บทความให้กำลังใจ(คืนสู่สามัญ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    44,755
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เคยเสียแล้ว
    รินใจ
    “ย่ายิ้ม” มีรอยยิ้มประดับใบหน้าเป็นอาจิณสมชื่อ มองจากมาตรฐานของคนสมัยนี้ ชีวิตของย่ายิ้มนับว่าลำบากลำบนอย่างยิ่ง เพราะอยู่บ้านกลางป่าเพียงลำพัง ต้องหุงหาอาหารกินเอง บางทีก็มีแต่หัวกลอยนึ่งมะพร้าวคั่วเป็นอาหารเพราะข้าวสารหมด ไฟฟ้าน้ำประปาไม่ต้องพูดถึง ย่ายิ้มอาศัยตะเกียงน้ำมันมาช้านานแล้ว หมู่บ้านที่อยู่ใกล้สุดนั้นห่างถึง ๘ กม. เส้นทางลงเขาก็ทุรกันดาร อย่าว่าแต่คนเลย แม้รถยนต์ก็ขึ้นลำบาก แต่ทุกวันพระย่ายิ้มจะเดินกะย่องกะแย่งลงมาแต่เช้ามืดเพื่อเข้าวัดรักษาศีล ขากลับจึงแบกข้าวสาร พริก หอม กระเทียมขึ้นเขา ซึ่งมักได้จากความเอื้อเฟื้อของเพื่อนบ้านคราวลูกคราวหลาน

    แม้อายุถึง ๘๓ แต่ย่ายิ้มก็ยังพึ่งตัวเองได้แทบทุกอย่าง โดยใช้น้ำพักน้ำแรงของตน เงินมีความหมายน้อยมากต่อย่ายิ้ม เงินผู้สูงอายุที่ได้รับจากรัฐบาล ๕๐๐ บาททุกเดือน ย่ายิ้มถวายวัดทำบุญหมด ย่ายิ้มเคยพูดว่า “ความเจริญอยู่ที่ไหน มันก็ทุกข์ยากที่นั่น อยู่บนเขานี้ ไม่มีเงินก็ยังอยู่ได้ ไม่เหมือนที่คลองตาล (ตำบลใกล้เคียง) ไม่มีเงินอยู่ไม่ได้เลยหนา ต้องซื้อเอาทุกอย่าง ยิ่งแก่แล้ว ทำนาไม่ไหว ไปอยู่ก็ต้องเดือดร้อนเขา”

    ย่ายิ้มเลือกมาใช้ชีวิตกลางป่าจะได้ไม่เป็นภาระแก่ใคร แต่ถ้าถามว่าย่ายิ้มอยู่อย่างนั้นลำบากไหม รอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีย่อมเป็นคำตอบอยู่แล้วในตัว แต่หากถามจี้ลงไป ย่ายิ้มก็จะตอบอย่างซื่อ ๆ ไม่ซับซ้อน ด้วยประโยคหนึ่งที่ติดปาก

    นิตยสารค.คน เคยถามย่ายิ้มว่า เดินลงเขาไปวัดไม่เหนื่อยหรือ ทางก็ยากลำบาก ไกลก็ไกล
    “ก็มันเคยเสียแล้วหนา” ย่ายิ้มตอบ
    อยู่คนเดียว มืดค่ำเจ็บป่วยจะทำอย่างไร ไม่มีใครดูแล
    “ก็ไม่เคยเจ็บหรอกหนา ถ้าเป็นอะไร มันก็เคยเสียแล้วหนา”
    บางช่วงย่ายิ้มไม่มีข้าวกินเพราะฝนตกหนักลงมาเอาข้าวสารไม่ได้ ต้องขุดหัวกลอยมากิน อย่างนี้จะอิ่มหรือ
    “ก็มันเคยแล้วหนา”
    หม้อหุงใบเก่าย่ายิ้มใช้นานจนรั่ว จึงต้องตะแคงหุง หุงแบบนี้ไม่ลำบากหรือ
    “ก็มันเคยเสียแล้วหนา”

    “ก็มันเคยเสียแล้วหนา”คงไม่ใช่คาถาที่ย่ายิ้มใช้ปลอบใจตนเอง แต่เกิดจากความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ธรรมดาเพราะคิดเอาหรือเห็นจากชีวิตของคนอื่น แต่เป็นผลจากประสบการณ์ที่ผ่านความยากลำบากมามากจนไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาอีกต่อไป

    ดูเหมือนว่าความยากลำบากไม่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของย่ายิ้มอย่างไร้ประโยชน์เลย ความยากลำบากทั้งปวงในอดีตได้ทำให้ย่ายิ้มเกิดความคุ้นเคยกับมัน จนไม่รู้สึกว่ามันเป็นความยากลำบากหรือความทุกข์อีกต่อไป จะเรียกว่ามันสร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ให้แก่ย่ายิ้มก็ได้

    คนทุกวันนี้คิดแต่จะหนีความทุกข์ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น อย่าว่าแต่ความทุกข์ใจเลย แม้แต่ความทุกข์กาย เช่น ความยากลำบาก ก็ต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเจอแล้ว ก็มักจะทุกข์ใจตามมาเพราะยอมรับไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการพลัดพรากสูญเสียคนรักสิ่งรัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่สมหวังดั่งใจ เกิดขึ้นเมื่อใด ก็อดไม่ได้ที่จะตีโพยตีพาย ร่ำไรรำพัน นั่นก็เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งเหล่านี้ ไม่ต่างจากคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อ เพราะขาดภูมิคุ้มกันโรคเหล่านั้น

    ภูมิคุ้มกันโรคจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อร่างกายเคยสัมผัสกับเชื้อโรคดังกล่าวฉันใด ภูมิคุ้มกันความทุกข์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชีวิตเคยประสบกับความทุกข์มาก่อนฉันนั้น แต่อาจไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเหมือนภูมิคุ้มกันโรค หากต้องเจอหลาย ๆ ครั้ง (เพราะใจมักจะขี้หลงขี้ลืม) ดังนั้นการประสบกับความทุกข์หรือความยากลำบาก จึงมิใช่เรื่องเลวร้ายอย่างเดียว แต่ก็ให้ประโยชน์แก่เราด้วย ในทางตรงข้ามการหลีกหนีความทุกข์อยู่เสมอ แม้จะทำได้สำเร็จก็มีโทษแฝงอยู่ เพราะทำให้เราขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ เมื่อใดที่หนีความทุกข์ไม่สำเร็จ ก็จะกลัดกลุ้มหรือเศร้าโศกทันที

    แต่จะกลัดกลุ้มเพียงใด ก็อย่าลืมว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นมีประโยชน์แก่เราเสมอ หากมองเห็นประโยชน์แล้วใช้ให้เป็น ก็ถือว่า “กำไร” แต่ถ้ามองไม่เห็น ก็ “ขาดทุน”สถานเดียว คือทุกข์ใจโดยไม่ได้อะไรเลย

    ความทุกข์ยากลำบากที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต นอกจากจะช่วยให้เราคุ้นเคยกับความทุกข์จนไม่หวั่นไหวกับมันแล้ว ยังทำให้เรามีกำลังใจที่จะก้าวข้ามความทุกข์ใหม่ ๆ ที่พลัดเข้ามา ในยามที่คร่ำครวญหรือเจ็บปวดเพราะความทุกข์เหล่านั้น หากเราย้อนรำลึกถึงวันเก่า ๆ ที่เราเคยผ่านพ้นความทุกข์แบบนั้นมาได้ ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าในที่สุดเราก็จะผ่านพ้นมาได้อีก เราอาจไม่ถึงกับรู้สึกเหมือนย่ายิ้มว่า “ก็มันเคยเสียแล้ว” แต่อย่างน้อยก็สามารถพูดกับตนเองได้ว่า “ก็เคยผ่านมาแล้ว” ดังนั้นครั้งนี้ก็จะผ่านได้เช่นกัน

    อย่าปล่อยให้ความทุกข์ผ่านเข้ามาในชีวิตเราอย่างไร้ประโยชน์ ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า “ป่วยทุกที ก็ฉลาดทุกที” นั่นคือเมื่อล้มป่วย ก็อย่ามัวแต่ร่ำไรคร่ำครวญ ควรมองว่าความเจ็บป่วยกำลังสอนธรรมแก่เราในเรื่องความผันผวนปรวนแปรของชีวิต ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อวานยังปกติดี แต่วันนี้กลับป่วยเสียแล้ว ความเจ็บป่วยยังสอนเราว่า ร่างกายนี้ไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย จะสั่งให้มันไม่ป่วย มันก็ไม่ยอม ดังนั้นจะเรียกว่ามันเป็นของเราได้อย่างไร มองให้ดี ความเจ็บป่วยยังเตือนใจเราไม่ให้ประมาท ในเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน ในขณะที่ยังมีเวลาหรือเรี่ยวแรงอยู่ ก็ควรเร่งทำสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่สมควรทำให้แล้วเสร็จ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะหากผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็อาจไม่มีโอกาสทำสิ่งเหล่านั้น

    เงินหาย อกหัก งานล้มเหลว มองให้ดีก็มีประโยชน์ทั้งนั้น อย่างน้อยมันก็สอนให้เรารู้ว่าความไม่สมหวังเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่เราสามารถควบคุมให้เป็นไปดั่งใจเสียหมด มันยังเป็นเสมือนการบ้านที่ฝึกใจเราให้รู้จักปล่อยวาง เพราะถ้ายังยึดติดถือมั่น ก็จะทุกข์สองสถาน คือไม่ใช่หายแต่เงิน แต่ใจก็หายด้วย ไม่ใช่เสียแต่คนรัก แต่ยังสูญเสียชีวิตที่ปกติสุข เพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำอะไร ไม่ใช่เสียแต่งาน แต่ใจก็เสียด้วย รวมไปถึงสูญเสียความมั่นใจในตนเอง แต่ถ้ามองให้เป็น ความล้มเหลวก็ทำให้เกิดความกล้ามากขึ้น

    นักธุรกิจคนหนึ่งเล่าว่าเขาเคยกลัวความล้มเหลวมาก ไม่กล้าลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนใจ ยอมลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้นเคย แล้วสิ่งที่เขาหวาดกลัวก็เกิดขึ้น นั่นคือธุรกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นสิ่งดีสำหรับเขาเพราะได้พบว่าเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้น ฟ้าก็ยังไม่ถล่ม โลกก็ยังไม่ทลาย มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด นับแต่นั้นเขาก็เลิกกลัวความล้มเหลว และกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งในที่สุดได้นำความสำเร็จมาสู่ชีวิตของเขา

    ความยากลำบากและความไม่สมหวังนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น ถ้ามองว่ามันเป็นปัญหา ก็จะทุกข์ใจได้ง่าย อย่าว่าแต่เรื่องใหญ่ ๆ เลย แม้แต่สิวฝ้า รอยเหี่ยวย่น ผมหงอก ถ้ามองว่าเป็นปัญหา ก็สามารถทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ขาดความมั่นใจในตนเอง แต่หากเห็นว่ามันเป็นธรรมดา ถึงแม้จะทุกข์ยากลำบากอย่างย่ายิ้ม ก็ยังสามารถยิ้มได้อย่างอารมณ์ดี

    อะไรที่เป็นธรรมดาไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องทำอะไรกับมัน เจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่ก็สมควรเยียวยารักษา และหาทางป้องกันตามสมควร แต่ถึงจะเยียวยาไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ผล อย่างน้อยใจก็ไม่เป็นทุกข์ มีแต่กายเท่านั้นที่ทุกข์ พูดอีกอย่าง ถึงจะป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย ในทำนองเดียวกันแม้จะเจอความยากลำบาก มีแต่กายเท่านั้นที่ลำบาก ส่วนใจกลับสุขสบาย
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255404.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    44,755
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    เปิดใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อแสงเงินแสงทองทาทาบฟ้า พระออกบิณฑบาตได้พักใหญ่แล้ว อาจารย์จึงชวนศิษย์นับสิบเดินจงกรมรับอรุณ อาจารย์แนะให้ทุกคนเดินแต่ละก้าวอย่างมีสติ ปล่อยวางความคิดนึกต่าง ๆ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบตา หู จมูก หรือกาย ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรุงแต่ง หากใจกระเพื่อม ยินดียินร้าย ก็ให้รู้ทัน ไม่หลุดลอยจากปัจจุบัน รับรู้แต่ละก้าวที่เดิน

    สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสลับไร่มันสำปะหลัง จิ้งหรีด จักจั่น ส่งเสียงระงมไม่ขาดสาย มีเสียงนกร้องเป็นระยะ ๆ ขณะที่ลมเย็นพัดมาเบา ๆ บรรยากาศน่ารื่นรมย์ เมื่อเดินจงกรมเสร็จ อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างที่เดินจงกรม มีใครได้ยินเสียงจิ้งหรีดจักจั่นบ้าง มากกว่าครึ่งตอบว่าไม่ได้ยินเลย ทั้ง ๆ ที่เดินเกือบชั่วโมง เมื่อถามถึงสาเหตุ ทุกคนตอบว่า คิดตลอดทาง บางคนเป็นห่วงบ้าน บางคนนึกถึงงานที่คั่งค้างอยู่


    แม้เราฟังด้วยหู แต่จะได้ยินก็ต้องอาศัยใจด้วย หากใจมัวหมกมุ่นครุ่นคิด ก็อาจไม่ได้ยินสรรพสำเนียงรอบตัว หนึ่งในนั้นอาจเป็นเสียงที่ไพเราะจรรโลงใจ เราเคยคิดหรือไม่ว่าในแต่ละวันเสียงไพเราะเพราะพริ้งที่ผ่านหูเราแล้วเลยออกไปโดยไม่สัมผัสใจเรามีมากมายเพียงใด

    เช้าวันหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงวอชิงตันเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งสีไวโอลินบรรเลงเพลงคลาสสิคประมาณ ๔๕ นาที ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่นั่น เพราะมีวณิพกมาเล่นดนตรีเป็นประจำ ผ่านไป ๔ นาทีจึงมีผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินใส่หมวกของเขาที่วางอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฟัง อีก ๖ นาทีต่อมามีเด็ก ๓ ขวบคนหนึ่งหยุดฟัง แต่ถูกแม่ดึงออกไป หลังจากนั้นมีเด็กอีกหลายคนสนใจฟัง แต่ก็ถูกผู้ปกครองลากตัวออกไปเพื่อขึ้นรถใต้ดินให้ทัน เมื่อเขาสีไวโอลินจบ มีคนเดินผ่านเขามากกว่า ๑,๐๐๐ คน แต่มีเพียง ๗ คนเท่านั้นที่หยุดฟังเพลง กระนั้นก็สนใจแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มี ๒๗ คนที่ให้เงินเขาแต่ก็ยังเดินต่อไป เช้าวันนั้นเขาได้เงินทั้งหมด ๓๒ ดอลลาร์ ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหยุดบรรเลงเพลงเมื่อใด ไม่มีเสียงปรบมือ เพราะไม่มีใครสนใจเขาเลย

    ไม่มีใครสังเกตว่าวณิพกผู้นั้นคือ โจชัว เบลล์ (Joshua Bell) นักดนตรีชื่อก้องโลก เขาบรรเลงเพลงของบ๊าคซึ่งได้รับการยกย่องว่าไพเราะลุ่มลึกอย่างยิ่ง ไวโอลินที่เขาใช้มีราคาสูงเกือบ ๔ ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นแค่ ๒ วันเขาเปิดการแสดงสดที่บอสตัน บัตรราคาเฉลี่ย ๑๐๐ เหรียญขายหมดเกลี้ยง

    การทดลองดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่เสียงธรรมชาติที่คุ้นหูเลย แม้แต่เสียงเพลงอันไพเราะจากนักดนตรีระดับโลก ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแค่เสียง แต่ใจไม่สามารถสัมผัสรับรู้ถึงความเพราะพริ้งได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะทุกคนต่างเร่งรีบ ในใจมัวครุ่นคิดอยู่กับการเดินทาง หรือไม่ก็กังวลกับเรื่องงาน จึงปิดรับสุนทรียรสที่ปรากฏต่อหน้า (น่าสังเกตว่าเด็กหลายคนกลับรู้สึกว่าเพลงของเขาไพเราะจนหยุดฟัง นั่นคงเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นใจไม่ “วุ่น” เหมือนผู้ใหญ่)

    มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากมายในแต่ละวัน แต่บ่อยครั้งเรากลับปิดใจไม่รับรู้สิ่งเหล่านั้น เพราะวุ่นอยู่กับเรื่องราวในอดีตหรือกังวลกับอนาคต หลายคนมุ่งมั่นแต่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้า จนลืมมองว่ารอบตัวนั้นงดงามเพียงใด

    ประมวล เพ็งจันทร์ ซึ่งเคยเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุยบ้านเกิดโดยไม่พกเงินแม้แต่บาทเดียว เล่าว่าคราวหนึ่งได้เดินขึ้นดอยอินทนนท์ วันนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก ใกล้จะถึงยอดดอยก็หมดแรง หายใจแทบไม่ออก รู้สึกราวกับจะขาดใจตาย จึงนอนแผ่แน่นิ่ง กระทั่งมีคนเห็นและรับขึ้นรถไปถึงยอดดอย

    เมื่อได้พักผ่อนเต็มที่ เรี่ยวแรงกลับมา เขาก็เดินลงมาอย่างช้า ๆ ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าทัศนียภาพตลอดเส้นทางงดงามมาก เขาหยุดเป็นพัก ๆ เพื่อชื่นชมธรรมชาติรอบตัวและทิวทัศน์อันกว้างไกล จิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง จนอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า “มหัศจรรย์”

    แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าเหตุใดตอนขาขึ้นจึงไม่เห็นความงดงามเหล่านี้เลย นั่นเป็นเพราะจิตใจตอนนั้นคิดถึงแต่ยอดดอยอันเป็นจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง

    ความคิดนั้นเมื่อครอบงำจิตเมื่อใด ก็สามารถปิดกั้นใจไม่ให้รับรู้ความงามได้ ใครที่จมอยู่กับความคิด จึงไม่ได้ยินเสียงอันไพเราะ มองไม่เห็นธรรมชาติอันรื่นรมย์ จะว่าไปแล้ว ไม่แต่ความงามเท่านั้น ความจริงก็อาจถูกปิดกั้นเพราะความคิดด้วยเช่นกัน

    วันหนึ่งขณะที่ “อ้วน”กับเพื่อนขึ้นสะพานคนเดินย่านวงเวียนใหญ่ เธอสังเกตเห็นธนบัตร ๑,๐๐๐ บาท ๓ ใบตกอยู่บนพื้น จึงชี้ให้เพื่อนดู แต่แทนที่เธอจะเดินไปหยิบ กลับพูดว่า “แบ๊งค์ปลอมแหง ๆ ไม่งั้นก็ต้องมีคนหยิบไปแล้ว” เพื่อนจึงเป็นฝ่ายเดินไปหยิบเอง ปรากฏว่าเป็นธนบัตรจริง เธอจึงรู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้โชคหลุดมือไป แต่เพื่อนยังใจดีแบ่งให้เธอ ๑,๐๐๐ บาท

    ธนบัตรจริงตกอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่อ้วนกลับมองเห็นเป็นแบ็งค์ปลอม เพราะติดยึดกับความคิดที่ว่าไม่มีใครปล่อยให้ของจริงหลุดมือไป ความคิดนี้แม้จะดูมีเหตุผล แต่ก็เป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ไม่มีคนหยิบธนบัตรไปก็เพราะมองไม่เห็นเนื่องจากใจลอย หรือไม่ก็คิดแบบเดียวกับเธอ ความคิด เหตุผล กับความจริงนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้าติดยึดกับความคิดหรือเหตุผลมากไป ก็อาจมองไม่เห็นความจริง หรือปฏิเสธหัวชนฝา

    ความคิดใดก็ตาม หากเรายอมให้มันครองใจ มันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตของมันเอง มันพยายามทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ความจริงปรากฏต่อหน้าต่อตา แต่ถ้าสวนทางกับความคิดนั้น มันสามารถสรรหาเหตุผลร้อยแปดหรือใช้อุบายนานัปการเพื่อไม่ให้เรายอมรับความจริงนั้น (เช่น ทำให้ความจริงนั้นไม่น่าเชื่อถือ) เพราะถ้าเรายอมรับความจริงดังกล่าว ความคิดนั้น ๆ ก็อยู่ไม่ได้

    เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ยังมีคนจำนวนมากมายที่ไม่เชื่อว่าโลกกลม คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในป่าอเมซอนหรือเกาะนิวกีนี แต่อยู่ในประเทศที่เจริญอย่างยุโรปและอเมริกา ในประเทศอังกฤษมีคนตั้ง “สมาคมโลกแบน” เพื่อยืนยันความคิดนี้ โดยมีสมาชิกไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ คน ผู้ก่อตั้งสมาคมนี้ปักใจเชื่อว่าโลกแบนเพราะมั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่ยอมรับหลักฐานทุกอย่างที่ชี้ว่าโลกกลม แม้แต่ภาพถ่ายจากยานอวกาศที่ชี้ชัดว่าโลกกลม ก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ เขาให้เหตุผลว่า “ภาพแบบนี้สามารถหลอกตาคนดูที่ไม่มีความรู้ได้”

    ความคิดไม่เพียงปิดกั้นความงามและความจริงเท่านั้น หากยังสามารถปิดกั้นความสุขได้ด้วย ความสุขมิใช่เป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัว หากมีอยู่รอบตัว อีกทั้งมีอยู่กับตัวเราตลอดเวลา คนเป็นอันมากไม่มีความสุขก็เพราะใจไม่เปิดรับความสุขหรือมองไม่เห็นความสุขดังกล่าว การมีสุขภาพดีจัดว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงความสุขดังกล่าวเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นที่ไกลตัว เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ป่วยหนัก จะรู้เลยว่าสุขภาพนั้นเป็นความสุขที่มีค่ากว่าสิ่งเหล่านั้นเสียอีก ในทำนองเดียวกัน การมีคนรักหรือผู้มีพระคุณอยู่ใกล้ตัวก็จัดว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ผู้คนมักมองไม่เห็นเพราะใจมัวครุ่นคิดกับการไขว่คว้าล่าฝันหรือจมปลักอยู่กับวันวาน

    แม้บางครั้งชีวิตจะลำบากยากเข็ญ แต่ทุกวันก็ยังมีความสุขให้เราสัมผัสได้รอบตัว อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับหรือไม่ ถ้าไม่จ่อมจมกับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ก็มีโอกาสเบิกบานและเป็นสุขได้ไม่ยาก ประมวล เพ็งจันทร์ได้เล่าถึงความประทับใจตอนหนึ่งระหว่างจาริกในอินเดีย ตอนนั้นเขาตั้งใจจะเดินเท้าจากสารนาถไปกรุงพาราณสีซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๔ กม. เดินได้สักพักก็มีสามล้อถีบขับตาม พยายามรบเร้าให้เขาขึ้นนั่ง เขาปฏิเสธอยู่นาน แต่ตอนหลังทนการรบเร้าของสามล้อไม่ได้ จึงยอมใช้บริการ ระหว่างทางสามล้อเล่าว่าเขาหาเงินไม่ได้มา ๓ วันแล้ว วันนี้ถ้ายังหาเงินไม่ได้อีก เขาไม่รู้จะกลับบ้านอย่างไร เพราะไม่มีเงินซื้ออาหารลูกทั้ง ๓ คน ฟังแล้วน่าสงสารมาก

    วันนั้นอากาศร้อนมาก แดดแรง ระยะทางก็ไกล เขาถีบสามล้อจนเหงื่อโทรมกาย เห็นแล้วยิ่งน่าเห็นใจ แต่มีช่วงหนึ่งที่ลมเย็นพัดผ่านมา ทันใดนั้นเขาก็กางมือออกแล้วชูขึ้น พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานความเย็นมาให้ แม้จะเห็นเขาแต่ด้านหลัง แต่ประมวลรู้สึกได้ทันทีว่าเขามีความสุขมาก

    น่าคิดว่าหากสามล้อผู้นี้ครุ่นคิดถึงเคราะห์กรรมและความยากลำบากของตน เขาคงไม่รับรู้ถึงลมเย็นที่มาปะทะ และคงปล่อยให้โอกาสแห่งความสุขผ่านเลยไป แม้ว่าความสุขดังกล่าวจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ก็สามารถชูใจให้เบิกบานและมีกำลังได้ ที่สำคัญก็คือความสุขแบบนี้หาง่ายและเกิดขึ้นได้ทุกเวลา สามล้อผู้นี้ไม่ยอมปล่อยใจจมปลักแห่งความทุกข์ จึงสามารถเก็บเกี่ยวความสุขที่วิ่งเข้ามาหาได้ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ว่านี้คือกำไรชีวิตที่ผู้คนส่วนใหญ่ละเลยไป

    การเปิดใจรับความเป็นจริงที่ปรากฏต่อหน้า มิใช่อะไรอื่น หากคือการเชื้อเชิญ ความสุข ตลอดจนความงาม และความจริงให้มานั่งในใจเรา จริงอยู่บางครั้งความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมิใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ เป็นความพลัดพรากสูญเสียอันไม่พึงประสงค์ แต่การปฏิเสธ ขัดขืน ต่อต้านมัน กลับจะทำให้เราทุกข์มากขึ้น คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขาไม่ได้ทุกข์กายเท่านั้นแต่ยังทุกข์ใจด้วย ตรงกันข้ามกับคนที่ยอมรับโรคดังกล่าว มีแต่กายเท่านั้นที่ป่วย แต่ใจไม่ป่วยด้วย ใจที่ไม่ป่วยนี้แหละที่สามารถชื่นชมความสุขที่มีอยู่รอบตัวได้

    กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ร่างกายจึงอ่อนแอมาก หมอเคยคาดการณ์ว่าเธอจะมีอายุไม่ถึง ๒๐ปี แต่ปัจจุบันเธอมีอายุเกือบ ๓๐ ปีแล้ว แม้ว่าจะมีโรคภัยนานาชนิดรุมเร้า แต่เธอก็มิใช่คนอมทุกข์ ความที่เธอยอมรับความจริงได้ ไม่ก่นด่าชะตากรรม ใจของเธอจึงเปิดกว้าง สามารถสัมผัสความสุขได้รอบตัว เธอเคยพูดว่า “เลือดเราอาจจะจาง จะแย่หน่อย แต่เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข”

    การเปิดใจรับความเป็นจริงที่อยู่ต่อหน้า คือการอยู่กับปัจจุบัน รับรู้ถึงความสดใหม่ในแต่ละขณะ ไม่จมอยู่ในโลกของความคิด อีกทั้งไม่อาลัยในอดีตหรือกังวลกับอนาคต การเปิดใจรับความเป็นจริงยังหมายถึงการรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ปล่อยให้อคติหรือความพอใจ-ไม่พอใจเข้ามาครอบงำ เมื่อรับรู้สิ่งใด ก็รับรู้อย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความชอบความชังขึ้นมาเป็นใหญ่ อีกทั้งไม่มีความคิดล่วงหน้าหรือความคาดหวังมาขวางกั้นสิ่งที่ได้รับรู้

    การเปิดใจให้ว่าง พร้อมรับความเป็นจริงทุกขณะ มิได้มีคุณค่าต่อชีวิตที่ผาสุกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ราบรื่นด้วย ใช่หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของผู้คนร้าวฉานก็เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ฟังกัน หรือถึงจะฟังแต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะในใจนั้นเต็มไปด้วยอคติหรือความคิดล่วงหน้า แต่เมื่อใดที่ต่างฝ่ายเปิดใจฟังกันมากขึ้น ก็จะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตัวเองคิด

    ในการอบรมคราวหนึ่ง น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ได้ชวนคู่ขัดแย้งคือหมอฟันกับผู้ช่วยมาคุยกัน โดยมีกติกาว่าเมื่อคนหนึ่งพูด อีกฝ่ายเป็นผู้ฟังอย่างเดียว ห้ามพูดแทรก และเมื่อพูดจบแล้ว ให้ผู้ฟังพูดทวนความว่าได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง หากทวนความไม่ถูกต้อง ก็จะต้องพูดใหม่ จนกว่าผู้พูดจะพอใจ

    ผู้ช่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน เมื่อพูดจบ หมอฟันก็ทบทวนสิ่งที่ผู้ช่วยพูดได้อย่างถูกต้อง แต่เมื่อถึงคราวที่หมอฟันเป็นฝ่ายพูดบ้าง ผู้ช่วยไม่สามารถทวนความได้ถูกต้อง หมอฟันต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่ผู้ช่วยก็ยังทวนความไม่ถูกอยู่ดี จนกระทั่งหมอฟันพูดครั้งที่สาม ผู้ช่วยจึงสามารถเล่าได้ถูกต้องว่าหมอฟันพูดอะไรบ้าง

    อะไรทำให้ผู้ช่วยไม่สามารถทวนความได้อย่างถูกต้อง เขาอธิบายในภายหลังว่าตอนที่ฟังหมอฟันพูดนั้น ในใจเขาคิดแต่จะเถียงหมอฟันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ยินว่าหมอฟันพูดอะไร ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่าเมื่อได้ฟังซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงแล้ว ก็เข้าใจและเห็นใจกันมากขึ้น หมอฟันถึงกับพูดว่าถ้าตนเองเป็นผู้ช่วยหมอฟันก็อาจจะทำและคิดแบบเดียวกับผู้ช่วยที่เป็นคู่กรณีก็ได้

    เรามองด้วยตา ฟังด้วยหู แต่อย่าลืมว่าเรารับรู้ด้วยใจ ถ้าใจไม่เปิด เราก็จะได้ยินและเห็นตามการปรุงแต่งของความคิดและอคติ ซึ่งสามารถกักขังเราให้ติดอยู่ในความทุกข์และความหลงได้ยาวนาน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255212.htm

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    44,755
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,040
    คืนสู่สามัญ
    รินใจ
    ๔๐ ปีที่แล้วมนุษย์คนแรกได้ไปเหยียบดวงจันทร์ โดยมีผู้คนหลายร้อยล้านทั่วโลกร่วมเป็นประจักษ์พยานทางจอโทรทัศน์ หลังจากนั้นมีอีก ๕ คณะที่ลงไปเดินบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ต่างร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มนุษยชาติ แต่เมื่อถึงปี ๒๕๑๕ การส่งคนไปสำรวจดวงจันทร์ได้ยุติ นั่นหมายความว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า ๒ แสนปีที่มีมนุษย์ยุคใหม่เกิดขึ้นในโลก มีเพียง ๒๔ คนเท่านั้นที่เคยเดินทางไปยังดวงจันทร์ และมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เท้าได้สัมผัสพื้นดวงจันทร์

    ทั้ง ๒๔ คนนั้นได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ (อย่างน้อยก็ของชาวอเมริกัน) เป็นที่รู้จักทั่วทั้งโลก และแน่นอนว่าได้รับจากจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ก็เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่คนบนพื้นโลกมีโอกาสได้เห็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น เรื่องราวของนักบินอวกาศกลุ่มนี้อยู่ในสายตาของคนทั้งโลกก็เฉพาะตอนที่พวกเขาเดินทางไปยังดวงจันทร์แล้วกลับมายังโลกได้สำเร็จ แต่ชีวิตของพวกเขาหลังจากนั้นแทบไม่มีใครรับรู้ ราวกับซ่อนอยู่ในด้านมืดของดวงจันทร์


    นักบินอวกาศเกือบทุกคนพบว่า ส่วนที่ยากที่สุดในชีวิตมิใช่การเสี่ยงอันตรายไปยังดวงจันทร์ แต่กลับเป็นตอนที่กลับมายังโลกแล้ว ชีวิตหลังกลับจากดวงจันทร์นั้นเป็นส่วนที่ปรับตัวได้ยากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้กลายเป็นคนเด่นคนดังที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่เป็นเพราะว่าหลังจากที่ฉลองความสำเร็จ ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ ได้รับเชิญไปออกโทรทัศน์ และโด่งดังไปพักใหญ่ พวกเขาก็กลับมาเป็นคนธรรมดา ที่ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป

    ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา นี้เป็นความจริงที่แสนธรรมดา แต่การทำใจยอมรับความจริงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นจุดเด่นในงานเลี้ยง เจมส์ โลเวลล์ (James Lovell) ผู้บัญชาการยานอพอลโล ๑๓ (ซึ่งมีชื่อเสียงจากภารกิจที่ล้มเหลวในการเหยียบดวงจันทร์แต่พาทุกคนกลับมายังพื้นโลกได้อย่างปลอดภัย) ถอดประสบการณ์ของตัวเองมาพูดเมื่อเขาแนะเพื่อนคนหนึ่งซึ่งได้รับความชื่นชมอย่างล้นหลามจากงานเขียนของเขาว่า “จำไว้นะว่าคุณยืนอยู่ตรงไหนเมื่อสปอตไลท์ดับ เพราะ(หลังจากนั้น)คุณต้องหาทางลงจากเวทีเอาเอง”

    เจมส์ โลเวลล์ก็เช่นเดียวกับเพื่อนในกลุ่ม ที่พบว่า ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับแสงสีบนเวที จู่ ๆ สปอตไลท์ก็ดับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะคลำเจอทางลงจากเวทีได้ก็ใช้เวลานาน และใช้เวลานานกว่านั้นกว่าจะทำใจได้ว่า เวลาอันแสนสั้นบนเวทีนั้นจบลงแล้ว แต่ถ้าใครยังหลงใหลความเย้ายวนของแสงสีบนเวที เขาก็ต้องจมอยู่กับความเศร้าสร้อยสถานเดียว

    อย่างไรก็ตามความโด่งดังเพียงชั่วครู่ ยังไม่เป็นปัญหามากเท่ากับการพบความจริงว่า ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของคุณนั้นสิ้นสุดลงแล้ว นักบินอวกาศทุกคนถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักทั้งทางกายและจิตใจติดต่อกันหลายปีเพื่อภารกิจประการเดียวเท่านั้นคือไปถึงดวงจันทร์ให้ได้แล้วกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาทุ่มเททุกอย่างและพร้อมเสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบเพราะตระหนักดีว่าภารกิจของตนนั้นมีความสำคัญต่อประเทศชาติและมนุษยชาติมากเพียงใด ทุกคนย่อมดีใจสุดซึ้งเมื่อสามารถทำภารกิจดังกล่าวได้สำเร็จ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว แต่หลังจากนั้นล่ะ......

    นักบินอวกาศเหล่านี้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๔๐ นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่กับความจริงที่ว่าวันเวลาอันยิ่งใหญ่อย่างนั้นไม่มีอีกแล้ว สำหรับคนส่วนใหญ่ นี้คือความจริงอันเจ็บปวดที่ยากจะทำใจได้ บางคนไม่ทันรอให้ผ่านข้ามปีด้วยซ้ำ เดวิด สก็อตต์ (David Scott) ผู้บัญชาการอพอลโล ๑๕ เล่าความในใจว่า ไม่กี่วันหลังกลับจากภารกิจอันยิ่งใหญ่บนดวงจันทร์ เมื่อมาพบตัวเองอยู่ในลานหน้าบ้านขณะที่เพื่อนจัดงานเลี้ยงย่อม ๆ ให้ เขาอดคิดในใจไม่ได้ว่า “ ตูมาทำอะไรอยู่ที่นี่ (วะ)?”

    เกือบทุกคนใฝ่ฝันที่จะกลับไปทำภารกิจอันยิ่งใหญ่อีก แต่เมื่อโครงการสำรวจดวงจันทร์ยุติลงในปี ๒๕๑๕ ความฝันดังกล่าวก็ปิดฉากลงอย่างสนิท หลายคนทำใจไม่ได้ที่จะกลับไปทำงานเดิม (เช่น ออกแบบเครื่องบิน หรือทำงานจัดการ)อย่างที่เคยทำก่อนมาเป็นนักบินอวกาศ เพราะรู้สึกว่ามันธรรมดาเกินไป คนเหล่านี้โหยหาภารกิจที่ยิ่งใหญ่และท้าทายอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อไม่พบว่ามีอะไรมาแทนที่ได้ จึงรู้สึกว่างเปล่าในชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจที่บางคนติดเหล้างอมแงมแถมซึมเศร้า เช่น บั๊ซ อัลดริน (Buzz Aldrin) ซึ่งเหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่สองถัดจากนีล อาร์มสตรอง ขณะที่หลายคนหันไปเอาดีทางการเมือง ซึ่งเป็นงานที่ตื่นเต้น ท้าทาย และมีความหมาย แต่ก็เทียบไม่ได้กับภารกิจบนดวงจันทร์

    “การกลับลงมาจากยานอพอลโลเป็นเรื่องหิน” ชาร์ลี ดุ๊ค (Charlie Duke)นักบิน
    อพอลโล ๑๖ เคยกล่าวไว้ บั๊ซ อัลดริน ก็แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า “การเปลี่ยนจาก “นักบินอวกาศที่เตรียมตัวทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ” มาเป็น “นักบินอวกาศที่เล่าถึงสิ่งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ได้ทำ” ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมเลย” ดูเหมือนจะมีไม่กี่คนที่พอใจหรือปรับใจได้กับการกลับมาดำเนินชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

    การเดินทางไปให้ถึงดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าก็คือการกลับมายังโลก และเดินเหินอยู่บนพื้นโลกอย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ว่า เรื่องราวของนักบินอวกาศเหล่านี้ยังบอกเรามากกว่านั้นว่า การขับเคี่ยวให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยากก็จริง แต่ที่ยากกว่าก็คือการเดินลงมาจากความสำเร็จแล้วยังยิ้มได้ ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะมาในรูปของภารกิจอันยิ่งใหญ่ แชมป์เหรียญทอง ดารายอดนิยม นักเขียนมือรางวัล หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ตาม

    คนเก่งที่พากเพียรจนบรรลุความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนั้นมีมาก แต่ที่มีน้อยมากก็คือคนที่พร้อมกลับมาเดินดินเหมือนคนทั่วไปได้ ทั้งนี้ก็เพราะความสำเร็จนั้นมีเสน่ห์ มันทำให้เราเป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้อัตตาพองโต อัตตานั้นเสพติดความสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศ จึงทำใจไม่ได้เมื่อต้องเหินห่างจากความสำเร็จนั้น หลังจากที่พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีไปได้ ๗ ปี บิล คลินตันก็ยังยอมรับว่าเขายังทำใจได้ยากที่กลายมาเป็นราษฎรเต็มขั้น “คิดดูสิว่าตอนผมเป็นประธานาธิบดี เขาจะบรรเลงเพลงทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้อง (แต่ตอนนี้) ไม่มีใครบรรเลงเพลงอีกแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน”

    งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไปถึงดวงจันทร์แล้วก็ต้องกลับมายังพื้นโลก ไม่มีใครที่ขึ้นเขาสูงแล้วจะอยู่บนนั้นไปตลอด หากต้องกลับมายังพื้นดิน ฉันใดก็ฉันนั้น ความสำเร็จ รวมทั้งความมั่งคั่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ และตำแหน่งหน้าที่ (ซึ่งเป็นนิยามของความสำเร็จในยุคนี้) ล้วนเป็นของชั่วคราว ถ้าใครยึดติดถือมั่นสิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็จะหลุดจากมือของเขาไป หาไม่ก็มีคนอื่นแย่งชิงไป ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ต้องคลายความยึดติดถือมั่น ระลึกอยู่เสมอว่ามันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน

    องค์การนาซ่ายอมรับในภายหลังว่าเน้นแต่การฝึกฝนขับเคี่ยวให้นักบินอวกาศมีความพร้อมทั้งกายและใจเพื่อไปถึงดวงจันทร์ให้ได้ แต่ลืมที่จะเตรียมใจนักบินเหล่านั้นเมื่อกลับมาถึงพื้นโลกแล้ว (“ผมเดาว่าพวกเขาคงคิดว่าเราโตแล้ว” เจมส์ โลเวลล์พูดถึงองค์การนาซ่า) ที่เป็นเช่นนี้คงเพราะเข้าใจว่าการกลับมาเดินเหินบนพื้นโลกเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็คิดเช่นนั้น จึงไม่เคยเตรียมใจรับมือกับการก้าวลงจากความสำเร็จ (ไม่ว่าลงเองหรือถูกเชิญลง) แผงหนังสือจึงมีแต่คู่มือสู่ความสำเร็จ แต่ไม่มีคู่มือสำหรับลงจากความสำเร็จเลยสักเล่ม

    ยอดดอยไม่ใช่จุดเดียวเท่านั้นที่จะเห็นทัศนียภาพได้งดงามที่สุด ยามลงเขาหากเปิดใจกว้าง ไม่หวนหาอาลัยความงามบนยอดดอย ก็จะพบว่ารอบตัวมีธรรมชาตินานาพรรณอันงดงามรอการชื่นชมจากเรา การลงจากความสำเร็จก็เช่นกัน มันหาใช่อวสานของวันคืนอันชื่นบานไม่ หากเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขอย่างใหม่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาเสียงตบมือของผู้คน หรือแสงไฟบนเวที หากวางใจเป็น ก็จะเห็นความสุขที่แท้ในใจเรา เป็นความสุขที่เบ่งบานในยามสงบสงัด เมื่อวางภาระทุกอย่างออกจากใจ มีแต่ความโปร่งเบา เพราะตื่นรู้ในปัจจุบัน ในยามนั้นแม้แต่ดวงจันทร์กลางค่ำคืนก็ให้ความสุขแก่เราอย่างลึกซึ้งได้ โดยไม่ต้องขึ้นไปถึงบนนั้นเลย ถึงตอนนั้นเราจะซาบซึ้งยิ่งกับถ้อยคำของท่านติช นัท ฮันห์ ว่า “การเดินบนพื้นโลกคือปาฏิหาริย์”
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255211.htm

     

แชร์หน้านี้

Loading...