บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แบ่งปันค่ะ

    ความแตกต่างระหว่าง ตัณหา และ ฉันทะ

    เมื่อแปลบาลีเป็นไทย ทั้ง ตัณหา และ ฉันทะ ก็แปลว่า ความอยาก เหมือนกัน แต่ในเนื้อแท้แล้วสภาวะธรรมทั้ง 2 นั้นต่างกัน

    ตัณหา มีกล่าวไว้ใน อริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 2 ว่า เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ถ้าต้องการละทุกข์ ให้ละตัณหาเสีย

    ตัณหา คือ ความทะยานอยากในอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 2 เมื่อตัณหาเกิดในจิต ผลก็คือ จิตที่ธรรมชาติสดใส นั้นจะเศร้าหมองมืดมัวลงไป ยิ่งตัณหาเข้าครอบงำจิตมากเท่าใด จิตที่ผ่องใส ก็ยิ่งมืดมัวลงไปจนมืดมิด

    เมื่อเกิดเป็นคน ต้องทำโน่นทำนี่ เช่น ตื่นเช้า ก็ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน นี่ก็เป็นความอยากเช่นกัน แต่ถ้า การอาบน้ำ และแปรงฟัน ไม่ได้ทำให้จิตที่ผ่องใส มัวลงไป นี่คือ ฉันทะ

    สรุป ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง ตัณหา และ ฉันทะ คือ ความอยากใดที่ทำให้จิตมืดมัวลง นั้นเป็น ตัณหา ความอยากใด ที่ทำให้จิตผ่องใสเหมือนเดิม ไม่มืดมัวลงไปกว่าเดิม นั้นคือ ฉันทะ

    คำถามมีว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่นั้น จิตมืดมัวลงไปหรือไม่

    สำหรับคนทั่วไป ยากที่จะรู้ได้ แต่ถ้าใครที่สามารถเห็นจิตตัวเองได้ จะรู้ในสภาวะนี้ว่าเป็นตัณหา หรือ ฉันทะ แต่จะมีหลักการพอที่จะใช้แทนได้ ก็คือ ถ้าการกระทำสิ่งใด ความรู้สีกตัวลดน้อยลงไป นั้นแสดงว่า ตัณหากำลังเกิดขึ้นในจิต
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อัตตวาทุปาทาน อุปาทานที่สลัดหลุดยากที่สุด

    อัตตวาทุปาทาน ความยึดถือในวาทะว่ามีตัวตน เป็นอุปาทานที่สลัดหลุดยากที่สุด สังเกตดูได้ จากอุปาทานสี่ คือ

    กามุปาทาน ยึดถือในความสุขแบบโลกๆ นักปฏิบัติบางคนก็มีอยู่น้อย บางคนสลัดหลุดได้ง่ายๆ คือไม่มีความยึดถือจริงจังกับความสุขแบบโลกๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ไม่อยากแสวงหาอะไรเพิ่มเติม แบบนี้มีอยู่มาก

    ส่วนทิฏฐปาทาน ความยึดถือในความคิดความเห็น คนที่ทำอะไรมีเหตุมีผลจะมีความยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเห็นของตนน้อยอยู่แล้ว เขาจะมีใจเปิดกว้างรับฟังความเห็นรอบด้านไม่ยึดถือเอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ มีปัญญารู้จักแยกแยะว่าความเห็นใดถูกผิด มีปัญญาเข้าใจเหตุผลต่างๆ ในความคิดของคนอื่น ย่อมไม่จริงจังมั่นหมายว่าความคิดฉันเท่านั้นที่ถูก นักปฏิบัติที่มีเหตุมีผลเหล่านี้สลัดหลุดทิฏฐุปาทานได้ไม่ยากเย็นนัก

    ส่วนสีลัพพัตตุปาทาน ยึดถือในข้อวัตรอย่างงมงาย ข้อนี้บางคนก็มีน้อยหรือบางคนก็ไม่มี บางคนสามารถเข้าใจข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผลมิใช่ด้วยความงมงาย เห็นมีอยู่มาก ชนิดที่ไม่ต้องแนะนำก็ละได้อยู่แล้ว เป็นอุปาทานอีกข้อหนึ่งที่สลัดหลุดได้ไม่ยากเย็นนักสำหรับผู้มีปัญญา

    แต่อุปาทานข้อที่เข้าใจยาก สลัดหลุดยากที่สุด แต่นักปฏิบัติสนใจน้อยที่สุด กลับเป็นอุปาทานข้อที่มีชื่อว่า ...อัตตวาทุปาทาน... ความยึดถือในวาทะว่ามีตัวตน ข้อนี้เข้าใจกันคลาดเคลื่อนมาก ปฏิบัติกันคลาดเคลื่อนตามไปด้วย เลยกลายเป็นสลัดหลุดกันไม่ได้

    ในที่สุด คำว่าอัตตวาทุปาทาน บางคนไปเข้าใจว่าหมายถึง การยึดถือว่ามีตัวตน หรือยึดถือในตัวตน เข้าใจแบบนี้การปฏิบัติจึงเป็นไปในแนวที่จะทิ้งตัวตนหรือละตัวตน ไปคิดว่าไม่มีตัวตน ซึ่งมิใช่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพียงแต่ยังเข้าใจถูกไม่ครบถ้วน ทำให้ยากต่อการปฏิบัติ

    ความจริงอุปาทานข้อนี้เขาหมายถึง การไปยึดถือในวาทะว่ามีตัวตน หรือไปยึดถือว่ามีตัวตนตามวาทะที่พูดที่กล่าวที่คิด ตรงนี้ต้องใคร่ครวญด้วยปัญญาให้ดีๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ เข้าใจผิดคิดผิดปฏิบัติผิดไปเลย

    คำว่าอัตตวาทุปาทาน คำว่าวาทะคือวาทะทั้งที่พูดคิดเขียนอ่านถือเป็นวาทะทั้งสิ้น และยึดถือในวาทะก็คือยึดถือในสิ่งที่พูดคิดเขียนอ่านนั่นเอง ส่วนวาทะที่พูดคิดเขียนอ่านในที่นี้ เขาหมายถึงวาทะที่เมื่อพูดคิดเขียนอ่านแล้วเราใส่ตัวตนใส่ความมีความเป็นให้วาทะนั้น แล้วไปยึดถือว่าสิ่งที่พูดคิดเขียนอ่านมันมีตัวตน มีสภาพ มีสภาวะ มีความมี ความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำพูด การยึดถือในวาทะว่ามีตัวตนตามคำพูดนี่คือ...อัตตวาทุปาทาน

    เช่นเราพูดว่าคน แล้วเราไปยึดถือว่ามีตัวตนของคนตามวาทะที่พูดแบบนี้ คืออัตตวาทุปาทาน ปกติปุถุชนทั่วไปต้องยึดถือว่าสิ่งที่พูดถึงล้วนมีตัวตนทั้งสิ้น เพราะอวิชชานำพาไปให้เกิดความยึดถือเช่นนั้น และโดยส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวเลย ว่าที่แท้แล้วตัวตนจริงๆ ของสิ่งไรๆ ที่เราพูดมันไม่มีอยู่จริงๆ เลย แต่พอพูดถึงเรากลับใส่ตัวตนให้สิ่งนั้นขึ้นมาทันที คือคิดเอาเองว่ามันมีตัวตน แล้วยึดถือในความคิดนั้นว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นการยึดถือผิดๆ ที่ฝังรากลึก จนบางคนไม่สามารถเข้าใจอุปาทานข้อนี้ได้เลย คือไม่เข้าใจว่าวาทะว่ามีตัวตนคืออะไรเป็นอย่างไร เพราะต่างคนต่างคิดว่าเรามีตัวตน พูดตามความจริง คือคิดว่าการมีตัวตนคือความจริง เลยยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนจริงๆ ตามวาทะที่พูด ใครบอกว่าตัวตนไม่มีจึงไม่เข้าใจ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้จิตส่วนในยอมรับได้ว่าเราไม่มี กายไม่มี จิตไม่มี คือพูดอะไรออกมาคิดว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงๆ ทั้งหมด นี่คืออุปาทานที่ละยากที่สุดในบรรดาอุปาทานทั้งสี่ ต้องใช้ปัญญายิ่ง ความเพียรยิ่ง สติชอบยิ่ง สมาธิชอบยิ่ง จึงจะเข้าใจและสลัดหลุดจากความเห็นว่ามีตัวตนตามวาทะของตนของตน

    รู้ว่าไม่มีตัวตน ใครๆ ก็รู้ แต่แค่รู้ว่าไม่มีตัวตนเห็นว่าไม่มีตัวตน ยังไม่พอ ต้องถอนความว่ามีตัวตนออกเสียให้ได้

    ปกติคนเรารู้ว่าไม่มีตัวตนกันอยู่แล้วเป็นส่วนมาก เพราะพูดถึงกันอยู่บ่อยๆ แต่ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังมีความเห็นว่ามีตัวตนอยู่ การรู้ว่าไม่มีตัวตนจึงยังไม่มีประโยชน์ ต้องหาความเห็นว่ามีตัวตนให้พบก่อน แล้วถอนความเห็นว่ามีตัวตนออกกระทั่งรากอย่าให้มีเศษเหลือ จึงจะเกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ

    เจริญธรรม
    สมสุโขภิกขุ

    cr. ธรรมะติดดิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2018
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อ่านกันให้ตาแฉะ สำหรับคนชอบอ่าน :D:p
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นำมาฝากกันค่ะ:D

     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่ต้องให้ใครเข้าใจ...เข้าใจตัวเองก็พอ ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง...บางทีมันเยอะ มันสับสน..จนต้องไปขอความเข้าใจจากคนอื่น ซึ่งมันหายาก ปากว่าเข้าใจ แต่ใจเต้นว่า "อะไรของมึง" ก็มี...

    ถ้ากำลังคิดว่าจะมีใครเข้าใจเรามากกว่าตัวเองนั้น..มันโกหก...หรือไม่ก็หลอกตัวเองไปวันวัน ว่าฉันยังมีคนที่เข้าใจ ไม่ต้องหาให้ลำบาก...ภาวนาให้ตัวเองเข้าใจตัวเองไป..

    ในชีวิตเรา...หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "การรู้จักตัวเอง และ เข้าใจตัวเอง" และถ้าทำได้ มันคือความสุข รักตัวเอง เข้าใจตัวเองได้..ไม่ต้องเหงา ไม่มีเหงา

    มั่วกับตัวเองอย่างเดียวอาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว
    ..แต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียตัวตน !! ถ้ายังเปิดใจให้ใครไม่ได้สุดสุด..ไปเปิดใจตัวเองให้เข้าใจก่อน ตัดสินใจด้วยตัวเอง..จะเป็นยังไง..มันดีกว่าการถูกครอบงำด้วยคนอื่น !!

    ที่สำคัญ..ยิ่งมองเข้าไปในตัวตนและเข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่....เราจะ "ตัดสินคนอื่น" น้อยลงไปด้วย...

    Cr. เฟสบุค Business link เชื่อมช่อง
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ชีวิตมนุษย์มีอายุขัยร้อยกว่าปี บางคนไม่ถึงร้อยปี
    ถูกกัดกร่อน ตัดรอนไปเรื่อยๆ
    มีเวลาให้พิจารณากายหรือขันธ์ห้าไม่ถึงร้อยปี ขันธ์ห้าแสดงอยู่ทุกเวลานาทีของชีพ
    มีความเดือดร้อนอยู่กับกิน กาม เกียรติ จนเวลาล่วงเลยไป ก็หมดโอกาสในการพิจารณาขันธ์ให้ถึงวิมุติ
     
  7. &เมฆา

    &เมฆา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    262
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +610
    สมมุติกับวิมุตติ
    มันก็มานำกัน
    เมื่อวางสมมุติออกได้แล้ว จิตก็วิมุตติ
    จิตก็หลุดพ้น ถ้ามีสมมุติอยู่ มีเขา มีเราอยู่
    มีดี มีชั่ว ก็ยังอยู่ในสมมุติ
    ถ้าเลยดี เลยชั่ว ไม่มีดี ไม่มีชั่ว มันก็หลุดพ้นจากสมมุติ
    ถ้าวิมุตติแล้วไม่โศกเศร้า ไม่ดีใจ ไม่ภาคภูมิอะไรเลย เหมือนขอนไม้ที่ตายแล้ว มันไม่ทุกข์ร้อนกับอะไร ทั้งนั้น///
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาธุค่ะ บางคนรู้หมดแต่อดไม่ได้ก็มี
    จึงโพสต์ไว้เพื่อเตือนสติ ให้เห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ เตือนว่าเวลาแห่งความเป็นมนุษย์ที่สามารถได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบคำสอนอันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (สัจจะ) และน้อมนำคำสอนนั้นมาปฏิบัติให้เห็นแจ้ง เป็นปฏิเวธ นั้นช่างน้อยนิด ไม่ได้ยืดยาวเหมือนความคิดค่ะ
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลองฟังดูนะ ถ้าตรงจริตก็จะเข้าใจหลักของการเจริญวิปัสสนา และสติปัฏฐาน 4


    ธรรมทานนี้เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ทบทวนค่ะ

    อกุศลวิตก 3

    อกุศลวิตก หมายถึง ความนึกคิดตริตรองที่คิดไปในทางไม่ดี มี 3 ประเภทตามเรื่องที่คิด คือ

    กามวิตก คือ ความคิดในทางกามคุณ ราคะ ความกำหนัด เช่น คิดคบชู้สู่ชาย ความอยากได้ของเขามาโดยไม่ชอบธรรม
    .....กามวิตกกำจัดด้วยอสุภสัญญาและสันโดษ

    พยาบาทวิตก คือ ความคิดอาฆาตมาดร้าย พยาบาทเขา ด้วยโทสะความโกรธ
    ....ความพยาบาทกำจัดได้ด้วยเมตตา

    วิหิงสาวิตก คือ ความคิดในทางเบียดเบียน คอยคิดแต่สิ่งที่สร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น มีโมหะ ความโง่เขลาบดบังจิตใจไม่ให้คิดคำนึงถึงความยากลำบากของผู้อื่น
    ....วิหิงสาวิตกกำจัดได้ด้วยกรุณา
    ✳✳✳✳✳✳✳✳✳✳✳

    ความสามารถที่เป็นรูปธรรม หวานเย็นตามกำลัง บางครั้งก็ท้อ แต่ไม่เคยถอย เวลาที่จิตไม่เป็นปัจจุบัน กายก็เกียจคร้าน

    ผสมดินปั้นหมดไปวัน นั่งปั้นหมดไปคืน...:(
    แต่สุขใจนะ:D
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ศรัทธา..ซื้อ-ขายกันไม่ได้ บังคับกันไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สังสารวัฏและการสืบชาติ
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ใจถ้ามีหลักใจ รักมาล่อก็ไม่สน โลภมาล่อก็ไม่สน โกรธมาล่อก็ไม่สน หลงมาล่อก็ไม่สน
    เพราะใจมีหลักใจคือ...สติ
    ถ้าใจขาดหลักใจ ก็จะโอนเอนอ่อนไหวตาม รัก โลภ โกรธ หลง
    ตัวเจ้าของนั่นแหละที่รู้ดีว่าใจมีหลักใจหรือยัง
    แม้มีธรรมมากมาย แต่หากไร้ซึ่งสติ ก็เป็นโมฆะธรรม
    โมฆะธรรม คือธรรมที่ไม่ได้ช่วยให้พ้นจากทุกข์นั้นๆ ได้
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดูไป ดูใคร
    ดูแล้วได้อะไร ดูแล้วเสียอะไร
    รอบอะไร
    รอบโลก รอบธรรม
    เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนหนึ่ง อาจเป็นเรื่องใหญ่ๆ ของอีกคน
    ขึ้นชื่อว่าคน คนกันจริงๆ
    กวนน้ำให้ขุ่น แล้วจะจับปลาได้ไง
    อำนาจอะไรนำมา นำไป อำนาจอะไรให้ใจหยุดนิ่ง
    มันต้องถือก่อนวางทุกคนแหละนะ ถ้าไม่ถือจะเอาอะไรมาวาง ถ้าไม่ยึดจะเอาอะไรมาปล่อย
    ใคร่ครวญสิ่งใด เป็นไปเพื่อสิ่งใด
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปลดใจจากความติดข้อง ด้วยปัญญาญาน

    ...ปัญญาญานเป็นไฉน อย่างใดจึงเรียกว่า "ปัญญาญาน"...

    ปัญญาญาณ
    ญาณ ๑๖

    ญาณ ๑๖ สามารถเห็นได้ ๒ ทางคือ

    ๑ . ทางวิปัสสนา คือ การเห็นตามความเป็นจริง

    ได้แก่ ทุกสรรพสิ่ง ล้วนไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวร ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนตลอดเวลา เกิดเพราะเหตุ ดับไปก็เพราะเหตุ

    เมื่อรู้ได้ดังนี้ จิตที่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ย่อมลดน้อยลงไป อุปาทานการให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้นจากกิเลสที่มีอยู่ในจิตนั้น ย่อมลดน้อยหรือเบาบางลงไป รู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิตมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้น

    สภาวะนี้วิปัสสนาจะนำหน้าสมถะ คือ พื้นฐานด้านสมาธิอาจจะน้อย หรือมีมากแต่ยังไม่รู้จักวิธีที่จะนำออกมาใช้ แต่ก็ต้องมีการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์

    ๒. ทางวิปัสสนาญาณ คือ การเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า ปัญญาญาณ

    อย่างน้อยต้องเป็นผู้ที่ได้ฌานหรือได้จตุตถฌานที่เป็นสัมมาสมาธิและเป็นไปตามญาณ ๑๖ เมื่อญาณทัสสนะบังเกิด ย่อมเห็นแจ้งโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นแต่เหตุและผล ( สัจจานุโลมิกญาณ ) เรียกว่า จะเห็นตัวหนึ่งเด่นชัดก่อน แล้วจึงเห็นตัวที่สองและที่สาม แต่ละสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ชั่วเสี้ยวเดียว จึงละ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ทันที เป็นสมุเฉจประหาณ

    มิใช่ค่อยๆ ละแบบวิปัสสนาแต่อย่างใด แล้วปัจจเวกขณญานเกิดอีก ย่อมกลับมาทบทวนกิเลสหรือสภาวะที่หลงเหลืออยู่

    สภาวะนี้สมถะนำหน้าวิปัสสนา แล้วสลับไปมา คือ หนักไปทางสมาธิก่อน แล้วมาปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์เช่นกัน

    สิ่งที่เหมือนๆ กันทั้งสองสภาวะนี้คือ การปรับอินทรีย์ ต้องคอยปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลอดเวลา เพราะสภาวะจะแปรเปลี่ยนตลอด จึงไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แล้วแต่เหตุของแต่ละคนที่กระทำมา อินทรีย์สมดุลย์เมื่อไหร่ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น ฉะนั้นจึงไปคาดเดาอะไรไม่ได้ สภาวะยากที่จะคาดเดา เพราะกิเลสมีตั้งแต่หยาบๆ จนกระทั่งละเอียด

    จะรู้เท่าทันกิเลสต่างๆได้ ต้องมีสติ สัมปชัญญะที่ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้จิตสามารถตั้งมั่นได้เนืองๆ ส่วนจะตั้งมั่นได้นานหรือมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่เหตุที่ทำมา รวมทั้งเหตุที่กำลังทำขึ้นในปัจจุบันด้วย

    ไม่ว่าจะเห็นได้แบบไหน ก็แล้วแต่เหตุของแต่ละคนกระทำมา

    โพสต์เมื่อ 9th February 2011 โดย สุขที่แท้จริง
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่เคยนำมาสวดมนต์ด้วยกันเลย วางทิ้งไว้ในห้องพระ วันนี้ก็เลยอธิษฐานส่งบุญให้กายสิทธิ์ที่สถิตย์อยู่ในประคำ

    ภาพแรก ก่อนส่งบุญ
    ภาพที่สอง หลังส่งบุญ สีเข้มขึ้น

    ใครตาดีลองสัมผัสดูนะ:D
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อภัยทาน คือ การสละอารมณ์โกรธเป็นทาน ให้อภัย ไม่จองเวร สละอารมณ์โกรธพยาบาทให้ขาดออกจากใจ เป็นการเจริญเมตตาพรหมวิหาร

    การที่เราสามารถสร้างอภัยทานให้เกิดมีขึ้นในตัวได้นั้น ถือเป็นการชำระจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี ทานที่เป็น “ทรัพย์ภายใน” ที่ทรงคุณค่าและสูงค่าที่สุดก็คือ อภัยทาน เพราะแม้เราจะได้ชื่อว่ากระทำธรรมทาน สอนและแนะนำให้ผู้อื่นได้กลับตัวได้รู้ธรรมได้มากเพียงใด แม้จะให้มากโดยชักชวนคนไป ฟังธรรมสัก 100 ครั้ง หรือสั่งสอนคนให้กลับตัวเป็นคนดีได้มากถึง 100 คน ก็ได้บุญและอานิสงส์น้อยกว่าการให้ “อภัยทาน”

    แม้จะให้เพียงครั้งเดียวได้การรู้จักให้อภัยทานนั้น หมายถึง การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทร้ายต่อคนอื่น แม้แต่ผู้ที่เป็นศัตรูซึ่งจะได้บุญกุศลและอานิสงส์แรงที่สุดในการทำทานทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นทานประเภทที่เป็นทรัพย์ภายนอกหรือทรัพย์ภายในก็ตาม

    เพราะการให้อภัยทานนั้น เป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อลดละสิ่งที่เรียกว่า “โทสะกิเลส” และเป็นการเจริญ “พรหมวิหารธรรม” พรหมวิหารธรรมนั้นจะเป็นคุณธรรมที่เรียกได้ว่า ทำได้ยากในบุคคลธรรมดาด้วยการมีความเมตตาคือปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข มีความกรุณาปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความมุทิตา คือยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข ไม่อิจฉาริษยา และ ความมีอุเบกขารู้จักวางเฉยอย่างมีปัญญา

    เมื่อผู้ที่สามารถฝึกจิตใจตนให้มีพรหมวิหารธรรมกำกับอยู่ ก็จะสามารถให้อภัยทานได้สำเร็จ สามารถละได้ซึ่งความพยาบาท ไม่ต้องติดกรรมซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และยากเย็นที่สุด แต่ก็ได้ผลประโยชน์สูงสุดด้วยเช่นกันนั่นคือก่อให้เกิด “อโหสิกรรมผล”

    กรรมที่หมดโอกาสให้ผล เรียกว่า “อโหสิกรรม” คือไม่มีเหตุให้เกิดผลแห่งกรรมใดๆ ต่อกันอีก เป็นการสร้างกรรมดีไว้มากเสียจนกรรมเก่าตามไม่ทัน หรือเป็นกรรมที่เจ้ากรรมนายเวรหรือคนที่ได้รับความทุกข์เพราะตัวเราเป็นต้นเหตุ แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งก็ตาม ซึ่งเขาเหล่านั้นได้รับการชดใช้แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ต้องผูกมัดมาใช้เวรให้กรรมร่วมกันอีก เลิกแล้วต่อกันไปโดยปริยาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กามาวจรภพ คือ 31 ภูมิ ที่จิตเวียนว่ายตายเกิดตามแรงแห่ง กิเลส กรรม วิบาก

    กายนี้เสพกาม จิตนี้เสพอารมณ์ เพราะที่นี่คือกามภพ หากเห็นและเข้าใจในธรรมชาติของการดำรงค์อยู่แห่งกายจิต เสพกามและอารมณ์ให้พอดี ก็จะไม่มีทุกข์โทษเวรภัย

    เว้นเสียแต่ผู้ที่ต้องการออกจากกามภพ ก็ต้องเพียรทำลายความยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในกามและอารมณ์ต่างๆ ของจิต ให้หมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอีก หลุดจากสามัญลักษณะ

    จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

    รู้เหตุ...แก้ที่เหตุ
     
  19. &เมฆา

    &เมฆา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    262
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +610
    ขอเล่าเรื่องนิมิต
    เมื่อคืนนิมิตไปว่า มีลมพัดแรงมาก จนรถยนต์จอดอยู่ที่พักนั้นกระเด็นไปตกอีกฟากฝั่งถนน
    ในนิมิตนั้นเลยตื่นจากการนอนไปเดินดูรถยนต์ พรางคิดไปว่า
    แล้วจะมีรถใช้ตอนไหนหนอ
    ลมอะไรช่างพัดรุนแรงจัง
    ในนิมิตเลยกำหนดจิตว่า อยากรู้ว่าใครเป็นคนกระทำให้เกิดลมนี้
    ก็เห็นพญานาคตนหนึ่งทำให้เกิด
    เลยบอกพญานาคตนนั้นว่า
    มารบกวนเราทำไม
    พญานาคตอบว่าก็อยากแสดงให้เห็นว่า
    วัตถุมงคลนั้นที่พระวัดป่ามอบให้
    สามารถใช้สื่อกับเราได้ แต่ท่านหาใยดีไม่
    ////?
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ยินดีค่ะ แวะมาเล่าเรื่อยๆ นะคะ
    วัตถุมงคลสิ่งนั้นคงเป็นพระเครื่องแน่เลย ใช่ไหมหนอ แล้วพญานาคอยากจะให้สื่ออะไร

    เราซิสื่อกับอะไรก็ไม่ได้ อย่างดีก็คุยในใจไปกับฟ้ากับฝน อยากคุยกับเทวดาก็นึกไปในใจ เหมือนคุยอยู่คนเดียว แต่รู้สึกว่ามีผู้รับฟังและกระทำตาม. เพราะไม่นานสิ่งที่เรานึกเราคิดก็เกิดขึ้นจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...