ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

พี่ก็ขออนุโมทนาบุญกับน้องตาลด้วยค่ะ
สงสัยจะได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ-อุดร แน่เลย เดาถูก อิอิ
รีบบินมาเลยนะ รออยู่ ทริปบุญคณะเรานี้ จะมีเรื่อยๆ จ้า

ขนมจีนนะ พี่กินเผื่อแย้วจ้า อร่อยจ้า อิอิ

ขออนุโมทนาบุญจ้า
พี่เอ๋ จันทรกาล

 

ขออนุโมทนาบุญกับน้องน้ำตาล และพี่น้ำใสค่ะที่มาเฉลยความสงสัยในเรื่องแสงค่ะ
และเมื่อวานได้คุญกับคุณพ่อและแม่ ท่านบอกว่าถ้ามีโอกาสจะขอกับไปทำบุญที่วัดท่าซุงอีก ปลื้มสุดๆค่ะที่การร่วมบุญในครั้งนี้ทำให้พ่ออยากทำบุญอีก
** จริงๆคุณพ่อไม่ชอบเข้าวัดสักเท่าไร แต่ครั้งนี้ท่านบอกเองเลยทำให้หนูดีปลื้มในบุญนี้สุดๆค่ะ:VO

 

น้องตาลแอบลักเป็ดลักไก่เล็กน้อย...
ตอนที่มองก็ทราบว่าเป็นฉัพพรรณรังสี
แต่ไม่ทราบว่าเป็นของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
พอคิดก็เห็นพระพักตร์ของสมเด็จองค์ปฐมฯ ท่านลอยมา
จึงแอบโทรไปทายกับพี่น้ำใสว่า เป็นฉัพพรรณรังสีของสมเด็จองค์ปฐมฯ หรือเปล่าคะ?


ตอนนั้นพี่น้ำใสยังไม่ได้ถามท่านปู่ จึงตอบว่าน่าจะเป็นของสมเด็จองค์ปัจจุบันมากกว่าค่ะ
เพราะรัศมีโดยรอบห่างจากพระพักตร์ประมาณหนึ่งวา
ถ้าเป็นของสมเด็จองค์ปฐมฯ จริง ๆ คงเป็นรัศมีที่ไม่มีประมาณ


เมื่อก่อนตาลก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าฉัพพรรณรังสีนี่คืออะไร
แต่พักหลัง ๆ เห็นค่อนข้างบ่อย
คือจะเป็นรัศมีวงกลมมีแสงหกสีคล้ายรุ้งกินน้ำ
แผ่ออกมาเวลาที่ขึ้นไปพบพระองค์ท่านบนพระนิพพาน
พอเห็นรูปที่น้องแพรถ่ายปุ๊บก็เลยตื่นเต้น จึงแอบถามพี่น้ำใสก่อน อิอิ


สาธุ เห็นแค่นี้ด้วยตาเปล่าก็เป็นบุญเหลือหลายแล้วเจ้าค่ะ
พระเมตตาของสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านไม่มีประมาณจริง ๆ ค่ะ
เพราะฉะนั้นตั๋วเครื่องบินก็อดไปตามระเบียบค่ะพี่จ๊ะเอ๋ อิอิ

 

ขอบคุณ : คุณธรรมวิวัฒน์
ขอบคุณ : พี่น้ำใส, คุณจันทกาล, น้องหนูดี, คุณ haft wave

ที่เป็นตัวแทนบุญ ในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ไปด้วยตัวเอง แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์
งานบุญใหญ่ทุกๆ งานจะมีปฏิหารเสมอ เสมอ : ขอบคุณพี่น้ำใสที่เป็นสื่อกลางระหว่างมิติที่คอยถ่ายทอดเรื่องราว ที่เป็นกำลังใจ ให้มุ่งมั่นทำความดีกันต่อไป

อนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลกับทุกๆ บุญในวันวิสาขบูชานี้ด้วยค่ะ

 

ขออนุโมทนาบุญกับน้องหนู๋ดี และครอบครัว ด้วยค่ะ

พี่ดีใจกับหนู๋ดีด้วยนะ ที่คุณพ่อเอ่ยปากอยากไปวัดอีก
ในฐานะที่เป็นลูก ต้องปลื้มสุดๆ อิอิ

จันทรกาล

 

วันวิสาขบูชา : ยกยอดเจดีย์อายุราวๆ 296 ปี ที่วัดพระนอน อยุธยา​

​

เมื่อวันวิสาขบูชา ได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดพระนอน อ. นครหลวง จ. พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ 2260 มีโบราณสถานเก่าแก่คู่วัดคือ เจดีย์รูปทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งได้พังลงมาเมื่อปี 2532 ทางวัดได้เก็บยอดเจดีย์เอาไว้ หลังจากนั้นทางวัดได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์จากกรมศิลปากร จนเสร็จเรียบร้อย " เหลือเพียงการอัญเชิญยอดเจดีย์ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ ขึ้นไปประดิษฐานบนยอดเจดีย์ให้กลับสู่สภาพเดิม " ซึ่งทางวัดได้จัดงานขึ้นในวันวิสาขบูชานี้

ในช่วงเช้าเป็นพิธีบวงสรวงโดย ท่านพระครูสิริวัฒนธรรม รองเจ้าคณะอำเภอนครหลวง เจ้าอาวาสวัดพระนอน​

--- ​

หลังพิธีบวงสรวงเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด ดวงใหญ่ --- บรรยากาศโดยรวมของสถานที่จัดงาน​

​

บรรยากาศการยกยอดเจดีย์​

กองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีได้ร่วมบุญนี้ 1,500 บาท
พี่น้ำใสและน้องแพร 500 บาท
คุณยายชอบ 100 บาท
คุณภูริชญาและครอบครัว 1,300 บาท

รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,400 บาท เพื่อสมทบทุนซื้อที่ดินให้กับทางวัดสร้างศาลาปฏิบัติธรรม
(ติดธงขึ้นสู่ยอดเจดีย์ 400 บาท, ถวายกับหลวงพ่อ 3,000 บาท)

นำเรื่องราวมาบอกเล่าให้ผู้ที่ร่วมบุญกับกองบุญได้อนุโมทนาบุญกันค่ะ สะสมที่ดินเอาไว้เป็นทุนทรัพย์ในภายภาคหน้า
ขอให้ร่ำรวย เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมกันทุกๆท่านนะคะ

 

..ประวัติดวงแก้วพศตบุญฤทธิ์ -วาสิษฐีมณีรัตนะ ภาค ๒ ตอน ๑...

ดวงแก้วพศตบุญฤทธิ์ คุณ am12 เป็นเจ้าของ ส่วนแก้ววาสิษฐีฯ ท่าน widya เป็นเจ้าของค่ะ​

______________________________________________

ความเดิมภาค ๑ หลังจากพระนางสิริมาเทวีได้จุติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว พญาพศตนาคราชนั้น ได้ตั้งจิตปรารถนาจะเป็นมนุษย์ พระองค์ได้นั่งสมาธิระลึกถึงความดีเป็นกุศลส่งผลให้พระองค์ไปจุติเป็นมนุษย์ทันที

โดยจุติในตระกูลนายช่างทอง นามว่า มิททะเศรษฐี มีทรัพย์ในระดับอนุเศรษฐี มิททะเศรษฐีมีภรรยา ๒ คน มีชื่อว่า นางมัลลิกา และนางจุตินาท

พญาพศตนาคราชนั้นได้จุติในครรภ์ของนางมัลลิกา ขณะที่นางตั้งครรภ์ได้ ๙ เดือนเต็ม เป็นบุตรชายคนแรก สร้างความปิติใจแก่นางมัลลิกาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนางปรารถนาจะมีบุตรให้แก่ท่านเศรษฐี เพื่อสืบสกุล นางก็ได้กำเนิดบุตรชาย จึงให้ชื่อว่า.."มธุรสธกุมาร” (อ่านว่า มะ-ทุด-ระ-สด-กุ-มาน)

เนื่องจากผิวพรรณของมธุรสธกุมารเป็นสีทองดุจน้ำผึ้ง ด้วยผลบุญที่เคยถวายน้ำผึ้งป่าแก่พระเกษรีฤาษีผู้เป็นอาจารย์ แล้วปรารถนาจะมีผิวพรรณสวยงามนั่นเอง

หลังจากทราบว่านางมัลลิกา กำเนิดบุตรชายให้แก่ท่านเศรษฐี นางจุตินาถ ภรรยาคนที่สอง รู้สึกร้อนใจที่ตนยังไม่มีบุตรให้ท่านเศรษฐีได้เชยชม ทำให้นางรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก นางจึงได้พานางมณฑา คนรับใช้คนสนิทไปบวงสรวงยังต้นไทรใกล้ป่าใหญ่ประจำหมู่บ้าน และบนบานกับรุกขเทวดาประจำต้นไทรว่า..

“หากดิฉันได้บุตรชายแก่ท่านเศรษฐี ดิฉันจะนำผลไม้ ๙ อย่าง ผ้า ๙ สี ดอกไม้หอม ๙ ชนิด มาถวาย เพื่อเป็นเครื่องสักกบูชาแก่ท่านทั้งหลาย”

จากนั้นนางก็ได้พาคนรับใช้กลับเรือน ฝ่ายสุทัสสนเทวา ห้วหน้ารุกขเทวดาแห่งต้นไทรนั้น เกิดความร้อนใจ เหงื่อไหลออกจากกาย ทิพยสมบัติและวิมานเศร้าหมอง จึงทราบว่า อีกไม่นานตนจะต้องจุติเป็นแน่ จึงได้บอกแก่รุกขเทวาผู้เป็นบริวารทั้งหลายว่า..

“ท่านทั้งหลาย อีกไม่นานเราจะจุติ เราจะเข้าสมาบัตินับจากวันนี้ไป ขอให้ท่านอวยพรให้แก่เราได้จุติในสุคติภูมิด้วยเถิด”

เหล่ารุกขเทวาทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ. ต้นไทร และรุกขเทวาที่อยู่ในป่าใหญ่ต่างก็อวยพรแก่ห้วหน้ารุกขเทวาต้นไทรนั้น ความว่า..

“ขอให้ท่านไปเกิดเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้อุปสมบทในบวรพระศาสนาแห่งพระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้าในอนาคตกาลอันใกล้นั้นเถิด”

หลังจากอวยพรเสร็จแล้ว รุกขเทวาทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันกลับวิมานของตน ฝ่ายสุทัสนเทวานั้น ก็ได้เข้าสมาบัติระลึกถึงความดีที่ตนทำ จากนั้นก็ได้จุติไปยังครรภ์ของนางทันที

ยังมีต่อ....

 

พระบรมสารีริกธาตุจากประเทศพม่า
อยากเรียนถามพี่น้ำใสว่าใช่พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปัจจุบันรึเปล่าคะ

 

ประวัติดวงแก้วพศตบุญฤทธิ์ -วาสิษฐีมณีรัตนะ ภาค ๒ ตอน ๒

กล่าวถึงท่านมิททะเศรษฐีนั้น ด้วยอานิสงส์การถวายเครื่องสักกบูชาแก่ดวงแก้วมณีของพญาพศตนาคราชนั้น ทำให้ท่านเศรษฐี ถึงกับยกทรัพย์สมบัติ ๑ ใน ๓ ให้แก่มธุรสธกุมารด้วยความเต็มใจ

ฝ่ายนางมัลลิกานั้น ก็ได้เลี้ยงดูทะนุถนอมมธุรสธกุมารด้วยความรัก มีเรื่องแปลกว่า นอกจากนมมารดา และน้ำผึ้งแล้ว มธุรสธกุมารไม่สามารถทานอะไรที่เป็นเนื้อสัตว์ได้เลย เมื่อโตขึ้น นางมัลลิกาก็เลี้ยงด้วยผลไม้ และน้ำผึ้งเรื่อยมา

ส่วนนางจุตินาถนั้น หลังจากที่สุทัสสนเทวาได้จุติในครรภ์ของนางจุตินาถ นางก็ทานเพียงผลไม้ ไม่ทานเนื้อสัตว์ ทำให้ผิวพรรณสดใส งดงาม สร้างความปิติใจแก่ท่านมิททะเศรษฐีอย่างยิ่ง ดำริว่า..

“หากบุตรในครรภ์นี้ เป็นชายจะยกสมบัติให้ ๑ ใน ๓ หากเป็นหญิงจะถวายแก่พระราชาแคว้นนั้น”

วันหนึ่งท่านมิททเศรษฐี หลังกลับจากเดินทางไปค้าขายต่างเมือง กลับมาพร้อมเกวียนสินค้าอื่น ๕๐ คัน โดยต้องผ่านป่าแห่งหนึ่ง ในระหว่างทางท่านได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งกำลังนั่งบำเพ็ญตะบะอยู่ ท่านจึงสั่งให้ค้างคืน ณ.ที่แห่งนั้น เพื่อถวายอาหารแก่พระฤาษี

รุ่งเช้าท่านจึงได้รอจนพระฤาษีออกจากสมาบัติ ได้นำผลไม้ ข้าตอกอบน้ำผึ้ง และน้ำดื่ม น้ำใช้ ถวายแด่พระฤาษี ท่านรับอาหารและน้ำนั้น เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว พระฤาษีจึงกล่าวว่า..

“ท่านผู้เจริญ ท่านปรารถนาสิ่งใดหรือ..”

ท่านมิททเศรษฐี จึงกล่าวว่า ..

“เกล้ากระผมมิปรารถนาสิ่งใดหรอกขอรับ เดิมทีกระผมเคยปรารถนาบุตรชาย มาบัดนี้กระผมสมความปรารถนานั้นแล้ว กระผมเพียงตั้งใจที่จะถวายทานแก่ท่าน เพื่อเป็นสิริมงคลตนเองและหมู่คณะขอรับ”
พระฤาษี จึงกล่าวว่า..

“ท่านเศรษฐี ใน ๑๐ ปีข้างหน้า เราจะขอบุตรชายคนแรกของท่านเป็นศิษย์ได้หรือไม่”

ท่านมิททเศรษฐีนั้น รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง จึงกล่าวว่า.. “ได้ขอรับ กระผมยินดีอย่างยิ่งขอรับ”

จากนั้นพระฤาษีจึงแย้มสรวลเล็กน้อย และกล่าวว่า “ขอความปรารถนาของท่าน และคณะจงสำเร็จเถิด อีก ๑๐ ปีเราจะมาพบท่าน ณ.ที่แห่งนี้”

จากนั้นพระฤาษีตนนั้น จึงได้เหาะขึ้นกลางอากาศ และหายไปในที่สุด
ท่านมิททเศรษฐีนั้น รู้สึกปิติใจอย่างยิ่ง ต่างก็เคลื่อนขบวนเดินทางกลับยังเมืองของตน เมื่อถึงเรือน ท่านก็ได้เล่าให้นางมัลลิกา ภรรยาคนแรกฟัง นางจึงกล่าวว่า..

“ท่านพี่ บุตรของเรานั้นคงจะเป็นผู้มีบุญมาเกิดโดยแท้ ยังมิเติบใหญ่ ก็มีครูบาอาจารย์ตามดูแล เป็นบุญของเราแล้วนะ”

เวลาผ่านไป จนครบเวลาตั้งครรภ์ นางจุตินาทได้กำเนิดบุตรสาวแก่ท่านเศรษฐี มีผิวพรรณขาวอมชมพู มีกลิ่นกายหอม ท่านเศรษฐีจึงได้ตั้งชื่อว่า “ปทุมมุตรา” (ด้วยเหตุแห่งกรรมผิดศีลกาเมฯ ทำให้ท่านสุทัสสนาเทวาจุติเป็นเพศหญิง)

นางจุตินาทนั้น รู้สึกผิดหว้งไม่น้อย ที่ได้บุตรสาว แต่นางก็ต้องทำใจ จึงไม่ได้นำเครื่องสักการะไปไหว้ต้นไทรแต่อย่างใด จนเวลาผ่านไปหลายปี

มธุรสธกุมารนั้นเมื่อเติบใหญ่ รักน้องสาวคนนี้มาก จะคอยปกป้องดูแลน้องสาวด้วยความรัก ส่วนปทุมมุตรานั้น ก็เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาทของพี่ชาย ทั้งสองผูกพันรักใคร่กันดี จนเวลาผ่านไป ๑๐ ปี
วันหนึ่งพระฤาษีก็มาปรากฏในสวนอุทยานของท่านเศรษฐี คนเฝ้าอุทยานนั้นได้แจ้งแก่ท่านเศรษฐีว่า ..

“ท่านมีพระฤาษีมานั่งสมาธิใต้ต้นไทร ขอท่านเศรษฐีไปดูเถิด”

ท่านมิททเศรษฐีได้ยินเช่นนั้นก็ปิติยินดี กล่าวว่า ..

“เจ้าจงไปบอกโรงครัวให้เตรียมอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ และนำไปถวายท่านอาจารย์ยังอุทยานเถิด”

จากนั้นให้คนรับใช้ ไปบอกข่าวนี้แก่ภรรยาทั้งสอง และให้พาบุตรชาย และบุตรสาวไปยังอุทยานนั้นทันที

ยังมีต่อ...

 

เป็นพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปัจจุบันค่ะ ที่เห็นเป็นวรรณะเพชร(หรืออยู่ในกลุ่มลักษณะแก้วมุกดา ตามตำรา)

พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปัจจุบันจะแยกออกเป็นหลายขนาด และหลายลักษณะ หากเป็นขนาดเล็กสุดจะแยกออกเป็นลักษณะ

​

(วรรณะ)แก้วมุกดา ​

ลักษณะ(วรรณะ)เหมือนจุล(ทองอุไร)

​

และลักษณะ(วรรณะ) ดอกมะลิตูม ​

ความรู้นี้ ขออนุโมทนาบุญกับคุณกฤษณะ ไตรลักษณ์ ผู้ให้ความรู้เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ตลอดทั้งการอัญเชิญพระธาตุแก่ดิฉัน จนสามารถให้ธรรมทานแก่ทุกท่านได้

ขอผลบุญแห่งการให้ธรรมทานนี้ จงบังเกิดแก่คุณกฤษณะ และครอบครัว ขอให้มีความคล่องตัวทุกเรื่อง และเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป สาธุ..

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

Numsai

 

ขอบคุณที่ช่วยตอบให้ค่ะ

 

ขอถามอีกองค์ได้รึเปล่าคะ
อีกองค์คุณตาได้มาจากพระธุดงค์นานแล้ว พระท่านบอกว่าเป็นกระดูกข้อนิ้วมือของพระโมคคัลลานะค่ะ อยากทราบว่าใช่รึเปล่าคะ

 

มีเรื่องเล่าจากการโพสต์ข้อความ "บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ ย่อมไม่ทิ้งธรรม" ปกติจะปวดหัวเป็นประจำ มากบ้างน้อยบ้าง จนกระทั่งปวดไมเกรน สุดแล้วแต่ท่านมีคุณทั้งหลายจะสงเคราะห์ แต่เมื่อเช้าก่อนโพสต์ข้อความก็รู้สึกปวดเล็กน้อย แต่ไม่ทราบประการใดว่าเป็นอาการปกติของการปวดหัวหรือไม่ หลังจากโพสต์ข้อความข้อความและปิดคอมพ์แล้ว อาการก็ปวดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็คิดถึงข้อความที่โพสต์ทันที แหม...โดนทดสอบหรือเปล่าเนี่ย หลังจากนั้นจึงภาวนาและขอหลับสักงีบก่อนออกไปทำงาน ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกอยู่ จึงคิดถึงข้อความที่โพสต์ เลยภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานอาการปวดหัวก็ทุเลาลง (ปกติจะกินเวลาหลายชั่วโมงกว่าอาการจะดีขึ้น) ไม่รู้ว่าเป็นอุปทานไปเองหรื่อเปล่า แต่ที่แน่ ๆ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้นำข้อธรรมและเกร็ดความรู้ที่ได้จากการอ่านสิ่งที่พี่น้ำใสนำมาถ่ายทอดนำมาปฏิบัติและเห็นผล ดั่งคำกล่าวที่ "ปัจจังตัง เวทิพตัพโพ วิญญูหีติ"
ปล. ขอขอบคุณพี่น้ำใสมาก ๆ

 

ขออนุโมทนาบุญกับคุณ sereenon ด้วยค่ะ โดยปกติพระอรหันตธาตุนั้น เราจะยึดหลักตามตำราโบราณเป็นหลักค่ะ

​

ลักษณะพระธาตุของพระโมคคัลลานะจะมีสัณฐาน(ลักษณะ) กลม หรือวงรี มีสีน้ำตาล หรือสีดอกพิกุล(ตามภาพ) บางทีเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนองค่ะ

ส่วนสัณฐานที่ต่างจากนี้ จะจัดอยู่ในประเภทพระอรหันตธาตุไม่ทราบพระนามค่ะ

สำหรับกรณีนี้ได้กราบเรียนถามสมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านถามพระโมคคัลลานะ ท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นพระอรหันตธาตุของลูกศิษย์ของท่านหลังสมัยพุทธกาล(ช่วง ๒๒๘ ปี)ค่ะ

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

Numsai

 

ขอบคุณค่ะ

 

เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรค่ะ ตราบใดที่เรายังมีขันธ์ ๕ เจ้ากรรมก็อาศัยขันธ์ ๕ ของเราให้ชดใช้กรรม ให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ

หากไม่ไหวให้ระลึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านพระยายมราช และภาวนา ..

"นะโมพุทธายะ"

ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้คลายความเจ็บปวด แต่โรคยังไม่หาย เพียงแค่ทุเลาลงค่ะ

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

Numsai

 

สวัสดีค่ะคุณ ta2498
หนูดีอ่านกระทู้ของคุณแล้วนึกถึงตัวเองเรื่องอาการปวดหัว หนูดีเป็นโรคปวดหัวไมเกรน
ถึงขั้นปวดต้องนอนโรงพยาบาล ช่วงก่อนที่จะเข้ามาพบพระธรรมเรียกว่านอนโรงพยายบาล
เดือนละครั้งเลยทีเดียว แต่ตอนนี้อาการปวดไมเกรนได้ห่างจากตัวหนูดีไปมาก คือ
ยังปวดอยู่แต่ไม่มาก แต่ถ้าทำบุญใหญ่หรือช่วงที่กับจากพาคุณพ่อคุณแม่ได้ทำบุญ ก็จะมี
อาการปวดหัวมากขึ้นปวดอยู่ 3วันเลยที่เดียว สิ่งที่หนูดีทำคืออุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร อาการก็จะดีขึ้นและก็ห่างหายรับรองค่ะ

หนูดี

 

พระท่านว่าไว้..

"อุปสรรคบ่มี บารมีบ่เกิด"

ข้อดีของการเป็นมนุษย์ ก็คือ การที่เราสามารถบำเพ็ญบารมีได้ครบทั้ง ๑๐ ทัศน์ โดยเฉพาะขันติบารมี และวิริยบารมี การที่เราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก อดทนต่อการมีขันธ์ ๕ ย่อมส่งผลให้ขันติบารมี

หากมีการแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร หรือแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณ ก็ได้เมตตาบารมี เป็นต้น

ดังนั้น ระหว่างที่เราทรงขันธ์ ๕ อยู่ เราเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส เกิดความเจ็บป่วยร่างกาย ก็พิจารณาสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรม เจริญวิปัสสนาให้เห็นทุกข์ของการมีขันธ์ เกิดสังขารุเปกขาญาณ พร้อม ๆ กับบำเพ็ญขันติบารมีไป

ขออนุโมทนาบุญกับน้องหนูดีที่ช่วยให้ธรรมทานด้วยค่ะ

Numsai

 

.. ประมูลดวงแก้วอัสมาณสิการ ขนาดกว่า ๑๐ กก.ขึ้นวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาค่ะ..

​

ขอเชิญร่วมประมูล “ดวงแก้วอัสมาณสิการ” ขนาดกว่า ๑๐ กิโลกรัม อัญเชิญถ้ำแห่งหนึ่งในเทือกเขาภูพาน ขึ้นมาในวันวิสาขบูชา (ปี ๒๕๕๖) ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

​

ดวงแก้วอัสมาณสิการ​

ดวงแก้วอัสมาณสิกานต์นี้ มีความเนื่องกับดวงแก้วศิฐีจักรพรรดิ (คุณ prapart54 เป็นเจ้าของ) ปรากฏขึ้นครั้งล่าสุด ก่อนสมเด็จพระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระศิริบุญญรัตน์ เป็นหัวหน้ากายสิทธิ์ ๒๐,๕๐๐,๐๐๐ องค์ ปัจจุบันอยู่ชั้นดุสิต

ราคาเริ่มต้นการประมูล... ๑๔,๑๙๙ บาท

ดวงแก้วศิฐีจักรพรรดิ -ดวงแก้วอัสมาณสิการ​

กติกาในการประมูล

๑. เริ่มวันที่ ๒๙-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ภายใน ๑๙.๑๕ น. ตรงกับราชาฤกษ์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง
๒. หากที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุดเท่ากัน ๒ ท่าน จะตัดสินด้วยเวลาที่ปรากฏในเว็บพลังจิต โดยไม่เกินวันเวลาที่กำหนดไว้
๓. หลังจากปิดการประมูล โอนปัจจัยภายใน ๒ วัน เมื่อโอนปัจจัยแล้ว จะทำการจัดส่งดวงแก้วให้แก่เจ้าของต่อไปค่ะ

กรุณาโอนปัจจัยไปที่......

ชื่อบัญชี พุทธารา โรจนฤทธิกร
เลขที่ 080-252647-2
ธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนศรีนครินทร์(กรุงเทพ-กรีฑา)
ประเภท ออมทรัพย์/สะสมทรัพย์

ปัจจัยหลังหักค่าใช้จ่าย ๑๐ % ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพสร้างลวดลายหน้าบรรณโบสถ์ วัดโพธิญาณรังสี จ.สุรินทร์

และอีก ๑๐ % หลังหักค่าใช้จ่ายนำเข้ากองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตรค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
Numsai

หมายเหตุ ขออนุญาตทุกท่านนำเรื่องดวงแก้วประมูลลงก่อน เนื่องจากดวงแก้วนี้จะปรากฏในประวัติที่จะลงตอนต่อ ๆ ไปค่ะ (ก่อนประวัติดวงแก้วจักราฤทธิไกร-ศุภาลัยมณีรัตนะ)

 

ขอบคุณมากครับพี่ และพยายามระลึกถึงประโยคนี้บ่อย ๆ "บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ ย่อมไม่ทิ้งธรรม"