พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา learners.in.th/file/be_sincere/ประวัตินักเศรษฐศาตร์.doc

    พระประวัติกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์<O:p</O:p

    พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสทรงเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พระองค์เจ้า ยอดยิ่งยศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับ เจ้าจอมมารดาเลี่ยม (เล็ก) ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๙ ในพระบวรราชวัง
    <O:p</O:p
    เมื่อเยาว์วัยเรียนหนังสือกับมารดาที่ตำหนัก เมื่อชันษา ๕ ขวบ ก็ทรงอ่านหนังสือได้คล่อง ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และต่อมาศึกษาภาษาอังกฤษจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายเวร กระทรวงธรรมการ ขณะพระชันษาได้ ๑๖ ปี และได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยในกรมศึกษาธิการใน ทรงรับหน้าที่พิเศษเป็นข้าหลวงสอบไล่วิชาหนังสือไทย ทรงเป็นกรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัติพิจารณาความแพ่ง และทรงได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
    <O:p</O:p
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสตามเสด็จด้วย และทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นเวลา ๒ ปี ทรงเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี
    <O:p</O:p
    พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงย้ายเป็นปลัดกรมธนบัตร และเจริญก้าวหน้าเป็น ผู้แทนเจ้ากรมธนบัตร เจ้ากรมกองที่ปรึกษาอธิบดีกรมประสาปน์สิทธิการ อธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี อธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ทรงจัดตั้งและวางรากฐานกิจการสหกรณ์ จนในที่สุดได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเสนาบดี กระทรวงพาณิชย์
    <O:p</O:p
    พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสเป็น องคมนตรี และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมฯ เป็น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖<O:p></O:p>
    พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งอุปนายกกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร ซึ่งต่อมาได้รวมเข้ากับกรมศิลปากร ต่อมาได้เปลี่ยนจากหอสมุดสำหรับพระนครเป็น "ราชบัณฑิตยสภา"
    <O:p</O:p
    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงโปรดเล่นกีฬาเทนนิส ทรงพระดำริตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐<O:p</O:p
    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ด้วยพระโรคหลอดโลหิตในสมองตัน สิริพระชนมายุ ๖๘ ปี ๖ เดือน ๑๓ วัน<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • nms.JPG
      nms.JPG
      ขนาดไฟล์:
      24.8 KB
      เปิดดู:
      613
    • nms1.jpg
      nms1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.9 KB
      เปิดดู:
      586
    • tab-1.jpg
      tab-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.4 KB
      เปิดดู:
      1,990
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2010
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG] [​IMG]
    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์


    (เปลี่ยนทางมาจาก พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)

    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หรือพระนามเดิม พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส หรือ น.ม.ส. ทรงเป็นปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็น พระบิดาแห่งสหกรณ์ไทย ทรงเป็นต้นราชสกุล "รัชนี"

    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] พระประวัติ

    พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสทรงเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พระองค์เจ้า ยอดยิ่งยศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับ เจ้าจอมมารดาเลี่ยม (เล็ก) ธิดานายสุดจินดา (พลอย ชูโต) <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๙ ในพระบวรราชวัง มีพระเชษฐภคินีหนึ่งพระองค์ คือ พระองค์เจ้าภัททาวดีศรีราชธิดา (พ.ศ. 2414 - 2442)
    เมื่อเยาว์วัยเรียนหนังสือกับมารดาที่ตำหนัก เมื่อชันษา ๕ ขวบ ก็ทรงอ่านหนังสือได้คล่อง ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และต่อมาศึกษาภาษาอังกฤษจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายเวร กระทรวงธรรมการ ขณะพระชันษาได้ ๑๖ ปี และได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยในกรมศึกษาธิการใน ทรงรับหน้าที่พิเศษเป็นข้าหลวงสอบไล่วิชาหนังสือไทย ทรงเป็นกรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัติพิจารณาความแพ่ง และทรงได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสตามเสด็จด้วย และทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นเวลา ๒ ปี ทรงเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี
    พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงย้ายเป็นปลัดกรมธนบัตร และเจริญก้าวหน้าเป็น ผู้แทนเจ้ากรมธนบัตร เจ้ากรมกองที่ปรึกษาอธิบดีกรมประสาปน์สิทธิการ อธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี อธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ทรงจัดตั้งและวางรากฐานกิจการสหกรณ์ จนในที่สุดได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเสนาบดี กระทรวงพาณิชย์
    พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสเป็น องคมนตรี และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมฯ เป็น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖
    พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งอุปนายกกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร ซึ่งต่อมาได้รวมเข้ากับกรมศิลปากร ต่อมาได้เปลี่ยนจากหอสมุดสำหรับพระนครเป็น "ราชบัณฑิตยสภา"
    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงโปรดเล่นกีฬาเทนนิส ทรงพระดำริตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐
    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ด้วยพระโรคหลอดโลหิตในสมองตัน สิริพระชนมายุ ๖๘ ปี ๖ เดือน ๑๓ วัน

    [แก้] พระโอรส-ธิดา

    [​IMG] [​IMG]
    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ และ พระชายา



    พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงสมรสกับคุณพัฒน์ บุนนาค บุตรีเจ้าพระยาภาศกรวงศ์ และท่านผู้หญิงเปลี่ยน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ
    • หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี
    • หม่อมเจ้ารัชนีพัฒน์พิทยากรณ์ รัชนี
    • หม่อมเจ้าศะศิธพัฒนวดี บุนนาค
    • หม่อมเจ้าจันทร์พัฒน์ รัชนี
    ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าพรพิมลพรรณ รัชนี (วรวรรณ) พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ
    [แก้] พระโอรส-ธิดา เรียงตามพระประสูติกาล

    1. หม่อมเจ้าหญิงจันทร์เจริญ (พ.ศ. 2445 - ?)<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP>
    2. หม่อมเจ้าหญิงศะศิเพลินพัฒนา
    3. หม่อมเจ้าชายจันทร์จิรายุวัฒน์ (21 ก.ค. 2453 - 29 พ.ย. 2534)
    4. หม่อมเจ้าชายพัฒน์พิทยากรณ์ (หม่อมเจ้าชายรัชนีพัฒน์พิทยาลงกรณ)
    5. หม่อมเจ้าหญิงศะศิธรพัฒนวดี (18 มิ.ย. 2457 - 28 มิ.ย. 2549)
    6. หม่อมเจ้าชายจันทร์พัฒน์โมฬีจุฑาพงศ์ (12 มิ.ย. 2459 - 8 มิ.ย. 2535)
    7. หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี (20 พ.ย. 2463 - 16 ก.พ. 2520)
    8. หม่อมเจ้าชายภีศเดช (20 ม.ค. 2464 - )
    9. หม่อมเจ้าชายจันทรจิรากาล
    10. หม่อมเจ้าชาย
    11. หม่อมเจ้าชายจันทร์จรัส (? - 28 ธ.ค. 2450)
    [แก้] การสหกรณ์ไทย

    <TABLE id=links style="BORDER-RIGHT: #f8f8f8 1px solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: #f8f8f8 1px solid; PADDING-LEFT: 1px; PADDING-BOTTOM: 1px; BORDER-LEFT: #f8f8f8 1px solid; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #f8f8f8 1px solid; TEXT-ALIGN: left; text-valign: middle"><TBODY><TR><TD>[​IMG] ส่วนนี้ของบทความยังไม่สมบูรณ์ คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยเพิ่มเติมเนื้อหาในส่วนนี้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [แก้] พระนิพนธ์


    ในด้านงานพระนิพนธ์ ทรงเป็นกวีเอก ในการนิพนธ์ร้อยกรองและร้อยแก้วมากมายหลายเรื่อง ทรงใช้พระนามแฝงว่า "น.ม.ส." ย่อมาจากพระนามเดิม รัชนีแจ่มจรัส มีผลงานตีพิมพ์ ได้แก่
    [แก้] ราชตระกูล

    <TABLE class=wikitable><CAPTION>พระราชตระกูลในสามรุ่นของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์</CAPTION><TBODY><TR><TD align=middle rowSpan=8>พระราชวรวงศ์เธอ
    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
    </TD><TD align=middle rowSpan=4>พระชนก:
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
    </TD><TD align=middle rowSpan=2>พระอัยกาฝ่ายพระชนก:
    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </TD><TD align=middle>พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    </TD></TR><TR><TD align=middle>พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
    สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
    </TD></TR><TR><TD align=middle rowSpan=2>พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก:
    เจ้าคุณจอมมารดาเอม
    </TD><TD align=middle>พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
    พระยาศิริไอยศวรรค์ (ฟัก)
    </TD></TR><TR><TD align=middle>พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
    ไม่ทราบนาม
    </TD></TR><TR><TD align=middle rowSpan=4>พระชนนี:
    เจ้าจอมมารดาเลี่ยมเล็ก ชูโต
    </TD><TD align=middle rowSpan=2>พระอัยกาฝ่ายพระชนนี:
    นายสุดจินดา (พลอย ชูโต)
    </TD><TD align=middle>พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
    จมื่นศรีสรรักษ์ (ถัด ชูโต)
    </TD></TR><TR><TD align=middle>พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
    ไม่ทราบนาม
    </TD></TR><TR><TD align=middle rowSpan=2>พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
    ท่านนิ่ม สวัสดิ์-ชูโต
    </TD><TD align=middle>พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
    พระยาสุรเสนา (สวัสดิ์ ชูโต)
    </TD></TR><TR><TD align=middle>พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
    คุณเปี่ยม บุนนาค
    (ธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [แก้] อ้างอิง

    1. <LI id=cite_note-0>^ องค์ บรรจุน. หญิงมอญ, อำนาจ และราชสำนัก -- กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, มติชน, 2550. (ISBN 978-974-02-0059-8)
    2. ^ ศุภวัฒย์ เกษมศรี, พลตรี หม่อมราชวงศ์, และรัชนี ทรัพย์วิจิตร. พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี -- กรุงเทพ : สำนักพิมพ์บรรณกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2549. (ISBN 974-221-818-8)
    <TABLE class=navbox cellSpacing=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-BOTTOM: 2px; PADDING-TOP: 2px"><TABLE class="nowraplinks collapsible autocollapse" id=collapsibleTable0 style="BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; WIDTH: 100%" cellSpacing=0><TBODY><TR><TH class=navbox-title colSpan=2>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาพปริศนา ? "พระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก" ความเข้าใจผิดอันคลาดเคลื่อน

    [​IMG]

    ใครก็ตามที่ผ่านสายตาไปยังหนังสือซึ่งรวบรวมเรียบเรียงเรื่องราวของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม มาบ้างแล้ว อย่างน้อยต้องพบภาพพระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก

    ภาพที่เข้าใจกันว่าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

    อันเป็นภาพที่ปรากฏบนหน้าหนังสือเกี่ยวกับอัตโนประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อยู่บ่อยๆ จนมีบางท่านเข้าใจคลาดเคลื่อนตลอดมา แท้จริงภาพนี้มีการเข้าใจผิดมาอย่างเนิ่นนาน

    ในนิตยสาร "ชุมนุมจุฬาฯ" ปีที่ 14 เล่มที่ 3 ฉบับ 23 ตุลาคม พ.ศ.2503 ปรากฏการตีพิมพ์ภาพนี้ทั้งบรรยายว่า

    "พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระปิยมหาราช เมื่อทรงพระเยาว์กำลังทรงพระอักษรกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม

    ภาพโดยความเอื้อเฟื้อของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชาแพทย์"

    หากสังเกตจะพบว่าสมณศักดิ์ของท่านนั้นผิด สมณศักดิ์ของท่านซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิติ" ในปี พ.ศ.2395 ขณะนั้นท่านมีอายุได้ 64 ปีแล้ว

    ในปี พ.ศ.2397 ทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ "พระเทพกวี" จนกระทั่งปี พ.ศ.2407 ทรงสถาปนาเป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์"

    ขณะเดียวกัน ในคำแถลงจากสาราณียกรของหนังสือ "ชุมนุมจุฬาฯ" ดังกล่าว ก็ว่า "พระบรมฉายาลักษณ์ขององค์สมเด็จพระปิยมหาราชในสมัยยังทรงพระเยาว์อันเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่หาดูได้ยาก อัญเชิญมาประดับเป็นศรีแก่เล่ม เนื่องในวาระสำคัญนี้ด้วย" ยิ่งเสริมความเชื่อเป็นอันมากว่า คือ พระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ครั้งทรงพระเยาว์

    แท้จริงภาพนี้มีที่มาในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 หน้า 33 ปรากฏการตีพิมพ์ภาพใบนี้ พร้อมคำอธิบายจาก "นิวัติ กองเพียร" ว่า รูปนี้ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ เหตุผลประกอบดังนี้

    1. รูปนี้ได้มาจากหนังสือฝรั่งชื่อ "SIAM"

    2. พัดรองที่วางพิงผนังอยู่นั้น เป็นพัดที่นิยมทำก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาไม่มีความนิยมในการทำพัดรองอีกเลย

    3. ถ้ารูปนั้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์จริง ท่านต้องห่มดองและรัดประคดอก มิใช่อย่างที่เห็นในรูป แม้แต่พระรุ่นเก่าที่วัดระฆังโฆสิตาราม ที่เคยเห็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ก็ยืนยันว่ามิใช่สมเด็จแน่

    4. เจ้านายหลายพระองค์ ที่เป็นพระธิดาหรือพระโอรสก็ยืนยันว่า มิใช่พระราชบิดาแน่นอน

    หนังสือฝรั่ง "SIAM" ที่ว่า ก็คือ หนังสือชื่อยาวเฟื้อยว่า "TWENTIETH CENTURY IMPRESSION OF SIAM : ITS HISTORY, PEOPLE COMMERCE, INDUSTRIES, AND RESOURCES WITH WHICH IS INCORPORATED AN ABRIDGED EDITION OF TWENTIETH CENTURY IMPRESSIONS OF BRITISH MALAYA"

    แปลชื่อเป็นไทยว่า "เรื่องน่ารู้ของสยามในศตวรรษที่ 20 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ พลเมือง พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และทรัพยากร รวมเรื่องน่ารู้ของบริติชมลายาในศตวรรษที่ 20 โดยสังเขป" อันเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ.2452 อันเป็นช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ทั้งยังให้คำอธิบายรูปนี้ไว้ว่า "Buddhist Priest and Disciple"



    นอกจากนี้ ในการจัดทำหนังสือเล่มดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระกรุณาประทานภาพส่วนพระองค์ อันเกี่ยวเนื่องกับประเทศสยามให้กับผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ด้วย

    อย่างไรก็ตามแต่ ในหนังสือที่ระลึกงานสงกรานต์ชลบุรี ประจำปี พ.ศ.2507 ในเรื่อง "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)" อันเขียนโดย อธึก สวัสดิมงคล ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ภาพพระสงฆ์สอนหนังสือเป็นภาพที่เข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน ดังในหน้า 11 ที่ให้ข้อมูลความเป็นมาของภาพใบนี้จากลายพระหัตถ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตอบคำถามของ อธึก สวัสดิมงคล ว่า

    "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นไม่ช้าจะเป็นอะไรๆ สักร้อยอย่างเป็นเรื่องหากินทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ใครอยากรู้อะไร ก็นั่งวิปัสสนาเอาได้ ไม่ช้าคงต้องร้อนถึงทางการเข้าเล่นด้วยเป็นแน่ มีผู้เอาภาพพระแก่กับเด็กลูกศิษย์สอนหนังสือกัน ฉันจำได้ว่า "โรเบิร์ต เลนส์" ขอประทานให้เสด็จพ่อทรงช่วยทำโปสการ์ดเผยแพร่เมืองไทย และท่านได้ถ่ายรูปฉันแต่งลาวน่าน หญิงเหลือส่องกระจก พร้อมกับทำรูปนี้ด้วย แต่บัดนี้กลายเป็นรูปสมเด็จโตสอนหนังสือพระพุทธเจ้าหลวง แย่จริงๆ น่ากลัวพงศาวดารจะเลอะเทอะกันใหญ่เสียแล้ว"

    สำหรับ โรเบิร์ต เลนส์ เป็นช่างภาพชาวเยอรมัน เจ้าของห้องถ่ายรูปโรเบิร์ต เลสน์ ดำเนินธุรกิจถ่ายรูป เมื่อ พ.ศ.2437 ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เป็นช่างภาพราชสำนักรัชกาลที่ 5

    นอกจากนี้ ยังมีผู้กล่าวว่า พระภิกษุในภาพคือ พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกสโร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งภาพดังกล่าวอาจจะไม่ได้ถ่ายที่ชัยนาท ถ้าหากเป็นหลวงปู่ศุขจริง อาจจะถ่าย ณ ตำหนักเหลืองในวังพลเรือเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก็เป็นไปได้

    ทั้งนี้ เพราะหลวงปู่ศุข จะมาพำนักที่ตำหนักเหลืองเป็นประจำทุกปี เพื่อมาร่วมงานในพิธีไหว้ครูประจำปีของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งทรงเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข

    อย่างไรก็ตาม ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นภาพของหลวงปู่ศุข ทั้งนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล เมื่อครั้งทรงตอบคำถามของ อธึก สวัสดิมงคล ก็มิได้เอ่ยถึงว่าเป็นพระภิกษุรูปใด

    .......บทความคัดลอกจาก มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1302
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีนะครับที่งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

    โมทนาสาธุครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไว้วันที่นัดพบกัน ต้องได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน(อีกแล้ว) อดใจรอ ผมเองได้มอบพระพิมพ์ให้กับพี่ใหญ่ จำนวน 50 องค์ เพื่อมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    แต่สำหรับคณะพระวังหน้า ผมมีแจกฟรี ผมจะไปแจกในวันที่นัดพบกัน อีกทั้งผมจะมอบพระธาตุพระอรหันต์ (ในความเข้าใจผม น่าจะเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล และไม่ทราบพระนาม) มีไปมอบกันในวันนั้นด้วย แจกครับ แจกฟรี(โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไปพบกันในวันนัดพบกันของเดือนธันวาคม 2551) ครับ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแนะนำ จากคำแนะนำของพี่ใหญ่

    ในแต่ละวัน ก่อนที่จะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ให้เชิญเจ้ากรรมนายเวร มาร่วมฟังธรรมะ(คำสวด) เพื่อมาร่วมโมทนาบุญกับเรา แล้วเราจึงสวดออกเสียง ให้เสียงดังก็ได้ เมื่อสวดมนต์แล้ว ก็นั่งสมาธิ

    เมื่อเราสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว ก็แผ่เมตตาและกรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วย ทำอย่างนี้ได้ทุกวัน โอเคน๊ะครับ

    เกือบลืม ก่อนสวดมนต์และนั่งสมาธิ ให้อาราธนาศีล 5 ก่อนนะครับ ศีลให้ครบก่อนที่เราจะนอน เมื่อวันใดที่เรานอนแล้วเราไม่ตื่น อย่างน้อยในปัจจุบันที่เราตาย เรามีศีล 5 ครบ ไม่ไปอบายภูมิแน่นอน

    โมทนาสาธุครับ
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...ท่านปาทาน แจกอีกแล้วครับพี่น้อง โมทนาสาธุครับ

    (f) (f) (f)
     
  8. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ake7440, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->

    ได้โอกาสแอบอยู่กับท่านปาทาน 2 ต่อ 2 บ้างละ หุหุ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประโยชน์ของมะระ
    http://www.teenpath.net/teennature/Content.asp?Sub=11&ID=00123

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=PlainText></TD></TR><TR><TD class=PlainText>
    โดย พี่ทิพ ​

    ที่มา www.junjaowka.com




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </B>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=PlainText>[​IMG]



    </TD></TR><TR><TD class=PlainText>ก็อย่างที่โบราณเค้าว่ากันว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมของที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติที่ไม่น่ารับประทาน ไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ก็อย่างเช่นเจ้ามะระนี่หล่ะค่ะ ที่มีรสชาติขมซะจนไม่อยากจะรับประทาน ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ ชาวเอเซียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่านะคะ</B>

    อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ

    ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้านอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ
    นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี๑ - บี๓, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น
    เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนานๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง ๑ ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ
    แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มากซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่างอย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
    โอโห้!!! ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะ ว่ามะระที่มีรสชาติที่ขม ไม่น่ารับประทาน ที่ใครหลายคนไม่ชอบรับประทานกันนั้น จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนเราคาดไม่ถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราควรจะหันมารับประทานมะระกันบ้างนะค่ะ จะได้มีสุขภาพที่ดีกันนะค่ะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </B>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    พระสีวลีงามมากครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">สุขสันต์บนต้นคริสต์มาส [7 ธ.ค. 51 - 14:25]
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=114152


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ใกล้ถึงสิ้นปี เมื่อลมหนาวเริ่มมาเยือนแล้ว เชื่อเหลือเกินว่า ท่านผู้อ่านจำนวนมากกำลังนับวันรอให้ถึงเทศกาลแห่งความสุขสุดหรรษาที่แวะเวียนมาปีละครั้ง นั่นคือเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ วันเวลาแห่งความสุข การให้และการรับ

    ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล จึงไม่รีรอ รีบไปค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับคริสต์มาสมาเป็นของขวัญล่วงหน้าแก่ท่านผู้อ่าน โดยวันนี้เราจะพากันไปชมความสุขสันต์ที่อยู่บนต้นคริสต์มาส
    คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดีกับต้นสนเขียวขจีที่เป็นสัญลักษณ์ของคริสต์มาส และคุ้นตากับเครื่อง ประดับต้นคริสต์มาสที่ทำให้เด็กๆมีรอยยิ้ม เพราะส่วนใหญ่จะมีการตกแต่งด้วยขนมหวานนานาชนิด
    แต่สิ่งที่เป็นที่นิยมประดับต้นคริสต์มาสมากที่สุด เห็นจะเป็นดาวและนางฟ้า ว่ากันว่า ดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนยอดสูงสุดของต้นคริสต์มาสนั้น สื่อถึงดวงดาวแห่งเบธเลเฮม ซึ่งนำพาคณะปราชญ์ ไปพบ และได้นมัสการ พระกุมารเยซู ในขณะที่นางฟ้าก็สื่อถึงการนำข่าวการประสูติของพระกุมารมาสู่โลก ดาวและนางฟ้าจึงเป็นเครื่องหมายที่ดีในการตกแต่งเพื่อระลึกถึงพระคริสต์
    นอกจากนี้ ดวงดาวยังมีความหมายถึงความหวังที่จะได้ รับโชคดีในอนาคตอีกด้วย
    แต่ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ของประดับต้นคริสต์มาสที่ถูกใจเด็กๆ น่าจะเป็นบรรดาขนมหวาน โดยขนมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ แคน-ดี้เคน ขนมที่มีลักษณะเหมือนไม้เท้าสีขาวสลับแดง
    [​IMG]
    สีขาวนั้น สื่อถึงความบริสุทธิ์ของพระเยซูเจ้า ในขณะที่สีแดงเปรียบเสมือน โลหิตของพระองค์ที่หลั่งรินเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ แต่ที่มาจริงๆของแคนดี้เคนนั้น มาจากมหาวิหารแห่งโคโลญ ประเทศเยอรมนี ซึ่งพระที่นั่นได้แนะนำให้ทำขนมหวานชนิดนี้มาแจกเด็กๆ ให้ได้แทะเล่นเพลินๆระหว่างมีการทำพิธีทางศาสนา จะได้ไม่เจี๊ยวจ๊าวกันมาก และในเวลาต่อมา แคนดี้เคนก็เป็นที่นิยมไปทั่วยุโรป เรื่อยไปถึงอเมริกา จนกลายเป็นของสำคัญบนต้นคริสต์มาสในที่สุด
    เครื่องประดับต้นคริสต์มาสอีกอย่างหนึ่งที่ดูเรียบง่าย แต่สวยงามและส่องแสงสะท้อนแวววาว คือกระดาษสายรุ้งหลากสี มีตำนานเล่าว่า ในอดีตชาวบ้านมักจะปล่อยให้พวกสัตว์ ต่างๆเข้ามาดูการประดับประดาต้นคริสต์มาสด้วย เพราะถือว่าพระเยซูเจ้าประสูติในคอกม้า ดังนั้น บรรดาสรรพสัตว์ก็น่าจะมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลอง
    แต่แมงมุมกลับเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ รับสิทธิพิเศษนี้ เพราะพวกแม่บ้านไม่ อยากให้มีใยแมงมุมไปทั่ว จึงไม่อนุญาตให้มันเข้ามามีส่วนร่วม แมงมุมจึงกลายเป็นสัตว์ที่ระทมทุกข์ในคืนวันแห่งความสุขของคนอื่น

    [​IMG]
    อยู่มาปีหนึ่งแมงมุมก็ไปบ่นกับพระคริสต์ จนพระองค์รู้สึกเห็นใจ จึงเปิดให้แมงมุมได้เข้าไปชมต้นคริสต์มาสยามดึก พวกแมงมุมที่ดีใจได้ชักใยไปทั่ว พอรุ่งเช้าพวกแม่บ้านก็มาเจอเข้า
    นั่นแน่...ท่านผู้อ่านคงนึกว่าเหล่าแม่บ้านจะต้องโกรธมากที่เห็นใยแมงมุมไปทั่วต้นคริสต์มาสล่ะซิ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เปล่าเลย ด้วยพระกรุณาของพระคริสต์ พระองค์ได้เปลี่ยนใยแมงมุมให้กลายเป็นเครื่องประดับสีเงินเงางาม และนับแต่นั้น กระดาษรุ้งหลากสีก็กลายเป็นหนึ่งในของตกแต่งที่ทำให้เด็กๆได้สนุกสนาน
    พูดเรื่องเครื่องประดับมาเยอะแล้ว จะไม่กล่าวถึงตัวต้นคริสต์มาสเลยก็กระไรอยู่ มีตำนานมากมายที่เล่าถึงที่มาของการนำต้นสนมาเป็นสัญลักษณ์ของคริสต์มาส หนึ่งในตำนานที่เก่าแก่ที่สุดบอกว่า การบูชาต้นไม้เป็นพิธีกรรมของพวกเพเกิน ที่จะนำต้นไม้ซึ่งมีความสดเขียวตลอดปีมาทำพิธีในช่วงฤดูหนาว และต่อมาชาวคริสต์ก็รับเอาวัฒนธรรมนี้มาผสมกลมกลืนจนต้นสนกลายเป็นต้นคริสต์มาส

    [​IMG]
    มีความเชื่อกันว่า การฉลองเทศกาลคริสต์มาสโดยใช้ต้นสนมาเป็นพระเอกนั้น เริ่มขึ้นเมื่อราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในเยอรมนี ประเทศที่ถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าตกแต่งต้นคริสต์มาสที่สำคัญ ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่หลายไปทั่วยุโรป และมีการบัญญัติศัพท์คำว่า ต้นคริสต์มาสเป็นภาษาอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.1835
    จากนั้น ความนิยมประดับต้นคริสต์มาสก็มีมากขึ้น หลังจากพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ร่วมกับพระสวามีของพระองค์ คือเจ้าชายอัลเบิร์ต ได้ตั้งต้นคริสต์มาสประดับด้วยเทียน ขนมหวาน ผลไม้ และขนมปังขิงไว้ที่พระราชวังวินเซอร์ ในปี ค.ศ.1841
    แต่บางตำนานก็บอกว่า ชาวอังกฤษต่างหากที่เป็นผู้เริ่มประดับต้นคริสต์มาส โดยมีเรื่องเล่าว่า เซนต์โบนิเฟส พระชาวอังกฤษผู้ก่อตั้งโบสถ์คริสเตียนในฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นผู้ทำให้เกิดต้นคริสต์มาสขึ้น ตั้งแต่ราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 7-8 ในช่วงที่ท่านพำนักอยู่ในเยอรมนี
    เรื่องเริ่มต้นในวันหนึ่ง ขณะที่เซนต์โบนิเฟสกำลังเดินทาง ก็ได้ไปพบกับชาวเพเกินกลุ่มหนึ่ง กำลังเตรียมบูชาพระเจ้าด้วยเด็กอยู่ใต้ต้นโอ๊ค เห็นเข้าอย่างนั้น เซนต์โบนิเฟสก็ชักมีน้ำโห... หนอยแน่ะ...จะบูชายัญเด็กที่ไม่รู้-ประสีประสาได้อย่างไร หลวงพ่อก็เลยซัดกำปั้นเปรี้ยงเข้าไปที่ต้นโอ๊ก เพื่อสั่งให้หยุดพิธีกรรมนอกรีต ทันใดนั้น ก็เกิดเป็นต้นสนงอกขึ้นมาแทนที่ เซนต์โบ-นิเฟสจึงบอกพวกเพเกินว่า ต้นสนมหัศจรรย์นี้เป็นต้นไม้แห่งชีวิต ที่งอกขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความเป็นอมตะของพระไครสต์นั่นเอง

    [​IMG]

    นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า การที่ชาวคริสต์เลือกใช้รูปทรงสามเหลี่ยมของต้นไม้มาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของศาสนา เพราะสามเหลี่ยมเป็นตัวแทนของ 3 สิ่งที่สำคัญคือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต และด้วยความเชื่อดังกล่าว ต้นคริสต์มาสก็ฝังรากลึกลงไปในหัวใจชาวคริสต์
    ยัง...ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ต้นคริสต์มาสเกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของมาร์ติน ลูเธอร์ นักปฏิรูปศาสนาคนสำคัญแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 16
    ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้เดินเข้าไปในป่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็เห็นดวงดาวนับล้านๆดวงส่องประกายเจิดจรัสผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ที่เขียวขจีตลอดปี ด้วยความประทับใจในความงามนั้น เขาตัดกิ่งไม้นำกลับไปบ้าน และเพื่อจำลองความสวยตราตรึงใจนั้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงได้ประดับประดาต้นไม้นั้นด้วยเทียนจนสว่างไสว และต่อมาใครๆก็เลียนแบบ จนกลายเป็นต้นคริสต์มาสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
    แต่ตำนานที่กินใจมากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องของชายช่างไม้จนๆคนหนึ่ง ที่ได้พบเด็กหลงทางที่หิวโซในคืนคริสต์มาสอีฟ ด้วยจิตใจเมตตา ชายผู้ยากจนนั้นได้แบ่งปันอาหารและที่พักให้เด็กน้อยผู้น่าสงสาร และเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เด็กหิวโซก็หายตัวไป เหลือเพียงต้นไม้สวยงามต้นหนึ่งอยู่หน้าประตูบ้าน
    แท้จริงแล้ว เด็กหลงทางคนนี้คือพระคริสต์ ที่แปลงพระองค์มาเพื่อทดสอบจิตใจมนุษย์และได้มอบต้นไม้ให้เป็นรางวัลแก่ชายยากจนผู้ทำความดี
    ถึงทุกวันนี้ ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปีแล้ว ต้นสนก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเทศกาลคริสต์มาส เมื่อลมหนาวมาเยือน บ้านเรือน และอาคารร้านรวงต่างๆ มักจะประดับด้วยต้นคริสต์มาส พร้อมเครื่องตกแต่งนานาชนิด ในบ้านเราเอง ก็มีการประดับต้นคริสต์มาสเป็นการทั่วไปในช่วงเดือนธันวาคม ทั้งต้นคริสต์มาสขนาดเล็กตามบ้าน และต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรมต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความหวังและรอยยิ้มสดใส เหมือนกันทั่วทั้งโลก
    แต่ที่ครึกครื้นไม่แพ้ใครปีนี้ น่าจะเป็นที่ถนนออร์ชาร์ด ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้เนรมิตถนนทั้งสายให้กลายเป็นดินแดนแห่งขนมหวาน ลูกโป่ง ของประดับประดา ขบวนพาเหรด เสียงดนตรี และไฟกะพริบหลากสีสัน และต้นคริสต์มาสใหญ่ยักษ์ แผ่กิ่งก้านสาขามากกว่าหนึ่งหมื่นก้าน ที่สำคัญคือ มีของประดับต้นคริสต์มาสต้นนี้มากถึง 1,750 ชิ้น เรียกว่าทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เห็นเข้าเป็นต้องตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่และงดงาม
    แต่ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นคือ หัวใจของผู้คนที่จะเบิกบานรับเทศกาลแห่งความสุข ด้วยการให้ แบ่งปัน และกรุณา ซึ่งเป็นหัวใจที่แท้จริงของคริสต์มาสนั่นเอง.
    ทีมงาน ต่วยตูน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    โอว...หนูอยากไปค่ะ
    [​IMG]
    แต่ไปไม่ได้
    [​IMG]

    (เวอร์เปล่าเนี่ย...ทำไปได้)
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอนเย็น ออกจากบ้านพี่ใหญ่มา ผมโทร.หาคุณnongnooo และเล่าเรื่องให้ฟัง คุณnongnooo บอกว่า ดีและแปลกดี ผมถามว่า แรงไม๊ คุณnongnooo บอกว่า ไม่รู้อย่างเดียวเลย เหอๆๆๆ ผมโทร.หาคุณเพชร คุณเพชรบอกว่า แปลกดีเช่นกัน

    ไม่ดีได้อย่างไร ไม่แรงได้อย่างไร ท่านกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์เป็นผู้ให้จัดสร้างและคุมการสร้างพระพิมพ์ชุดนี้ ท่าน นมส.ท่านนำไปให้พระอาจารย์ของท่านคือ สมเด็จพระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัส เป็นองค์อธิษฐานจิต และได้นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงอีกรอบ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder style="BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=tcat width="100%" colSpan=3>เว็บบอร์ดของกลุ่ม ชมรมพระวังหน้า</TD><TD class=vbmenu_control id=grouptools style="CURSOR: hand" noWrap state="false" unselectable="true">Group Tools<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("grouptools"); </SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><FORM id=group_discussion_inlinemod_form action=group_inlinemod.php?groupid=6 method=post><TABLE class="tborder discussion_list" id=discussion_list cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR class=block_title><TD class=thead width="100%">ตั้งโดย แสดงผลกระทู้ 5 จาก 5 </TD><TD class=thead noWrap align=middle>คำตอบ </TD><TD class=thead noWrap align=middle>ข้อความล่าสุด </TD><TD class=thead noWrap align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12709 title="สมเด็จพระวันรัต(ทับ) วัดโสมนัส กับ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์" width="100%">
    by sithiphong



    สมเด็จพระวันรัต(ทับ) วัดโสมนัส กับ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ภาพปริศนา ? "พระสงฆ์สอนหนังสือเด็ก" ความเข้าใจผิดอันคลาดเคลื่อน ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>13</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 08:58 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion19 title=พระวังหน้า width="100%">by ชวภณ


    พระวังหน้า สมัครแล้วครับ ทันใจเลยล่ะครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>2043</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    เมื่อวานนี้ 08:42 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12637 title=ศานสนกิจที่ชาวพุทธควรรู้ width="100%">by sithiphong


    ศานสนกิจที่ชาวพุทธควรรู้ คำบูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ อิมินาสักกาเรนะ...


    </TD><TD class=alt2 align=middle>15</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    05-12-2008 07:21 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12313 title=แจ้งงานบุญ width="100%">by sithiphong


    แจ้งงานบุญ ผมตั้งกระทู้ในชมรมพระวังหน้าขึ้นมาใหม่ เพื่อไว้แจ้งการบอกบุญครับ โมทนาสาธุครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>12</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    05-12-2008 06:14 PM

    by sithiphong [​IMG]
    </TD><TD class=alt2></TD></TR><TR><TD class=alt1 id=gdiscussion12379 title=กิจกรรมชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้า width="100%">by sithiphong


    กิจกรรมชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้า ผมตั้งกระทู้นี้เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกันของชาวคณะพระวังหน้าและชมรมพระวังหน้าครับ ขอบคุณครับ


    </TD><TD class=alt2 align=middle>52</TD><TD class="alt1 smallfont" noWrap align=middle>
    05-12-2008 06:01 PM

    by sithiphong [​IMG]

    </TD><TD class=alt2></TD></TR></TBODY></TABLE></FORM>

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากตอนเช้าครับ


    เปิบพิสดาร

    http://hilight.kapook.com/view/31666

    [​IMG]


    นายโชอิจิ อุชิยามะ หนุ่มใหญ่ชาวญี่ปุ่นเป็นคนประเภทกินง่าย-นอนง่าย ง่ายขนาดที่ว่า ถ้ามีแมลงตัวเล็กตัวน้อยดวงซวยเดินผ่านมา พี่แกจับโยนเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆๆๆ ได้โม้ดดด! (ฮา)

    ล่าสุด โชอิจิก็ เลยริเริ่มจับแมลงสารพัดชนิด เช่น หนอน ด้วง ตั๊กแตน มด ฯลฯ มาทดลองทำอาหารและเขียนตำราสอนวิธีปรุง "79 เมนูแมลงเปิบพิสดาร" ออกวางตลาด มีจานเด็ดเช่น "เต้าหู้หน้าตั๊กแตนทอด" "ซูชิหน้าหนอน" และ "ซูชิหน้าแมงมุม"

    จริงๆ แล้ว แดนสยามก็มีเหมือนกันพวกเมนูแมลงทอด..แต่ถึงขั้นเอาแมงมุมมากินนี่ยังไม่เคยเห็นอะนะ!


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBd09DMHhNaTB3Tmc9PQ==
    [​IMG]
    คอลัมน์ เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ake7440+, autojet, gnip </TD></TR></TBODY></TABLE>

    รับท่านละกี่ชิ้นดีครับ

    รับอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพื่อความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม 7 ดี-ชั่ว สองชั้น
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01071251&sectionid=0121&day=2008-12-07

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือชาวพุทธทั้งปวง คุ้นเคยกับคำสามคำนี้ดี คำหนึ่งคือ กรรม คำที่สองคือ นรก คำที่สามคือ สวรรค์ (แถมยังอีกคำคือ สังสารวัฏ เอาอีกคำก็ได้คือ ชาติก่อนชาติหน้า) เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นคำสอนหลักของพระพุทธศาสนา

    แต่ก็เกือบทั้งหมด มักมีความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ความสงสัยนั้นมีเหตุผลอยู่ คือพูดง่ายๆ ว่า ก็สมควรแล้วที่จะสงสัย เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า หรือจับต้องได้ หากเป็นสิ่ง ""เหนือสามัญวิสัย"" ที่ปุถุชนคนธรรมดาจะสัมผัสได้

    เริ่มต้นจากความสงสัยว่า จริงหรือที่ว่า ทำดีแล้วได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะที่เห็นๆ อยู่ เห็นแต่คนทำชั่วได้ดี คนทำดีกลับได้ชั่ว

    บางคนไม่เพียงแค่สงสัย แต่แน่ใจเสียด้วยว่า ไม่จริงแน่นอน ถึงกับร้องออกมาเป็นคำคล้องจองว่า ""ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"" !

    ที่เขาสงสัย (หรือบางคนปักใจเชื่อ) เช่นนั้น ก็เพราะเขาไปตีค่าของ ""ดี"" และ ""ชั่ว"" เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องได้ หรือถ้ามิใช่วัตถุสิ่งของ ก็เป็นสิ่งที่รู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส

    ""ได้ดี"" ของคนทั่วไปก็คือ ได้เงินได้ทอง ได้ลาภยศสรรเสริญ ได้สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เช่น ได้บ้านหลังโตๆ ได้รถยนต์คันโก้ใหญ่ ได้เลื่อนตำแหน่งสูงๆ ""ได้ชั่ว"" ของคนทั่วไปก็คือ ได้สิ่งตรงข้ามจากนั้น

    ยกตัวอย่างเช่นบางคนเป็นเจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ขาดไม่ลา นอกจากป่วยไข้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่ประจบคน แต่ ""ประจบงาน"" กับอีกคนหนึ่ง ทำงานในตำแหน่งหน้าที่คล้ายคลึงกัน นายคนนี้ชอบประจบประแจงเจ้านาย งานการไม่ค่อยทำ จะทำทีก็ต้องให้นายเห็น เป็นการทำงานแบบ ""เอาหน้า"" ขาดงานหรือลาบ่อยๆ

    เจ้านายก็รักใคร่ชอบพอคนที่สองมากกว่า ถึงเวลาขึ้นเงินเดือน คนที่สองนี้ก็ได้ขึ้นเงินเดือนสองขั้นแทบจะปีเว้นปี ส่วนคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้วยความซื่อสัตย์นั้น นานๆ จะได้เลื่อนสองขั้นทีหนึ่ง เพื่อไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป กาลเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ทั้งสองคนนี้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่างกันลิบลับ

    คนที่ทราบเรื่องของคนทั้งสองนี้ อาจคิดว่า คนทำดีไม่ได้ดี แต่คนทำไม่ดีกลับได้ดี ถ้าถามคนทั้งสอง คนแรกก็อาจคิดเช่นนี้ ส่วนคนที่สองเขาอาจคิดว่า ที่พระพูดไว้นั้นดีถูกแล้ว เขาเองทำดี และก็ได้ดีเห็นๆ อยู่

    ""ดี"" หรือ ""ไม่ดี"" ในที่นี้ก็หมายเอาเพียงเลื่อนขั้น ตำแหน่งหน้าที่การงาน อันเป็นสิ่งสัมผัสจับต้องได้ พูดง่ายๆ ว่า ดีในทางวัตถุเท่านั้นเอง

    ดีอย่างนี้ ความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นผลของการทำดี หรือทำไม่ดีแท้ๆ ดอกครับ มันเป็นเพียง ""ผลพลอยได้"" เท่านั้น อย่าเอามานับเป็นผลของการทำดี ทำชั่ว เดี๋ยวจะไขว้เขวไปใหญ่

    ทำดีแล้วไม่จำเป็นต้องได้ ""ของดี"" ทำชั่วแล้วก็ไม่จำเป็นต้องได้ ""ของชั่ว"" ทำดีได้ ""ของชั่ว"" หรือทำชั่วได้ ""ของดี"" ก็มีถมไป

    คนโกงคนอื่นน่ะรวยได้ และรวยเร็วด้วย

    ในขณะเดียวกับคนที่ซื่อสัตย์สุจริต ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียรก็รวยได้เช่นกัน

    เห็นหรือยังว่า ทำดีก็รวยได้ ทำชั่วก็รวยได้ ไม่ควรเอา ""ความร่ำรวย"" หรือ ""ความจน"" มาเป็นผลของการทำดีและทำชั่ว เดี๋ยวจะสับสนเปล่าๆ

    ที่พระท่านว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้น ท่านหมายเอาสองชั้นคือ

    ๑1.ชั้นที่หนึ่ง ดี - ชั่ว ที่เป็นตัวเนื้อแท้จริงๆ คือ ตัวความดี และตัวความชั่วนั้นเอง ทำเดี๋ยวนั้นก็ได้เดี๋ยวนั้น พูดให้ชัดเจนก็ว่า ""ทำความดี ได้ความดี ทำความชั่ว ได้ความชั่ว""

    ยกตัวอย่างนาย ก. เป็นข้าราชการที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ขาดไม่ลาโดยไม่จำเป็น นาย ก. ทำดีทุกๆ วัน นาย ก. ก็ได้ดีในขณะที่ทำนั้นๆ แหละ คือได้ความเป็นข้าราชการที่ดี ที่ซื่อสัตย์สุจริต

    นาย ข. เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ สะพายกระเป๋าจะขึ้นรถเมล์ กระชากกระเป๋าเธอวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาคนจำนวนมาก ทันทีที่เขากระชากกระเป๋าสุภาพสตรี เขาได้กลายเป็นขโมยทันที ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นเขาเป็นคนดีอยู่หยกๆ นี่แหละทำความชั่ว ได้ความชั่วทันทีที่กระทำ

    ถ้าไม่เชื่อคุณจะลองบ้างก็ได้ ทันทีที่คุณกระตุกสร้อยจากคอของใครสักคน เขาก็จะร้องว่า ""ขโมยๆ"" ทันที เมื่อกี้นี้ ยังเป็นสุภาพชนอยู่ กลายเป็น ""ขโมย"" ชั่วพริบตา

    การกระทำชั่วอย่างอื่นก็เช่นกัน แม้ว่าไม่มีใครเห็น พอกระทำเสร็จ คนกระทำก็จะได้ความไม่ดีนั้นๆ ทันที

    ๒2.ชั้นที่สอง ดี-ชั่ว ที่จิตใจของคนกระทำ หลังจากทำดี หรือชั่วเสร็จ จิตใจของคนกระทำจะแตกต่างกัน ยิ่งทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ผลที่จิตใจยิ่งเห็นชัด คนทำชั่ว ย่อมเร่าร้อนกระวนกระวาย กังวล หงุดหงิด ระแวง ไม่มีความมั่นคงทางใจ ที่แน่ๆ ก็คือหาความสุขใจมิได้ กินก็กินไม่ได้เต็มที่ นอนก็นอนไม่ค่อยหลับสนิท

    เจ้าพ่อที่ปล้นฆ่าคนมามาก เบียดเบียนข่มเหงคนมามาก ถึงเขาจะมั่งมีเงินทอง เป็นที่อิจฉาของคนทั่วไป แต่ลึกๆ ในใจเรา เขาก็เสมือนตกนรกทั้งเป็น ไปไหนมาไหนต้องมีมือปืนล้อมหน้าล้อมหลังคอยคุ้มกัน แขวนพระเครื่องเต็มคอ หวังจักให้พระท่านคุ้มครอง ถ้าเราสามารถไปนั่งในหัวใจเขาได้ เราก็จะรู้ว่า เจ้าพ่อคนนั้น ไม่มีความสงบสุขเลย นี้แหละเป็นผลของการทำชั่วที่รู้เห็นได้ในระดับจิตใจ

    พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องคนชั่วไปอยู่ไหน ก็ไม่มีความสุขใจ เปรียบกับสุนัขขี้เรื้อนไว้ในพระสูตรหนึ่ง ฟังแล้วเห็นภาพดีจังเลย

    พระองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นสุนัขขี้เรื้อนแก่ตัวหนึ่ง เมื่อคืนนี้ไหม สุนัขขี้เรื้อนแก่ตัวนั้น ผิวหนังมันเป็นโรคเรื้อน ขนร่วงหมด ทั่วทั้งร่างเป็นแผล มีอาการคันยิบๆ ทั่วกาย มันคิดว่าจะไปนอนใต้ต้นไม้ให้สบาย พอเข้าไปนอนใต้ต้นไม้ที่หนึ่ง มันก็คันจึงเอาเท้าเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน มันคิดว่าอยู่ใต้ต้นไม้นี้ไม่สบาย จึงหนีไปอาศัยใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ก็ยังคันเหมือนเดิม มันจึงวิ่งออกจากต้นไม้นั้น ไปยังต้นไม้นี้อยู่อยู่อย่างนี้ตลอดวัน"

    คนทำชั่วไม่ต่างกับสุนัขขี้เรื้อนตัวนั้นดอกครับ ต่อให้อยู่ในคฤหาสน์อันหรูหราเพียงใด ก็ยากจะหาความสงบสุขทางใจได้ เพราะ "ไฟนรก" มันแลบออกมาเผาอยู่ตลอดเวลา ส่วนคนทำแต่กรรมดี ก็ย่อมมีแต่ความสงบสุข เยือกเย็น ถึงไม่ร่ำไม่รวยอะไร ก็สุขใจเสียนี่กระไร

    ก็ขอบอกว่า อย่าอิจฉามารศรีเขาเลย ถ้าอยากมีความสุขใจอย่างนั้นบ้าง จงหมั่นทำแต่กรรมดีเข้าเถิดครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...