พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตรงใจมาก ชอบครับ ความสุข ความทุกข์ไม่มีแต่แรกแล้ว
     
  2. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมมีกิจกรรมมาให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้าอีกแล้วครับ

    จากรูป

    [​IMG]

    เมื่อเห็นรูปนี้แล้ว มีความคิดเห็นอย่างไร (ให้อธิบายความคิดเห็น ,ความรู้สึก ที่มีต่อรูปนี้) เมื่ออธิบายความคิดเห็นและความรู้สึกแล้ว ให้นำธรรมะ (หากมีการแจ้งว่า เป็นพระสูตร หรือ ธรรมะบทไหนในพระไตรปิฎกมาลงด้วย ยิ่งเป็นการดี) มาอธิบายให้สอดคล้องกับความคิดเห็นและความรู้สึกที่ได้โพสก่อนหน้านี้

    ผมมีรางวัลให้ 2 รางวัลก็คือ
    รางวัลที่ 1 พระพิมพ์หลวงปู่ บุเงิน 1 องค์ ,บุนาค 1 องค์
    รางวัลที่ 2 ลูกสะกด (ลงรัก) 2 ลูก

    การให้คะแนน
    ผมจะแบ่งคะแนน ออกเป็น 2 ส่วน แต่คะแนนท่านที่จะได้รับพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลทั้ง 2 รางวัล ต้องมีคะแนนของทั้งสองส่วน คือ
    1.ผมตัดสิน 50 %
    2.ผมขอให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้า โหวตโพสของท่านที่เข้าร่วมกิจกรรม อีก 50 %
    (โดยให้โหวตเพียง 2 ท่าน หากโหวตท่านใดเป็นอันดับ 1 ให้ลงเป็นชื่อแรก และหากโหวตท่านใดเป็นอันดับ 2 ให้ลงเป็นชื่อที่ 2 เช่น
    1.คุณเพชร (อันดับ 1)
    2.คุณnongnooo (อันดับ 2)
    แต่สำหรับการโหวตครั้งนี้ ผมไม่มีพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลมอบให้นะครับ)
    การตัดสิน สามารถตัดสินว่า ไม่มีใครสมควรได้ ก็ได้นะครับ


    ผมให้เริ่มการอธิบายความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว พร้อมทั้งอธิบายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว นี้ตั้งแต่วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2551) เวลาประมาณ 17.00 น.

    สิ้นสุดการอธิบายความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว พร้อมทั้งอธิบายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็น,ความรู้สึกต่อรูปดังกล่าว ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.

    หลังจาก(วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.)นั้น ผมขอให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้า โหวตโพสของท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 2 ท่าน สิ้นสุดการโหวต วันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา 18.00 น.

    เวลานั้น ขอให้ใช้เวลาในเว็บพลังจิตเป็นเวลาที่ผมระบุ

    การโพสทั้งการอธิบายความคิดเห็นและความรู้สึก และการโหวต สามารถโพสได้ในกระทู้ใด กระทู้หนึ่งก็ได้ หรือทั้งสามกระทู้ก็ได้
    ( กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... จากเว็บพลังจิต หมวดพระเครื่องและวัตถุมงคล
    กระทู้ "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....." จากเว็บอกาลิโก หมวด 108 โทรโข่ง
    และชมรม พระวังหน้า )

    ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้าร่วมกิจกรรม ขอให้โชคดีทุกๆท่านครับ
    อย่าลืม อ่านให้ละเอียดนะครับ และกิจกรรมครั้งนี้ ผมถือว่าค่อนข้างยาก ทำการบ้านให้ละเอียดนะครับ
    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1220
    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    การมองภาพภาพนี้สิ่งที่เห็นคือ ความว่างเปล่า หรือ คือ ธรรมชาติของโลก ค่ะ ถ้าเราไม่เอา อายตนะ 6 ไปจับกับสิ่งสมมุติต่างๆ สิ่งที่เห็นก็เป็นเพียงแค่ภาพภาพหนึ่ง เมื่อไม่มีอารมณ์ไปจับ ก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือ ความสุข คือ ความทุกข์ คือความสวยงาม ไม่คิดเลยไปจากสิ่งที่เห็น เมื่อไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ก็จะมองเห็นถึงความจริงที่ว่า ทุกสิ่งล้วน หมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน ทั้งดาวตก และ ระลอกน้ำ ที่มีเกิดและมีดับ หาได้มีความสวยงามอันเป็นกิเลสไม่

    ข้อความย่อ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีใจไม่กวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า พึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้โลเลเพราะจักษุประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้ว

    ข้อความเต็มจาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

    ว่าด้วยการสำรวมจักษุ

    [๙๖๙] พึงทราบอธิบายในคำว่า พึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้าดังต่อไปนี้ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้โลเลเพราะจักษุประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้ว ดังนี้ จึงเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน

    เพื่อเห็นรูป จากอารามนี้ไปยังอารามโน้น จากสวนนี้ไปยังสวนโน้น จากบ้านนี้ไปยังบ้านโน้นจากนิคมนี้ไปยังนิคมโน้น จากนครนี้ไปยังนครโน้น จากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น จากชนบทนี้ไปยังชนบทโน้น ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน เดินไปตามถนนไม่สำรวมเดินไป เดินแลดูกองพลช้าง แลดูกองพลม้า แลดูกองพลรถ แลดูกองพลเดินเท้า
    แลดูพวกสตรี แลดูพวกบุรุษ แลดูพวกกุมาร แลดูพวกกุมารี แลดูร้านตลาด แลดูหน้ามุขเรือนแลดูข้างบน แลดูข้างล่าง แลดูทิศน้อยทิศใหญ่ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่งภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ถือนิมิต ถืออนุพยัญชนะ ย่อมไม่ปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ย่อมไม่
    รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.
    อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ท่านสมณพราหมณ์จำพวกหนึ่ง ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับ การประโคม มหรสพมีการรำเป็นต้น

    การเล่นนิยาย เพลงปรบมือ ฆ้อง ระนาด หนัง เพลง ขอทาน ไต่ราว การเล่นหน้าศพ ชนช้างแข่งม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ ชนนกกระทา รำกระบี่กระบอง ชกมวยมวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพ กองทัพ ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    ภิกษุเป็นผู้ไม่ทอดจักษุอย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้โลเลเพราะจักษุ ไม่ประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ ไม่คิดว่า เราพึงเห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้วดังนี้ เป็นผู้ไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน

    เพื่อเห็นรูป จากอารามนี้ไปยังอารามโน้น ... จากชนบทนี้ไปยังชนบทโน้น ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุ
    ไปแม้อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน เดินไปตามทาง ย่อมสำรวมเดินไปไม่เดินแลดูกองพลช้าง ฯลฯ ไม่แลดูทิศน้อยทิศใหญ่ ภิกษุเป็นผู้ไม่ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ฯลฯ ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้. อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ท่านสมณพราหมณ์จำพวกหนึ่ง ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ฯลฯ กองทัพ ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ ภิกษุไม่เป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น
    จึงชื่อว่า ภิกษุพึงเป็นผู้สำรวม

    ว่าด้วยจิตที่เป็นกาลของสมถะและวิปัสสนา

    [๙๘๗] คำว่า มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ในคำว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้ ความว่า เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีจิตไม่ฟุ้งซ่านมีใจไม่กวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น. คำว่า ภิกษุนั้นพึงกำจัดความมืด ความว่า พึงขจัด กำจัด ละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความมืดคือราคะ ความมืดคือโทสะ ความมืดคือโมหะ ความมืดคือมานะ ความมืดคือทิฏฐิ ความมืดคือกิเลส
    ความมืดคือทุจริต อันทำให้บอด ทำให้ไม่มีจักษุ ทำให้ไม่มีญาณ ดับปัญญา เป็นฝักฝ่ายความลำบากไม่ให้เป็นไปเพื่อนิพพาน. คำว่า ภควา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ.

    อีกอย่างหนึ่ง. ชื่อว่าภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส. เพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรงแจกแจง ทรงจำแนกเฉพาะซึ่งธรรมรัตนะ. เพราะอรรถว่า ทรงทำที่สุดแห่งภพทั้งหลาย. เพราะอรรถว่า มีพระกายอันทรงอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.

    อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะและป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูป
    สมาบัติ ๔ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘
    อภิภายตนะ ๘ อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปาณสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งตถาคตพลญาณ ๑๐ เวสารัชญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา
    พระบิดา พระภาดา พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา

    มิได้เฉลิมให้ พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีในอรหัตผลให้ลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็นสัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้นพึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

    ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษแล้ว พึงกำจัดฉันทะในธรรมเหล่านั้น
    ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบตามกาล เป็นผู้มีจิตเป็น
    ธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดังนี้
    ฉะนี้แล.
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

    ด้วยจิตคารวะ อนุโมทนาครับ
    [​IMG]
    <!-- / message -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ท่านที่จะร่วมตอบท่านต่อไป บอกได้อย่างเดียวว่า เหนื่อยแน่ เพราะว่าท่านที่ตอบไปก่อนหน้านี้ ดีทั้งนั้น ต้องทำการบ้านเยอะหน่อยนะครับ เอาใจช่วยทุกๆท่านครับ

    .
     
  5. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    --*--

    โอ้โห...แต่ละคนสุดยอดจริงๆครับ แล้วผมจะมองมุมไหนดีล่ะ.....
     
  6. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    **/**

    ขอมองอีกมุมนะครับ..สรุปสั้นๆ(ตามปัญญาอันน้อยนิด)

    ถ้ามองตามความเป็นจริงก็คือ รูปสีตัดกัน เป็นแค่(สังขาร) การปรุงแต่ง

    แต่ถ้ามองอนุโลมตามโลก ก็คือน้ำทะเล ท้องฟ้า ดวงดาว ภูเขา บุคคล ก็ต้องขออนุญาตยกเอาบทโศลกของ หลวงปู่พุทธะอิสระมากล่าว ดังนี้
    "สรรพสิ่งเริ่มประปราย ดารารายเปลี่ยนวิถี
    ทะเลลึกเนิ่นนานปี มาบัดนี้กลายเป็นสูง"
    "สรรพสิ่งเริ่มประปราย ดารารายเปลี่ยนวิถี" ผมอธิบายว่า ทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพวัถตุ ทุกสรรพชีวิตในโลก หมุนเวียน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็คือน้ำทะเล ท้องฟ้า ดวงดาว ภูเขา บุคคล ตามกฎของไตรลักษณ์
    "ทะเลลึกเนิ่นนานปี มาบัดนี้กลายเป็นสูง" ภูเขาที่ว่าสูงใหญ่ ก็มาจากท้องทะเลอันกว้าง และลึก หรือท้องทะเลที่ว่าลึก ยังกลับเปลี่ยน กลายมาเป็นภูเขาอันสูงใหญ่ได้
    สรุปแล้วก็คือ "สรรพสิ่ง อิงอาศัยซึ่งกันและกัน" เป็นไปตามหลักอิทับปัจจะยะตา คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมเกิดจากเหตุและปัจจัย และจะต้องเป็นไปตามเหตุและปัจจัย มีเหตุก็เกิดตามเหตุ หมดเหตุก็ดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  7. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    ***-***

    ....โมทนาสาธุครับ....
     
  8. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    ....ขอเพิ่มเติมอีกนิด.....

    ขอเพิ่มเติมอีกนิค...ครับ

    ...จากภาพ จะเห็นว่ามี ทั้ง ท้องฟ้า ดวงดาว ภูเขา ท้องทะเล บุคคล ซึ่งต้องอิงอาศัยซึ่งกันแลกัน ซึ่งนั้นก็คือ การปฏิบัติธรรมธรรม ภาวนามิใช่การออกจากสังคม มิใช่การหลีกหนีสังคม แต่เป็นการเตรียมพร้อมที่จะกลับคืนสู่สังคม คืนสู่ธรรมชาติต่างหาก พุทธศาสนา จึงเป็นศาสตร์ที่คลอบคลุมทุกมิติของสรรพชีวิต...
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ไม่ยอมแพ้(ทางธรรม)กันเลยนะครับ ...แข่งดี ไม่เป็นไร...
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 46 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 42 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, hs8xwc, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณเพชรครับ

    กองเชียร์ก็เยอะนะครับ เพียงแต่ไม่ทราบว่า เชียร์ใคร

    .
     
  11. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    สุญญตาปริทรรศน์ภาคผนวกสุญญตาธรรม<HR>ต้องการดาว์โหลดเป็นเอกสาร word กดที่นี่ ๑.สุญญตาเป็นเรื่องทั้งหมดของพุทธศาสนาสิ่งที่เรียกว่า
     
  12. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ตาวมความเห็นความรู้สึกของผมทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติหรือในภาพล้วนแล้วแต่เป็นสูญญตาสิ่งต่างในธรรมชาติล้วนแล้วคือธรรมต่างอย่างข้อที่ชี้ชัดในธรรมว่าธรรมชาติคือธรรมะคือตอนที่พระพุทธเจ้าค้นพบว่าเสียงพินหากตึงไปเสียงจะไม่ไพเราะหย่อนไปไม่ไฟเราะขึงพอดีหรือเดินทางสายกลางนี้ล้วนแต่เป็นธรรมชาติสูญยาตานั้นรวมไปถึงขั้นว่าการไม่ยึดถือยึกมั่นในกิเลศ โลภะ โทสะ โมหะ สูญญตาคือหลักของพระพุทธศาสนา อีกทั้งสูญญตายังรวมถึงกฎไตรลักษณ์ความไม่มั่นคงต่างของทุกสรรพสิ่งไม่ว่ามนุษย์หรือธรรมชาตินิพพานความว่างไปจากกิเลศนี้ก็คือสูญญตา ผมขอพูดง่ายๆสูญญตาเปรียบได้ว่าคือแก่นแท้แห่งธรรมที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกคน
     
  13. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    หลักฐานอ้างอิงคือการแสดงธรรมของพระนาคเสนที่สนทนาธรรมกับพระยามิลินท์รวมไปถึงยังมีการบันทึกในพระไตรปิฏกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ผมข้อร้องใหพี่ๆๆทนอ่านเลยครับผมอ่านแล้วสนุกมากที่ผมหาหลักธรรมนี้มาก็เพราะผมลองไปนึกหลักของธรรมชาติรอบๆๆตัวนึกแล้วพยายามมองไปในรอบตัวทั้งตัวเองแล้วธรรมชาติขณะกำลังอาบน้ำก็นึกขึ้นจากหนังสือพระพุทธม.4ว่าเราเรียนเรื่องพระนาคเสนแสดงธรรมกับพระยามลินท์ อ่านแล้วสุดยอดมากอยากให้พี่ๆๆได้อ่านจนหมดนี้ละสุดยอดผมก็พยายามอ่านให้หมดแล้ว ผมพยายามวิเคราะห์ธรรมะที่ผมเรียนรู้ผ่านตามาช่วยวิเคราะห์ลองนึกมาหลายๆๆซึ้งทุกอย่างที่ผมนึกมาได้ก็รวมอยู่ในธรรมะเรื่องสูญยตาหมดแล้วไม่เชื่อพี่ๆลองอ่านให้จบสิ
     
  14. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมมีกิจกรรมมาให้สมาชิกชาววังหน้า และสมาชิกชมรมพระวังหน้าอีกแล้วครับ

    จากรูป

    [​IMG]

    เมื่อเห็นรูปนี้แล้ว มีความคิดเห็นอย่างไร (ให้อธิบายความคิดเห็น ,ความรู้สึก ที่มีต่อรูปนี้) เมื่ออธิบายความคิดเห็นและความรู้สึกแล้ว ให้นำธรรมะ (หากมีการแจ้งว่า เป็นพระสูตร หรือ ธรรมะบทไหนในพระไตรปิฎกมาลงด้วย ยิ่งเป็นการดี) มาอธิบายให้สอดคล้องกับความคิดเห็นและความรู้สึกที่ได้โพสก่อนหน้านี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    มาต่อกันโดยใช้หลักธรรมมาอธิบายอย่างเป็นกิจจะลักษณะนะครับ
    ผมจะใช้หลัก อเหตุกจิต 3 ประการ มาอธิบายความรู้สึกหรือความคิดเห็นที่เกิดขึ้นจากการได้เห็นภาพAnimation ซึ่งในที่นี้ผมจะถือว่าเป็นโจทย์ธรรมมะข้อนึงละกันครับ
    1)ปัญจทวารสวัชนจิต คือกิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามอายตนะหรือทวารทั้ง 5 ( ตา หู ลิ้น จมูก กาย ) ซึ่งในกรณีนี้ ตาเราเห็นภาพ ดังนั้นมาดูกันครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผู้เห็น คือ เมื่อตาเราได้ไปกระทบกับภาพที่เห็นแล้ว ก็จะเกิดจักษุวิญญาณคือการเห็นผ่าน ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติของเราๆท่านๆ มีกันทุกคน โดยเราจะมีจิตที่เชื่อมต่อกับทวารนี้ แล้วส่งต่อไปยังจิตกลางของเราเพื่อการรับรู้ในสิ่งที่เห็น ซึ่งก็จะเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆขึ้น เราห้ามไม่ได้ แต่เราป้องกันได้โดยการสำรวมอินทรีย์ ในที่นี้คือ ตาที่เห็น ไม่ให้เคลิบเคลิ้มในอายตนะเหล่านั้น โดยกำหนดจิตเราให้ตั้งอยู่ในจิต ไม่คิดปรุงแต่ง เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เป็นต้น
    2)มโนทวารวัชนจิต คือกิริยาจิตที่แฝงอยู่ในมโนทวาร มีหน้าที่สร้างความคิดนึกต่างๆนาๆ คอยรับเหตุการณ์จากภายนอกและภายในที่มากระทบกับเรา แล้วสะสมเอาไว้ ซึ่งจะห้ามจิตไม่ให้คิดนั้น ห้ามไม่ได้เช่นกัน หากแต่ว่า ถ้าจิตเราคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ที่ส่งผ่านมาจากภายนอก ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิด ไม่ยึดถือไม่ยึดติดความคิดเหล่านั้น จิตก็จะไม่ไหลไปตามกระแสอารมณ์ที่ได้เกิดขึ้นในใจเรา
    ส่วนข้อ 3)หสิตุปบาท คือกิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มีครับ
    สำหรับในภาพนี้ มาถึงตอนนี้ ถ้าผมใช้หลักอเหตุกจิต 3 ประการ ในการพิจารณาดูแล้ว ก็จะพบว่าภาพนี้นั้นไม่มีอะไรที่จะแสดงความเห็น และไม่มีอะไรที่จะแสดงความรู้สึกครับ(แต่จริงๆแล้วจิตผมยังไม่ถึงขั้นนี้นะครับ ยังห่างไกลอยู่มากๆๆๆๆๆครับ เอาเป็นว่าผมสมมุติละกัน) ด้วยเหตุที่ว่าจิตนั้นได้อยู่เหนือมายาสังขารแล้ว เพราะความได้รู้เท่าทันในเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่ง จนจิตเป็นอิสระได้ด้วยตัวของมันเองครับ
    ภาพที่ผมเห็นนั้น เป็นภาพจริงครับ แต่ภาพที่ถูกเห็นนั้น ไม่จริงครับ
    หวังว่าเพื่อนๆสมาชิกคงได้ประโยชน์นะครับ...อนุโมทนาครับ

    อ้างอิงจาก พระธรรมเทศนา หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    [​IMG]
     
  15. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    [​IMG]

    เป็นความคิดที่น่ายินดียิ่งครับ...สาธุ

    ผมอยากจะทำบุญร่วมด้วยคนนึงครับ พี่ หนึ่งพันบาท ในนามคณะพระวังหน้า แล้วต้องโอนไปที่ใดครับ
    รวมกันแล้วส่งไปทีเดียวหรือ อย่างไรครับ ...?


    _____________________________________________​

     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับ
    โมทนาสาธุครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไว้รอท่านอื่นๆแสดงความเห็นกันก่อนนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  19. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    เรียน คุณ สิทธิพงษ์ คุณ ชวพล และสมาชิกทุกท่านทราบ
    เมื่อวันที่ 1 พย.51 ผมได้เดินทางไปพบคุณ สุทธิพงษ์ และ คุณ ชวภณ เพื่อรับพระพิมพ์ หลังเบี้ย จำนวน 200 องค์ และพระพิมพ์ ของหลวงพ่อ สิริ อีกจำนวนหนึ่ง และเดินทางกลับเลย วันที่ 2 พย.51 ผมได้ทำ กฐิน ที่วัดสวนป่า จนแล้วเสร็จ และได้มอบพระพิมพ์ ให้กับ ท่านพระอาจารย์ มนัส เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแจ้ง วัตถุประสงค์ ตามที่ คุณ สิทธิพงษ์ แจ้งไว้ พอช่วงเย็นของวันที่ 2 พย.51 ผมมีไข้กระทันหัน เข้ารับรักษาตัวอยู่ 12 วัน เพิ่งกลับมาทำงาน เมื่อ วันที่ 17 พย 51 ที่ผ่านมา เลยไม่ได้เข้ามาขอบคุณ คุณ สิทธิพงษ และ คุณ ชวภณ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ พร้อมกับ ขอ อนุโมทนา บุญกับ คุณ ทั้ง 2 ด้วย
     
  20. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ยินดีร่วมบริจาคด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...