และเป็น
    ผู้รู้ เมื่อเกิดอารมณ์ใดขึ้น เนื่องจากความเข้าใจแต่ต้น จึงทำให้เกิด
    สัญญาที่จิตไปดูกาย ซึ่งกายเป็นอาการของจิต จึงเกิดสับสนว่า
    สภาวะอื่นนอกจากรู้คืออาการของจิต

    .....ท่านก็บอกเองว่า จิตเป็นธาตุรู้ไม่มีแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
    ท่านอย่าเอาบัญญัติ ที่ท่านไม่มีความเข้าใจมามัดตัวเองซิครับ
    ......ธาตุรู้ย่อมเป็นธาตุรู้อย่างเดียว ธาตุย่อมเป็นสิ่งบริสุทธิ์
    แล้วมันมีอาการอื่นๆมาปนได้อย่างไรครับ


    พูดอะไรอย่าสักแต่พูด พูดไปเรื่อย ท่านบอกเองนะว่าปุถุชน
    ท่านบอกว่ารู้ตลอดแสดงว่าไม่เกิด โมหะเลยรึ ไม่น่าเชื่อ!
    .....รู้ตลอดมีสติตลอด(นอกจากเวลาหลับ) แบบนี้ไม่ใช่ปุถุชนแล้วละครับ

    ท่านมั่วหรือเปล่าครับ ที่ว่าผมชอบพูดเห็นจิตเกิดดับ
    เอาละครับถึงแม้จะไม่ได้พูดผมก็อธิบายได้ครับ
    ที่บอกว่าเห็นจิตเกิดดับ อันที่จริงต้องบอกว่ารู้ว่าจิตเกิดดับ
    .....ที่ว่ารู้จิตดับไปก็คือเกิดสภาวะรู้ตัวใหม่เกิดขึ้น ความหมายคือ
    ไปรู้ถึงสภาวะที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ถ้าจะถามอีกว่ารู้ได้อย่างไร ก็ต้อง
    ตอบว่ามันแตกต่างกันครับ




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2009
  19. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมขอทำความเข้าใจใหม่นะครับท่าน " ดูไกล" ตอนแรกที่พิมพ์ก็คือรีบพิมพ์
    ไม่ได้ตรวจทาน แล้วอีกใจคิดว่า เรี่องบัญญัติอาจไม่สำคัญ แต่มาเห็น
    ข้อคิดเห็นของท่านแล้ว เลยรู้ว่าตัวเองมักง่ายเกินไป ผมขอแก้เป็น สภาวะที่เป็นกุศลครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    http://www.santi-tham.com/th/topic5.php
    สติคือสมมุติ ฟังนาทีที่21
    ดูความคิดคิดว่าดูจิต เห็นอาการของจิต คิดว่าเห็นตัวจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...