ปริศนา "ZERO POINT"... แหล่งพลังงานแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง

*0* ดีจัง น่ารักๆกันทั้งนั้นเลย .... ไปๆมาๆ เอ๊ะ...หมวยเล็กเป็นนางมารภาคใส่แหวนมารอยู่คนเดียวอ่ะ แจ้ T T

ปล.ไม่ป่วนแล้วจ้า *0* จะรออ่านต่อนะคะ...

 

Sacred Geometry



ที่มา...Sacred Geometry - Crystalinks

รูปทรงอันศักดิ์สิทธิ์ เกี่ยวข้องกับ รูปแบบอันศักดิ์สิทธิ์ของเอกภพ ถูกใช้ในการออกแบบ
ในทุกสิ่งอย่างในความเป็นจริงของเรา,ส่วนใหญ่เรามักเห็นใน งานสถาปัตยกรรม
หรืองานศิลปอันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อพื้นฐาน คือ รูปทรงเรขาคณิต และคณิตศาสตร์

นั้นเป็นอัตราส่วนที่กลมกลืนกัน คล้องจองกัน ได้สัดส่วนกัน ซึ่งพบเจออยู่บ่อยๆในดนตรี ,แสง,
ศาสตร์แห่งจักรวาล ระบบที่มีค่านี้ ถูกพบเห็น อย่างแพร่หลาย แม้แต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
วัฒนธรรมของเอกภพแห่งเงื่อนไขในมนุษยชาติ มันถูกพิจารณาให้เป็นรากฐาน การก่อสร้างในโครงสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์

อย่างเช่น วิหาร , สุเหร่า , หินขนาดใหญ่ , อนุสาวรีย์ และโบสถ์ พื้นที่ว่างของความศักดิ์สิทธิ์
เช่น โต๊ะหรือแท่นบูชา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า(temenoi) และศาลเจ้า ; ที่ประชุม
เช่น ป่าละเมาะอันศักดิ์สิทธิ์ , ลานชุมนุมกลางแจ้งของหมู่บ้าน และ บ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์
และ งานศิลปที่สร้างสรรค์ทางศาสนา ,ประติมานวิทยา
( iconography ...เป็นวิชาหนึ่งในการทำความเข้าใจศิลปะโบราณของยุโรป
กล่าวอย่างจำเพาะเจาะจงก็คือการอ่านรูปเคารพ ที่เรียกกันว่า ICON
ซึ่งเป็นของยอดนิยมในสมัยกลางเป็นการเขียนรูปพระผู้เป็นเจ้า พระไครสต์
หรือแม้แต่กษัตริย์ในตำนานโดยมีเครื่องหมายของผู้นั้นรายล้อมประกอบ...ผู้แปล)

ทางเลือกและการจัดองค์ประกอบที่ “ศักดิ์สิทธิ์” พื้นฐานของศิลปรูปทรงทางเรขาคณิตที่ศักดิ์สิทธิ์
อาจเป็นไปแบบชั่วคราว อย่างเช่น การมองเห็น , การวาดรูปลงบนทราย และ วงล้อบำบัดโรค(medicine wheels.)

รูปทรงอันศักดิ์สิทธิ์ อาจสื่อถึงความเข้าใจ ในฐานะที่เป็น รูปแบบที่รู้จักกันดี ที่เห็นกันทั่วโลก
ระบบที่ซับซ้อน สัญลักษณ์ทางศาสนา และโครงสร้างอวกาศทั้งมวล , กาลเวลา
และรูปแบบ ตามการมองเห็นนี้ รูปแบบพื้นฐาน ของ การมีอยู่ คือสัมผัสรู้ในฐานะที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์

โดยการเชื่อมต่อกับสิ่งเหล่านี้ ผู้เชื่อถือได้คิดอย่างไตร่ตรอง ถึงความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ (Great Mysteries)
และ การวางแผนที่ยิ่งใหญ่ (Great Design) โดย เรียนรู้จากธรรมชาติ
จากแบบแผนของสิ่งเหล่านี้ , รูปร่าง และ ความสัมพันธ์ และ
การเชื่อมต่อ , การเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ลึกซึ้ง
อาจทำให้ได้เข้าสู่ความลึกลับ - กฎและตำนานแห่งจักรวาล
<o>
</o>

 

ดนตรี



การค้นพบความสัมพันธ์ของเรขาคณิต และ คณิตศาสตร์ สู่ดนตรี ใน ยุคคลาสสิค(Classical Period)
ถูกคิดค้นขึ้นมาจาก ไพธากอรัส (Pythagoras)
ผู้ค้นพบ - การหยุดที่ครึ่งทางเส้นสายตามความยาวทำให้เกิดสียงโทนคู่กัน
(เสียงที่คู่กัน ในบรรไดเสียงทางดนตรี ถัดไป 8 ตัวโน๊ต =โทน=1 คีย์...ผู้แปล)
ในอัตราส่วน 3/2 ทำให้เกิด ช่วงห่างที่ 5 และ 4/3 ทำให้เกิดช่วงห่างที่4

ไพทากอรัสเชื่อว่า มันทำให้เกิดเสียงดนตรี ที่มีพลังเยียวยา
เหมือนกับสามารถทำให้ร่างกายเกิดความสมดุย์อย่างกลมกลืน
และความเชื่อนี้ ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในยุคใหม่ โดย Hans Jenny นักฟิสิกส์
ผู้บุกเบิก ในเรื่องการศึกษารูปร่างของรูปทรงเรขาคณิต
ที่ออกมาจากการทำปฏิกิริยากันของคลื่น และ ชื่อว่าการศึกษาcymatics
(การศึกษาเรื่องราวของการมองเห็นเสียง หรือความสั่นสะเทือน จากพลังงานของคลื่นที่มองไม่เห็น ...ผู้แปล)
ที่มักถูกอ้างถึงบ่อยๆ ใน ความสัมพันธ์ของคำในเนื้อหาตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ดร.เจนนี่ ไม่ได้ กล่าวอ้างเรื่องการเยียวยาใน งานของเขา



<o></o>
แม้ว่า Hans Jenny จะเป็นผู้บุกเบิก cymatics ในยุคใหม่
แต่การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของรูปทรงเรขาคณิต
ที่มาจากปฏิกิริยาของคลื่น (เสียง) ยังคงมีรากฐานเก่าแก่อย่างชัดแจ้ง อยู่มาก (ของPythagoras)
งานที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจรูปทรงศักดิ์สิทธิ์ ของคนโบราณ
ซึ่งสามารถพบเห็นได้ใน สก๊อตแลนด์ ในโบสถ์ โรสลีน(Rosslyn Chapel)

Thomas J. Mitchell และบุตรชาย Stuart Mitchell
เพื่อนของข้าพเจ้าได้ค้นพบ สิ่งที่เขาเรียกว่า "frozen music" เป็นที่ประจักษ์ชัด
สัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน 213 คิวบ์ นั้น เชื่อว่ามีผลทำให้เกิดเสียงดนตรี ขึ้น
หลังการศึกษาวิจัย ผ่านมา 27 ปี Mitchell ได้ค้นพบระดับเสียงที่ถูกต้อง

และความเป็นโทนที่เข้ากันของแต่ละสัญลักษณ์ และแต่ละคิวบ์
แสดงให้เห็นเสียงประสานที่กลมกลืนกัน และ ลำดับของเสียงดนตรีที่ตามมาอย่างไพเราะ

Rosslyn Motet เขาได้ค้นพบ "frozen music"ที่ครบถ้วนสมบูรณ์
และ ถูกนำไปใช้เพื่อการแสดง ตามโบส์ถเล็กๆทั่วๆไป
ในวันที่ 18 พฤษภาคม ปี 2007, และ วันที่ 1 มิถุนายน 2007.<o></o>

 

Cosmology
ทฤษฏีของจักรวาล

<o></o>

การสนับสนุนความเชื่อในเรื่องรูปทรงเรขาคณิต ของ เอกภพยังคงอยู่ต่อไป
ท่ามกลาง วิทยาศาสตร์

จนกระทั่งเมื่อ โจฮันเนส เคปเลอร์(Johannes Kepler (1571-1630))ได้สำรวจ อัตราการโคจรของดาวเคราะห์
ในตอนแรก แบบสองมิติ(โดยการพล๊อตจุดของ อัตราการโคจรของ ดาวพฤหัส
และ ดาวเสาร์ เป็น วงโคจรวงใน และ วงโคจรนอก ของ สามเหลี่ยมด้านเท่า)

เมื่อสิ่งนี้ไม่ได้ให้ผลลัพท์ที่เหมาะเจาะพอ เขาจึงพยายามที่จะใช้ รูปทรงเพลตัน
(Platonic solid…หมายถึง ทรงหลายหน้าที่เป็นทรงนูน
โดยจุดยอดจุดหนึ่งจะประกอบด้วยหน้าหลายเหลี่ยม ชนิดเดียวกันทุกจุด)

อันที่จริงแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์ สามารถบอกถึง
การใช้รูปร่างของเรขาคณิต ใน2 มิติเท่านั้น แต่จะไม่เกิดรูปร่างในรูปแบบเฉพาะตามต้องการ
ข้อมูลทั้งชีวิตของเขาเองในตอนนั้น (ซึ่งแม่นยำน้อยกว่า ที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้)
เคปเลอร์(Kepler) จึงเข้าใจว่า ความพอดีของ รูปทรงเพลตัน (Platonic solid) ไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบภายนอกของรูปทรงเรขาคณิตอื่นๆ นั้นเป็นไปได้
<o>
</o>

 

Natural Forms​

รูปลักษณ์ของธรรมชาติ

รูปลักษณ์หลายๆรูปแบบ ที่สังเกตุได้ในธรรมชาติ สามารถบอกถึง รูปทรงเรขาคณิต
(สำหรับ เหตุผลของแหล่งกำเนิดที่เหมาะสม)​

ตัวอย่างเช่น,ช่องภายในโพรงของหอยวงเปลือกมุกที่มีขนาดที่คงที่ต่อเนื่อง
และดังนั้น เปลือกของมัน จึงมีรูปร่าง หมุนวนขดเป็นเกลียว ล๊อกการิทึ่ม
(logarithmic...เลขกำลังของฐาน (base)ที่ทำให้ฐานมีค่าเท่ากับค่าที่กำหนดให้)
เพื่อปรับให้เข้ากับ การเจริญเติบโตโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป , ​

​

การเก็บน้ำผึ้ง โดยสร้างเซลล์รูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อที่จะอุ้มน้ำผึ้งก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งเหล่านี้ และสิ่งที่คล้ายคลึงกันอื่นๆ ถูกพบเห็นโดย ​

ผู้ที่มีความเชื่อในรูปทรงศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึง
ความหมายแห่งจักรวาล ของรูปร่างเรขาคณิต
แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเห็นว่า เป็นแค่ปรากฎการณ์ธรรมชาติบางอย่าง
ที่เป็นผลลัพท์ทางทฤษฎีอันสอดคล้องกันตามกฏแห่งธรรมชาติเท่านั้น​

<o>
</o>​

 

Art and Architecture​

ศิลปะ และสถาปัตยกรรม

อัตราส่วนโกลเดน(golden ratio) อัตราส่วนทางเรขาคณิต และรูปทรงเรขาคณิต
มักถูกเลือกใช้บ่อยๆในการออกแบบของชาวอียิปต์,ชาวอินเดียโบราณ
สถาปัตยกรรมของชาวกรีก และโรมัน โบสถ์ขนาดใหญ่ในยุคกลาง (ค.ศ. 1100 ถึง 1500)ของชาวยุโรป

ที่มีสัญลักษณ์ทรงเรขาคณิตเชื่อมประสานกัน
(แหล่งรวมจิตวิญญาณ ของชาวอินเดีย และชาว หิมาลายัน มักนำไปก่อสร้าง
ในวัดของพวกเขาบ่อยครั้ง และ การเสริมปราการเพื่อความแข็งแรง
บนแผนผังที่ถูกออกแบบสำหรับ มันดาละ และ ยันต์ (mandala และ yantra)

รูปทรงอันศักดิ์สิทธ์ ในศิลป และสถาปัตยกรรม ตัวอย่างเช่น

• 
• Labyrinth (เส้นทางออยเลอร์ คือเส้นทางที่ลากผ่านเส้นต่าง ๆ ในเครือข่าย ​
• โดยแต่ละเส้นลากผ่านได้เพียงครั้งเดียว( Eulerian path), ​
• รูปแบบแตกต่างกันของทางเดินในเขาวงกต)​
• 
  
• ​
• Mandala...มันดาละ ​
• รูปวงกลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนจักรวาลในศาสนาฮินดู
• 
• Parthenon…มหาวิหารพาเธนอน​
• 
  [*]
  Taijitu (Yin-Yang)… สัญลักษณ์หยิน และหยาง
• 
• Tree of Life…ต้นไม้แห่งชีวิต​
• <o></o>​
• Rose Window…หน้าต่างกระจกทรงกลม​
• 
  
• ​
• Celtic art such as the Book of Kells​
• …ศิลปะคริสเตียนยุคแรก ​
• <v:fill class="inlineimg" title="Open-mouthed" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" smilieid="28" v:fill="" o=""><o></o></v:fill>​
• Yantra…ยันต์
• 
  
• <v:fill class="inlineimg" title="Open-mouthed" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" smilieid="28" v:fill="" o=""></v:fill>
• Swastika…เครื่องหมายสวัสดิกะ
• 
  
• <v:fill class="inlineimg" title="Open-mouthed" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/teeth-smile.gif" smilieid="28" v:fill="" o=""></v:fill>
• 
  Dharmacakra…เครื่องหมายธรรมจักร

 

อัตราส่วนโกลเดน Golden Spiral

อัตราส่วนโกลเดน รู้จักกันดีในนาม อัตราส่วนของพระผู้เป็นเจ้า
องค์ประกอบโกลเดน ความหมายโกลเดน ส่วนแบ่งโกลเดน ตัวเลขโกลเดน
เป็นองค์ประกอบที่ศักดิ์สิทธิ์ (divine proportion)
หรือ ส่วนแบ่งที่ศักดิ์สิทธ์(sectio divina..ภาษาละติน)

เป็นตัวเลข ที่มีทศนิยมไม่สิ้นสุด โดยประมาณ 1.618 033 988 749 894 848..
(ระบบตัวเลขที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ที่เราเรียกว่า "อนุกรมผลบวก"
หรือ "อนุกรมฟีโบนักชี (Fibonucci Series) "
ตัวเลข ที่มีค่าน้อยสุดตัวแรกจะให้ผลค่าตัวเลขต่อไปได้ด้วยการบวกสองตัวเลขเข้าด้วยกัน

คือ 1 , 2 , 3 , 5 , 8 ,13 , 21 , 34 ,55 , 89 ,144... เป็นต้น
ทำให้เกิดสัดส่วนของไฟ(Phi ) ว่าเท่ากับ1.618033989...
อนุกรมนี้ต่อเนื่องไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด)



ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Golden_spiral

<o></o>องค์ประกอบของรูปร่างตาม ชี้ให้เห็นถึงความสมดุลย์ของธรรมชาติ
ระหว่าง ความสมมาตร(symmetry) และ ความไม่สมมาตร(asymmetry)

ชาวไพธากอเรียนโบราณ ผู้นิยามถึงจำนวนตัวเลขว่า เป็นการแสดงเครื่องหมายของ อัตราส่วน
(และไม่ใช่หน่วยวัดเหมือนที่เราใช้กันอยู่ในปกติ),และ พวกเขาเชื่อกันว่า

ในความเป็นจริง คือ เรื่องราวของตัวเลขและ อัตราส่วนโกลเดน
แสดงถึงความจริงที่สำคัญและซ่อนอยู่เกี่ยวกับ การมีชีวิต


<o></o>

 

12 กรวยสไปรัลล้อมรวมกันเป็น 1 – การสร้างสรรค์​

​

Sacred Geometry เขียนย่อๆ ได้ว่า SG อ้างอิงถึง Stargate วงล้อแห่งเวลา
หรือ วงล้อแห่งกรรม เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ทั้งหมดของเรา ​

พวกเราคือ ประกายแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ที่มีประสบการณ์โดยผ่านรูปกายเนื้อ
ความตระหนักรู้ของพวกเรา หมุนเป็นเกลียววนลงไป ทะลุผ่านรูปแบบอัตราส่วนโกลเดน
ของสลิงค์กี้เอฟเฟค(slinky effect) ที่เกี่ยวกับการหันกลับเข้าสู่แหล่งความตระหนักรู้
โปรแกรมกำลังรวบรวมกลับสู่ ขั้นตอนทางธรรมชาติของ ความตระหนักรู้<o></o>​

การจดจ่อไปบนรูปแบบ ที่วนซ้ำๆผ่านทะลุเวลา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง
ประหนึ่งว่าเป็นเสียงที่คู่กัน ของบันไดเสียงทางดนตรีที่สูงกว่า
(การพร่ำมนต์ การทำสมาธิ เพื่อปรับระดับความสั่นสะเทือน ให้เป็นโทนเดียวกัน....)
ในแต่ละโปรแกรมประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
พวกเราอาศัยอยู่ในยุคของเทคโนโลยี่ ที่จิตวิญญาณคู่ขนานกำลังตื่นขึ้น <o></o>​

12 Around 1
<o></o>
การรังสรรค์ของสรรพสิ่ง เริ่มขึ้นเช่นเดียวกับ บ่อเกิดของเสียง,แสง และสี
ที่คล้ายคลึงกับการเต้นเป็นจังหวะรูปวงกลม ของ ชุดคำสั่งของจิตสำนึกรู้
ทะลุผ่านกรวยที่เป็นเกลียวหมุน12 กรวย (spiraling cones)
ปะทุออกมาอย่างฉับพลัน เพื่อสร้าง โครงสร้างตะข่ายที่ไม่รู้จบ ​

“โคน” เชื่อมโยงไปถึง “เขาสัตว์” หรือ การรังสรรค์สรรพสิ่งอย่างประสานสอดคล้องกัน
และ“เขาสัตว์(มีสองข้าง)”อีกข้างหนึ่ง อ้างอิงถึง การค้นพบสิ่งต่างๆ ในตำนานปรำปรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านั้นได้เชื่อมโยงไปถึงพระผู้เป็นเจ้า และ เทพเจ้า
การเริ่มต้นทั้งหมดนั้น เริ่มด้วยโทนเสียงระดับเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ<o></o>​

ประกายแสงแห่งจิตวิญญาณ หมุนวนเป็นเกลียวขึ้นไปจากศูนย์กลาง
เคลื่อนที่อย่างไร้แบบแผน เข้าไปสู่โครงข่าย ชุดคำสั่งประสบการณ์ของจิตสำนึกรู้
ในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณนี้
เหมือนกับการหมุนวนของกาแล๊คซี่ เชื่อมกับ การรังสรรค์สรรพสิ่ง ผ่าน ดวงตา เลนส์ของเวลา ,
การฉายภาพลวงตา ผ่านกระจก,ดวงตาของพระเจ้า ​

​

วงกลมแห่ง 12 = 13 = 4
= มิติที่ 4 = การยุติ – เวลา - นาฬิกา - ฟันเฟือง
– ความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ​

​

– อาหารค่ำมื้อสุดท้าย -12 (สาวกคนสนิทของพระเยซู) ล้อมรอบ 1 (พระเยซู)<o></o>
– ความตระหนักรู้ของพระคริสต์





ความบังเอิญที่ประจวบเหมาะของผังฟ้าที่ บอกเราถึงเรื่องราว
เวลาแห่งความคืบหน้ามนุษย์ / การเคลื่อนที่ของชุดคำสั่ง
<o>
</o>

 

12 around 1 “วงกลมแห่ง 12”

การเคลื่อนแบบเกลียววนของสไปรัลของจิตสำนึกรู้ ในหลากหลายความถี่

12=1+2=3=-ปรากฎการณ์ในมิติที่ 3, ปริมณฑลทางกายเนื้อ

12 กรวยเกลียวหมุน ล้อมรอบ 1 จุดกำเหนิด = 13 = 4=มิติที่4 = มิติแห่งเวลา

Sacred Geometry = SG = StarGate = วงล้อแห่งกรรม = วงล้อ Alchemy – นาฬิกา -เวลา

ชุดคำสั่งโครงข่ายพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ของประสบการณ์
– การเป็นขั้ว – ทวิภาวะ – ความรู้สึกและอารมณ์

วงล้อ Alchemy ของจิตสำนึกรู้ มีพื้นฐานมาจาก
แผนผังรูปกรวยหมุนของการหมุนวนกลับและพุ่งเข้าสู่ศุนย์กลาง – หัวใจ - ดวงตา



จังหวะการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดหย่อน(การเต้นรำ) ของสียง , แสง ,
และสี สร้างสรรค์ โครงข่ายที่ไม่สิ้นสุด ทำให้เรามีประสบการณ์อย่างมีสติ
“วงกลมแห่ง 12” (12 = 1+2=3) หรือ มิติที่ 3 ,3D สำหรับละคร ของโลกทางกายภาพ
เป็นเพียง พื้นฐานการทดลองการสร้างสิ่งมีชีวิต บนเวลาที่เป็นเส้นตรง
เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมของ การบรรเลงเสียงดนตรีแห่งอารมณ์


Slinky Effect สลิงกี้เอฟเฟค



ความเป็นจริงคือจิตสำนึกรู้ จิตสำนึกรู้เคลื่อนตัวหมุนวนขึ้นข้างบน
(ด้วยความถี่ที่เร็วกว่า)และหมุนลงข้างล่าง(ด้วยความถี่ที่ช้ากว่า)
ในรูปแบบของ เกลียวหมุน(spiral)

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงกลไกการเคลื่อนไหวของ DNA ของพวกเรา
ความถี่ที่สูงกว่า จิตสำนึกที่ยิ่งใหญ่ของคุณ กลายเป็นการตื่นรู้
ที่ทำให้คุณสามารถเห็นภาพความจริงที่มีความหมายแตกต่างจากเดิมๆ
ในประสบการณ์เสมือนจริงของคุณ ในตอนนี้

จิตสำนึกรู้ของคุณ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
บนความเป็นจริงที่หลากหลาย ในสลิงกี้ลูป (slinky loops) ของเวลา
โดยทั่วไปที่มีเวลาเป็นเส้นตรง เป็นส่วนหนึ่งของภาพลวงตาในมิติที่สาม
หรือทางกายเนื้อจริง เพื่อให้จิตวิญญาณสามารถมีประสบการณ์ทางอารมณ์ ในโลกของมิติที่สาม

เป็นการเคลื่อนที่ในระดับที่ต่ำที่สุดของจิตสำนึกรู้ พื้นฐานของสลิงกี้
ครั้งหนึ่ง ณ ที่นั่น คุณได้ลืมความจริงที่อยู่อีกด้านหนึ่งมันคือ 'จุดที่มากมาย'
บนส่วนที่เหนือขึ้นไปของสลิงกี้และประสบการณ์ที่คุณมี
เหมือนที่คุณไม่เข้าใจว่าพิมพ์เขียวเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ออกมาจากจิตในกายของพวกคุณ<o></o>

การยุบตัวลงของ สลิงกี้ DNA และเวลา การวมตัวกันของโครงข่าย
และผู้คนจะกลายเป็น การตื่นรู้ที่มากขึ้น
ในสิ่งซึ่งจิตวิญญาณของเขาทั้งหลาย กำลังกระทำในทุกระดับของประสบการณ์<o></o>

If you doodle this pattern​

หากคุณเขียนหรือวาดภาพนี้ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ​

​

<v:shape id="Picture_x0020_43" style="visibility: visible; width: 62.25pt; height: 59.25pt;" alt="http://www.crystalinks.com/spiralbw2.jpg" type="#_x0000_t75" o:spid="_x0000_i1025"><v:imagedata src="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_image001.jpg" o:title="spiralbw2"></v:imagedata></v:shape>​

you are connecting​

คุณกำลังเชื่อมต่อ...!!!!!<o></o>​

<o>
</o>

 

11:11 Digital Time Code​

​

​

ความเป็นจริงทางกายภาพ คือชุดคำสั่งในการสร้างสรรค์ของจิตสำนึกรู้
โดย รหัสที่แสดงเป็นเชิงตัวเลข (digital codes) จำนวนนับ
รหัสของตัวเลข หมายถึง การดำรงอยู่ของเรา DNA ของมนุษย์ ความจำในพันธุกรรมของเรา

เป็นการเข้ารหัสเพื่อลั่นไกปืน โดย รหัสดิจิตอล ณ เวลาและความถี่
ที่เฉพาะเจาะจง รหัสเหล่านี้ จะทำการปลุกจิตสำนึกรู้ให้ตื่นขึ้นเพื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลง
และ วิวัฒนาการ 11:11 เป็น หนึ่งในรหัสเหล่านั้น หมายถึงการกระตุ้นการทำงานของ DNA

คุณจะสังเกตุเห็นว่า คุณจะพบเห็น 11:11 อยู่บ่อยครั้ง อย่างบังเอิญแต่เหมาะเจาะ
ในชีวิตของคุณ ในปี 2011 เป็นปีที่จะมี ความสำคัญยิ่ง
และจิตสำนึกรู้จะมีการวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงอย่างเต็มรูปแบบ

ในวันที่ 1 มกราคม 2011 เราจะพบว่า – 1/1/11
ซึ่งเหมือนกับ 1111 ในวันที่ 11 เดือน พฤศจิกายน – 11/11/11
สิ่งนี้ให้สัญญาว่าจิตสำนึกรู้ได้ถูกกระตุ้นให้ทำงานเร็วขึ้น เพื่อเข้าสู่ ปี 2012<o></o>

 

<table border="1" cellpadding="2"><tbody><tr><td>

2012​

</td><td>month</td><td>day</td><td>hour</td><td>
</td><td>

2012​

</td><td>

month​

</td><td>

day​

</td><td>

hour​

</td><td>minute</td><td>
</td><td>

month​

</td><td>

day​

</td><td>

hour​

</td><td>

minute​

</td></tr><tr><td>

Perihelion​

</td><td>

Jan​

</td><td>

5​

</td><td>

00​

</td><td>
</td><td>

Equinoxes​

</td><td>

Mar​

</td><td>

20​

</td><td>

05​

</td><td>

14​

</td><td>
</td><td>

Sept​

</td><td>

22​

</td><td>

14​

</td><td>

49​

</td></tr><tr><td>

Aphelion​

</td><td>

July​

</td><td>

5​

</td><td>

03​

</td><td>
</td><td>

Solstices​

</td><td>

June​

</td><td>

20​

</td><td>

23​

</td><td>

09​

</td><td>
</td><td>

Dec​

</td><td>

21​

</td><td>

11​

</td><td>

11​

</td></tr></tbody></table>​

11 เป็น เลขคู่ และ ดังนั้น มันจึงถูกพิจารณาให้เป็น Masterหรือ ตัวเลขแห่งพลังอำนาจ
ใน ทฤษฎีนิวเมอโรโลจี(Numerogy..ว่าด้วยอิทธิพลของตัวเลข)
เลข 11 เป็นตัวแทนของลัทธิจิตนิยมที่เพ้อฝัน , การคาดคะเน , อุดมคติที่ปราณีต,
การรู้โดยสัญชาตญาณ ,การเปิดเผยของพระเจ้า , เกี่ยวกับศิลปะ ,
ศิลปิน และ อัจฉริยะผู้สร้างสรรค์ , ผู้ริเริ่ม, ผู้เปลี่ยนแปลง,กะเทย ,
ภาพยนตร์ , ชื่อเสียง , การเล่าลือ , ความสำเร็จที่ถูกกลั่นกรองเมือได้ทำงานกับหุ้นส่วนที่เหมาะสม

เลข สิบเอ็ด เป็นโน๊ตคู่ที่ 8 (octave...อาจหมายถึง 1+1=2...ผู้แปล)
ที่สูงกว่าของ เลขสอง มันเต็มไปด้วยการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณ
และ เป็นการเท่ากันอย่างสมดุลย์ ของ คุณสมบัติความเป็นเพศชาย
และความเป็นเพศหญิง เนื่องมาจากว่าเลขสิบเอ็ด บรรจุไปด้วย ของขวัญมากมาย
ดั่งเช่น การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ และ ลางสังหรณ์ที่คบกริบใน ระดับความรู้สึก ,
มันมีผลกระทบด้านลบอยู่ด้วย อย่างเช่น ความไม่น่าไว้วางใจ และ การทรยศ จากข้าศึกที่ลึกลับ


ในหลายกรณี 11:11 ใช้ร่วมกันกับ รหัสการตื่นขึ้น/การปลุก
ในขณะที่พวกเขาเห็นตัวเลขบนนาฬิกาทั่วไป และนาฬิกาข้อมือ ทำให้เข้าใจได้ว่า
มันเป็นกุญแจไขรหัสพันธุกรรม จากความจำของจิตใต้สำนึกของเรา
ว่าพวกเราคือจิตวิญญาณที่มีประสบการณ์ผ่านทางกายเนื้อ
ร่างกายเป็นเพียงยานพาหนะ ที่ถูกขับเคลื่อนตามจิตวิญญาณ...

11:11 หรือ สิ่งที่เกิดแตกแขนงออกมา จากตัวเลขเหล่านี้ ,111 และ 11 ,
เป็นตัวเลขที่ซ้ำไปซ้ำมาบนเวลาดังนั้นจึงอุปมา ได้ว่าความเป็นจริงเป็นรูปแบบที่ซ้ำไปซ้ำมา
ในเวลาเพื่อให้ประสบการณ์ แก่เรา สิ่งนี้อ้างอิงได้ถึงการรุ่งเรือง และการล่มสลาย ของวัฒนธรรมต่างๆ
ประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเรา และบทเรียน วนเวียนเป็นห่วงอยู่ในเวลา
มันเป็นวงรอบของเวลา ที่ถูกสร้างแล้วสร้างอีก ตามแบบของพิมพ์เขียว<o></o>

11 เป็นตัวแทน การหมุนเกลียวของเส้นเกลียวคู่ของ DNA มนุษย์ <o></o>
ที่กำลังเคลื่อนสู่ความถี่ที่สูงกว่าของจิตสำนึกรู้<o></o>

11 เป็นตัวแทนของ ความสมดุลย์<o></o>

11 +11 = 22 = 4 = เวลา <o></o>

ในการศึกษาเกี่ยวกับตัวเลข เลข 22 เป็นตัวแทนของ เจ้านายผู้ก่อสร้าง
หรือ รูปแบบของคุรุทางจิตวิญญาณ เป็นตัวเลขแห่งคุรุ

รวมถึงลักษณะพิเศษต่างๆ ของเลข2 สองครั้ง หรือแม้แต่เลข 4
ผู้ที่อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 22 ต่างก็บอกว่าพวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลก 2 โลก หนึ่ง
คือ โลกปกติธรรมดาทั่วไป อีกโลกหนึ่งเป็นโลกแห่งจินตนาการ

ไพ่ยิปซี มี ไพ่ชุดใหญ่ 22 ใบ มีเลขตั้งแต่ 0 -21 ซึ่งเป็นความหมายหลัก
เช่น The Fool (ไพ่ THE FOOL เป็นตัวแทนเด็กน้อย ไม่มีประสบการณ์มากนัก
หรือไร้ระเบียบในแผนการเล่น)
หรือ The World(...เป็นตัวแทนความสำเร็จ ความสมบูรณ์ซึ่งอาจหมายถึงรูปแบบการเล่นในนัดนี้สามารถทำได้ดีเยี่ยม)
ไพ่ชุดถัดมา แสดงถึง การทำงานหนัก เป็นที่น่าสนใจคือ สแควร์รูท ของ 2 คือ 4 ที่เป็นตัวเลขแห่งการทำงานหนัก<o></o>

22 คือ คู่ของ 4 (2+2=4) มันเต็มไปด้วยคำถามลึกลับ ในภาษาฮิบรู มีตัวอักษร 22 ตัว
ลัทธิคำสอนของชาวยิว มี22 แนวทาง
ไพ่ยิปซีชุดหลัก มี 22 ใบ
เลข 22 บรรจุไปด้วยการตืนรู้ ทั้งทางกายภาพ และปัญญาญาณที่ถูกจัดไว้
เป็นหลุมพราง จากศัตรูที่หลบซ่อนตัว โดยไม่อาจรู้ได้<o></o>

ความเป็นจริง คือการออกแบบทางเรขาคณิต ที่มีพื้นฐานมาจากตัวเลข
(ภาษาจักรวาล) ที่เกิดซ้ำๆ ในวงกลมเพื่อที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์บนเวลาที่เป็นเส้นตรง
การศึกษาเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขของชาวไพธากอเรี่ยน วงกลม

มีพื้นฐานมาจาก 9 เลข
9=จุดจบ
9/11 = จุดสิ้นสุดของ ชุดคำสั่งขับเคลื่อน DNA ทางชีวภาพ ณ ตอนนั้น<o></o>

การก่อการร้าย และเลข 11: <o></o>

 09/11/01 - 9/11 - 11 กันยายน การถูกลอบโจมตีที่ นิวยอร์ก
 03/11/04 - 3/11 - การระเบิดที่แมดดริด <o></o>
 07/11/06 - 7/11 - การระเบิดรถไฟที่ บอมเบย์<o></o>

พวกเราทั้งหมด มีรหัสตัวเลข 1 ตัว หรือมากกว่านั้น ที่เป็นไปตามพิมพ์เขียว
ของรูปทรงเรขาคณิตที่ศักดิ์สิทธิ์ มันเกี่ยวข้องกับการสไปรัลจิตสำนึก
ระบบตัวเลขฟิโบนัคซี่ และ โกลเดนสไปรัล
พวกมันสมบูรณ์แบบ เหมือนองค์ประกอบที่แท้จริงของ หมู่มหาปิรามิด<o></o>
<o>
</o>

 

ขอบคุณครับ
ดูเหมือนเนื้อหาเข้มข้นมาก อ่านแล้วมีอะไรน่าคิดเยอะทีเดียวครับ
เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่อยู่เบิ้องหลังโลกสามมิตินี้ทั้งนั้นเลย มีรูปแบบสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆที่ทำให้เห็นภาพการเปลื่ยนแปลง-การก่อกำเนิด-การสร้างใหม่ เป็นสภาวะแห่งการเชื่อมโยงของพลังต้นงานกำเนิดที่ทรงพลังสุดๆ จักรวาลนี้ช่างสมบูรณ์แบบจริงๆครับ....

ขออ่านก่อน งงตรงไหนเดี่ยวมาถามใหม่ อิอิ

 

ขอบคุณคุณเดรคมากค่ะ สำหรับข้อมูลที่แน่นปึ้กเนื้อหาเข้มข้นแบบนี้ อ่านแล้วคิดตามก็ได้แต่อุทานในใจ จนต้องปริ้นเก็บไว้

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ความงามข้ามกาลเวลา เป็นหนังสือที่เขียนโดยจอห์น เลน ที่ก็นำเอาตัวเลข จิตวิญญาณมากล่าวถึงเช่นกัน สิ่งที่เขาหยิบยกมาพูดคือ

ไม่มีความงามที่จริงแท้สมบูรณ์ มีแต่ความงามแบบสัมพัทธ์เท่านั้น

เห็นรูปที่ยกมาให้ดูก็ต้องยอมรับความงามแห่งสัมพัทธ์ธรรมชาติโดยแท้ เพราะหากไม่สัมพัทธ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นปิรามิด มหาวิหารพาธีนอน มหาสุสานทัชมาฮาลสมัยราชวงศ์โมกุล,คงจะไม่เป็นสิ่งที่ยอมรับข้ามกาลเวลาได้

รออ่านต่อค่ะ

 

หะๆ


ยาวไป เกียจอ่านละ


ไปละ ฟิ๊วววว~

 

โอ..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด

ข้อมูลคุณเดรดน่าทึ่งมากๆ
ผู้มีปัญญาจะได้ประโยชน์ครับ

..........................

 

อ้อ..ลืมไปว่าจะถามตั้งหลายครั้งแล้วครับ

ว่าไอ้พวกหน้ายิ้มแลบลิ้นสีเหลืองๆนี่
จะเก็บไว้ทำอะไรเหรอครับ

เออ..หรือว่าจะเป็นมุกตลกคลายเครียดของคุณเดรดเค๊านะ??

..............................................

 

ขอบพระคุณผู้มีอุปการะคุณทุกท่านที่ แวะเวียน เข้ามาอ่านค่ะ
ทั้งผู้ที่อ่านเงียบๆ อ่านแล้วผ่าน อ่านแล้วคอมเม้นท์
กดผิดกระทู้ อ่านแล้วมึนเลย ออกไปตั้งหลัก (เพราะคนเขียนกระทู้ ยังมึน)
ขอบคุณหมดค่ะ

จริงๆ ที่โพสต์ไปเนี่ย ยังไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์ ของเนื้อหาทั้งหมดเลย
ก็จะพยายามทำต่อ ให้ได้มากที่สุดนะค่ะ
ก็อย่างที่บอกอะค่ะว่า พลังงานแห่งสรรพสิ่ง มันก็เหมาไปหมดแหล่ะค่ะ

จริงเหรอคะ? ของเดรดมันไม่มีอะ ว่าลบหมดแล้วนะ
ตายแล้ว อับอาย อับอาย ....ต้องทำไง อะ คะ
เดรดไม่เห็นตัวอะไรเลย มันดูเรียบร้อยดีอะค่ะ

ทำไมคุณ ชยุตเห็นอะ แล้วคนอื่นเห็นไหม....??? ทำไงดีหว่า

 

พวกหน้ายิ้มแลบลิ้นปลิ้นตา ถ้าใช้ IE ไม่เห็นค่ะ แต่ถ้า Firefox เห็น

แจ้ริสา หมวยว่า อีตาจอห์น เลน คงลืมคิดไปในทางกลับกันว่า ความสัมพันธ์พัวพันกันหมด นั่น อาจเป็นความงามที่สมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าไม่สัมพันธ์กัน ก็ไม่สมบูรณ์ซิคะ *0*

ปล. เริด ค่ะ เริด แจ้เดรดสู้ๆ โย่วๆๆๆ

 

ไม่ใช่ค่ะ อย่าเข้าใจคุณจอห์นของดิฉันผิด ขอแก้นิดเดียว (คุณจอห์นี่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถานศึกษาด้านนิเวศวิทยาและจิตวิญญาณ Schumacher College ด้วยค่ะ )

สิ่งที่เขาจะบอกคือสิ่งที่คนเราจะบอกงามนั้นขึ้นอยู่กับความชอบของคนใช่ไหมคะ บางคนมองบางสิ่งงามแต่บางคนว่าไม่ แล้วสิ่งที่มองเห็นว่างามตอนนี้อีกสิบปีข้างหน้าก็ไม่งามเพราะยุคสมัยเปลี่ยนความชอบเปลี่ยน แต่ความงามที่คงอยู่ไม่สูญสลายข้ามกาลเวลาในความคิดเขาคือความงามสัมพัทธ์ ดูรูปน้อยหอยสังข์ของคุณเดรคเป็นตัวอย่าง (สัมพัทธ์ไม่ได้หมายถึงสัมพันธ์นะตัวเอง)

แต่เขามองว่าสิ่งที่มีความสัมพัทธทางเรขาคณิต์อย่างเช่นปิรามิด หรือสุเหร่าที่หนึ่งในหนังสือจำชื่อไม่ได้ (สุเหร่าจะถูกคำนวณอย่างสัมพัทธ์) เขายกตัวอย่างการที่ทุกสิ่งถูกออกแบบมาสัมพัทธ์กันอย่างเหลือเชื่อในการคำนวณเช่นกระทู้ที่คุณเดรคนำมาเขียนเล่าให้เราฟังนี่ละค่ะ แต่เขามักจะพูดถึงสถาปัตยกรรมส่วนมากเพราะเป็นสถาปนิกโดยพื้นฐานแถมหล่อมาก

เดี๋ยวจะเบี่ยงประเด็นกระทู้ ทีนี้เราพูดถึงตัวเลขดีกว่า

ถ้าอย่างนั้นหากเราสัมพันธ์กับตัวเลขไหนเป็นพิเศษ มันก็หมายถึงการเชื่อมโยงรหัสกับเราเหมือนพิมพ์เขียว ถูกต้องไหมคะ
ชักอยากรู้มากขึ้นแล้วละค่ะ เพราะเลขที่เกี่ยวพันกับตัวเองคือเลข 11 13 24 (ขาดแค่เลข 24นะจ๊ะ)

และที่น่าแปลกใจกว่าคือ จู่ๆวันนี้ก็แก้ไขโลโก้บริษัทเป็นรูปก้นหอยแบบที่คุณเดรคว่าหมายถึงกำลังเชื่อมต่อ แก้ทั้งวันเพราะอยากได้สิ่งที่เรารู้สึกสมดุล ตอนที่แก้แล้วด้วยการเติมก้นหอยลงไปรู้สึกว่านี่ละใช่เลยที่ต้องการ พอส่งงานไป มาอ่านเวบเจอที่โพสต์พอดี เหมือนถูกเรียกมาดูจริงๆ รู้สึกว่าทุกอย่างเชื่อมโยงไปหมด เลยมาปูเสื่อรออ่านต่อ อ้อแล้วรูปการเคลื่อนที่ของดีเอ็นเอนี่เวลามองตาม หายใจตามรู้สึกถึงพลังที่ขยายกว้างออกตามจังหวะขึ้นด้วยเลยกะเซฟเป็นรูปทำสมาธิแบบด่วนในคอมไว้เลย ขอบคุณมากค่ะ

ลงต่อไวๆนะคะ ไม่ใช่ม้าไม่ได้มากดดัน

 

อ่าา สัมพัทธ์ กะ สัมพันธ์ ต่างกันยังไงอ่า แจ้ริสา...

หมวยเล็กแค่จะสื่อว่า มันมีความเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่อง ในทุกๆอย่างอยู่แล้ว

มนุษย์ มักจะแยกเป็นประเด็นๆกันออกไปเองตะหาก ตามผัสสะที่ตนมี 5 อย่าง

แต่การหยั่งรู้ โดยใช้ sense นั่นอีกเรื่องนึง แต่เป็นเรื่องที่จะหาคำจำกัดความตามประสามนุษย์ลำบาก ใช่ว่าคำทุกคำ ภาษาทุกภาษาทีมนุษย์ใช้อยู่ในทุกวันนี้ จะนิยามหรือให้คำจำกัดความได้อย่างตรงตัว 100% ทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

แม้กระทั่งแนวคิดที่ว่า "มนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์" นั่นคือความจริง ถ้ายังใช้ความรู้และสมองเนื้อของมนุษย์ แต่มันก็เป็นพื้นฐานที่ต้องบังคับใช้ เพียงแค่เราต้องหัดฟังสัญชาตญาณของตนเอง มันจะหยั่งรู้ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยความรู้ใดๆที่เรามีอยู่ในสมองเนื้อ จนเข้าขั้นที่พวกเราได้ยินมาบ่อยๆคือ ยิ่งค้นยิ่งหัวฟู ยิ่งจะเจอๆๆๆๆแล้วก็เจอต่อไปเรื่อยๆนั่นเอง เพราะใ้ช้แค่สมอง ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่เป็นสากลและไม่มีขัดจำกัด

การหัดฟังสัญชาตญาณของตนเอง เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเรา ลักษณะหนึ่ง

การหยั่งรู้ อาจจะฟังดูประหลาดและพิเศษสำหรับพลังงานเก่า แต่ยุคพลังงานใหม่ มันคือเรื่อง จิ๊บๆ ธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง

ปล.แจ้ริสา รู้จักเค้ามั๊ยอ่า หล่ออ่ะ ชอบบบบบบบบบ แหะๆ ติดต่อให้หน่อยจิ แจ้ริสาไม่เป็นม้า หมวยเล็กเป็นเองค่ะ อิอิ *0*