พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คิดจะแต่งงาน "เตรียมตัว" อย่างเดียวไม่พอ
    Life & Family - Manager Online -

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ศรันย์ ไมตรีเวช"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นคู่ชีวิตฉันสามีภรรยานั้น นอกจากจะต้องมีการเตรียมตัวแล้ว ยังต้องมีการเตรียมใจให้พร้อมด้วย "การเตรียมใจ" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเตรียมใจเพื่อจะรักใครสักคน แต่ให้ความหมายว่า การเตรียมใจยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางคนมักจะเลือกการเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ความจากความรักเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เตรียมใจไว้เพื่อเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาเป็นอุปสรรคของการใช้ชีวิตคู่เลย

    "ศรันย์ ไมตรีเวช" นักเขียนนวนิยายอิงธรรมมะและนักปาฐกถาธรรม กล่าวสะท้อนมุมมองว่า คนเราตอนที่คบหาดูใจกันก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ต้องทำใจและยอมรับความเป็นตัวตนหรือการเผยธาตุแท้ของคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันให้ได้ เพราะการอยู่ร่วมกันจะต้องอาศัยความเข้าใจและความเกรงใจมาเป็นอันดับต้นๆ ไม่ใช่แค่ความรักเมื่อครั้นที่ยังคบกันเป็นแฟนหรือคู่รัก การคบกันในลักษณะนี้มันมีความเกรงใจและเห็นอกเห็นใจกันอยู่มาก เนื่องจากยังมีคนรอบข้างเข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง พ่อแม่ เพื่อน ญาติพี่น้อง แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ คนรอบข้างก็มีบทบาทน้อยลง ดังนั้นคู่ชีวิตต่างหากที่มีความสำคัญและมีบทบาทต่อการใช้ชีวิต

    เนื่องจากการที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไป ทุกๆ วันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ถ้าทั้งสองคนมีพฤติกรรมอย่างที่เคยๆ ทำ ไม่คิดจะปรับตัวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ก็อาจจะเกิดการเบื่อหน่ายและจำเจ ต่างคนต่างคิดว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แบบนั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องการก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งเป็นการใช้หลักพระพุทธศาสนาเข้ามาช่วย เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสและจับต้องได้ ไม่ใช่ดีแต่พูดว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" แต่กลับแกล้งทำในสิ่งที่ฝืนใจทนทำอะไรต่อ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะทำมันเลย

    สำหรับวิถีของพระพุทธศาสนาในการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้น นักปาฐกถาธรรมท่านนี้ ให้คำแนะนำว่า ทุกคนสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการคิดว่าการกระทำที่เราได้ทำลงไปนั้น สามีหรือภรรยาจะคิดอย่างไร? ไตร่ตรองให้ดีก่อน ซึ่งบางคนเชื่อในเรื่องของสูตรสำเร็จที่เขียนไว้ในหนังสือหรือตำราการครองชีวิตคู่ แต่การเอาใจเขามาใส่ใจเราให้ได้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งสูตรสำเร็จใดๆ เลย เพียงแค่เวลาพูดคุยกับคู่ชีวิตด้วยเหตุผล เขาหรือเธอคนนั้นก็มีความพึงพอใจกับสิ่งที่เราพูดแล้ว แต่ต้องคอยสังเกตว่าเขาจะสบายใจกับเรื่องราวที่ได้ฟังหรือไม่ จะอึดอัดไหม? คนพูดต้องหัดถามตัวเอง ในความรู้สึกตรงกันข้ามเมื่อเป็นผู้ฟังบ้าง ว่าเราพอใจกับคำพูดในลักษณะใด และคำพูดใดฟังแล้วสะเทือนใจก็จะได้ไม่เอามาพูดกับคู่ชีวิตของตัวเอง

    "คนที่ติดนิสัยพูดไปเรื่องเปื่อยโดยไม่สนใจว่าจะมีคนฟังหรือไม่ จะพูดไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายและจะหาบทสรุปไม่ได้ พาลให้นำไปสู่เรื่องที่ไม่ดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน เพราะการพูดในทำนองเดียวกันอาจได้รับการตอบรับที่แตกต่างกัน บางคนสบายใจที่ได้ฟัง ก็ทำให้คนพูดรู้สึกสบายใจตาม ไม่อึดอัดทุกๆ ครั้งได้อยู่ใกล้ แต่ถ้าเขามีความรำคาญใจอยู่ เพียงเราถามใจตัวเองว่า เขาจะมีความสุขหรือความทุกข์กับสิ่งที่เราได้พูดออกไป ถ้าได้คำตอบว่าเขากำลังเกร็งๆ ฝืนๆ และมีท่าทีแสดงออกถึงความอึดอัดที่ต้องทนฟัง แต่เพราะความเกรงใจเขาจึงทนฟังในสิ่งที่เราพูด ดังนั้นคนพูดจะต้องคอยสังเกตคนฟังด้วยว่า มีความรู้สึกอย่างไร " นักเขียนนวนิยายอิงธรรมมะ อธิบายให้เห็นภาพอย่างชัดเจน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=269 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=269>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แต่จากประสบการณ์การให้คำปรึกษาปัญหาของชีวิตคู่ ศรันย์ เล่าว่า ส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาชีวิตคู่ล้มเหลว มักมีสาเหตุมาจากการเลือกผิดมาตั้งแต่แรก ทำให้การจับคู่ไม่ได้ตรงกับความพอดีในความมั่นคงของการครองชีวิตคู่ อีกทั้งมีเรื่องของความเกรงใจและความเห็นอกเห็นใจกันเป็นส่วนประกอบ ถ้าขาด 2 อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งได้มากที่สุด เพราะต่างคนต่างจะแสดงความต้องการของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน โดยไม่เกรงใจกันอีกต่อไป

    "หากคู่ไหนมีความเกรงใจกันมาตั้งแต่ต้น ก็จะสามารถก้าวผ่านความขัดแย้งไปได้ เนื่องจากต่างคนต่างไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป รับรู้ความรู้สึกของกันและกัน เมื่อเห็นคนใดคนหนึ่งทุกข์ อีกคนก็ต้องยอมที่จะอยู่เพื่อแบ่งปันความทุกข์ เป็นการอยู่โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่อยู่เพื่อให้มีความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ เราจะมีความรู้สึกว่า ทำไมต้องมาทนฝืนกล่ำกลืนกับสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ถ้ามันสามารถผ่านอุปสรรคและปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยกัน ทั้งคู่จะเกิดความรู้สึกที่ผูกพัน เกิดความรู้สึกดีๆ เพราะไม่ใช่แค่คนที่คอยแบ่งปันความทุกข์หรือให้ความช่วยเหลือ หากแต่เป็นการร่วมทุกข์และร่วมสุขไปด้วยกันทั้งชีวิต"

    หลักการ "ครองคู่ชีวิต" ด้วยหลักของพระธรรม

    อย่างไรก็ดี นอกจากความเกรงใจและความเห็นอกเห็นใจกันของคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันให้ได้ตลอดรอดฝั่งนั้น ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องมีอยู่ในจิตใจของทั้งคู่ คือพระธรรม ที่จะนำพาให้ไปสู่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิต นักปาฐกถาธรรมรายนี้ จึงได้หยิบยกหลักธรรมที่มีทั้ง 4 ข้อ มาแนะนำให้คู่รักที่จะร่วมเป็นคู่ชีวิตยึดถือปฏิบัติกัน

    1. ศรัทธา หมายถึง ความยินดี ความเชื่อ ในสิ่งที่ดีงามร่วมกัน ถ้าเรามีศรัทธา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นศรัทธาในศาสนา แต่เป็นศรัทธาในความรักที่ตรงกัน และมันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตคู่ ถ้าขาดศรัทธาในความรักชีวิตคู่ก็ไม่สามารถดำเนินไปต่อได้ "คู่ที่อยู่ด้วยกัน โดยปราศจากศรัทธาในความรัก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็มักจะเกิดความขัดแย้ง และนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกันในที่สุด เพราะศรัทธาของคนทั้งคู่ไม่ตรงกันตั้งแต่แรก ถึงทนอยู่กันต่อไปก็ไม่สามารถพาชีวิตคู่ให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีได้ หรือตรงกับคำโบราณที่ว่า อยู่กินกันหม้อข้าวไม่ทันจะดำ ก็เปลี่ยนหม้อใหม่กันแล้ว"

    2. ศีล คือ ข้อห้าม การละเว้น หรือการไม่นอกใจคู่ชีวิตของตัวเอง มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ถ้าหากเรายังมีใจที่กระสับกระส่าย ดิ้นรน แต่อีกคนกลับมีใจที่ซื่อสัตย์ต่อคนรัก มันก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>3. จาคะ คือ ความมีน้ำใจให้แก่กัน การอยู่ร่วมกันระหว่างคู่สามีภรรยาจะต้องมีน้ำใจให้กัน และพร้อมจะให้อภัยแก่กัน เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำความผิดที่ไม่ได้ร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ของชีวิตคู่มากนัก

    4. ปัญญา ซึ่งมี 2 ระดับ คือ ระดับที่คุยกันรู้เรื่องและระดับที่สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ การคุยกันรู้เรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เรียนจบสูงหรือมีวุฒิการศึกษามากมาย เพียงแค่สื่อสารเรื่องราวต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจทั้งสองฝ่าย เพราะถ้าเข้าใจไม่ตรงกันก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ แต่หากทั้งสองคนคุยกันรู้เรื่องเข้าใจทุกอย่างก็จะสามารถพาชีวิตคู่ พาครอบครัวผ่านพ้นไปจากหายนะและความล้มเหลวของสถานะภาพทางครอบครัวได้

    ฉะนั้น การเลือกคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าเลือกได้ดีตั้งแต่แรกเริ่มก็ถือว่าจะนำพาชีวิตไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าครึ่งทางของชีวิต เพราะเราได้เลือกสิ่งที่ดีแล้ว ก็จะมีเวลาทำให้อีกครึ่งชีวิตมันดีขึ้นไปหลังจากการได้ร่วมใช้ชีวิต ร่วมทุกข์ ร่วมสุขไปด้วยกัน ถ้าเลือกคนไม่ดีการใช้ชีวิตร่วมกันอาจจะเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ซึ่งก็มีให้เห็นกันไม่น้อยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นักปาฐกถาธรรมรายนี้ได้ฝากทิ้งท้ายว่า "รักแท้ไม่มีอยู่จริง ถ้ายังมีกิเลศอยู่ในใจ เมื่อใดที่ร่างกายและจิตใจปราศจากกิเลส เมื่อนั้นทุกคนก็จะได้พบกับรักแท้ที่ยั่งยืน"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัย ขับรถบนท้องถนนระวังกลยุทธ์ หมากฝรั่ง และ ไข่ไก่ (Forward Mail)

    ผมเจอกับตัวเองเมื่อวันที่ 26ก.ค วันอาสาฬหบูชา นี้เองที่สะพานพระราม 5 ฝั่งบางกรวย จอดที่หน้าร้านก๊วยเตี๋ยวเรือใกล้กับ ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ concept มันใช้หมากฝรังชนิดนิ้มเหนียว ทิ้งไว้ที่กระจกกับที่ปัดน้ำฝนพอโดนความร้อนจะละลายติกระจก ก่อนออกรถไม่สังเกตุ ผมขับออกไปเลยไฟแดงไปแล้วจอดทำความสะอาดริมถนนครู่เดียวมันมาสองคันเลย มีทั้งรถเก็งและรถกระบะ มาสังเกตการณ์ หาโอกาสลงมือแต่บริเวณนั้นรถมากไม่สะดวก ประกอบกับผมเห็นผิดปรกติ



    จึงหยุดทำความสะอาด และรีบขับออกจากบริเวณนั้นไป มันยังขับตามอีก ผมวนดูพฤติกรรม ของแก๊งนี้มันจะวางหมากฝรั่งและคอยเก็บเหยื่อวนอยู่บริเวณนั้นอยู่หลายเที่ยว เตือนเพื่อน ๆ ให้ระวัง ถ้าเห็นมีหมากฝรั่งทิ้งไว้ที่หน้ากระจกอย่าทำความสะอาดในที่ปรอดคน อาจจะโดนมิสาชีพพวกนี้ลงมือได้


    --------------------------------------------------------------------------------

    ถ้าคุณขับรถกลางคืน แล้วโดนปาหน้ารถด้วย "ไข่"(ไข่จริง ๆ ไม่ได้มุข) อย่า........ฉีดน้ำ และปัดกระจกเป็น อันขาด !!

    เพราะเมื่อไข่ผสมกับน้ำแล้วกลายเป็นคราบเหนียว บดบังทัศนวิสัยของคุณได้ถึง 92.5%นั่นหมายถึง คุณจะถูกบีบบังคับให้ต้องจอดรถข้างทาง (ก็มันมองไม่เห็น ก็ต้องหยุดก่อน) ดีไม่ดีคุณก็จะลงไปเช็ดกระจกอีกต่างหาก ซึ่งจังหวะนั้นเองที่ คุณจะกลายเป็นเหยื่อไข่ของมิชฉาชีพทันที

    นี่เป็นยุทธวิธีใหม่ของโจรบนท้องถนน


    --------------------------------------------------------------------------------

    ที่มา : Forward Mail

    วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

    เตือนภัย ขับรถบนท้องถนนระวังกลยุทธ์ หมากฝรั่ง และ ไข่ไก่
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การป้องกันการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ และวิ่งราวทรัพย์ ตามสถานที่ประกอบการค้า หรือที่พักอาศัย (ThaiTAS.com)

    เพื่อเป็นการป้องกันในทรัพย์ที่ติดตัวไปกับท่านในที่ต่าง ๆ ขอให้ระมัดระวังตัวท่านเอง โดย

    1. การติดสัญญาณแจ้งภัยไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ผู้อื่นหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงทราบกำหนดสัญญาณ ควรตีเกราะขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุร้าย และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

    2. การจ้างคนงาน คนรับใช้ หรือพนักงานควรมีสำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวต่าง ๆ ถ่ายรูปและรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ญาติพี่น้อง เพื่อทราบที่อยู่ความเป็นมา อาชีพดั้งเดิม ความประพฤติตลอดจนญาติพี่น้อง หรือคนรู้จักเพื่อสามารถติดต่อในภายหลัง หากต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อทำการตรวจสอบประวัติก็ให้ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่

    3. เครื่องประดับที่มีไว้แต่งตัว หรือไว้เพื่อค้าขาย ถ้าเป็นไปได้ควรจดรายละเอียดตำหนิรูปพรรณ ลักษณะพิเศษ ราคา และถ่ายรูปเก็บไว้

    4. ไม่ควรติดกลอนประตู หน้าต่าง ด้านนอก เพราะคนร้ายจะใช้เป็นห้องขังได้เป็นอย่างดี

    5. ระมัดระวังคนแปลกหน้าที่มาเดินวนเวียนไปมาหลายครั้ง หรือมีท่าทางพิรุธน่าสงสัย ควรรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

    6. ไม่ควรอยู่ทำการค้า หรือธุรกิจในห้างร้าน บริษัท เพียงคนเดียว เมื่อหยิบสินค้าหรือสิ่งของจากหลังร้านชั้นบน หรือที่เก็บของ ควรมีผู้อยู่ดูแลหน้าร้าน หรืออยู่กับลูกค้าเสมอ และควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้านคราวละมาก ๆ

    7. ควรผูกมิตรกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง เพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาและให้ความช่วยเหลือแก่กัน และกัน

    8. ไม่ควรเก็บเงินสนจำนวนมาก หรือทรัพย์สินที่มีค่าไว้ในสถานที่ประกอบการค้า

    9. การเปิด-ปิดสถานที่ประกอบการค้า ไม่ควรเปิดแต่เช้าตรู่ หรือยังมืดอยู่ และไม่ควรปิดจนค่ำหรือดึกเกินไป

    10. ขณะที่จะปิดหรือกำลังจะปิดสถานประกอบการ หากมีคนแปลกหน้ามาติดต่อการค้าหรือธุรกิจต่าง ๆ ควรพิจารณาและระมัดระวังอาจจะเป็นคนร้าย ถ้าเป็นไปได้ควรรีบปฏิเสธในทุกเรื่อง โดยอ้างว่าปิดทำการแล้ว

    11. พยายามจดจำตำหนิรูปพรรณคนที่เข้ามาติดต่อ หากเป็นคนร้ายแล้วก่อเหตุขึ้นจะได้แจ้งรายละเอียดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการจับกุม

    12. ไม่ควรมีแต่เพียงเด็ก หรือสตรีเท่านั้นอยู่เฝ้าดูแลสถานประกอบการหรือที่พักอาศัย

    13. ควรสำรวจประตู หน้าต่าง ช่องระบายอากาศ ของสถานประกอบการค้า หรือที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรง การปิดทุกครั้งต้องใส่กลอน ใส่กุญแจอย่างแน่นหนาทุกครั้ง

    14. ไม่ควรนำสินค้าหรือเครื่องประดับที่มีราคาแพง ๆ ออกมาให้ลูกค้าเลือกหลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ชนิดในคราวเดียวกัน การจัดสถานประกอบการค้า ควรให้สามารถมองเห็นได้จากภายนอก

    15. เมื่อเกิดเหตุพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วจดจำตำหนิรูปพรรณของคนร้าย การแต่งกาย อาวุธ พาหนะ เส้นทางหลบหนี

    16. เมื่อเกิดเหตุควรช่วยรักษาสถานที่เกิดเหตุ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง

    17. อย่าพยายามจับคนร้ายโดยลำพังด้วยตนเอง เมื่อคนร้ายก่อเหตุให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

    18. ในหมู่บ้านควรจัดเป็นคอกรวมและมีเวรยามดูแลรักษาตลอดคืน

    19. กรณีที่มีการซื้อขาย พืชผลทางการเกษตรหรือสัตว์ที่มีมูลค่าสูงไม่ควรเก็บเงินสดไว้ที่บ้านควรใช้บริการของธนาคาร

    20. การเบิกจ่ายเงินเดือนของหน่วยราชการ และบริษัทห้างร้านควรเบิกจ่ายให้กับธนาคารในท้องที่ หากไม่มีควรขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเบิกเงิน และไม่ควรเดินทางในเวลากลางคืน


    --------------------------------------------------------------------------------

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ThaiTAS.com

    วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

    ที่มา กระปุกดอทคอม
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การฝึกใจ

    Tagged with: ปล่อยวาง ฝึกใจ สมาธิ
    [แปล] autoTranslator.Please have discretion in reading.[​IMG] <HR class=translate_hr>
    จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต
    แสดงธรรมโดย
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    บทนำ
    ชีวิตคนในสมัยของท่านอาจารย์มั่นและท่านอาจารย์เสาร์ นั้นสบายกว่าในสมัยนี้มาก ไม่มีความวุ่นวายมากเหมือนอย่างทุกวันนี้ สมัยโน้นพระไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิธีรีตรองต่างๆเห มือนอย่างเดี๋ยวนี้ ท่านอาศัยอยู่ตามป่า ไม่ได้อยู่เป็นที่หรอก ธุดงค์ไปโน่น ธุดงค์ไปนี่เรื่อยไป ท่านใช้เวลาของท่านปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่
    สมัยโน้นพระท่านไม่ได้มีข้าวของฟุ่มเฟือยมากมายอย่าง ที่มีกันทุกวันนี้หรอก เพราะมันยังไม่มีอะไรมากอย่างเดี๋ยวนี้ กระบอกน้ำก็ทำเอา กระโถนก็ทำเอา ทำเอาจากไม้ไผ่นั่นแหละ
    ความสันโดษของพระป่า
    ชาวบ้านก็นานๆ จึงจะมาหาสักที ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ต้องการอะไร ท่านสันโดษกับสิ่งที่ท่านมี ท่านอยู่ไป ปฏิบัติภาวนาไป หายใจเป็นกรรมฐานอยู่นั่นแหละ
    พระท่านก็ได้รับความลำบากมากอยู่เหมือนกัน ในการที่อยู่ตามป่าตามเขาอย่างนั้น ถ้าองค์ใดเป็นไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ไปถามหาขอยา อาจารย์ก็จะบอกว่า “ไม่ต้องฉันยาหรอก เร่งปฏิบัติภาวนาเข้าเถอะ”
    ความจริงสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยามากอย่างสมัยนี้ มีแต่สมุนไพรรากไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่า พระต้องอยู่อย่างอดอย่างทนเหลือหลาย ในสมัยนั้นเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆ ท่านก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวนี้สิเจ็บป่วยอะไรนิดหน่อยก็วิ่งไปโรงพยาบาลกั นแล้ว
    บางทีต้องเดินบิณฑบาตตั้งห้ากิโล พอฟ้าสางก็ต้องรีบออกจากวัดแล้ว กว่าจะกลับก็โน่นสิบโมงสิบเอ็ดโมงโน่น แล้วก็ไม่ใช่บิณฑบาตได้อะไรมากมาย บางทีก็ได้ข่าวเหนียวสักก้อน เกลือสักหน่อย พริกสักนิด เท่านั้นเอง ได้อะไรมาฉันกับข้าวหรือไม่ก็ช่าง ท่านไม่คิด เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีองค์ใดกล้าบ่นหิวหรือเพลีย ท่านไม่บ่น เฝ้าแต่ระมัดระวังตน
    ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าอย่างอดทน อันตรายก็มีรอบด้าน สัตว์ดุร้ายก็มีอยู่หลายในป่านั้น แต่ท่านก็มีความอดความทนเป็นเลิศ เพราะสิ่งแวดล้อมสมัยนั้นบังคับให้เป็นอย่างนั้น
    การภาวนาของท่านนักปฏิบัติสมัยนี้
    มาสมัยนี้สิ่งแวดล้อมบังคับเราไปในทางตรงข้ามกับสมัย โน้น ไปไหนเราก็เดินไป ต่อมานั่งเกวียนแล้วก็นั่งรถยนต์ แต่ความทะยานอยากมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่รถปรับอากาศ ก็จะไม่ยอมนั่ง ดูจะไปเอาไม่ได้เทียวแหละ ถ้ารถนั้นไม่ปรับกอากาศ คุณธรรมในเรื่องความอดทนมันค่อยอ่อนลงๆ การปฎิบัติภาวนาก็ย่อหย่อนลงไปมาก เดี๋ยวนี้เราจึงเห็นนักปฎิบัติภาวนาชอบทำตามความเห็น ความต้องการของตัวเอง
    เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงเรื่องเก่าๆแต่ครั้งก่อน คนเดี๋ยวนี้ฟังเหมือนว่าเป็นนิทานนิยาย ฟังไปเฉยๆแต่ไม่เข้าใจเลยแหละ เพราะมันเข้าไม่ถึง พระภิกษุที่บวชในสมัยก่อนนั้นจะต้องอยู่กับพระอุปัชฌ าย์อย่างน้อยห้าปี นี่เป็นระเบียบที่ถือกันมา และต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย อย่าปล่อยตัวเที่ยวพูดคุยมากเกินไป อย่าอ่านหนังสือ แต่ให้อ่านใจของตัวเอง
    พิจารณาอ่านใจและดูใจตัวเอง
    ดูวัดหนองป่าพงเป็นตัวอย่าง ทุกวันนี้มีพวกจบจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก ต้องคอยห้ามไม่ให้เอาเวลาไปอ่านหนังสือธรรมะ เพราะคนพวกนี้ชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว แต่โอกาสที่จะอ่านใจของตัวเองน่ะหายากมาก ฉะนั้นระหว่างที่มาบวชสามเดือนนี้ ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ ปิดตำรับตำราต่างๆให้หมดในระหว่างที่บวชนี้น่ะ เป็นโอกาสวิเศษแล้วที่จะได้อ่านใจของตัวเอง
    การตามดูใจของตัวเองนี้ น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่อง ใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละ เรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา
    การฝึกใจ
    ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั ้นด้วย ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ นี้แหละที่เราเรียกว่า “การฝึกใจ”
    พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม
    ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานหรือรากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรมกาย วาจา ซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจไม่ให้ทำตามความอยาก
    กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคยชินอย่างโลกๆ ลดมันลง อย่ายอมตามความอยาก อย่ายอมตามความคิดของตน หยุดเป็นทาสมันเสีย พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชาให้ได้ด้วยการบังคับตัวเองเ สมอ นี้เรียกว่าศีล
    เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตมันก็จะดิ้นรนต่อสู้ มันจะรู้สึกถูกจำกัด ถูกข่มขี่ เมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันอยาก มันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เห็นทุกข์ชัดละ
    เห็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญา
    “ทุกข์” เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์ อยากหนีทุกข์ ไม่อยากให้มีทุกข์เลย ความจริง ทุกข์ที่แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้นล่ะ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ สุขนั่นสิมันจะปิดหูปิดตาเรา มันจะทำให้ไม่รู้จักอด ไม่รู้จักทน ความสุขสบายทั้งหลายจะทำให้เราประมาท
    กิเสลสองตัวนี้ทุกข์เห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเอาทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อน ว่าทุกข์คืออะไร
    ตอนแรกเราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ทำไป ทำไปก่อน ฉะนั้นเมื่อครูอาจารย์บอกให้ทำอย่างใดก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยมีความอดทนอดกลั้นขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง อย่างเช่นเมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดีวแต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า “จะนั่งอย่างนี้แหละจนกว่าจะได้ความสงบ”
    อย่าทอดทิ้งจิต
    แต่พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น “การพัฒนาจิต” แต่มันเป็นการ “ทอดทิ้งจิต” ไม่ควรปล่อยใจไปตามอารมณ์ ควรที่จะฝึกฝนอบรมตนเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้นจะไม่มีวันถึงธรรมของพระพุทธ เจ้า
    เมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเราเอง และไม่มีวันรู้จักตัวเอง ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้วย่อมเป็น การเสียเวลามากที่สุด แต่การปฎิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหน ทางตรงที่สุด
    การพัฒนาจิต
    ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจก็ให้พยายามปฏิบัติไป ขยันก็ให้ปฏิบัติไป ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่ง นี่จึงจะเรียกว่า “การพัฒนาจิต” ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความคิดความสงสัยไปมากมาย มันจะให้คิดไปว่า “เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนา ปฏิบัติธรรมก็นานหนักหนาแล้ว ยังไม่รู้ เรายังไม่เห็นธรรมเลยสักที” การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็น “การพัฒนาจิต” แต่เป็น “การพัฒนาความหายนะของจิต”
    ถ้าเมื่อใดที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีความรู้สึกอย่างนี้ว่ายังไม่รู้อะไร ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้างเลย นี่ก็เพราะที่ปฏิบัติมามันผิด ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    สิ้นสงสัยด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย” ความสงสัยไม่มีวันสิ้นไปได้ ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆไม่ปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น
    การปฏิบัติทางจิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น ตรงกันข้ามกับหนทางของโลกอย่างสิ้นเชิง คำสั่งสอนของพระองค์มาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสอาสวะทั้งหลาย นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์
    เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องทำใจของเราให้เป็นธรรม ไม่ใช่เอาธรรมะมาตามใจเรา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นทุกข์ไปได้ พอเริ่มปฏิบัติ ทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจะต้องมีสติ สำรวม และสันโดษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหยุด คือเลิกนิสัยความเคยชินที่เคยทำมาแต่เก่าก่อน ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ฝึกฝนอบรมใจตนเองแล้ว มันก็จะคึกคะนอง วุ่นวายไปตามธรรมชาติของมัน
    ธรรมชาติของจิตฝึกได้เสมอ
    ธรรมชาติของใจนี้มันฝึกกันได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ เปรียบได้กับต้นไม้ในป่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติของมัน เราก็จะเอามันมาสร้างบ้านไม่ได้ จะเอามาทำแผ่นกระดานก็ไม่ได้ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่จะใช้สร้างบ้านก็ไม่ได้ แต่ถ้าช่างไม้ผ่านมาต้องการไม้ไปสร้างบ้าน เขาก็จะมองหาต้นไม้ในป่านี้ และตัดต้นในป่านี้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่ช้าเขาก็สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย
    การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิตก็คล้ายกันอย่างนี้ ก็ต้องเอาใจที่ยังไม่ได้ฝึกเหมือนไม้ในป่านี่แหละ มาฝึกมัน จนมันละเอียดประณีตขึ้น รู้ขึ้น และว่องไวขึ้น ทุกอย่างมันเป็นไปตามภาวะธรรมชาติของมัน เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนมันได้ ทิ้งมันก็ได้ ปล่อยมันไปก็ได้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
    จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย
    ธรรมชาติของใจเรามันก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดคว ามวุ่นวายสับสน เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่ พอมันวุ่นวายสับสนมากๆเข้า เราก็คิดว่าคงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้ว แล้วก็เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะไม่เข้าใจว่ามันต้องเป็นของมันอย่างนั้นเอ ง ความคิด ความรู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันสงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆเข้าใจว่าธรรมชาติของใจมันเป็นของมันอยู่อย ่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
    ปล่อยวางได้จิตใจก็สงบ
    ถ้าเราเห็นอันนี้ชัด เราก็จะทิ้งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่อีก คอยแต่บอกตัวเองไว้อย่างเดียวว่า “มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง” พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว ทีนี้ก็จะปล่อยอะไรๆได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึกมันจะหายไป มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว <!--more-->
    เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนั้ นเอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา ความเดือดร้อนรำคาญของเราก็หมดไป มันไปได้อย่างไร ก็เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราเปลี่ยน และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฎฐิ
    ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำลึกมืดสักเท่าใด ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ ใจจะสงบได้ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฎฐิเท่านั้น ทีนี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้ เพราะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบมัน เราปล่อยวางมัน เมื่อใดที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิด ขึ้น เราปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้ นมาเพื่อจะกวนเรา แม้บางทีเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงความรู้สึกนั้นเป็นของมันอย่างนั้นเอ ง
    ถ้าเราปล่อยวางมันเสีย รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียก็สักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฎฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์ เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำท่า ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวดเดียวกัน มันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน เหมือนกับคนที่ฉลาดก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง “สักว่า” เท่านั้น
    ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด
    พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด พระองค์ไม่ทรงเอามาปนกัน ใจก็สักว่าใจ ความคิดความรู้สึกก็สักว่าความคิดความรู้สึก ปล่อยให้มันเป็นเพียงสิ่ง “สักว่า” รูปก็สักว่ารูป เสียงก็สักว่าเสียง ความคิดก็สักว่าความคิด จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นทำไม ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้เราก็จะแยกกันได้ ความคิดความรู้สึก (อารมณ์) อยู่ทางหนึ่ง ใจก็อยู่ทางหนึ่ง เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่า อยู่ในขวดเดียวกัน แต่มันแยกกันอยู่
    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกของพระองค์ ก็อยู่ร่วมกับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้ธรรม ท่านไม่ได้เพียงอยู่ร่วมเท่านั้น แต่ท่านยังสอนคนเหล่านั้น ทั้งคนฉลาด คนโง่ ให้รู้จักวิธีที่จะศึกษาธรรมปฏิบัติและรู้แจ้งในธรรม ท่านสอนได้เพราะท่านได้ปฏิบัติมาเอง ท่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องของใจเท่านั้น เหมือนอย่างที่ได้พูดมานี้แหละ
    ดังนั้นการปฏิบัติภาวนานี้อย่าไปสงสัยมันเลย เราหนีจากบ้านมาบวช ไม่ใช่เพื่อหนีมาอยู่กับความหลงหรืออยู่กับความขลาดค วามกลัว แต่หนีมาเพื่อฝึกอบรมตัวเอง เพื่อเป็นนายตัวเอง ชนะตัวเอง ถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราก็จะปฏิบัติธรรมได้ ธรรมะจะแจ่มชัดขึ้นในใจของเรา
    ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะ ทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบก็ให้สงบด้วยฉลาด ด้วยปัญญาเท่านั้นพอ
    เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้แยกได้ เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านอย่ายึดมั่นในธรรม” ธรรมะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ ความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมะ ความชอบความไม่ชอบก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นธรรมะ
    ปฏิบัติเพื่อละ อย่าปฏิบัติเพื่อสะสม
    เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น พระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอนไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
    ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย
    ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์เพราะทางของพระ องค์คือ “ปล่อยวาง” ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
    จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่านทรงสอนให้ “ปล่อยวาง” อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้งความถูกต้องก็ทิ้ง คำว่าทิ้งหรือปล่อยวางไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติ แต่หมายความว่าให้ปฏิบัติ “การละ” “การปล่อยวาง” นั่นแหละ
    จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต
    พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ดังนั้นนักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เอาจริงเอาจังให้ใจมันผ่องใสขึ้น สว่างขึ้น ให้มันเป็นใจอิสระ ทำความดีอะไรแล้วก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึดไว้ หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี้และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรือนาคต
    คำสอนที่เข้าใจผิดกันมาก แล้วก็ถกเถียงกันมากที่สุด ตามความคิดเห็นของตนก็คือเรื่อง “การปล่อยวาง” หรือ “การทำงานด้วยจิตว่าง” นี่แหละ การพูดอย่างนี้เรียกว่าพูด “ภาษาธรรม” เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่ง แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบละซิ
    ความจริงมันมีความหมายอย่างนี้ อุปมาเหมือนว่าเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันก็ได้ แต่แบกอยู่อย่างนั้นแหละ พอมีใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียซี ก็มาคิดอีกแหละว่า “เอ…ถ้าเราโยนทิ้งไปแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ” ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง
    ประโยชน์ของการปล่อยวาง
    ถ้าจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที จนแบกไม่ไหวแล้วก็เลยปล่อยมันตกลง ตอนที่ปล่อยให้มันตกลงนี้แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องก ารปล่อยวางขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอก ว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เพียงใด
    ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกให้ปล่อยวาง คนที่ยังมืดอยู่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ก็จะหลับหูหลับตาแบกก้อนหินก้อนนั้นยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมันหนักจนเหลือที่จะทนนั่นแหละ ถึงจะยอมปล่อยแล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยตนเอง ว่ามันเบามันสบายแค่ไหนที่ปล่อยมันไปได้ ต่อมาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราพอรู้แล้วว่า ผลของการแบกนั้นเป็นอย่างไร เราก็ปล่อยมันได้โดยง่ายขึ้น ความเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของการแบกหาม และความเบาสบายของการปล่อยวางนี่แหละ คือตัวอย่างที่แสดงถึงการรู้จักตัวเอง
    ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเราก็เหมือนก้อนหินหนักก้ อนนั้น พอคิดว่าจะปล่อย “ตัวเรา” ก็เกิดความกลัวว่าปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับที่ไม่ยอมปล่อยก้อนหินนั้น แต่ในที่สุดเมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่ นถือมั่น
    การฝึกใจต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในการฝึกใจนี้ เราต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งสรรเสริญ ทั้งนินทา ความต้องการแต่สรรเสริญ และไม่ต้องการนินทางนั้น เป็นวิถีทางของโลก แต่แนวทางของพระพุทธเจ้าให้รับสรรเสริญตามเหตุตามปัจ จัยของมัน และก็ให้รับนินทาตามเหตุตามปัจจัยของมันเหมือนกัน เหมือนอย่างกับการเลี้ยงเด็ก บางทีถ้าเราไม่ดุเด้กตลอดเวลา มันก็ดีเหมือนกัน ผู้ใหญ่บางคนดุมากเกินไป ผู้ใหญ่ที่ฉลาดย่อมรู้จักว่าเมื่อใดควรดุ เมื่อใดควรชม <!--more-->
    ใจของเราก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาเรียนรู้จักใจ ใช้ความฉลาดรักษาใจไว้ แล้วเราก็จะเป็นคนฉลาดที่รู้จักฝึกใจ เมื่อฝึกบ่อยๆมันก็จะสามารถกำจัดทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจนี่เอง มันทำให้ใจสับสน มืดมัว มันเกิดขึ้นที่นี่ มันก็ตายที่นี่
    ถ้ายึดมั่นเข้าเราก็ถูกกัด
    เรื่องของใจมันเป็นอย่างนี้ บางทีก็คิดดี บางทีก็คิดชั่ว ใจมันหลอกลวง เป็นมายา จงอย่าไว้ใจมัน แต่จงมองเข้าไปที่ใจ มองให้เห็นความเป็นอยู่อย่างนั้นของมัน ยอมรับมันทั้งนั้น ทั้งใจดีใจชั่ว เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือมัน มันก็เป็นของมันอยู่แค่นั้น แต่ถ้าเราไปยึดมันเข้า เราก็จะถูกมันกัดเอา แล้วเราก็เป็นทุกข์ ถ้าใจเราเป็นสัมมาทิฎฐิแล้วก็จะมีแต่ความสงบ จะเป็นสมาธิ จะมีความฉลาด ไม่ว่าจะนั่งหรือจะนอน ก็จะมีแต่ความสงบ ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไรก็จะมีแต่ความสงบ
    วันนี้ท่าน (ภิกษุชาวตะวันตก) ได้พาลูกศิษย์มาฟังธรรม ท่านอาจจะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ผมได้พูดเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้ท่านอาจจะเข้าใจได้ ง่าย ท่านจะคิดว่าถูกหรือไม่ก็ตาม ก็ขอให้ท่านลองนำไปพิจารณาดู ผมในฐานะอาจารย์องค์หนึ่ง ก็อยู่ในฐานะคล้ายๆกัน ผมเองก็อยากฟังธรรมเหมือนกัน เพราะไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ก็ต้องไปแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟัง แต่ตัวเองไม่มีโอกาสฟังเลย คราวนี้ก็ดูท่านพอใจในการฟังธรรมอยู่ เวลาผ่านไปเร็ว เมื่อท่านนั่งฟังอย่างเงียบๆ เพราะท่านกำลังกระหายธรรมะ ท่านจึงต้องการฟัง
    เมื่อก่อนนี้ การแสดงธรรมก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง แต่ต่อมาความเพลิดเพลินก็ค่อยหายไป รู้สึกเหนื่อยและเบื่อ ก็กลับอยากเป็นผู้ฟังบ้าง เพราะเมื่อฟังธรรมจากครูอาจารย์นั้น มันเข้าใจง่ายและมีกำลังใจ แต่เมื่อเราแก่ขึ้น มีความหิวกระหายในธรรมะ รสชาติของมันก็ยิ่งเอร็ดอร่อยมากขึ้น
    การเป็นครูอาจารย์ของผู้อื่นนั้น จะต้องเป็นตัวอย่างให้แก่พระภิกษุอื่นๆ เป็นตัวอย่างแก่ลูกศิษย์ เป็นตัวอย่างแก่ทุกคน ฉะนั้นอย่าลืมตนเองแล้วอย่าคิดถึงตนเอง ถ้าความคิดอย่างนั้นเกิดขึ้น รีบกำจัดมันเสีย ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเอง
    ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
    วิธีปฏิบัติธรรมมีมากมายเป็นล้านๆ วิธี พูดเรื่องการภาวนาไม่มีที่จบ สิ่งที่จะทำให้เกิดความสงสัยมีมากมายหลายอย่าง แต่ให้กวาดมันออกไปเรื่อยๆ แล้วจะไม่เหลือความสงสัย เมื่อเรามีความเข้าใจถูกต้องเช่นนี้ ไม่ว่าจะนั่งหรือจะเดิน ก็มีแต่ควาสงบ ความสบาย ไม่ว่าจะปฏิบัติภาวนาที่ไหน ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อย่าถือว่าจะปฏิบัติภาวนาแต่เฉพาะขณะนั่งหรือเดินเท่ านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทุกหนทุกแห่งเป็นการปฏิบัติได้ทั้งนั ้น
    ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ให้มีสติอยู่ ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจ แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย ให้ปล่อยวางมันไป ความรักเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป มันมาจากไหนก็ให้มันกลับไปที่นั่น ความโลภเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป ตามมันไป ตามดูว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วตามไปส่งมันให้ถึงที่ อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง
    ฝึกใจได้ใจจักปราศจากกิเลส
    ถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างนี้ ท่านก็จะเหมือนกับบ้านว่าง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือใจว่าง เป็นใจที่ว่างและอิสระจากกิเลส ความชั่วทั้งหลาย เราเรียกว่าใจว่าง แต่ไม่ใช่ว่างเหมือนว่าไม่มีอะไร มันว่างจากกิเลส แต่เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา จะมีแต่ปัญญาเท่านั้น
    นี่เป็นคำสอนที่ผมขอมอบให้ในวันนี้ ถ้าการฟังธรรมทำให้ใจท่านสงบ ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องจดจำอะไร บางท่านอาจจะไม่เชื่อ ถ้าเราทำใจให้สงบ ฟังแล้วก็ไม่ให้ผ่านไป แต่นำพิจารณาอยู่เรื่อยๆอย่างนี้ เราก็เหมือนเครื่องบันทึกเสียง เมื่อเรา “เปิด” มัน มันก็อยู่ตรงนั้น อย่ากลัวว่าจะไม่มีอะไร เมื่อใดที่ท่านเปิดเครื่องบันทึกเสียงของท่าน ทุกอย่างก็อยู่ในนั้น
    ขอมอบธรรมะนี้ต่อพระภิกษุทุกรุปและต่อทุกคน บางท่านอาจจะรู้ภาษาไทยเพียงเล็กน้อย ก็ไม่เป็นไร ให้ท่านเรียนภาษาธรรมเถิด เท่านี้ก็ดีเพียงพอแล้ว
    การฝึกใจ | สังคมธรรมะออนไลน์
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินยาแล้วง่วง..อย่าห่วงขับรถ (Ya&You)
    การดูแลสุขภาพ กินยาแล้วง่วง อย่าห่วงขับรถ


    ผู้เรียบเรียง ภก. ปรัชญา เจตินัย
    นักวิชาการ มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา

    ยาบางชนิดทั้งที่ได้รับจากแพทย์หรือหาซื้อรับประทานเองตามร้านขายยาเพื่อ รักษาโรคหรืออาการที่เป็นอยู่ ยาหลายชนิดมักมีผลทำให้สูญเสียความสามารถในการขับขี่ คุณอาจไม่รู้สึกตัวว่ายาอาจทำให้สูญเสียความสามารถในการขับขี่จนกว่าคุณจะ อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วและแม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด อุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นเสมอไปว่ายาเหล่านี้จะมีผลต่อการขับขี่ของคุณ

    โรคหรืออาการที่อาจจะได้รับยาที่มีผลต่อความสามารถในการขับขี่ ได้แก่

    [​IMG] นอนไม่หลับ เครียด ซึมเศร้า

    [​IMG] โรคทางระบบประสาท

    [​IMG] ภูมิแพ้ ไข้หวัด อาการไอ

    [​IMG] อาการปวด

    [​IMG] ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

    [​IMG] เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง

    ยา ที่มีการใช้บ่อย ได้แก่ chlorpheniramine, diphenhydramine, dimenhydrinate, ibuprofen, naproxen, tramadol, codeine, amitriptyline, flunarizine, cinnarizine, tolperisone, ?orphenadrine ฯลฯ โดยยาเหล่านี้อาจทำให้

    [​IMG] ง่วงนอน อ่อนเพลีย อ่อนล้า

    [​IMG] การมองเห็นเปลี่ยนไป ไม่สามารถปรับระยะสายตาได้ มองภาพเบลอ

    [​IMG] วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด

    [​IMG] เคลื่อนไหวช้าลง

    [​IMG] คลื่นไส้

    [​IMG] หงุดหงิด ฉุนเฉียว อารมณ์เสียง่าย

    [​IMG] กระสับกระส่าย เสียสมาธิ

    หากต้องขับรถแล้วจะรับประทานยาเหล่านี้ได้หรือไม่

    ถ้า หากคุณเคยรับประทานยาเหล่านี้มาแล้วและไม่เกิดอาการข้างเคียงใด ๆ ก็สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ ในบางรายหากเกิดอาการข้างเคียง แพทย์จะเป็นผู้ลดผลกระทบจากยาที่มีต่อการขับขี่รถของคุณ โดยที่แพทย์อาจจะ

    [​IMG] ปรับขนาดยา

    [​IMG] ปรับเวลาในการรับประทานยา เช่น อาจรับประทานยาหลังจากขับรถถึงที่หมายแล้ว หรือให้รับประทานก่อนนอน

    [​IMG] แนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ออกกำลังกาย หรือ รับประทานอาหาร เพื่อทดแทนการใช้ยา

    [​IMG] และสุดท้าย แพทย์อาจเปลี่ยนยาเป็นตัวยาที่มีผลทำให้ง่วงนอนน้อยกว่า

    การปฏิบัติตัวเมื่อรับประทานยาเหล่านี้

    หากได้ยาใหม่ ควรสังเกตอาการข้างเคียงในช่วงแรก แม้ว่ายาจะมีแนวโน้มทำให้ง่วงแต่ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคน

    [​IMG] แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง หากคุณรับประทานยา ยาสมุนไพร หรืออาหารเสริม เพราะยาบางอย่างอาจเสริมฤทธิ์ในการเกิดผลข้างเคียง

    [​IMG] ไม่ควรรับประทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ บรั่นดี เหล้า

    [​IMG] หาก มีอาการง่วงให้หยุดขับรถชั่วคราว การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ร่างกายมักจะปรับตัวได้ อาการง่วงอาจลดลงหรือหายไปในที่สุด

    [​IMG] ห้ามหยุดยาเองโดยที่แพทย์ไม่ได้สั่ง ยาบางอย่างหากหยุดรับประทานอาจมีผล

    [​IMG] คาดเข็มขัดนิรภัยหรือสวมหมวกกันน็อกทุกครั้ง

    ทางเลือก หากเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับประทานยา

    [​IMG] หาเพื่อนร่วมทาง อาจเป็นญาติหรือเพื่อนสักคน แนะนำว่าควรเป็นผู้ที่ขับขี่รถเป็นด้วย

    [​IMG] โบกแท็กซี่

    [​IMG] นั่งรถตู้ รถประจำทาง รถไฟฟ้า

    [​IMG] หากที่ทำงานไม่ไกลมากนักหรือรู้สึกง่วงแล้วหละก็ จอดรถทิ้งไว้แล้วเดินออกกำลังสักนิดก็คงพอทำให้สดชื่น หายง่วงขึ้นมาบ้าง

    หากสงสัยว่ายาที่ท่านได้มานั้นมีโอกาสทำให้ง่วงหรือไม่ สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ที่ | Ya & You ยากับคุณ | สืบค้นไว อุ่นใจเมื่อใช้ยา

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก | Ya & You ยากับคุณ | สืบค้นไว อุ่นใจเมื่อใช้ยา





    .



    .



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เจ็บหลาย... ปลายนิ้วมือ

    http://health.kapook.com/view12118.html

    [​IMG]

    เจ็บหลาย... ปลายนิ้วมือ (สวยด้วยแพทย์)

    สาว ๆ ที่ทำงานออฟฟิศ เห็นจะหนีบรรดาเอกสารต่าง ๆ ไม่พ้น ไม่เถียงอย่างนี้แสดงว่าชัวร์ นั่นไง...ว่าแล้วเชียว

    แต่ละวันนั่งรื้อ ๆ ค้น ๆ กองเอกสารจำนวนมาก เคยไหมคะ? เผลอพลิกไปพลิกมาโดยไม่ระวังหน่อยเดียว อ้าว พลาดถูกขอบกระดาษบาดปลายนิ้วมือเสียแล้ว

    ฟังดูอาจเห็นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่หากใครเคยถูกขอบกระดาษบาดปลายนิ้วมือมาแล้ว คงรู้ดีว่า ความรู้สึกเหมือนโดนใบมีดโกนคมกริบบาดมือเอาดี ๆ นี่เอง แถมยังเจ็บปวดมิใช่เล่น

    ความ รู้สึกเจ็บปวดที่ปลายนิ้วมืออย่างมากนั้น สืบเนื่องมาจากปลายนิ้วมือของคนเรา มีปลายประสาทอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง แต่ต้องถือว่าเป็นข้อดีนะคะ เพราะปลายนิ้วมือต้องใช้สัมผัสสิ่งต่าง ๆ อยู่เกือบตลอดเวลา การที่มีปลายประสาทอยู่เป็นจำนวนมาก จะช่วยให้เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกร้อน เย็น ความหยาบ ความอ่อนนุ่ม ฯลฯ ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เอ้า! เซฟปลายนิ้วมือเอาไว้จะได้ไม่เจ็บตัวค่ะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    สวยด้วยแพทย์



    .



    .



    .



    .



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, psombat+, somlatri </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับ

    เมื่อวานได้รับข่าวดีจากพี่สิทธิพร

    คำใบ้

    พระสมเด็จ

    2409

    วังหน้า

    วังหลัง

    วังหลวง

    ทองคำ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำใบ้ เรื่องที่สอง

    หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

    9ปี

    ดูดทรัพย์ ดูดเงิน ดูดโชคลาภ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำใบ้ เรื่องที่สาม

    สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    ทหาร

    ม้วน

    .
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เช้านี้เจอแต่"คำใบ้" อย่าเจอ"คนใบ้"ก็แล้วกัน ก็ขอให้มีความสุขกับการตามหา ตามเก็บของดี มีมงคล...

    เช้านี้ได้อ่านหนังสือดีๆเล่มหนึ่ง ชื่อว่า คู่มือสร้างชาติ(น่าจะออกมาตั้งนานแล้ว) ของคุณประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ แห่งแกะดำทำธุรกิจ เจ้าของก็แสนใจดีให้อ่านฟรี สามารถไป download อ่านกันได้ที่ Blacksheep ::: คู่มือสร้างชาติ หรือจะไปขอรับหนังสือคู่มือสร้างชาติก็ขอรับหนังสือฟรีได้ที่ ร้านหนังสือซีเอ็ดทุกสาขา

    ทำหนังสีอเล่มนี้เพราะต้องการทำหน้าที่เป็นพลเมือง ถ้าอ่านแล้วคิดว่าใช้ได้ช่วยส่งต่อ [​IMG] เพื่อสร้างเครือข่ายการเปลี่ยนแปลง

    เกมสร้างชาตินี้ ไม่ได้เพื่อใคร แต่เพื่อพี่น้องลูกหลานของเราในอนาคตอันใกล้นี้ และ เพื่อ......คนไทยทุกคน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    คุณ สิทธิพงษ์
    ผมขอร่วมทำบุญสร้างเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 1000 บาท ครับ ผมได้โอน ปัจจัยให้ เมื่อ วันที่ 19 สิงหาคม 2553 เรียบร้อยแล้ว
     
  12. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    ผมพยามแนบ เอกสาร ลอง อีกครั้งครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0001.pdf
      ขนาดไฟล์:
      268.2 KB
      เปิดดู:
      71
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชอบ ก็บอกว่า ชอบ

    ไม่ชอบ ก็บอก ไม่ชอบ

    หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง เป็นสิ่งที่พิเศษ ที่อลังการใหญ่โตมโหฬารมหึมามากมายมหาศาล

    พระวังหน้า สร้างขึ้นเพื่อ ชาติ และ พระศาสนา
    (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทรงมีพระเมตตามาบอกผม)

    และที่สำคัญ การพิจารณาในเรื่องใดๆก็ตาม ให้ใช้วิถีของพุทธะ ตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระเมตตาเผยแพร่ให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบและเรียนรู้ครับ
    (เรื่องนี้ หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรือหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ทรงมีพระเมตตาสอนผม)

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    ขอกราบขอบพระคุณพี่ธนู ,พี่สิทธิพร และทุกๆท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ครับ



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ คณะกองทุนหาพระถวายวัด ได้ถวายชุดหยก แด่พระอาจารย์รูปหนึ่ง จำนวน 300 องค์

    ซึ่งผมได้ฝากกับพี่สิทธิพร (เป็นตัวแทนคณะกองทุนหาพระถวายวัด) นำไปถวายที่สวนทิพย์โลกอุดร ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่

    มาโมทนาบุญกับคณะกองทุนหาพระถวายวัดกันครับ

    .
     
  17. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    อนุโมทนาสาธุ...สาธุ...สาธุ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>การละเมิดอำนาจศาล /อ้วน อารีวรรณ
    http://www.manager.co.th/CelebOnline...=9530000113951
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>17 สิงหาคม 2553 10:44 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>jatung_32@yahoo.com

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=291 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=291>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การละเมิดอำนาจศาลเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อยากกระทำ ด้วยสาเหตุว่า “กลัวจะติดคุก” แถมเป็นการติดคุกที่รวดเร็วทันใจกว่าการกระทำความผิดข้อหาใดๆ ด้วยว่า ถ้าได้กระทำเช่นนี้ต่อหน้าศาล ซึ่งก็คือ ผู้พิพากษาที่กำลังทำหน้าที่พิจารณาคดีในศาลแล้วล่ะก็ ย่อมส่งผลให้ผู้พิพากษาสั่งลงโทษได้ทันที!!

    ตัวดิฉันเอง มีความเห็นว่า ถ้าเราไม่เข้าใจว่า “การละเมิดอำนาจศาล” คืออะไร ลักษณะหรือรูปแบบใดที่เรียกว่าละเมิดอำนาจศาล หรือไม่ทราบว่า ศาลมีหลักเกณฑ์ในการลงโทษผู้กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลอย่างไรบ้าง ก็อาจจะทำให้เราคิดว่า ศาลมีอำนาจล้นพ้นมากมายจริงๆ ดังนั้นวันนี้จึงอยากนำเสนอเรื่องราวของ “การละเมิดอำนาจศาล” มาเล่าสู่กันฟังนะคะ

    ก่อนอื่นเราต้องทราบว่า แนวคิดเรื่อง “ละเมิดอำนาจศาล” มิได้มีขึ้นแต่ในประเทศไทย ประเทศเดียวนะคะ ประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ก็มีมาตรการเรื่อง “ละเมิดอำนาจศาล” เช่นเดียวกัน เช่น ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นต้นแบบของการใช้มาตรการเรื่อง “ละเมิดอำนาจศาล” นี้ก็ว่าได้

    หลักของมาตรการเรื่อง “ละเมิดอำนาจศาล” ใช้ในกรณีที่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้กระทำการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม หรือขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีในศาล โดยอาจใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม รบกวน หรือ ไม่เชื่อฟัง หรือไม่เคารพในคำสั่งของศาล เป็นต้น รวมถึงกรณีสื่อใช้อิทธิพลชี้นำเหนือความรู้สึกของประชาชนหรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือพยานในคดีจนทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป

    ผู้พิพากษาในศาลสามารถออกข้อกำหนดของศาล เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาคดีดำเนินไปได้โดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว แต่ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็น ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ได้บัญญัติว่า

    ให้ศาลนั้นมีอำนาจออกข้อกำหนดใดๆ แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือแก่บุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลตามที่เห็นจำเป็น เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาคดีดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว อำนาจเช่นว่านี้ ให้รวมถึงการสั่งห้ามคู่ความมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญ หรือในทางประวิงให้ชักช้าหรือในทางฟุ่มเฟือยเกินสมควร

    เมื่อศาลออกข้อกำหนดใดๆ ไปยังคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือแก่บุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลแล้ว หากผู้นั้นขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลอันว่าด้วยการรักษาความเรียบร้อย หรือประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ก็ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้นเอง

    แต่การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ศาลออกข้อกำหนดก่อนนะคะ เช่น พกปืนขึ้นศาลหรือพกปืนเข้าไปในห้องพิจารณาคดีของศาล หรือแม้กระทั่งมีการเรียกรับเงินหรือรับสินบนในบริเวณศาล ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องพักทนายความหรือห้องพักอัยการหรือที่หน้าห้องควบคุม หรือร้านอาหาร หรือบริเวณโต๊ะหินม้านั่ง ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับศาลก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้เช่นกัน

    นอกจากนี้ ยังมีกรณีอื่นๆ เช่น คู่ความที่ได้มีคำร้องและได้รับอนุญาตจากศาลให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล เนื่องจากยากจน แต่ปรากฏว่า ที่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว เพราะคู่ความได้มีการแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล ในการไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล

    หรือเป็นกรณีที่รู้ว่าจะมีการส่งคำคู่ความ คำฟ้อง หรือส่งเอกสารอื่นๆ ถึงตัวเรา แล้วเราเลยจงใจหลบเลี่ยงหนีไปที่อื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องรับคำคู่ความ คำฟ้อง หรือเอกสารนั้น หรือเป็นกรณีขัดขืนไม่ยอมมาศาล เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้เรามาขึ้นศาลด้วยตนเอง หรือศาลมีหมายเรียกให้มาศาลเพื่อไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือเป็นกรณีมีการตรวจเอกสารหรือสำนวน หรือคัดสำเนา โดยมิได้ร้องขออนุญาตต่อศาล เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดอำนาจศาล โดยการพิมพ์ การโฆษณา ซึ่งเป็นการเขียนข้อความลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32

    ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการหรือผู้พิมพ์โฆษณา ซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อันออกโฆษณาต่อประชาชนไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้รู้ถึงซึ่งข้อความหรือการออกโฆษณาแห่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่านั้นหรือไม่ ให้ถือว่าได้กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง ดังจะกล่าวต่อไปนี้

    (1) ไม่ว่าเวลาใดๆ ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่ามานั้นได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอันเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติกรรมอื่นๆ แห่งคดี หรือกระบวนพิจารณาใดๆ แห่งคดี ซึ่งเพื่อความเหมาะสมหรือเพื่อคุ้มครองสาธารณประโยชน์ ศาลได้มีคำสั่งห้ามการออกโฆษณาสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าโดยวิธีเพียงแต่สั่งให้พิจารณาโดยไม่เปิดเผยหรือโดยวิธีห้ามการออกโฆษณาโดยชัดแจ้ง

    (2) ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด ซึ่งข้อความหรือความเห็นโดยประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชนหรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดี ซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป เช่น

    ก. เป็นการแสดงผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือ

    ข. เป็นรายงานหรือย่อเรื่องหรือวิภาค ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง หรือ

    ค. เป็นการวิภาคโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดำเนินคดีของคู่ความหรือคำพยานหลักฐาน หรือนิสัยความประพฤติของคู่ความหรือพยาน รวมทั้งการแถลงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน แม้ถึงว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริง หรือ

    ง. เป็นการชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ

    เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้นำวิเคราะห์ศัพท์ทั้งปวงในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2476 มาใช้บังคับ”

    และบทลงโทษของผู้กระทำความผิด “ฐานละเมิดอำนาจศาล” มิได้มีแต่การลงโทษจำคุกเท่านั้นนะคะ ความจริงศาลมีอำนาจสั่งลงโทษได้ตั้งแต่ ไล่ออกจากบริเวณศาล ในช่วงระยะเวลาที่ศาลนั่งพิจารณา หรือชั่วระยะเวลาใดๆ ก็ได้ ตามที่ศาลเห็นสมควร หรือ จะลงโทษปรับไม่เกิน 500 บาท หรือลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ จะลงโทษทั้งปรับและจำคุก ก็ได้ทั้งนั้น เป็นดุลพินิจของศาลโดยตรงค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรมสุขภาพจิต เผย ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตายมากขึ้น


    กรมสุขภาพจิตเผย ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตายมากขึ้น (ที่มา ไอเอ็นเอ็น)

    อธิบดีกรมสุขภาพจิต ห่วงคนไทยมีอัตราฆ่าตัวตายเพิ่มสูง หลังภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

    นายแพทย์ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ฆ่าตัวตายของคนไทย ว่า จากการเฝ้าระวังของกรมสุขภาพจิต ตั้งแต่ต้นปี 2553 จนถึงปัจจุบัน เพียงครึ่งปี พบอัตราการฆ่าตัวตายสูงถึง 3.5 ต่อแสนประชากร ถือว่าสูงกว่าอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี ที่อัตรา 6 ต่อแสนประชากร คาดว่าปัจจัยหลักเกิดจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ

    ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิต ได้เฝ้าระวังสถานการณ์ดังกล่างอย่างจริงจัง โดยร่วมกับ อสม. สำรวจคัดกรองประชาชนแต่ละพื้นที่ ผ่านแบบสอบถามคัดกรองความเสี่ยงจากโรคซึมเศร้า และปัญหาการฆ่าตัวตายของประชาชน พร้อมมอบหมายให้ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ที่เป็นผู้ดูแลปัญหาการฆ่าตัวตายของประชาชนทั่วประเทศ เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    หมายเหตุ : การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา หรือแนวทางออกที่ดี ทุกปัญหาล้วนมีทางออกเสมอ อย่าตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย ให้คิดถึงพ่อกับแม่ คนที่รักเราให้มากที่สุด หรือหากหมดทางแก้ไขจริง ๆ สามารถโทรปรึกษาปัญหาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต โทร 1667

    "กว่าที่เราจะเกิดมาเป็นคนได้นั้นแสนยากเย็น คุณได้โควตามาเป็นคนแล้ว ก็ควรใช้คุณค่าที่ได้ มาให้เกิดประโยชน์ สูงที่สุด" (ว.วชิรเมธี)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บะหมี่"เต็มเครื่อง" ช.บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง

    คอลัมน์ อิ่มอร่อย

    ที่มา ข่าวสด

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>" บะหมี่" ยังคงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบอาหารเส้นมาตลอด ยิ่งเป็นบะหมี่หมูแดงหมูกรอบ หากมีรสชาติที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้านแล้วล่ะก็ รับรองว่าขายดิบขายดีได้แน่นอน

    ร้าน "ช.บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง" บางกรวย นนทบุรี ช่ำชองในการขายบะหมี่ เกี๊ยว หมูแดง-หมูกรอบ ทั้งตระกูลมากว่า 40 ปี

    ความอร่อยเป็นสูตรดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าที่ทำกันมานาน รสชาติก็จะแตกต่างไปจากร้านบะหมี่ เจ้าอื่นๆ คุณธรรมเรศน์ พิพัฒนภานุวิทยา หรือเฮียฮวด กล่าวว่า เรื่องของก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ เกี๊ยว หมูแดง-หมูกรอบได้รับสืบทอดสูตรมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีพี่น้อง 4 คน ทุกคนขายบะหมี่เกี๊ยวกันหมด จนปัจจุบันนี้ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับลูกๆ ไปประกอบอาชีพกันหมดแล้ว

    สำหรับนักชิมที่จะตรงดิ่งไปยังที่ร้านขอย้ำว่า ร้านเปิดเฉพาะช่วงเย็น ตั้งแต่ 16.30 น. เป็นต้นไป <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เริ่มที่จานเด็ดของร้าน แน่นอนต้องเป็น "บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง"

    เฮียฮวดบอกว่า การทำบะหมี่เกี๊ยวให้อร่อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเส้นบะหมี่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของทางร้าน คือเส้นบะหมี่ที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย จะต้องมีความเหนียวและนุ่ม เกี๊ยวจะต้องแผ่นบาง หมูเยอะ ซึ่งหมูสับนั้นทางร้านสับมาใส่เครื่องปรุงรสต่างๆ หมักไว้ 1-2 ชั่วโมงก่อนจึงค่อยมาห่อเกี๊ยว หากมีลูกค้าสั่ง จึงค่อยไปต้มเพราะต้องการให้ได้ความสดใหม่ของเกี๊ยว

    สำหรับหมูแดงก็เป็นสูตรโบราณของที่ร้าน เพราะวันหนึ่งๆ ต้องใช้หมูแดงวันละหลายสิบกิโลกรัม ถึงขนาดหั่นหมูด้วยมือไม่ทัน ต้องใช้เครื่องหั่นหมูมาเป็นผู้ช่วยเลยทีเดียว ด้วยความนุ่ม หวานหอมของเนื้อหมูแดง กินคู่กับผักแกล้ม เป็นผักกวางตุ้งลวก ก่อนที่จะตักขึ้นมาพักไว้โรยหน้าด้วยน้ำแข็ง เพื่อให้ผักนั้นกรอบ เป็นเคล็ดลับของทางร้าน ที่ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจในความสดใหม่ของบะหมี่ของทางร้าน มีทั้งน้ำและแห้ง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงหมูกรอบ" ทั้งแห้งและน้ำ ของที่ร้านได้รับความนิยมเช่นกัน หมูกรอบมีความพิเศษอยู่ที่หนังหมูฟูกรอบ เนื้อหมูนิ่มและนุ่มละมุนลิ้น จนเครื่องเทศเข้าถึงเนื้อหมู ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมจึงเป็นเมนูยอดฮิต

    สำหรับน้ำซุปของทางร้านเฮียฮวดหวงสูตรมาก เพราะรส ชาติกลมกล่อมหวานน้ำต้มกระดูก หอมกลิ่นเครื่องเทศสมุนไพรจีน น้ำซุปทำวันละกว่า 2 หม้อใหญ่

    วิธีทำน้ำซุปของที่ร้านต้องมีการเคี่ยวน้ำซุปจนเดือดได้ที่ ก่อนมาตั้งไฟอ่อนๆ ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมงแล้วจึงตักเสิร์ฟ สำหรับกระเทียมเจียวต้องเจียวเองเพื่อให้สดใหม่ทุกวัน

    เมนูต่อมาชื่อยาวหน่อยว่า "บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง-หมูกรอบ-ปูแห้งราดน้ำหมูแดง" เรียกสั้นๆ ได้ว่า "เต็มเครื่อง" เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าขาประจำแทบทุกโต๊ะ ต้องสั่งมากิน เพราะเข้าถึงรสชาติอาหารของทางร้านได้เป็นอย่างดี กินคู่กับน้ำซุปร้อนๆ ชามนี้ต้องชิมรสก่อนถึงค่อยปรุงรส เพราะได้รสชาติของน้ำราดที่หวานมัน หอมงาขาว

    นอกจากนี้ ทางร้านยังมีข้าวหมูกรอบ หมูแดงไว้บริการ ความอร่อยอยู่ที่หมูแดงกรอบทำเอง ที่กรอบนุ่มราดด้วยน้ำราดหมูแดง ที่เฮียฮวดบอกว่าเป็นน้ำราดที่ไม่เหมือนใคร เป็นสูตรเฉพาะของที่ร้าน

    นอกจากอาหารที่ทางร้านพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหาร ต้องคัดคุณภาพเกรดเอทุกอย่าง ที่สำคัญอาหารทุกอย่างต้องทำเอง ถึงจะได้คุณ ภาพดี และความอร่อยของอาหารที่แท้จริงของทางร้าน ช.บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงหมูกรอบ

    ร้านเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.30-24.00 น. สอบถามได้ที่โทร.0-2883-6247 หรือ 08-5916-6629



    .

    ˹ѧʗ;ԁ?좨҇ʴ͍?䅹젺 ?ú?ءÊ ʴ?ء?荧==
    .


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...