ผมอยากฝึกกสิณเพื่อได้ฤทธิ์ ผมคิดผิดไหมครับ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย firse007, 28 กันยายน 2012.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การช่วยเหลือให้คนอื่นมีความสุข สุขจากอะไร

    สุขจากการมี โภคทรัพย์ตามโลกธรรม8 เหรอ !?

    ย่อมไม่ใช่ เพราะการที่ทำให้เขามีสุขจากโลกธรรม นั่นมัน เหยียบย่ำซ้ำเติม !!
    มันไม่ใช่การชี้ทุกข์ แต่เป็นการพาให้เขาหลงโลก ....ช่วยเขาแบบนี้ เวรกรรม
    ย่อมตกถึงตัว คือ ห่างไกลมรรคผลนิพพาน ( พระไตรปิฏก จะเรียดศิษย์ ที่
    เข้าไปขอโลกธรรม8 ว่า อุปัทวะศิษย์ ( อุบาทศิษย์ ) และ สำหรับอาจารย์
    ก็จะเรียกว่า อุปัทวะอาจารย์ ( ....อาจารย์ )

    สุขจากการมีชีวิตรอด ยามขับขัน หรือ !?

    พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมอันยิ่งใหญ่ให้ดู ว่า การที่พระพุทธองค์จะดับขันธ์
    ปรินิพพานนั้น ไม่ใช่เพราะ ใครมากระทำ ไม่ใช่หางนาคฟาดครึ่งโลก ไม่ใช่ยักษ์
    เอาน้ำมาเติมใส่โลก ไม่ใช่กาเหว่าบางเพลง(มะนาวต่างดุด)มาเป่าหูตั้ง แต่คนๆ
    หนึ่งจะมีอันต้องตายนั้น ย่อมเกิดจากกรรมเวร คนเขามีกรรมเวรของเขา แล้วใคร
    จะทะลึ่งเอากสิณไปช่วยชีวิตใคร มันช่วยไม่ได้ คนที่บอกเอากสิณไว้ช่วยชีวิตคน
    นั่นมันโกหกหน้าด้านๆ มัน ไม่รู้เรื่อง เวรกรรมของคน จึงหลอกเอาว่าต่อชีวิตให้ได้
    อย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงแล้ว คนมันไม่ถึงคราวตายมันก็ไม่ตาย แต่หากคนถึงคราวตาย
    ต่อให้ สาวกเก่งขนาดไหน เก่งขนาดเหาะไปจักรวาลอื่น ก็ ช่วยไม่ได้ พระพุทธองค์
    จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานให้ดู แสดงธรรมชั้นเลิศให้ดู เพื่อ ตบหน้าพวกที่บอกว่า
    เอาฤทธิ์ไว้ช่วยชีวิตสัตว์ !!

    สรุปเบื้องต้น กสิณ เอาไว้ช่วยอะไร !?

    เอาไว้ช่วยชีวิตสัตว์เหรอ อย่ามาโกหก หวังในทรัพย์ คนโง่เท่านั้น ที่จะเชื่อ

    เอาไว้ทำให้มีโลกธรรม8 บริบูรณ์เหรอ อย่ามาซ้ำเติมกัน ธรรมดา โลกธรรม
    มันก็ร้อยรัดอยู่แล้ว หากมาทำให้มีเพิ่มโดยฤทธิ์ที่เจ้าตัวไม่ต้องออกแรงทำมา
    หากิน ไม่ต้องมีความรู้ประกอบอาหารด้วยตัวเอง แบบนี้เขาเรียก ย่ำทำลาย ไม่ใช่ช่วย

    ดังนั้น กสิณ มีไว้สำหรับ อริยะเจ้าที่รู้จัก นิ่ง ไม่ต้องใช้ มีก็ไม่ต้องใช้

    เพราะ ถ้าใช้เพื่อเรียกศรัทธา ก็ต้องไปหา กระดานนั่งบนถังน้ำ ไม่ใช่มานั่งอยู่กุฏิศาลาธรรมมาส

    สรุปคือ คนที่เก่งกสิณ แต่ จริยาวัตร นิ่งสงบ ไม่แสดง อย่างอริยะเจ้า นั่นแหละ
    คือการแสดงการพ้นอำนาจโลกธรรม8 แสดงการพ้นจากการสะดุ้งหวาดกลัว
    ต่อความตาย มีฤทธ์แต่ก็ไม่ใช่ มันช่างงดงามน่านับถือ และ ยืนยันได้ว่า

    นิพพานเท่านั้น ที่เป็นเป้าหมายสำคัญ

    หากนิ่งได้แบบนี้ ก็เท่ากับ ช่วยคนให้เห็น นิพพาน มีจริง และ แน่จริง !

    ***********

    เริ่มต้นอย่างไร

    ต้นคดปลายตรงไม่มี !!!

    ดังนั้น เริ่มจากปรารภนิพพาน จบที่ทำ นิพพานให้แจ้ง
    ด้วยการ ใช่กสิณ มีแต่ไม่ใช้ มีก็เหมือนไม่มี นิ่งอย่างอริยเจ้า !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2012
  2. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    ไม่ต้องฝึกฤทธิ์เดชอะไรก็ได้ถ้าต้องการจะช่วยเหลือผู้อื่น ฝึกให้ตนเองมีสติปัญญาให้ได้ ดีกว่าฤทธิ์เดชมากมาย มีฤทธิ์ถ้าขาดสติ แทนที่จะช่วยเหลือผู้อื่น อาจทำลายผู้อื่นแทน และถ้าเวลาโมโหหรือไม่ชอบหน้าใครก็จะใช้ฤทธิ์ไปทำลายเขาได้ แต่ถ้ามีสติปัญญาก็จะสามารถแก้ไขแนะนำให้ผู้ที่มีทุกข์ บรรเทาทุกข์ได้ และหนทางดับทุกข์ที่แท้จริงก็มีแต่ปัญญาเท่านั้นแหระที่จะแก้ได้แบบถาวร ส่วนฤทธิ์เดชถึงช่วยได้ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฉนั้นควรสร้างให้ตนเองมีสติปัญญาให้ได้ ก่อนที่จะคิดไปช่วยเหลือผู้อื่น ขออนุโมทนา
     
  3. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    แหะๆ ผมไม่รู้อะไรมากหรอกครับ ในใจผมเพียงแต่อยากช่วยเหลือ ผมไม่เคยโกหกเรื่องแบบนี้หรอกนะครับ หวังในทรัพย์ก็ไม่มีผมไม่สนใจ เพราะผมเพียงพอแล้ว แล้วผมก็ไม่เคร่งครัดว่าจะต้องได้นิพพาน ผมไม่เคยบอกว่า ้นมีแล้วผมจะต้องใช้ให้คนเห็น ผมคิดแค่ถ้าหากจะใช้ก็ต้องใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น แล้วสิ่งที่ผมพูดไปทุกคำนั้น เพียงแค่ต้องการแนวทางในการฝึกกสิน เท่านั้น แค่กสินนะครับ ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านี้ เท่านี้ผมก็สุขสบายแล้ว ไม่คิดเรื่องอะไร ทำเพื่อครอบครัวและคนรอบข้างเท่าที่มีกำลัง มีกำลังใจจากทุกทิศ แค่นี้ผมก็มีมากกว่าทรัพย์สินเงินทองแล้ว หากความคิดผมมันไปขัด และ ทำร้ายคนอื่นก็ขอโทษด้วย คนเราเกิดมาต่างความคิด ต่างเหตุผล ต่างสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ผมรู้จากปากแม่ผมก็คือ ทำความดีต่อไปเถอะลูก อย่าไปสนใครจะว่ากล่าวนินทา แม้ไม่ได้รับการชื่นชม ก็จงภูมิใจในตนเองเสมอ และยิ้มต่อไป เพราะฉนั้น เรื่องความทุกข์ในใจผมถึงมีมันก็คลายโดยง่าย ผมไม่ยึดติดอะไร ไม่ใช่คนขี้สงสารแต่ทำทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล เชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลอยู่แล้ว การที่ผมต้องการจะฝึกกสินนั้น ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือคนอื่น แต่เป็นการช่วยเหลือตนเองด้วย และผมจะเอาไปเผยแพร่ต่อไปหากผมฝึกสำเร็จ
    ความสับสน มันย่อมเกิดขึ้นในใจ แต่อยากจะหายสับสน ต้องหาคำตอบและตัดสินใจเลือกคำตอบนั้น ผมก็ต้องการแค่นั้นแหละครับ ผมไม่เคร่งอยู่แล้ว สบายๆ ไม่ตึง ไม่หย่อน
    ขอบคุณนะครับ ^^
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็เท่านี้แหละ ที่ต้องการให้ กล่าวออกมา

    คนเรานะ เวลาจะทำอะไร มันจะต้องส่งจิตออกนอกก่อน เพราะ ว่า โลกเขา
    นิยมมองข้างนอก หากข้างนอกเราตบแต่ง ตบตาไว้ดี คนมันจะค่อยๆ มึน
    พอมองย้อนเข้ามาข้างใน มันก็เห็นได้แค่ลางๆ ดูดี

    เอาไว้ช่วยคนอื่น นี่คือ ใส่สูท ผูกไทค์ เอาไว้

    หลังจากนั้น

    เอาไว้ช่วยตัวเองด้วย !! เนี่ยะ หางมันค่อยโผล่

    กสิณอะไรครับ เอาไว้ช่วยตัวเองอย่างไร ของลับ(อภิญญา)เนี่ยะ คุณล้วง
    ออกมา มาจับ มาช่วย ตัวเองอย่างไร !

    ถ้าบอกว่า เอาไว้ช่วยทำนิพพานให้แจ้ง มันก็ โอ นะ

    แต่ถ้าไม่ใช่ ......................ฮึย !!!!!!!!
     
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แต่ บอกก่อนนะ ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีคำไหน ห้ามฝึก

    หรือ บอกว่า ฝึกกสิณ ไม่ดีนะ

    ผมกล่าวมาตลอดว่า กสิณฝึกแล้วช่วยทำนิพพานให้แจ้งได้

    ดังนั้น ฝึกนะ ไม่ได้ห้าม ไม่ได้มาอิจฉา คนที่พึ่งเริ่มหาหนทางจะมี
     
  6. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    นี่มันกระทู้ล่อเป้านี่นา ฮะฮะ
    ผมเองก็ชอบอภิญญาครับ
    อภิญญา6นะ ไม่ใช่อภิญญา5
    แต่คำกล่าวลักษณะนี้ ต้องมีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน เป็นธรรมดา

    เพราะอัชฌาสัยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล มีด้วยกัน 4 แบบ
    ถ้าเป็นผู้นิยมอัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก เตวิชโช บางท่านคงไม่สนับสนุน
    แต่ถ้าเป็นผู้นิยมอัชฌาสัยฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต หลายท่านคงสนับสนุนครับ

    แต่ถ้าท่านใดเปิดใจให้กว้างในทุกอัชฌาสัย เพราะเห็นว่าบรรลุมรรคผลเหมือนกัน
    ท่านย่อมสนับสนุนแน่ เพราะท่านทราบดีว่า จริตแต่ละคนไม่เหมือนกันเสมอไป

    อย่างคนนิยมเตวิชโช จะไปบังคับให้ปฏิบัติแบบไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยอย่างสุกขวิปัสสโก แบบนั้นย่อมทนไม่ไหว เลิกเอาเฉยๆ
    ซึ่งคนเสียผล คือตัวคนปฏิบัติเอง ไม่ใช่คนสอนไม่ใช่คนแนะนำที่เสียผล

    ดังนั้น พึงหาอาจารย์ที่ทรงอภิญญาหรือทรงปฏิสัมภทาญาณนะครับ จะตอบโจทย์ได้ถูกต้อง
    หากไปเจออาจารย์นิยมสุกขวิปัสสโกเท่านั้น ดีไม่ดีโดนด่าเหน็บแนมเอาเฉยๆ หาว่าไม่เป็นเรื่อง
    แถมยังจะบังคับให้ปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโกเท่านั้น ห้ามอย่างอื่นอีกเด็ดขาด
    แบบนั้นใครเสียผลประโยชน์กันหนอ
     
  7. toseal

    toseal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +618
    ขอยืมกระทู้นิดนึงนะครับ ผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองครับฝึกกสินอะไรดีครับ
     
  8. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    ผมเข้าใจคุณแล้วหละครับ ขอบคุณนะครับ
     
  9. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    การฝึกอภิญญา ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ถ้าไม่มีของเก่าในชาติก่อน ก็จะทำลำบากมาก ตามตำราบอกว่าต้องได้สมาบัติ ๘ ถึงจะได้ แต่ถ้ามีของเก่า แค่รูปฌาน ๔ ก็พอ

    การจะฝึกเข้าฌาน แรกทีเดียวคุณต้องมีศีล ๕ บริบูรณ์เสียก่อน และจะให้ได้ชัวร์ว่าใช้งานได้คล่อง ก็ต้องเป็นพระอนาคามีแล้ว ไม่งั้นก็อาจจะใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือถ้าเกิดใช้งานได้แต่ไปทำอะไรที่ฝืนกฎแห่งกรรมเข้า ก็เป็นการกระทำที่เป็นอกุศลกรรม

    ถ้าศีล ๕ บริบูรณ์ไปแล้ว ไม่ขาดเลย สักปีหนึ่ง ก็น่าจะก้าวหน้าขึ้น

    ตอนหลังๆ ท่านจะแนะนำว่า ฝึกพิจารณาภาพพระพุทธรูปแก้วใสไปเลย เพราะว่า นอกจาก จะได้พุทธานุสติแล้ว ยังเป็น อาโลกกสิณไปในตัว สามารถรู้อะไรๆ ได้
    และพุทธานุสติ มีพุทธานุภาพเกินกสิณทุกกอง สามารถอธิษฐานใช้กสิณทุกกองได้จากภาพพระนี้ครับ
     
  10. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    ครับ ขอบคุณครับที่เป็นแนวทางให้ผม ^^
     
  11. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    ขอรับ ผมก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันนะครับ ขอบคุณมากๆเลยนะครับ ที่ชี้แนวทางเพิ่มเติมให้ผมอีก
    ครับผมเข้าใจดี ผมจะไม่พยายามให้มันเกิดเรื่องนะครับถ้าเห็นไม่ดีก็แจ้งลบได้เลย ^^
    แล้วก็ขอบคุณนะครับที่กรุณาบอกและชี้แนะผม ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2012
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เข้าใจจริงหรือเปล่า

    ถ้าเข้าใจจริง จะต้องเห็นนะว่า เริ่มฝึกกสิณแล้ว

    แล้วเริ่มแบบไหน ก็ เริ่มจาก สอดส่องเข้ามาที่ใจเราก่อน ยังไม่ต้อง
    ส่งออกนอกไปไกล ส่องเข้ามาข้างใน ช่วยเหลือตัวเองก่อน

    ส่องกิเลส ตัณหา ทยานอยาก ที่มันฝังตัว ชักไย เราก่อน

    เห็นแล้ว อย่าตกใจ อย่าสะดิ้ง ก็ ของมันต้องใช้

    แต่จะมะงุม มะงาหรา ตบแต่งหน้าเค้กให้ดูดี ย้อมตัวเอง เผารนตัวเอง
    มันควรไหม มันก็ไม่ควร

    แต่ถ้า เราสอดส่องเข้ามาเห็น ตัณหา ทยานอยาก ที่ปรากฏในเราก่อน

    มันชักไยเราได้ก็จริง แต่ เราตามรู้ ตามดูมันอยู่ จึงชื่อว่า ไม่จม!!

    แต่มันก็ไม่ลอยนะ ยังเป็นการฝึกแบบผลุบๆโผล่ๆ

    เว้นแต่ เอ้ยเห็น ตัณหาชัดเจนว่ามี แล้วไม่ต้องไปแทรกแซงการมี

    ปล่อยให้มันทำงาน พาเราไปฝึกกสิณ ของมันไป ไม่เกี่ยวกับ ผู้รู้
    ผู้ดู ผู้ตื่น ที่ห่างจาก ตัณหา มีอยู่ หรือไม่มีอยู่ เราก็รู้

    เนี่ยะ ฝึกกสิณโดยปราศจากกิเลส นิวรณ์ ห่างไกลข้าศึก ว่าด้วยสุญญตาสมาธิ
    แล้วมันจะไปได้เร็ว

    เข้าใจไหม !?
     
  13. Greenpleace

    Greenpleace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +8,768
    โมทนากับความเห็นชอบนี้ครับ

    นอกจากนั้นก็มีเรื่องของจริต นิสัยคุ้นเคยที่ติดในใจมาช้านานครับ

    ที่มีส่วนช่วยให้กรรมฐานบางอย่างสำเร็จตามความมุ่งหมายได้ง่ายครับ

    ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องลูกนายช่างทอง เป็นคนหน่มฝึกอสุภกรรฐานแต่

    ทำไม่ได้ เพราะไม่มีราคะจริต พระพุทธเจ้าท่านก็ให้ไปฝึกกสินสีแดง

    จนในที่สุดก็ได้นิมิตรของพระพุทธองค์ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทานญาณ ครับ


     
  14. firse007

    firse007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +109
    ครับผมเข้าใจแล้ว
     
  15. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    การฝึกกสิณ เป็นเรื่องของจริตนิสัย ท่านที่ถามเรื่องว่าฝึกกองไหนดี ผมก็ตอบไปแล้ว แต่จะเอากองอื่นก็แล้วแต่ชอบ ถ้าเริ่มแล้วก็ไม่ควรเปลี่ยนไปกองอื่นจนกว่ากองแรกจะเข้าถึง ฌาน ๔ ได้คล่อง และได้วสี แต่อย่างที่บอกคือถ้าใช้ภาพพระก็ไม่ต้องเปลี่ยนองค์กสิณเลยก็ได้

    แต่ว่าไม่ควรไปหวังจะได้อภิญญา ๕ อะไรจะดีกว่า เพราะว่า ถ้าเราไม่มีของเก่า ก็คงได้ยาก อย่างที่บอกไว้ก่อนแล้ว ควรจะมุ่งหวังตัดกิเลส ให้พ้นทุกข์จะดีกว่าครับ และถ้าภาวนาก้าวหน้าขึ้นมา ของพวกนี้จะมาเองครับ
     
  16. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    ขอคอมเมนต์ความเห็นข้างบนนิดเดียวครับ
    อภิญญา ๕ กับ ๖ ก็ต่างกันตรงว่า ท่านที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล ท่านได้เป็นผู้ทรงฌาน ก็ได้แค่อภิญญา ๕ แต่ว่าถ้าท่านบรรลุธรรมตัดกิเลสแล้ว เป็นโสดาบันขึ้นไป ก็ถือเป็นอภิญญา ๖ ครับ
     
  17. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ผมพียงแค่อยากถามถึงความปรารถนาส่วนลึกๆ ของคุณนะครับ

    คือถ้าปรารถนาพระโพธิญาณ ก็ลุยโลด ตามจริยาพระโพธิสัตว์

    แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ลุยโลด ตามจริยาพุทธสาวก:cool:

    เรื่องฝึกกสิณก็มีอยู่ที่หน้าบอร์ดนี้แหละครับ ลองศึกษาดูนะครับ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ดี ถ้าหากพอจะ ทำความเข้าใจตามได้ ก็ย้อนกลับไปเรื่อง
    "ฝึกธรรมะ เพื่อสนองโลก" อันนี้ พระท่าน เขาสอนต่อๆกันมาเอาไว้

    เวลาเราตั้งจิต อธิษฐาน ต้องระวัง อย่า อธิษฐานฝึกธรรมะไปสนองโลก

    เอาธรรมะไปเป็น เบี้ยล่างให้โลก เอาไปเชิดชูโลกธรรม8 เอาไปข้องเรื่อง
    การกิน การอยู่ การศึก สงคราม ภัยพิบัติ (อื่นๆ ไปหาเอา เดรัจฉานกถา10)

    เราต้องกัน การฝึกของเราให้ห่างเรื่องพวกนี้ไว้แต่ อธิษฐาน ไม่งั้น จะชื่อว่า

    ตั้งจิตไว้ผิด ผลของการตั้งจิตไว้ผิด จะเป็นคนดีมาก ดีขนาดเป็นพระราชบิดา
    ของพระพุทธเจ้ามาหลายสมัย แต่เพราะ ตั้งจิตไว้ผิดนิดเดียว ทำให้คนจดจำชื่อ
    ท่านแตสมมติว่า เทวทัต ทั้งๆที่ นั่น พระปัจเจกพุทธเจ้า เลิศกว่า สาวกทั้งปวงนะ

    เนี่ยะ หากเรา ฝึกธรรมะ แน่นอนมันต้องเริ่มจากใช้ ตัณหา แต่เรายกขึ้นตาม
    พิจารณา แลอยู่ เพราะห่างจากตัณหา จึงชื่อว่า สุญญตาสมาธิ

    และ เพราะเราไม่เอา ธรรมไปสนองโลก ไม่ตั้งไว้ในโลก ไม่ตั้งไว้ผิด ก็จะทำ
    ให้เป็น สุญญตาสมาธิอีกตัวหนึ่งคือ อัปณิหิตสมาธิ

    ส่วน อนิมิตสมาธินั้น ก็อยู่ที่ มีแต่ไม่ใช้ นิ่งให้เป็น แต่ญาณทัศนะใสแจ๋ว
    ไม่มีนิมิตตัวไหนจะทำให้เรา ยึดติด ติดข้อง สอดส่องทะลุทะลวงหมด ก็จะ
    เป็นอีกตัวหนึ่ง

    พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนกสิณ แบบ กสิณฤาษี แต่ สอนแบบ ห่างไกลข้า
    ศึก ห่างไกลตัณหา ว่าด้วยเรื่อง สุญญตาเท่านั้น

    *************

    นี่ เห็นว่า พึ่งเริ่มต้น ปรารภเองว่า พึ่งเริ่มต้น ยังหาหนทางเริ่มต้น

    ก็เลย พาดูจุดเริ่มต้นให้มันทั่วๆ หลังจากนั้น ไปลุยเอาเอง

    แต่วางใจไว้เลยนะ ร้อยละร้อย ลืมสุญญตาหมด ดีไม่ดี มักเก่งกว่าพระพุทธเจ้า

    เช่น กะช่วยใครหน้าไหนก็ได้ โดยไม่สนใจเรื่อง พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีทศพลญาณ
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ หากยังปรารภด้วยจิตอ่อนโยน ไม่กระด้าง ได้อยู่อีก

    ก็ขออีกเรื่องเดียว


    ตะกี้บอกว่า เราไม่ฝึกธรรมสนองโลกแบบโลกๆ คือ โลกของสัตว์
    ตัวตน บุคคล เราเขา

    แต่ให้ ฝึกแล้วย้อนมาที่ตัว คือ กายกับใจ ของเรานี่ ไม่เกิน กายหนา
    คืบกว้างศอก และ ใจของเรานี้ออกไป เนี่ยะ ให้โลก มันเป็น กาย
    กับใจ หรือ รูปกับนาม เพียงแค่นี้

    ฝึกกสิณนะ แต่เอามาย้อนพิจารณาลงที่ตัว ให้โลก เป็นเพียง กายกับใจ
    หรือ รูปกับนาม เนี่ยะ ฝึกแบบนี้ ทำเรื่อยๆ ทำให้มากๆ ทำเนือง เดี๋ยวก็
    แจ้งโลกได้ ไม่มากก็น้อย

    แจ้งโลก กายกับใจ รูปกับนาม เนี่ยะ คือ ทางที่จะทำให้แจ้งนิพพาน โดยอาศัย
    กสิณ อันพึงทำให้เกิด ธรรมฤทธ์สุดยอด ถึง ความเป็นอมตะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2012
  20. John Lee

    John Lee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +424
    ดีครับ แต่เจตนาแบบนี้มันจะได้ช้ากว่าแบบไม่อยากไปอีกนิดหน่อย

    ครั้งหนึ่งผมเคยตั้งคำถาม (ประมาณ 20 ปี ผ่านมาแล้ว) ว่า ถ้ามีคนที่ได้อภิญญาฤทธิ์สัก กลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-5 คน จะสามารถช่วยต้านทาน(ทำลาย)เอเลี่ยนที่บุกรุกโลกนี้ได้ไหม ??

    พระฯท่านตอบว่า "ได้ แต่ต้องช่วยกัน ต้องรวมตัวช่วยกัน เก่งเดี่ยวมันก็ดี แต่ไม่ควรเป็นแบบนั้น"

    ถ้ามันมากันจำนวนมาก คุณคนเดียวรับมือไม่ไหวหรอก .. แล้วพวกที่มารบกวนเราก็เหี้ยกันชนิดสมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น (เก่งกว่าเราก็น่าจะมีอยู่ -- ตัวนี้ผมเดาเอง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...